ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เราจะมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง มีสัมมาทิฐิมากขึ้น ที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือ เปิด ซีดี วีซีดี ธรรมะให้ฟังเป็นประจำก็ทำให้ดีขึ้นแต่น้อยมาก ยกตัวอย่างเช่น หวยก็ยังคงเล่นอยู่จนเป็นนิจเวลาเราเตือนท่านก็จะบอกว่าการเล่นหวยคือความสุขของท่าน

    การนินทาพ่อแม่นินทาผู้อื่นเป็นประจำท่านก็จะบอกว่าเลิกไม่ได้เลิกก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร อุปสรรคในการที่เราจะเตือนท่านคือ เราเป็นเด็กเป็นเล็กจะมาสั่งมาสอนท่านได้อย่างไร ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแกตั้งหลายสิบปี เพราะฉนั้นเราจะมีวิธีหรือกลอุบายอย่างไรครับ

    คำตอบ
    ธรรมชาติของจิตมนุษย์หรือสัตว์ จะเลือกรักในสิ่งที่ดีกว่า หรือศรัทธาในสิ่งที่ความสุขความอบอุ่นใจ ที่ตัวของเราเองสามารถสัมผัสหรือเข้าถึงได้

    ฉะนั้นการเปิดซีดี วีซีดีธรรมะให้ญาติฟัง ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับทำตัวของผู้ถามปัญหาให้มีธรรมบรรจุอยู่ในใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วโอกาสที่พ่อแม่ญาติพี่น้องจะศรัทธาในตัวคุณย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อใดที่เขาเหล่านั้นเปิดใจยอมรับสิ่งดีงาม (ธรรมะ) ที่มีอยู่ในใจของคุณได้แล้วเมื่อนั้นคุณจึงจะสามารถตักเตือน หรือชี้ทางชีวิตที่ดีกว่า เขาจึงจะพร้อมและทำตามที่คุณชี้แนะได้
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ดิฉันเคยไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง โดยมีครูผู้สอนพูดแนะนำขณะนั่งสมาธิ (แบบครึ่งกำลัง) ดิฉันได้เห็นพระพุทธเจ้าซึ่งองค์ท่านใหญ่มากเท่าพระพุทธชินราชในวัดได้ค่ะ ในนิมิตท่านมีชีวิตนะค่ะ แล้วตัวดิฉันเป็นผู้ชายค่ะไม่ได้สวมเสื้อนุ่งแต่โสร่งสีขาวค่ะ กำลังทำท่าไหว้ท่านเหมือนนักมวยไหว้ครูน่ะค่ะ แล้วก็มีคนอื่นๆนั่งอยู่หน้าท่านด้วยค่ะ แต่ไม่มากคล้ายๆนั่งฟังธรรมน่ะค่ะ เหตุการณ์นี้หมายถึงอะไรค่ะ ใช่บุพเพนิวาสานุสติญาณรึเปล่าค่ะ?

    2.ดิฉันฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุงเช่นกันค่ะแต่คนละครั้งกับข้อ1 นะคะ ดิฉันเห็นภาพสว่างจ้าแล้วก็เห็นเป็นตัวดิฉันนั่งอยู่แล้วมีพระพุทธเจ้าท่านชวนดิฉันไปเที่ยวชมสวรรค์ แต่ดิฉันไม่ไป(ลักษณะดื้อเหมือนเด็กๆที่ไม่อยากไป)ท่านชวนแต่ดิฉันก็ไม่ไปท่าเดียวค่ะ ดิฉันในขณะนั้นไม่อยากไปเที่ยวชมเลยมีความรู้สึกว่าขี้เกียจไปทั้งๆที่ไม่เคยไปนะค่ะ ในใจคิดว่าไว้ค่อยไปวันหลังก็ได้ค่ะ ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นกับดิฉันคืออะไรค่ะ แล้วทำไมจึงเกิดขึ้นได้ค่ะ

    กราบขอบพระคุณมากค่ะ

    คำตอบ
    (1) สิ่งที่เห็นเป็นผลมาจากฤทธิ์ทางใจของคุณเป็นเพียงแค่ปัญญาสูงสุดขั้นโลกิยะ ที่ยังไม่สามารถทำให้ผู้เห็นพ้นไปจากความทุกข์ได้ และไม่ใช่ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

    (2) ความขี้เกียจเป็นกิเลสที่ทำให้ชีวิตเสื่อมจนที่มีธรรมะคุ้มใจได้ทุกขณะตื่นจะไม่มีความขี้เกียจ เหตุที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะยังไม่รู้จริงแท้ จิตยังถูกครอบงำด้วยอวิชชา จิตยังเป็นทาสของกามจึงได้คิดว่าค่อยไปเที่ยวสวรรค์ในวันหลังก็ได้
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ขออนุญาตถามคำถามอาจารย์ค่ะว่า ถ้านั่งกรรมฐานอยู่ในขณะที่กำลังไล่ดูส่วนต่าง ๆ ของกายอยู่นั้น ปรากฎว่าเกิดความเงียบสงัดขึ้นมาในจิต แต่ยังได้ยินเสียงภายนอก ทั้งเสียงนกร้อง และรู้สึกถึงความเย็นของอากาศในห้องอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่จิตเงียบจริง ๆ เงียบสงัดอย่างที่สุด สักพักก็มีอาการรู้ก็เข้าไปจับว่า สุขหนอ สุขหนอ หลังจากนั้นจิตก็คลายออกมา กลับมามีกระแสความคิดอ่อน ๆ เข้ามาอีก อยากทราบว่าภาวะที่เกิดขึ้นนั้น คืออะไร และควรปฏิบัติอย่างไรต่อ

    กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    ภาวะที่เกิดขึ้นเป็นความตั้งมั่นของจิตจวนแน่วแน่(อุปจารสมาธิ) ยังไม่ใช่เป็นความเงียบสงัดอย่างที่สุด เพราะยังได้ยินเสียงนกร้อง ยังระลึกได้ในความเย็นของอากาศ สิ่งที่ควรปฏิบัติต่อไปคือใช้จิตที่มีความตั้งมั่นระดับนี้ตามดูผัสสะ (เสียงนกร้อง ความเย็นของอากาศกระแสความคิด ฯลฯ) ที่เกิดขึ้นกับจิตว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อใดผัสสะเข้าสู่ความเป็นอนัตตาจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าผัสสะไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางผัสสะจิตว่างจากผัสสะเข้าสู่อุเบกขารมณ์
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.ฉันเป็นผู้หนึ่งที่สนใจการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงสัจจะของธรรมชาติ เพื่อความไม่หลงในวัฏฏสงสารเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น ดิฉันขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ และผู้เข้าถึงธรรมทุกๆท่านด้วยค่ะ
    ตอนนี้ดิฉันอายุ 37 ปี สนใจในเรื่องการถือศีล 8 แต่ติดปัญหาตรงที่ดิฉันยังยึดติดในความสวยอยู่ค่ะ คือถ้าถือศีล 8 (ระยะเวลานานๆ) ดิฉันก็ไม่สามารถทาครีมบำรุงผิวหน้าได้ (ดิฉันก็ทราบค่ะว่าร่างการเราต้องมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถ้าหวังบรรลุธรรมควรปล่อยวางได้)แต่ถ้าดิฉันไม่ทาผิวหน้าก็จะเสื่อมเร็วนะค่ะ ทำอย่างไรดีค่ะ ถ้าเราปฎิบัติจิตดีๆ ผิวพรรณเราก็จะดีได้โดยไม่ต้องอาศัยครีมบำรุงได้ใช่หรือไม่ค่ะ?

    2.ดิฉันเป็นคนไม่สนใจอะไรๆทางโลกมากเท่าไหร่ งานทางโลกดิฉันก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ดิฉันปรารถนาอยู่กับสังคมทางธรรมะมากกว่า (รู้สึกว่าคุยในเรื่องเดียวกัน) ตอนนี้ดิฉันว่างงานดิฉันอยากหาสถานที่ที่ให้ดิฉันทำงานในด้านนี้ได้(ดิฉันจบปริญญาตรี ไม่เกี่ยงหน้าที่และรายได้ค่ะ ขอให้ได้ทำงานและได้ศึกษา สนทนา ปฏิบัติธรรม ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมไปด้วยค่ะ) อาจารย์พอแนะนำได้บ้างไหมค่ะ?

    สุดท้ายนี้ขออาราธนาบุญบารมีของท่านผู้ทรงบารมีธรรม โปรดส่งผลดลบันดาลให้ท่านอาจารย์และครอบครัวและผู้เสียสละแรงกายแรงใจสร้างประโยชน์สุขเพื่อมวลชนทุกท่านจงมีความร่มเย็น สุขกาย สุขใจ บรรลุถึงสิ่งดีๆที่ทุกท่านปรารถนาโดยฉับพลันด้วยเทอญ

    ขออนุโมทนาและกราบขอบพระคุณอย่างสูง

    คำตอบ
    ผู้รู้เข้าใช้สมมุติเขาได้ประโยชน์จากสมมุติแต่เขามีจิตเป็นอิสระจากสมมุติ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องถามใจตัวเองว่าเมื่อใช้ครีมทาผิวหน้าแล้วมีสภาวะของจิตเป็นเช่นนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนี้สามารถทำได้ต่อไปหรือจะเปลี่ยนไปเจริญเมตตาให้เกิดขึ้นกับจิตยิ่ง ๆ ขึ้น หรือทำจิตให้เป็นอิสระจากผัสสะทั้งปวงได้ ก็เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยบำบัดปัญหาความชราของผิวหน้าให้ช้าลงได้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กระผมเป็นผู้นั่งสมาธิสม่ำเสมอและสนใจเรื่องทางจิตตามหลักศาสนาพุทธครับได้พยามยามมีสติตลอดเวลาครับ
    1. ช่วงเวลาที่นอนหลับแล้ว รู้สึกว่าจิตออกไปจากร่าง มีควาบรู้สึกวูบขึ้นลูบลงเห็นตัวเองนอนอยู่บ้าง เมื่อได้เห็นตัวเองนอนอยู่ได้พยามยามกลับเข้าร่างเกิดความกลัวว่าจะมีวิญญาณอื่นมาเอาร่างเรา เห็นหลังคาบ้านตัวเองบ้าง แต่เมื่อรู้ได้ว่ามีการการดังกล่าวอย่างนี้ได้พยามยามกำหนดตรงบริเวณหน้าผาก ให้ไปสวรรค์บ้าง ไปดูนรกบ้าง แต่ไม่เคยเห็นครับ แต่รู้สึกว่าเราได้ออกจากร่างจริงๆ พักหลังมีสติมากขึ้นเมื่อเกิดอาการอย่างนี้ พยายามกำหนดให้จิตอยู่กับตัว
    ท่านอาจารย์ครับอาจารย์ว่าเป็นอาการทางร่างกายหรือสมองหรือป่าวครับที่ส่งผลอย่างนี้ หรือเป็นเรื่องจิตครับ แต่เท่าที่สังเกตุดูว่าก่อนที่จิตจะออกไปจะมีการอาการทางร่างกายที่เสียวแปลบที่ศรีษะ ตามร่างกายจะชาแข็งขยับไม่ได้ตามคิด

    2. พยายามนั่งสมาธิให้ได้อารมณ์อัปปนาสนาธิครับ แต่รู้สึกยากแต่กระนั้นก็ได้พยายามอยู่ เคยมีครั้งหนึ่งครับมีความรู้สึกว่าจิตใสเป็นแก้วแล้วเป็นรูปที่ซ้อนกับร่างกายตัวเองอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วสติดีมากอะไรมากระทบก็รู้สึกเฉยๆใช่อาการอัปปนาสนาธิมั้ยครับ
    ท่านอาจารย์มีแนวปฏิบัติเพื่อได้อัปปนาสนาธิไว ๆ มั้ยครับ

    3. มีการแก้ขอถอนคำอฐิษฐานมั้ยครับ

    ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะครับ
    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง

    คำตอบ
    (1) การนอนหลับหมายถึงพลังงานจิตไม่มีการเกิด-ดับ (ภวังคจิต) จิตทำงานไม่ได้ ปรุงแต่งอารมณ์ให้ปรากฏไม่ได้ ฉะนั้นที่นอนหลับตา แล้วรู้สึกวูบขึ้นวูบลง ยังเห็นตัวเองนอนแสดงว่าจิตไม่ได้เข้าสู่ภวังค์จิตยังทำงานได้ จิตยังเคลื่อนออกจากร่างกายได้จึงเป็นเรื่องของจิตมิใช่เป็นเรื่องของร่างกายและสมอง

    (2) ไม่ใช่อัปปนาสมาธิ ผู้ถามปัญหาประสงค์จะเข้าให้ถึงอัปปนาสมาธิไว ๆ ต้องกำจัดความอยาก (ตัณหา) ให้หมดไปจากใจให้ได้ก่อน แล้วจึงทำให้ให้มีศีลและสัจจะคุ้มใจให้ได้ทุกขณะตื่นปิดปาก ปิดหู ปิดตา กินน้อย นอนน้อย แต่เร่งความเพียงในการปฏิบัติสมถภาวนาให้มาก ความปรารถนาเข้าถึงสมาธิสูงสุดจึงจะมีโอกาสเป็นไปได้
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ผมเคยไปกราบหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัล ครับ ได้ทราบมาก่อนหน้านี้ว่าท่านรู้วาระจิต แล้วผมก็เคยมีประสบการณ์สนใจด้านนี้มาก่อน พอท่านรู้ผมก็ทราบว่าท่านรู้ แล้วผมรู้สึกกลัวครับ กลัวบารมีหลวงพ่อท่าน กลัวการทำชั่วละอายใจอะไรที่ทำผิดคิดผิด ก็ไม่กล้าทำ อะไรที่เคยทำในชีวิตประจำวันปกติบางอย่างก็ไม่กล้าทำ แต่ยอมรับว่ารู้สึกดีกว่าแต่ก่อนเพราะมีการควบคุมตัวเองโดยใช้สติ แต่บางครั้งกำหนดที่ลิ้นปี่มาก ๆ ก็อึดอัด บางที่มีความฟุ้งซ้านมาก ควรทำไงดีครับ แล้ว อาจารย์ดร.สนอง เราควรทำอย่างไรเมื่อเจอท่านเหล่านี้ ผู้เป็นอริยบุคคล รู้วาระจิตเราได้ มีวิธีป้องกันการให้คนอื่นอ่านใจมั้ยครับ

    2. การที่เราจะพัฒนา พละ 5, อินทรีย์ 5 หรือ อิทธิบาท 4 นี่นะครับ เราต้องระลึกตลอด คือมีความเพียรกำหนด เจริญพละ 5 อยู่ทุกขณะตื่น ควรปฏิบัติอย่างไรครับ ถ้าตอนนี้มีสติระดับหนึ่งแล้ว

    3. เวลาเราให้อภัยใครไปแล้ว อโหสิกรรมให้ไปแล้ว แต่ยังรู้สึกว่ายังมีผลของกรรมเวรยังมาตามอยู่ ในกรณีที่เราเป็นคนมาตามจองเวรเขาเราควรทำอย่างไรดีครับ

    ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดกาล

    ขอขอบพระคุณอย่างสูงนะครับ

    คำตอบ
    (1) ปฏิบัติธรรมแล้วอึดอัด เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมแบบนั้นผิดทาง ควรหันไปใช้วิธีอื่นที่เหมาะกับจริตของผู้ถามปัญหา

    คนที่คิดป้องกันคนอื่นมิให้รู้ใจตัวเอง ในทางธรรมถือว่าเป็นความคิดที่ผิด(มิจฉาสังกัปปะ) ผู้ที่หวังความเจริญในธรรมทางพระพุทธะ ไม่คิดปกปิดความจริงแต่ยอมรับความจริงแล้วกำจัดสิ่งที่เศร้าหมอง (ขยะ) ที่มีอยู่ในใจให้หมดไป ผู้ตอบปัญหาได้ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว ได้แก้ปัญหาถูกตรงตามที่แนะนำมาจึงมีโอกาสเป็นเหมือนกระจกส่องใจมวลชนอยู่ในทุกวันนี้

    (2) เมื่อระลึกได้แล้วต้องปฏิบัติหรือมีความประพฤติถูกตรงตามคุณธรรมเหล่านั้นอยู่ทุกขณะตื่น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตรง (อุชุปฏิปนฺโน)

    (3) ผู้ถามปัญหาให้อภัยผู้อื่นได้เป็นสิ่งดีที่ควรกระทำอยู่เสมอแต่ผู้อื่น (เจ้าหนี้เวรกรรม) ที่เขายังผูกพยาบาลอยู่กับผู้ถามปัญหา เขาจะให้อภัยหรือไม่ให้อภัยมันเป็นเรื่องของเขา ถ้าเขายังไม่เลิกจองเวรยังไม่ให้อภัย ผู้ถามปัญหายังจะต้องมีหนี้เวรกรรมให้ต้องชดใช้อยู่และต้องใช้หนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถพัฒนาจิตเข้านิพพานไปได้แล้วนั่นแหละหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดจึงจะเป็นอโหสิกรรมได้หมดสิ้น
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เคยมีบางครั้งที่ใจนึกคิดไม่ดีหรือลบหลู่บุคคลที่ไม่ควรคิดลบหลู่ พอเกิดความนึกคิดอย่างนั้นก็จะรีบว่าตัวเองเพราะไม่อยากบาปและลงนรก มันเป็นความคิดที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย แต่บางทีมันก็แวบเข้ามา ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดไม่ให้คิดต่อไปมากกว่านั้น อยากทราบว่าความคิดแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเราก็ไม่ได้อยากคิดที่จะลบหลู่เพราะรู้ว่าจะบาปมหันต์ และบุคคลเหล่านั้นก็เป็นบุคคลที่เราเคารพนับถือ ทำอย่างไรจะไม่ให้ความคิดเหล่านี้มันเกิดขึ้นในจิตใจเราได้ และจะบาปไหมถ้าความคิดไม่ดีเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา

    รบกวนท่านอาจารย์ ดร.สนองกรุณาตอบคำถามนี้ด้วยนะคะ เพราะไม่สบายใจมากเลยค่ะ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก

    กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    เหตุที่ใจยังคิดติดลบเพราะโปรแกรมจิตที่คิดลบหลู่ยังไม่ถูกกำจัดให้หมดไปจากใจ ครั้งใดที่ความคิดลบหลู่เกิดขึ้นครั้งนั้นบาปเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิต

    วิธีกำจัดโปรแกรมจิตที่ติดลบหลู่ให้หมดไป ทุกครั้งเมื่อจิตคิดลบหลู่ต้องใช้จิตตามดู ความคิดที่ไม่ดีนั้นดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ต้องตามดูเช่นนี้เรื่อยไปจนจิตไม่ระลึกถึงเรื่องนี้อีกเลย
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การกินข้าวก่อนผู้มีพระคุณเมื่อวัยเด็ก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้เคยตักบาตร โดยคุณแม่เป็นผู้สั่งจัดอาหารให้โดยนำอาหารที่เหลือไปใส่บาตรพระ
    ผ่านมาหลายปี แต่เรื่องนี้ก็ยังแวบมาให้คิดเล็กๆ น้อย ผมเคยขอขมาต่อหน้า พระบรมสารีริกธาตุ ว่าหากได้เคยล่วงเกินพระรัตนตรัย ด้วยกาย วาจา ใจ

    ผมขอความกรุณา
    1. รบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีแก้ด้วยครับ

    2. คุณแม่เป็นคนค่อนข้างยึดมั่นในความคิดของตน และผมเองก็ยังคุณธรรมไม่สูงพอ ยังไม่สามารถทำให้ท่าน สัมผัสถึงความดีแบบสุด จนทำให้ท่านหันมาสนใจธรรมะได้อย่างเต็มที่ และก็ไม่ค่อยกล้าจะพูดถึงธรรมมากเท่าไหร่ เพราะจะทำให้ท่านไม่สบายใจผมควรทำอย่างไร อย่างน้อย ก็อยากให้แม่ทราบว่า ที่เคยนำอาหารเก่าไปถวายพระนั่น เป็นเรื่องที่ผิด หรือทำได้แค่ปล่อยวางครับท่าน?

    ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์เพื่อแสดงความเคารพครับ

    คำตอบ
    (1 ) นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาและกล่าวคำสรรเสริญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อหน้าพระประธานในโบสถ์หรือต่อองค์เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อกล่าวคำบูชาแล้วเสร็จให้กล่าวคำขอขมาต่อพระรัตนตรัยว่า “ ที่ข้าพเจ้าเคยนำอาหารเหลือจากรับประทานไปใส่ลงในบาตรพระสงฆ์ ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดต่อการกระทำอันเป็นบาปนั้นแล้วขอพระรัตนตรัยจงโปรดงดโทษใด ๆ อย่าให้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าข้าพเจ้าให้สัตยาธิษฐานว่า ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจักไม่กระทำกรรมอันเป็นบาปเช่นนั้นให้เกิดขึ้นอีก ”

    (2) ปล่อยวางชีวิตของผู้เป็นแม่ไปตามกรรม แล้วผู้เป็นลูกหันมาประพฤติตนเองให้งามพร้อมด้วยธรรม แม่เกิดศรัทธาลูกเมื่อใดแล้วมาขอคำแนะนำลูก จึงสามารถใช้โอกาสนี้บอกกล่าวถึงอกุศลกรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่แม่เคยทำไว้พร้อมทั้งชี้โทษให้เห็นและชี้ทางแก้ไขปัญหาให้ท่านด้วย
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การนั่งสมาธิในระยะเริ่มต้น ได้ใช้การภาวนาพุทธโธ โดยกำหนดลมหายใจเข้า"พุทธ" และหายใจออก "โธ" กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้เท่านั้น ไม่สามารถรู้จุดกระทบของลมหายใจออกต่ออวัยวะภายนอก และตามรู้ลมหายใจเข้าว่าผ่านไปตรงจุดใดบ้าง เคยได้อ่านในหนังสือธรรมะว่าการนั่งสมาธิถ้าเรานั่งหายใจเข้า "พุทธ" หายใจออก "โธ" เท่านั้น มันไม่มีประโยชน์ จะต้องตามดูลมหายใจว่าผ่านหรือกระทบกับอวัยวะใด เช่น หายใจออก ลมก็จะกระทบปลายจมูก หรือหายใจสั้น-ยาว เร็ว-ช้า อย่างไร แต่สิ่งเหล่านี้ดิฉันพิจารณาไม่ได้เลย แล้วเวลาภาวนาจิตก็ไม่สงบด้วยค่ะ รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะวิธีการนั่งสมาธิที่ถูกต้องให้ได้ไหมคะ โดยการใช้คำภาวนาพุทธโธ เพราะตัวเองจะชินกับคำภาวนานี้ค่ะ

    ขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะแนวทางปฎิบัติค่ะ

    คำตอบ
    ก่อนนั่งภาวนาคำว่า พุท-โธ ต้องทำใจให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน แล้วจึงเอาใจไปจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบปลายจมูกเมื่อลมผ่านเข้าก็รู้ว่าลม กระทบปลายจมูก เมื่อลมผ่านออกก็รู้ว่าลมกระทบปลายจมูก บริกรรมลมเข้าว่า “ พุท ” ลมออกว่า “ โธ ” พุทโธ ๆๆๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่จิตเคลื่อนหายไปจากลมเข้า-ลมออก ต้องหายใจลึก ๆ แล้วปล่อยออกเบา ๆ โดยบริกรรมคำว่า พุท-โธ ๆๆๆเหมือนเดิม ปฏิบัติจนกระทั่งจิตไม่เคลื่อนออกไปจากลมเข้า-ลมออก นาน 45 ถึง 60 นาทีก็ได้ นี่เป็นเครื่องแสดงว่าจิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น แล้วจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วผลถูกตรงของการบริกรรมก็จะเกิดขึ้น
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.การสวดมนต์จะสวดอย่างไรให้ได้ผลตามที่ปรารถนาคะ ดิฉันเป็นคนสวดมนต์เร็วมาก การสวดมนต์มนต์เร็วจะทำให้ไม่ได้ผลใช่หรือไม่คะ

    2.เวลานั่งสมาธิแล้วเกิดเวทนา เกิดจากที่เราทำกรรมไว้แล้วมีเจ้ากรรมนายเวรมาทวงใช่หรือไม่ แล้วบางคนที่สามารถนั่งสมาธิได้นานๆโดยไม่มีเวทนาเกิด หรือเกิดขึ้นน้อยมากแสดงว่าเค้าทำกรรมไว้น้อยเลยไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาทวงใช่หรือไม่

    3.ดิฉันเป็นคนนั่งสมาธิแล้วไม่ค่อยมีเวทนาเกิดขึ้น บางครั้งก็นั่งได้นานเป็น ชั่วโมง, 2 ชั่วโมงก็ไม่รู้สึกทรมานอะไรแค่รู้สึกชาเล็กน้อย แต่บางครั้งที่นั่งแค่ 40 นาทีก็รู้สึกปวดทรมานมากเกือบทนไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้คะ มันขึ้นอยู่กับอะไร (สถานที่, สภาพร่างกาย, การอธิษฐาน ณ ขณะนั้น, ฯลฯ)

    4.นั่งสมาธิเสร็จดิฉันจะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่าเจ้ากรรมนายเวรเค้าได้รับ และเราสามารถแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นได้หรือไม่คะ

    ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

    คำตอบ
    (1) สวดมนต์เร็วหรือสวดมนต์ช้าอย่างไร ยังไม่สำคัญเท่ากับขณะสวดมนต์จิตระลึกทันคำสวดนั้นหรือไม่ คำว่าระลึกได้ทันหมายความว่า สวดมนต์ไม่ผิด สวดมนต์แล้วรู้ความหมายของบทสวดสวดมนต์แล้วเสร็จ จิตสดชื่นเบิกบานเป็นบุญ นั่นจึงนับว่าเป็นการสวดที่ได้อานิสงส์มาก

    (2) ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงหนี้ แต่เป็นเรื่องของขันธมารคือร่างกายเป็นมารคอยขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี

    (3) สภาพสมดุลของร่างกยในการนั่งสมาธิแต่ละครั้งไม่เท่ากันและหรือมีเทวปุตตมารมาทดสอบกำลังใจ

    (4) บุญเกิดจากการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดประพฤติแล้วบุญจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในใจ ผู้มีบุญอยู่ในใจสามารถอุทิศบุญให้ผู้อื่นได้เจ้ากรรมนายเวรจะได้รับบุญที่อุทิศให้หรือไม่ ให้ดูที่หนี้เวรกรรมลดลงหรือหมดไป

    ส่วนการอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น สามารถอุทิศให้ได้ แต่เขาจะเลิกจองเวรคนอื่นหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิ์ของเขาไม่มีใครสามารถไปบังคับเขาได้

    ผู้ใดมีเมตตาอยู่ในใจ ผู้นั้นสามารถแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นได้ เมื่อเขาได้รับเมตตาแล้วเขาจะเลิกจองเวรผู้อื่นหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิ์ของเขา
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การที่เราเรียนรู้วิชาต่างๆก็เหมือนการสั่งสมสัญญาในจิต (ความจำได้หมายรู้) เมื่อสัญญามีมาก จิตก็มีการปรุงแต่งมาก ขอเรียนถามว่า ในขณะที่เราต้องศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆในโลก เราควรทำอย่างไร หากต้องการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์

    ขออาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วยค่ะ
    กราบขอบพระคุณอย่างสูง

    คำตอบ
    หากต้องการชำระจิตให้บริสุทธิ์ ต้องใช้สติสัมปชัญญะที่กล้าแข็ง เป็นเครื่องมือชำระจิต คนที่เรียนวิชาการทางโลกมามากเรียนมาสูง เมื่อมาพัฒนาจิตตนเองให้เข้าถึงเครื่องมือดังกล่าวต้องทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ ครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ผู้เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมแม้จะเรียนวิชาการทางโลกมาเล็กน้อย ชี้แนะให้ศิษย์ทำอย่างไรศิษย์ต้องทำตามคำชี้แนะให้ถูกต้องโดยไม่นำความเห็นของตนมาวิเคราะห์คำสอนคำชี้แนะของอาจารย์
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันสนใจในการปฏิบัติธรรม ในใจลึกๆดิฉันคิดอยากจะบรรลุธรรม มีจิตใจที่สงบ บริสุทธิ์ คือคิดอยากประสบความสำเร็จทางธรรม(คล้ายๆคนทางโลกที่คิดประสบความสำเร็จในด้านที่ตนอยากจะได้อยากจะเป็น)แต่ดิฉันก็ยังอยู่ทางโลกยังไม่ได้ออกบวช จริงๆถ้าดิฉันจะออกบวชก็ได้เพราะไม่มีภาระอะไร คุณแม่ก็อนุญาติ ดิฉันควรจะออกบวชเลยดีไหมค่ะ เพราะว่าถ้ายังอยู่ทางโลกการที่จะบรรลุธรรมก็ย่อมจะเป็นไปได้ช้ากว่าที่เราอยู่วัดอยู่ทางธรรม(และการประสบความสำเร็จทางโลกดิฉันก็ไม่ต้องการค่ะ ดิฉันคิดว่ามันเป็นภาระที่ค่อนข้างเปล่าประโยชน์เพราะเราไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติเหล่านั้นข้ามภพข้ามชาติไปกับเราได้ นอกเสียจากเราจะนำไปทำบุญไปทำประโยชน์กับสังคม แต่มันก็จะเสียเวลาเราในการบำเพ็ญเพียรภาวนา) หรือว่าดิฉันควรอยู่ทำงานเก็บเงินทางโลกไปก่อน(ปัจจุบันดิฉันอายุ 37 ปีค่ะ) ถ้าเช่นนี้จะทำให้การบรรลุธรรมเนิ่นช้ายิ่งขึ้นรีเปล่าค่ะ? เพราะภาวะจิตของดิฉันก็คือปุถุชนกิเลสมากเหมือนคนส่วนใหญ่


    คำตอบ
    คุณมองตัวเองออกแล้ว่า มนุษย์สมบัติไม่สามารถนำติดตัวข้ามภพชาติไม่ได้ ดูปฏาจาราเป็นตัวอย่าง เกิดเป็นลูกสาวเศรษฐีที่สูญเสีย สามีลูกสองคน พ่อแม่และพี่ชาย ปราสาทที่เคยเกิดและอยู่อาศัยมาตั้งแต่เล็ก ก็ถูกลมพายุพัดพังไป เสียสติจนเป็นบ้าที่ได้เห็นมนุษย์สมบัติเป็นกำพร้าตั้งแต่เจ้าของยังไม่ตายจากไป ปฏาจารายังมีบุญเก่าสนับสนุนทำให้ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ว่า “ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนดับไปเป็นธรรมดาเช่นกัน ” ปฏาจาราได้สติพิจารณาตาม (โยนิโสมนสิการ) จึงได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส จึงขอบวชแล้วประพฤติตนให้มีศีลและปฏิบัติตามมรรค 8 จนสามารถบรรลุอรหัตตผลได้

    ด้วยเหตุนี้ จะนำพาชีวิตให้ออกห่างไปจากสาระ หรือจะตัดตรงเข้าสู่ชีวิตที่สงบอิสระและบริสุทธิ์ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองเพราะชีวิตเป็นของคุณ ผู้ตอบปัญหาเป็นได้เพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    - นั่งปฏิบัติแล้วเกิด สมาธิ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ รอบตัว แต่ชัดที่พอง ยุบ รู้สึก สงบ สว่าง ไม่มีเรื่องใด ๆ ให้จิตแกว่ง สว่าง โปร่งสบายอยู่อย่างนั้น
    ขอถามว่า แล้วกำหนดอย่างไรต่อ ค่ะ ที่ทำคือ ดึงเสียงภายนอกเข้ามาพิจารณา ว่า เป็นสิ่งใด แค่รู้ ก็วาง คิดว่า คงไม่ถูกแต่ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ค่ะ

    รบกวน อาจารย์ด้วยค่ะ
    คนรู้น้อย

    คำตอบ
    ให้เอาความสว่าง โปร่ง สบาย ที่จิตรับสัมผัสได้นั้นมาพิจารณาให้เห็นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความสว่าง โปร่ง สบาย เข้าสู่ความดับ(อนัตตา) จิตจะเห็นแจ้งในผัสสะว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนแท้จริงจิตจะวางผัสสะจิตเป็นอิสระจากผัสสะ แล้วว่างเป็นอุเบกขา

    ทุกผัสสะที่เกิดขึ้นให้พิจารณาในแนวเดียวกันนี้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมเป็นนักการเมืองท้องถิ่นแห่งนึงครับ ก่อนการเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมา ได้มีผู้สมัคร สส.(3คน)จากพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง ได้นัดพวกผมเข้าฟังการปราศรัยของพวกเขา หลังเสร็จการพูดเรื่องนโยบายแล้วผู้สมัครออกจากห้องประชุมไป มีลูกน้องของเขาเข้ามา เอาเงินใส่ซองแจกทุกคนที่เข้าฟัง ได้เงินหลักพันครับ ก่อนหน้านั้นเห็นในทีวี กกต.เขาให้พวกผู้สมัคร สส. ดื่มน้ำสาบานจะไม่ทุจริต แต่พวกเขาทำแบบนี้ ผมคิดว่าบาปมากครับ ใจจริงไม่อยากจะรับ แต่เกรงว่าจะมีภัยเกิดขึ้นกับตัว ผมก็รับมา จากนั้นผมเอาเงินที่ได้ทั้งหมดไปทำบุญสร้างสถานปฏิบัติธรรม และตั้งจิตอุทิศบุญที่ได้ให้กลับไปหาเจ้าของเงินครับ (ในการเลือกตั้ง ผมไม่เลือกพวกเขาครับ)
    เรียนถามท่านอาจารย์ครับ ว่า

    1.การที่ผมทำแบบนี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ ท่านอาจารย์มีแนวทางอื่นๆที่เห็นควรกระทำอีกครับ

    2. ผลของการทุจริตด้วยการซื้อเสียงของผู้สมัคร สส.เหล่านั้นจะมีผลกรรมบังเกิดขึ้นแก่พวกเขาอย่างไรครับ

    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ในการให้ความกระจ่างครับ
    ขออุทิศผลบุญกุศลที่ผมได้กระทำเอาไว้ทั้งหมดทุกภพชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันให้กับท่านอาจารย์สนองครับ และขอโมทนาในกุศลผลบุญทั้งหมดทุกภพชาติของท่านอาจารย์เช่นกันครับ หากเคยได้ล่วงเกินท่านอาจารย์มาก่อนไม่ว่าทาง กาย วาจา ใจ โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ขอท่านอาจารย์ได้อโหสิกรรมแก่ผมด้วยเถิดครับ

    คำตอบ
    (1) ทำถูกต้องแล้ว สาธุที่สัจธรรมยังมีอยู่ในโลก “ เงินซื้อคนเลวได้ แต่ซื้อคนดีไม่ได้ ” ทั้งนี้เป็นเพราะบุญเก่าของคุณส่งผลตามทัน ที่ไม่สร้างเหตุให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิในวันข้างหน้า

    (2) เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผล ผู้ประพฤติมีอบายภูมิเป็นที่หมาย
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ที่บ้านคุณพ่อทำอาชีพเลี้ยงหมู-ไก่ ขาย ซึ่งเป็นอาชีพที่ลูก ๆ ไม่สนับสนุนเลยและพยายามพูดขอร้องท่านเสมอ ๆ แต่ท่านก็ไม่ยอมเลิกค่ะ เลี้ยงไปก็ขายได้ไม่ดี จนกระทั่งตอนนี้ท่านลำบากเรื่องเงินใช้จ่าย ดิฉันในฐานะลูกเมื่อเห็นท่านลำบากก็สงสารท่านมาก ได้ให้เงินท่านเป็นจำนวนหนึ่งและบอกว่าให้ท่านไว้ใช้จ่ายและไม่ต้องบอกว่าใช้เรื่องอะไร และใจก็ทราบว่าท่านคงนำไปใช้เรื่องเลี้ยง ไก่-หมู บางส่วน แต่ในใจของดิฉันไม่ได้สนับสนุนเลยและคิดว่าเงินนั้นเพื่อช่วยเหลือพ่อเท่านั้น

    อย่างนี้จะถือว่ามีส่วนร่วมในวิบากกรรมของการเลี้ยง ไก่-หมู นี้หรือไม่ค่ะ ? ถ้าใช่ ต้องทำอย่างไรค่ะ เพราะถ้าพ่อแม่ลำบากลูกไม่ช่วยเหลือ ก็อกตัญญูไม่ใช่หรือค่ะ ?
    กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    มีเจตนาให้เงินพ่อแม่ใช้ไม่ถือว่าเป็นบาปส่วนใจที่ระลึกไปว่า พ่อแม่นำเงินจำนวนนั้นไปเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ การระลึกเช่นนี้เป็นบาป

    ผู้ฉลาดเขาให้ทรัพย์เป็นทานแก่พ่อแม่แล้วเขาได้บุญเต็มร้อยผู้ไม่ฉลาดจะคิดต่อไปว่าทรัพย์ที่ให้ไปนั้น ผู้รับทรัพย์เป็นทานจะนำไปใช่จ่ายในเรื่องใด ความคิดเช่นนี้เป็นบาป
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. การนั่งวิปัสนากรรมฐานนั้นทำให้ได้บุญกุศลอย่างไร
    2.เพราะเหตุใด ข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่เคยสมหวังในความรักเลย อกหักตลอด คนรักนอกใจหรือไม่ก็มีเหตุให้ต้องพลัดพลากจากคนรักทั้งที่ ตัวของข้าพเจ้าไม่เคยผิดศีลข้อกาเมเลย ไม่เคยนอกใจคนรักและไม่เคยแย่งคู่ครองของใครเลย หรือว่าข้าพเจ้าเคยสร้างบาปกรรมไว้เมื่ออดีตชาติ และพอจะมีวิธีแก้กรรมอย่างไร

    คำตอบ
    (1) การนั่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นบุญเพราะเมื่อเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ทำให้สามารถกำจัดสันดานไม่ดีให้หมดไปได้ ทำให้เข้าถึงความดีเกิดเป็นความประพฤติชองทางกาย วาจา ใจและทำให้มีความสุขเหล่านี้เรียกว่า “ บุญ ”

    (2) กรรมคือการกระทำ มนุษย์ทำกรรมได้สามทางคือ กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม กรรมดีให้ผลเป็นความสุข กรรมไม่ดีให้ผลเป็นความทุกข์ ดังนั้นความผิดหวังเป็นผลแห้งกรรมไม่ดีที่เคยทำไว้ก่อนวิธีแก้ไข ต้องเลิกนึกถึงกรรมในอดีต เพราะไม่มีใครสามารถแก้ไขอดีตกรรมได้ แต่มีใคร ๆ ทำกรรมดีในปัจจุบันได้ กรรมดีที่ควรทำคือประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอ ประพฤติทุกครั้งที่นึกได้ ประพฤติทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก เมื่อใดกรรมให้ผล ความสุข ความสมหวัง จะเกิดขึ้นกับผู้มีบุญ
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันจะสร้างอพาร์ตเม้นท์ประมาณ 4 - 5 ชั้นให้สามีเก็บเกี่ยวเลี้ยงครอบครัว เพราะเป็นหน้าที่ในทางโลก หากจะอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าวด้วย และต้องการจะสร้างห้องพระ 1 ห้องไม่ทราบว่าดิฉันจะสร้างในชั้นที่ 2 ได้หรือไม่ เพราะจะมีห้องเช่าอื่นๆอยู่เหนือห้องพระอีก


    คำตอบ
    ประสงค์สร้างห้องพระในชั้นที่สองของอพาร์ทเม้นท์สามารถทำได้ แต่จะดีหรือไม่ดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เทวดารักษาองค์พระยังมีอัตตา เขาไม่ประสงค์อยู่ต่ำกว่ามนุษย์ผู้ทุศีล และเทวดาที่มีคุณธรรมเขาไม่ประสงค์อยู่สูงกว่าอริยบุคคล ฉะนั้นต้องคิดเอาเองวาควรจะทำอย่างไรกับตำแหน่งของห้องพระที่จะสร้าง
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    คำถามที่ 1 . ดิฉันเริ่มมาจริงจังกับการปฏิบัติธรรมเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการสวดมนต์ เนื่องจากไม่มีเวลาเข้าวัดทำบุญ โดยปฏิบัติดังนี้
    เริ่มสวดตั้งแต่บทบูชาพระรัตนตรัย กราบพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย(นะโม 3 จบ โดยนำเงินมาจบไว้ที่มือด้วย) คำขอขมาพระรัตนตรัยไตรสรคมน์ ถวายพรพระ(อิติปิ โสฯ) พุทธชัยมงคลคาถา(พาหุง) อิติปิ โส เท่าอายุบวกด้วย 1 เสร็จแล้วแผ่เมตตาให้กับญาติ ๆ (ระบุเป็นรายบุคคล)แล้วจึงนำเงินที่จบไว้ในมือใส่ในภาชนะที่วางไว้บนหิ้งพระ (โดยจะนำเงินไปทำบุญตามแต่โอกาส) เสร็จแล้วแผ่เมตตาแก่ตนเอง แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์แผ่ส่วนกุศล กล่าวคำกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร คำอธิษฐานอโหสิกรรม คำอธิษฐานขอพร แล้วจึงสวดบทพระคาถาชินบัญชร และสุดท้ายคือพระคาถาบูชาดวงวิญญาณเสร็จพ่อ ร.5 แล้วจะนั่งสมาธิต่อเมื่อมีเวลาพอ ไม่ทราบว่า ตัวดิฉันปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ประการใด

    คำถามที่ 2. สนใจปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานเพื่อการหลุดพ้น ควรเริ่มปฏิบัติอย่างไรดีค่ะ

    คำถามที่ 3. ดิฉันมีลูก 2 คน อายุห่างกันพอสมควร คนโตอายุ 5 ขวบย่าง 6 ขวบแล้ว เป็นหญิง นิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจตนเอง พูดจาไม่เพราะ ควรอบรม
    บุตรอย่างไรดีค่ะ


    คำตอบ
    (1) เมตตาคือความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข เมตตาเกิดขึ้นจากการให้อภัยเป็นทาน ผู้ใดให้อภัยคนอื่นสัตว์อื่นได้ ผู้นั้นเป็นผู้มีเมตตาสถิตอยู่ในใจเป็นอัตโนมัติจึงไม่จำเป็นต้องแผ่เมตตาให้กับตนเอง ดังนั้นสัตว์จะได้รับประโยชน์และมีความสุขต่อเมื่อมีผู้มอบเมตตาให้

    ส่วนบุญเกิดจากการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดประพฤติแล้วผู้นั้นมีบุญ ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญให้สัตว์อื่นได้ ดังนั้นที่ปฏิบัติมาดีแล้ว จงทำดีต่อไป

    (2) ต้องทำใจให้มีศีล หาครูผู้เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมมาเป็นผู้ชี้นำการปฏิบัติ และสุดท้ายทำตามครูด้วยตนเองให้ถูกตรงคำสอน

    (3) อบรมตัวเอง (แม่) ให้เป็นผู้มีธรรมสถิตอยู่ในใจให้ได้ก่อนแล้วจึงสอนลูกด้วยการประพฤติสิ่งดีๆ ให้ลูกดู เมื่อใดที่ลูกศรัทธาแม่แล้วเขาจะไม่ดื้อ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่มีจิตลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ นับแต่ที่เริ่มปฏิบัติธรรม เมื่อไม่นานมานี้มีเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมจนเข้าสู่องค์ฌาน3 ท่านเห็นอดีตชาติของดิฉันว่า เคยเป็นเจ้าแม่ที่มีมิจฉาทิฐิ เห็นแก่ของเซ่นไหว้ พยายามทุกอย่างเพื่อให้คนที่มากราบไหว้ ไม่หันไปไหว้พระพุทธ ดิฉันใส่ร้ายพุทธศาสนา ด้วยความโลภของจิต ณ ชาตินั้น ปัจจุบันคนที่มากราบไหว้ดิฉันเกิดมาเป็นพี่น้องให้ดิฉันชดใช้กรรม ดิฉันอยากให้อาจารย์ช่วยบอกวิธีแก้กรรมกับอดีตชาติที่ดิฉันทำกรรมมา และวิธีขอขมากับพระรัตนตรัยที่ดิฉันขัดขวางไม่ให้ใครนับถือ เพราะตอนนี้ดิฉันในใจจะพูดจาหยาบต่อพระสงฆ์ที่ดิฉันนับถือ ทั้งที่ดิฉันสวดมนต์อยู่ หรือกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิมอยู่ แต่ในใจก็เรียกท่านอย่างหยาบคาย ดิฉันไม่กล้ามองวัด หรือพระพุทธรูปเลย เพราะจะมีคำกล่าวหยาบคาย ท้าทายในใจทันที ทำให้หนักใจมากค่ะ โปรดช่วยชี้ทางออกให้ดิฉันด้วยค่ะ

    2. เพื่อผู้ปฏิบัติธรรมติดอยู่ที่องค์ฌาน

    3 ยังก้าวต่อไปไม่ได้ต้องแก้ไขอย่างไรคะ

    คำตอบ
    (1) ผู้ถามมีประสงค์แก้ไขปัญหาอกุศลกรรมที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต ต้องแก้ที่เหตุ 4 อย่าง
    • นำพวงมาลัยดอกไม้ขาวล้วน ธูป เทียน ไปกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย ต่อองค์เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กล่าวถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดปรามาส ผลกรรมที่ได้รับและกล่าวคำปฏิญญาว่า “ บัดนี้ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้ว ขอองค์พระรัตนตรัยได้โปรดผูกโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่กระทำกรรมอันใด ที่จะเป็นเหตุล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกต่อไป ”
    • นำตัวเองบวชเป็นโยคีปฏิบัติธรรมนาน 3 เดือน เพื่อชำระจิตวิญญาณให้ปลอดจากมลทิน
    • รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์
    • รักษาสัจจะให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น

    (2) และ (3) จะสัมฤทธิ์ผลได้ ต้องปฏิบัติตามที่แนะนำไว้ในข้อ (1) ปัญหาที่มอยู่ว่าผู้ถามปัญหาจะทำตามได้หรือไม่
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูอยากขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ คือได้เคยดูกิจกรรมที่ผู้ที่สนใจธรรมได้แจ้งข่าวและพูดถึงถึงครูบาอาจารย์ในเวปไซด์อยู่บ่อยๆ ครั้งหนึ่งพอเห็นชื่อของพระ อ.บุญกู้ วัดมหาธาตุฯ จิตกลับไปนึกถึงชื่อเปรตบุญกู้ที่เคยเป็นข่าวดังในหนังสือพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดีที่คิดเช่นนี้ และก็กลับมาคิดทุกครั้งที่นึกถึงท่าน รู้สึกไม่ดีที่คิดเช่นนี้และเกรงว่าจะเป็นบาป จนท้ายที่สุดก็มานั่งคิดว่า ชื่อเดียวกันก็จริงแต่ต่างกันลิบลับ คนหนึ่งทำตัวให้ตกต่ำกับอีกท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นตัวอย่างให้เราคิดว่าควรจะเดินตามทางของใคร เมื่อคิดเองเช่นนี้ก็กลับมาคิดในเรื่องนี้น้อยลงแต่หากคิดครั้งใดก็จะบอกตัวเองว่าเป็นคนละคนกัน แต่อยากทราบว่าการที่คิดเช่นนี้ถือเป็นบาปไหมคะ แล้วควรจะมีวิธีแก้เช่นไรคะ ควรไปกราบท่านเพื่อขอขมาหรือไม่คะ คือหนูก็ไม่เคยไปพบท่านมาก่อน ไม่ทราบว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระหรือไม่ หากต้องไปกราบท่านจริงๆ ก็ไม่ทราบว่าควรจะเริ่มต้นพูดอย่างไรค่ะ อีกเรื่องคือ

    เมื่อวานนี้คุณพ่อหันมาถามหนูว่ารู้ไหมว่าทำไมพระพรหมถึงมีแต่ผู้ชาย คุณพ่ออ่านหนังสือเยอะมาก และท่านว่าเคยอ่านพระท่านพูดถึงว่าพระพรหม (สี่หน้า) มีแต่ผู้ชาย หนูควรจะตอบท่านอย่างไรดีคะ


    คำตอบ
    การคิดถึงความไม่ดีของคนอื่น แล้วจิตของผู้คิดฝังความไม่ดีเช่นนั้นไว้ถือว่าเป็นบาป

    ชื่อหนึ่งได้ประพฤติเหตุให้ชีวิตตกต่ำ ผู้ถามปัญหาเห็นว่าเป็นความประพฤติไม่ดีแล้วไม่ทำตาม และผู้มีชื่อเดียวกันปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วคิดว่าจะทำตาม ถือได้ว่าทั้งสองบุคคลเป็นครู เป็นผู้มีพระคุณทำให้ผู้ถามปัญหาเกิดปัญญาเห็นถูก ความคิดในลักษณะนี้เป็นบุญ

    ส่วนเรื่องที่คุณพ่อบอกว่า พระพรหมมีแต่ผู้ชาย ผู้เป็นลูกที่ถามปัญหาควรตอบว่า “ ถูกแล้วค่ะ ” เพราะผู้ใดสามารถปฏิบัติสมถภาวนาจนบรรลุฌานแล้วตายในขณะจิตทรงฌาน จะไปโอปปาติกะ เป็นพรหมอยู่ในพรหมโลกซึ่งเป็นภพที่พ้นไปจากกาม

    เหตุที่พรหมมีแต่เพศชาย เป็นเพราะกำลังแห่ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และปัญญา เป็นแรงผลักดันให้เกิดเป็นบุรุษเพศ ผู้มีจิตเป็นอิสระจากกาม
     

แชร์หน้านี้

Loading...