ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ถ้าในชาตินี้ทั้งตัวดิฉันเองและสามีตั้งใจจะไม่มีลูก (คุมกำเนิด) จะเป็นบุญหรือเป็นบาป และ/หรือจะส่งผลต่อชีวิตในภพภูมิข้างหน้าหรือไม่ อย่างไรคะ


    คำตอบ
    ในกรณีที่ผู้ถามเป็นฆราวาสนับถือพุทธศาสนาหากมิได้ประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ 10 ไม่ถือว่าเป็นบุญ และหากมิได้ละเมิดศีล 5 ไม่ถือว่าเป็นบาป

    ทั้งสามีและภรรยาเห็นพ้องต้องกันที่จะไม่มีลูก ถึงใช้วิธีคุมกำเนิดในกรณีที่ 1 สเปริมกับไข่ไม่สามารถผสมกันได้ ตัวอ่อนยังไม่เกิดยังไม่มีจิตวิญญาณจับจองเข้าอยู่อาศัย กรณีที่ 2 สเปริมเข้าผสมกับไข่แล้ว ตัวอ่อนเกิดขึ้นแล้วมีจิตวิญญาณจับจองแล้ว และกรณีที่ 3 สเปริมเข้าผสมกับไข่แล้วตัวอ่อนเกิดขึ้นแล้วมีจิตวิญญาณเข้าอยู่อาศัยแล้ว

    การคุมกำเนิดในกรณีที่ 2 เป็นการทำลายบ้านที่มีจิตวิญญาณจับจองแล้วเกิดการจองเวรขึ้นถือว่าเป็นบาป การคุมกำเนิดในกรณีที่ 3 เป็นบาปด้วยผิดศีล ข้อปาณาติบาต

    การกระทำที่เข้าข่ายกรณีที่ 2 และ 3 จึงมีผลสืบต่อในวันข้างหน้าเมื่อกรรมถึงวาระให้ผลความเจ็บป่วยของร่างกายความวิบัติของชีวิตคือผลที่ผู้ทำต้องรับ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ขอเรียนถามปัญหาดังนี้ค่ะ
    คนท้องสามารถนั่งสมาธิเดินจงกรมได้ไหมค่ะ และถ้านั่งจะมีอันตรายหรือผลข้างเคียงต่อเด็กในครรภ์ไหมค่ะ ถ้าไม่ได้ควรจะทำอย่างไรทดแทนการนั่งสมาธิได้บ้างค่ะ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ

    คำตอบ
    เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของทารกในครรภ์ถ้ายังนั่งสมาธิได้สะดวก เดินจงกรมไม่สะดวกก็จงปฏิบัติต่อไป เมื่อใดที่นั่งขัดสมาธิไม่สะดวกให้เปลี่ยนไปนั่งบนเก้าอี้แทน หรือเดินจงกรมหรือนอนกำหนดลมหายใจ หรือใช้อิริยาบถย่อยอื่น กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ ด้วยการมีจิตจดจ่อ ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมได้ดังนั้นต้องเลือกอิริยาบถเองตามความเหมาะสม
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เวลาที่เราต้องการแผ่เมตตาโดยที่ขณะนั้นไม่ได้เป็นช่วงที่พึ่งประกอบสิ่งที่มีบุญเสร็จ เช่น เดินอยู่แล้วรู้สึกว่าบริเวณนี้น่าจะมีอมนุษย์อยู่แล้วอยากจะแผ่เมตตาให้ เราควรมีจิตตั้งมั่นเพียงแค่เมตตาจิตแล้วแผ่ให้อย่างเดียว หรือควรจะระลึกถึงความดีที่เคยประกอบมาเพื่อจะได้มีบุญมากขึ้นแล้วค่อยอุทิศให้ ถ้าเราฟุ้งระหว่างที่กำลังคิดถึงความดีเพื่อจะเอามาแผ่เมตตาจะยิ่งเป็นบาปหรือมิจฉาทิฏฐิหรือไม่คะ แล้วถ้าเรากำลังอยู่ในอารมณ์กำหนดอิริยาบทย่อยอยู่ถือว่ามีกุศลมากพอที่จะใช้แผ่เมตตาได้เลยหรือไม่คะ

    2. ทุกครั้งที่ไม่ว่าอาจารย์เองหรือพระอาจารย์ครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆสอน ให้ความรู้ หรือกล่าวเลยว่าถึงต้องการบรรลุซึ่งธรรมสูงสุด หนูก็จะกราบขอบพระคุณทุกครั้ง ร่วมอนุโมทนาการให้ธรรมทานของทุกท่าน รวมทั้งส่งปรารถนาจิตว่าให้ทุกท่านนั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็ว การขอเช่นนี้เป็นการเหมาะสมหรือไม่คะ เพราะจริงๆแล้วก็อาจเป็นคล้ายๆกับเด็กไปอวยพรให้ผู้ใหญ่

    3. พยายามที่จะประพฤติตนให้ศีล5ถึงพร้อมตามที่ครูบาอาจารย์ทุกท่านแนะนำ โดยเฉพาะข้อ1.มีความมั่นใจมากและตั้งใจว่าจะไม่ให้พร่องเลยเพื่อจะได้ใช้เป็นเหตุไว้แผ่เมตตาให้ผู้ป่วยที่ดูแลอยู่ได้ พึ่งรู้สึกตัวเมื่อไม่กี่วันนี้ว่าได้สั่งยาฆ่าพยาธิไปหลายครั้งโดยไม่ได้รู้สึกตัวว่าตั้งใจจะฆ่า(ใบสั่งยาเป็นแบบสำเร็จรูปว่าผู้ป่วยที่จะได้ยากดภูมิคุ้มกันทุกครั้งจะต้องได้ยาถ่ายพยาธิก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต) วันก่อนสั่งยาด้วยเจตนาที่จะ"ฆ่า"จริงๆจึงระลึกถึงคำอาจารย์ได้ว่าพยาธิก็เป็นสัตว์ที่มีจิต ย่อมผิดศีลข้อปาณาติปาตแน่นอน พยาธิเป็นสัตว์ที่มีจิตจริงใช่หรือไม่คะ ถ้าเช่นนี้ครั้งก่อนๆที่หนูฆ่าเค้าไปโดยไม่มีเจตนาก็ถือว่าเป็นศีลพร่องอยู่หรือไม่ สำหรับครั้งนี้พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็น ได้แต่ขออโหสิกรรมให้เขารับทราบและไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้นจะพอช่วยได้หรือไม่ อาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะเพราะหนูคงต้องสั่งยาเช่นนี้อีกตลอดอาชีพแพทย์และยังหาทางหลีกเลี่ยงไม่ออก

    กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ


    คำตอบ
    (1) ผู้ใดมีจิตเมตตาอยู่แล้ว สามารถแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ได้ทุกเวลาที่ปรารถนาจะแผ่ให้ เมตตากับบุญเป็นคนละเรื่องกันโปรดอ่านรายละเอียดในเว็บไซด์ ข้อ 518 (2)

    อนึ่งการแผ่เมตตาหรืออุทิศบุญกุศลให้สรรพสัตว์ ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจะแผ่หรือส่งผลบุญไปได้ไกลกว่าจิตที่ไม่ตั้งมั่น

    (2) การอนุโมทนาในความดีของผู้อื่น ผู้อนุโมทนาได้บุญส่วนการส่งจิตปรารถนาให้ผู้อื่นบรรลุถึงความดี (นิพพาน) เป็นการเจริญเมตตาของผู้ส่ง

    (3) ใช่ ศีลยังพร่อง พยาธิเป็นสัตว์ที่มีรูปนาม เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าพยาธิ ก่อนใช้ยาต้องขออโหสิกรรม ถ้าเขายกโทษให้จะไม่มีการจองเวรเกิดขึ้น การสั่งยาให้คนไข้รับประทานไม่ถือเป็นบาปแต่ถ้าพยาธิไม่ยกโทษให้ถือว่าเป็นบาป ฉะนั้นหากยังมีความจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้จะได้ทั้งบุญและบาป จึงควรทำบุญอยู่เสมอแล้วอุทิศบุญใช้หนี้เวรกรรมไปเรื่อย ๆ ตราบที่ยังประกอบอาชีพนี้อยู่ เพื่อให้เจ้าหนี้เวรกรรมตามทวงหนี้ไม่ทัน
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันแปลกใจที่ บุคคลเพศที่ 3 สามารถปฏิบัติธรรมได้แต่จะให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลยังไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยเหตุที่การชดใช้อกุศลวิบากยังไม่จบสิ้น แสดงว่าคนที่ทำกรรมหนักกว่าเช่น ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ โกงชาติ ขายแผ่นดิน หากได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วบุคคลเหล่านี้สามารถปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ หมายความว่าบุคคลพวกหลังนี้ได้ชดใช้อกุศลวิบากหมดไปแล้วใช่หรือไม่ แล้วคนที่ฆ่าคน หรือโกงชาติ ขายแผ่นดิน ซึ่งทำบาปในชาตินี้เขาก็สามารถปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ ใช่หรือไม่ค่ะ แล้วคนที่ผิดศีลข้อ 3 ในปัจจุบันสามารถ ปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้หรือไม่ค่ะ


    คำตอบ
    การเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล เกิดขึ้นจากเหตุที่ทำในชาติปัจจุบัน และบุญบารมีเก่าส่งผล ดังตัวอย่างของสาวงามสิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ และบุญบารมีเก่าที่ทำไว้แต่ปางก่อนส่งผล ทำให้บรรลุโสดาบันจึงได้เลิกอาชีพทุศีลข้อ 3

    คนที่ฆ่าสัตว์ โกงชาติ โกงแผ่นดิน ฯลฯและได้ชดใช้หนี้เวรกรรมในอบายภูมิหมดสิ้นแล้ว เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและมีบุญบารมีเก่าสนับสนุน ยังมีโอกาสเข้าถึงธรรมที่ทำให้เป็นอริยบุคคลได้ ดังตัวอย่างของพระเจ้าอชาตศัตรู ที่จับพ่อ (พระเจ้าพิมพิสาร) ขังคุกจนตาย แม้จะสำนึกผิดแล้วเป็นองค์อุปถัมภ์การทำปฐมสังคายนาพุทธศาสนา ก็ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองให้พ้นจากการไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้ เมื่อใดชดใช้หนี้เวรกรรมในนรกได้หมดสิ้นแล้ว จึงจะมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกและด้วยบุญบารมีที่ทำปฐมสังคายนาไว้จะผลักดันให้เขาบรรลุความเป็นปัจเจกพุทธเจ้าได้

    ดังนั้นคนที่ฆ่าคน โกงชาติ ขายแผ่นดินฯลฯ ซึ่งได้ทำบาปในชาติปัจจุบัน หากกำลังของบุญบารมีที่ทำสั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน มีกำลังไม่กล้าแกร่งไปกว่ากำลังของบาปจะถูกแรงกรรมผลักดันลงไปเกิดเป็นสัตว์ในนรก จึงไม่สามารถบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบันได้

    ส่วนคนที่ประพฤติผิดศีลข้อ 3 ในชาติปัจจุบันจะบรรลุธรรมขั้นสูงได้หรือไม่ ต้องดูสิริมาโสเภณีเป็นตัวอย่าง มีบุญบารมีเก่าส่งผลและได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์จึงบรรลุโสดาบัน แล้วจึงเลิกอาชีพโสเภณี
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมเคยบวชพระหนึ่งพรรษา ที่สำนักวิปัสสนาสำนักหนึ่ง ได้ปฏิบัติกรรมฐานตามสติปัฎฐาน 4 ได้เข้าเก็บอารมณ์ประมาณ 2 เดือน เดือนแรกสามารถปฏิบัติจนผ่านรอบแรกได้ พระอาจารย์ให้อธิฐานเพื่อขึ้นรอบสอง แต่พอรอบสองไม่สามารถปฏิบัติผ่านได้ สภาวะขึ้นๆ ลง อยู่ประมาณ 5 ครั้ง จนสุดท้ายหมดแรง เนื่องจากปวดศรีษะมาก แล้วก็อาเจียน(มีแต่ลม)ไม่ยอมหยุด แค่กำหนดอิริยาบทย่อยก็ปวดหัว และอาเจียนแล้ว จนพระอาจารย์ต้องให้หยุดเพราะใกล้ออกพรรษา และต้องใช้เวลาคลายด้วยครับ

    คำถาม
    1. อาจารย์จะมีข้อแนะนำอย่างไรบ้างครับ
    2. ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดประการใด หรือมีกรรมเก่าใด เช่น ผิดศีล, รบหลู่ผู้มีคุณธรรม, ฯลฯ
    3. ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปดีครับ

    กราบของพระคุณด้วยความเคารพครับ

    คำตอบ
    (1) เพื่อให้พ้นจากปัญหาที่บอกเล่าไปต้องอุทิศบุญกุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่แผงมาในรูปของขันธมาร (ปวดศีรษะอาเจียน) อุทิศให้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดไป แล้วเจริญพละ 5 ให้มีกำลังกล้าแข็งอยู่มาร

    (2) ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้มีศีล 5 บริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่นและขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัย ต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ฯลฯ

    (3) ทำตัวเองให้เป็นผู้มีศีล มีสัจจะ มีความเพียร และประพฤติอยู่แต่ในกุศลธรรม
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ขอความกรุณาอาจารย์ชี้ทางพ้นทุกข์จากโรค
    หนูป่วยด้วยโรค binge-eating disorder อยากทราบว่า 1) เหตุเพราะได้เคยทำกรรมอะไรไว้ และ 2) จะแก้กรรมได้อย่างไร หนูได้เคยฟังที่อาจารย์พูดว่าพวกโลภนั้นเป็นเปรต หนูเห็นจริงเลยค่ะ และอยากแก้ไขพฤติกรรมไม่ดีนี้ให้หมดไป จึงอยากเรียนถามเพื่อขอความกรุณาจากอาจารย์ ชี้ทางพ้นทุกข์จากโรคนี้ให้หนูด้วย

    ด้วยความเคารพและขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) เหตุที่ทำให้เกิดคือความเห็นผิดและการมีอัตตาจึงส่งผลเป็นความโลภ แสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาไว้กับตนจนเกินพอดีที่จะบริโภคได้หมด

    (2) กรรมนี้จะหมดไปได้ต้องเชื่อแล้วทำตามผู้รู้บอกกล่าวคือ ให้วัตถุที่สามารถบริโภคได้ให้เป็นทานอยู่เสมอ และดับอัตตาให้หมดไปด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ 5 ให้ดับตามกฎไตรลักษณ์
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้รับหนังสือของอาจารย์หลายเล่มจากกัลยาณมิตรคนหนึ่ง เมื่ออ่านแล้วรู้สึกประทับใจมาก และขอขอบพระคุณอาจารย์มากที่นำเรื่องดีๆ เหล่านี้มาเผยแพร่ให้ทราบกัน ดิฉันนำคำสอน ข้อเสนอแนะของอาจารย์ไปปฎิบัติตามหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการดูจิต ช่วยให้ดิฉันสามารถระงับความโกรธได้เร็วขึ้น เนื่องจากปกติเป็นคนโกรธง่าย ดิฉันขอถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    ปกติดิฉันจะถือศีลห้า โดยเฉพาะไม่ฆ่าสัตว์ เพราะสังเกตว่า ถ้าไปฆ่าสัตว์แม้แต่มดหรือแมลงตัวเล็กๆ โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม จะเป็นแผลหรือเจ็บป่วยทันที ในขณะเดียวกัน เมื่อทำบุญอะไรก็ตาม ก็จะได้รับผลบุญทันทีเช่นกัน ทำให้ดิฉันหมั่นทำบุญ ทำทานอยู่เสมอ อยากทราบว่า ทำไมถึงได้รับผลบุญ และบาปเร็วมาก

    ดิฉันเริ่มสวดมนต์และนั่งสมาธิ ตามคำสอนจากหนังสือหลายๆเล่มเองที่บ้าน เพราะอยากจะเริ่มปฏิบัติเลย โดยที่ไม่ต้องรอโอกาส และเวลาที่จะไปเข้าอบรมที่สำนักไหน พอเริ่มปฏิบัติเองได้ไม่นาน ก็มีอาการเจ็บป่วยที่ดิฉันเชื่อว่า เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรมาทวง เพราะเห็นด้วยตาเลยค่ะ ทำให้นึกขึ้นได้ว่า สมัยเด็กๆเคยรังแกสัตว์อะไรมา เมื่อได้ขอขมาแล้ว อาการเจ็บป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง หลังจากนั้น ยังมีอาการเจ็บป่วยแปลกๆเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ทำให้เกิดกลัวมาก จึงหยุดนั่งสมาธิไปพักใหญ่ ตอนนี้อยากกลับมาปฏิบัติอีก แต่อีกใจก็กลัว รบกวนให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ปฏิบัติเองนั้นถูกหรือผิด ถ้าผิดจะมีโทษไหมคะ

    ดิฉันเคยปวดคอมากระหว่างที่เดินทางไปต่างประเทศ ทันทีที่เครื่องบินแตะพื้นของประเทศนั้น คอก็ปวดอย่างรุนแรงทันทีจนขยับคอไม่ได้ ไม่ว่าจะกินยา หรือทายาอย่างไรก็ไม่หายตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ที่นั่น ก่อนกลับ จึงฉุกคิดได้และอธิษฐานบอกต่อเจ้ากรรมนายเวร ว่าจะทำสังฆทานไปให้เมื่อกลับถึงเมืองไทยแล้ว ดูเหมือนว่าเค้าจะยอมยกโทษให้ เพราะวันที่เดินทางกลับก็หายเป็นปกติ อยากถามอาจารย์ว่า เจ้ากรรมนายเวรของเราอยู่ต่างประเทศได้ด้วยหรือคะ หรือว่าจะตามเราไปจากที่นี่ และทำไมถึงเจ้ากรรมนายเวรถึงรู้จักการทำสังฆทาน ทั้งๆที่ประเทศนั้นไม่ใช่เมืองพุทธ



    คำตอบ
    (1) ท่านเจ้าคุณโชดก เคยพูดกับผู้ตอบปัญหาว่าเมื่อใดที่พัฒนาจิตจนมีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ให้ระมัดระวังพฤติกรรมที่เป็นทั้งบุญหรือบาปจะให้ผลเร็ว และให้ผลรุนแรงกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมหลายเท่า ซึ่งผู้ตอบปัญหาเห็นตรงตามนั้น

    (2) ปฏิปทาที่ดำเนินถูกทางแล้ว จงทำต่อไป ทุกครั้งที่สวดมนต์และปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไปเรื่อย ๆ ผู้ตอบปัญหายังต้องปฏิบัติดังเช่นที่แนะนำมาอยู่เรื่อย ๆ เพราะเจ้าหนี้เวรกรรมที่ผูกเวรกันไว้ในแต่ละภพที่เกิดมีมากจนมิอาจชดใช้หนี้กรรมได้หมด

    (3) โรคที่เกิดจากกรรม เป็นโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันมิอาจรักษาให้หายได้ เจ้ากรรมนายเวรมีอยู่ทั่วสากลจักรวาลเพียงแต่ว่าจะให้ผลเมื่อใดขึ้นอยู่กับ เจ้าหนี้กรรม-ลูกหนี้กรรมโคจรมาพบกันเมื่อใด ก็จะเกิดการทวงหนี้และการชดใช้หนี้เวรกรรมขึ้นเมื่อนั้น

    สังฆทานคือการให้ทานกับหมู่สงฆ์ให้แล้วมีอานิสงส์เป็นบุญบุญคือความดี กุศล ความสุข ฯลฯ สภาวะของบุญเช่นความสุขมีความเป็นสากล สรรพสัตว์ทั่วสากล พิภพ สามารถรับรู้ได้เหมือนกันหมด
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูมีคำถามที่อยากจะให้อาจารย์ช่วยตอบทีคะ
    คือหนูได้อ่านหนังสือเรื่องทางสายเอกและยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ มีบางตอนที่หนูคิดว่าหนูจะเป็นอย่างนั้นคือสิ่งที่ทำให้การปฏิบัติวิปัสสนาเศร้าหมอง หนูได้เข้าฝึกกรรมฐานหลักสูตรคุณแม่ศิริ กรินชัย มา 2 ครั้งแล้ว จากการสอบอารมณ์วิทยากรบอกว่าหนูสมาธิมากจนเกินไป ทำให้เวลาทำสมาธิมักจะไปเห็นนู่น เห็นนี้แปลกๆ บางครั้งก็ไม่กล้าบอกใครกลัวเขาว่าเป็นบ้าคะ แล้วมีช่วงหนึ่งที่หนูรู้สึกว่าตัวโยก หรือเวลานั่งสมาธิวิทยากรมาเรียกจะไม่ได้ยินต้องใช้เวลาอยู่นานทีเดียว แต่หนูรู้สึกว่าการเข้าสมาธิแบบนี้มันสุขสบายจริงๆคะ ไม่รู้สึกเมื่อยหรือเจ็บปวดอะไร ซึ่งมันตรงกับที่อาจารย์เขียนไว้ในหนังสือว่าการติดสุขจะทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า พอหนูกลับมาฝึกปฏิบัติที่หอพักเวลาเดินจงกลมไม่เป็นอะไรคะ แต่พอนั่งสมาธิทำไมจึงรู้สึกกลัวคะ

    อาจารย์ช่วยแนะวิธีการปฏิบัติให้หนูด้วยคะ เพื่อเป็นแนวทางสามารถนำไปแก้ไขให้ถูกวิธี


    คำตอบ
    หอพักเป็นสถานที่ไม่สัปปายะสำหรับคุณใช้เป็นสถานที่ฝึกจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง จึงทำให้จิตมีกำลังของสติอ่อน ไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์กลัวให้เกิดขึ้น เรื่องในลักษณะนี้ท่านเจ้าคุณโชดกเคยบอกกับผู้ตอบปัญหาว่า ถ้าจิตสัมผัสกับสิ่งใดแล้วทำให้กลัว ต้องลืมตาดูให้ชัดซึ่งผู้ตอบปัญหาได้ปฏิบัติตามจนรู้จริงในสิ่งที่เข้ากระทบจิตแล้วความกลัวหายไปได้จริง ดังนั้นเมื่อคุณใช้หอพักเป็นสถานที่ฝึกจิตลองพิสูจน์สัจธรรมที่เจ้าคุณโชดกแนะนำดูซิ
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. หนูฝันถึงญาติผู้พี่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ และได้เล่าเรื่องนี้ให้น้าซึ่งเป็นแม่ของพี่ฟังในวันพบญาติวันหนึ่ง ก็เลยได้ความว่าญาติผู้น้องคนหนึ่งก็ได้ฝันถึงพี่คนนี้เป็นเวลาติดต่อกันนานเกือบ 3 ปี น้องก็กลัวจนร้องไห้บ่อยๆ และเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา น้องก็ชอบไปปฏิบัติธรรมเกือบทุกเดือน ระหว่างนี้ก็ยังฝันถึงตลอด จนเมื่อช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา น้องได้ไปไหว้หลวงพ่ออยู่รูปหนึ่ง ท่านทักว่ามองเห็นหน้าของน้องเป็นหน้าซ้อนกัน มองไม่เห็นหน้าที่แท้จริงของน้องเลย สอบถามกันจนรู้ว่าพี่สาวคนนั้นมาอาศัยอยู่กับน้องและก็อยากให้น้องปฏิบัติธรรมโดยเขาก็จะไปปฏิบัติธรรมด้วย ที่จริงก็คือพี่เขาไปปฏิบัติธรรมโดยอาศัยร่างน้อง พระท่านบอกว่าปกติส่วนใหญ่ที่มีญาติมาขอส่วนบุญมักจะเกาะตามอวัยวะบางแห่งเท่านั้น แต่ของน้องมาแฝงในตัว พระท่านจึงบอกให้พี่สาวไปอยู่กับท่านและฝึกปฏิบัติธรรมในช่วงเข้าพรรษานั้น น้องสาวเองก็บอกให้พี่คนนั้นมาหาหนูแทนเพราะหนูชอบปฏิบัติธรรม (ความจริงหนูไม่ค่อยได้ปฏิบัติซักเท่าไร) ซึ่งก็บังเอิญมากที่ช่วงเวลานั้น หนูก็รู้สึกว่าเวลาเข้าห้องนอน อยู่ๆบางครั้งก็รู้สึกกลัวโดยไม่มีเหตุผล และชอบฝันคล้ายเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า จนแปลกใจตัวเองเหมือนกัน พอคุยเรื่องนี้กันในหมู่ญาติๆ ต่างก็แปลกใจว่าทำไมพี่ยังไม่ยอมไปเกิด ไม่ยอมไปเข้าฝันแม่หรือน้องๆ ของตัวเอง แต่กลับมาหาคนอื่น และช่วงหลังกลับชอบปฏิบัติธรรม แล้วก็ไม่กลัวพระด้วย ตอนนี้หนูก็เลยจะกลายเป็นคนขี้กลัวขึ้นมาบ้างหลังจากที่น้องบอกว่าให้เขามาหาหนู รบกวนอาจารย์ช่วยแนะด้วยค่ะ ทำอย่างไรถึงจะให้พี่เขาปฏิบัติธรรมได้เองโดยไม่ต้องมาอาศัยรูปนามคนอื่น เพราะเทวดาเองก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ใช่ไหมคะ และทำไมเขาถึงไม่ไปเกิดใหม่ ซึ่งถ้าเขาชอบปฏิบัติธรรมแบบนี้ คิดว่าต้องได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีแน่

    2. เวลาสวดมนต์ ใจหนูจะรู้สึกเฉยๆ เป็นอุเบกขารมณ์ตลอด อยากให้อาจารย์แนะนำด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าต้องวางใจอย่างไรคะ

    3. เป็นไปได้ไหมคะว่าจิตเราจะอยู่ในหลายๆ มิติได้ ณ ขณะเดียวกัน โดยปรากฎเป็นรูปนามที่ต่างออกไป อย่างหนูเคยฝันบ่อยว่าคล้ายมีเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทยในสมัยปัจจุบันนี้แหละค่ะ แต่ไม่ใช่เมืองไทยแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง แต่อาจารย์บอกว่าจิตเรามีหนึ่งเดียว ถ้าเป็นเทพพรหมชั้นสูงก็สามารถส่งจิตไปปรากฎตามที่ต่างๆ ได้ไวมากจนเหมือนท่านแบ่งภาคได้ แล้วคนธรรมดาจะทำได้ไหมคะ หรือหนูจะฟุ้งไปมาก แล้วทำไมเวลาฝันจึงมีความรู้สึกที่รุนแรงกว่าตอนตื่นคะ เช่น เศร้าใจก็จะเหมือนมาจากก้นบึ้งของหัวใจเลยค่ะ เป็นต้น แต่เวลาตื่นไม่มีความรู้สึกนั้นเลย

    ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) ทำบุญด้วยวิธีใดก็ตาม (ดูบุญกิริยาวัตถุ10) หลังจากทำแล้วควรอุทิศบุญให้กับญาติที่ตายไป อุทิศให้เขาบ่อย ๆ และบอกว่าไม่อนุญาตให้เขามาใช้รูปนามของคุณ คนที่ตายไปแล้วหากไปโอปปาติกะเป็นเทวดาหรือนางฟ้าเขาจะไม่เข้าใกล้มนุษย์ปุถุชนแต่หากตายไปแล้วเป็นสัตว์รอเกิด(สัมภเวสี) ที่ยังมีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตาย เพียงแต่เป็นรูปนามทิพย์ที่ตาเนื้อตาหนังไม่สามารถสัมผัสได้รูปนามที่เป็นสัมภเวสียังมีโอกาสมาใช้ร่างของคนอื่นที่มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็งได้

    (2) สวดมนต์แล้วเกิดอุเบกขารมณ์ขึ้นกับจิตนั้นดีแล้วแต่จะให้ดียิ่งขึ้นขณะกล่าวคำสวดมนต์ต้องรู้ความหมายของบทสวด ว่าแต่ละตอนมีความหมายถึงอะไรหากเป็นเช่นนี้ความศรัทธาในคุณความดีของบทสวดมนต์ก็จะเกิดขึ้น

    (3) ในขณะจิตเดียวถ้าหมายถึงการเกิด-ดับของจิตเพียงครั้งเดียว จะไม่สามารถปรากฎรูปนามที่ต่างออกไปได้แต่ด้วยเหตุที่ตาสัมผัสรูปนาม เป็นเรื่องการทำงานของระบบประสาท ซึ่งทำงานได้ช้ากว่าการเกิด-ดับของจิตอย่างมาก จึงทำให้ตาเห็นคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงยกตัวอย่าง การเกิด-ดับของพลังงานแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าเกิด-ดับเร็วกว่าการทำงานของระบบประสาทตา ตาจึงเห็นว่ามีแต่แสงสว่างเท่านั้นมีปรากฏขึ้นแท้จริงแล้วพลังงานแสงสว่างเกิดดับเร็วมาก ตาสัมผัสการเกิด-ดับไม่ทัน แต่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจวัดได้ว่าการเกิด-ดับ (สว่าง-มืด) นั้นมีอยู่จริง ด้วยเหตุนี้พระจุฬปันถกซึ่งมีความชำนาญในด้านมโนมยิทธิ(การใช้ฤทธิ์ทางใจ) จึงสามารถเนรมิตร (บันดาลให้เกิดมีขึ้น) รูปนามของท่านที่อยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ มากถึง 1,000 ร่าง ให้ผู้อื่นสัมผัสเห็นได้ด้วยตา ซึ่งคนธรรมดาที่ไม่มีความชำนาญในมโนมยิทธิไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่เทวดาเช่นท้าวสักกะ (พระอินทร์) สามารถเนรมิตรูปนามเป็นมนุษย์ มาล้างเท้าให้พระมหาสิวะ (มนุษย์) องค์อรหันต์ได้ นอกจากนี้ยังมีเทวดาผู้ใหญ่ในสวรรค์ทั้งหกชั้น รวมถึงท้าวมหาพรหมจากพรหมโลกสุตธาวาส ได้เนรมิตตัวเองให้เป็นรูปนามหยาบลงมาเยี่ยมอาการอาพาธของพระสารีบุตรในคืนวันที่จะดับรูปดับนามเข้านิพพาน
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันขอสอบถามปัญหา 1 ข้อค่ะ
    หากมีเจ้าเมืองสั่งกองทัพไปรบเพื่อป้องกันเมืองจากการรุกรานของข้าศึก ระหว่างทางกองทัพขาดเสบียงอาหาร มีหนทางเดียวคือฆ่าคนเลี้ยงวัวตาย 3 คน จึงได้วัวมา 3 ตัว เพื่อเลี้ยงกองทัพและสามารถรบชนะข้าศึกป้องกันเมืองไว้ได้ ถามว่าในทางโลกเจ้าเมืองจะปูนบำเหน็ดหรือจะลงโทษทหารฐานฆ่าคนตาย

    อาจารย์ช่วยชี้แนะในทางโลกและถูกต้องในทางธรรมให้ด้วยค่ะ
    เพราะปัญหาลักษณะนี้มักเกิดกับผู้บริหารอยู่เสมอ


    คำตอบ
    ในกรณีที่บอกเล่าไปเจ้าเมืองส่วนใหญ่มีสภาวะจิตเป็นปุถุชน จึงใช้ปัญญาทางโลกบริหารจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นเจ้าเมืองจะปูนบำเหน็จขุนทหาร ในกรณีที่รบชนะข้าศึกป้องกันเมืองไว้ได้จะไม่ลงโทษทหารฐานฆ่าคนตาย

    ในทางตรงข้ามเจ้าเมืองที่มีคุณธรรมเมื่อรบชนะข้าศึกแล้ว จะม่จับเชลยศึกไว้เป็นเชลยจะปล่อยข้าศึกให้เป็นอิสระกลับสู่บ้านเมืองและครอบครัวของตน ดังตัวอย่างเจ้าหญิงจามเทวีแห่งกรุงละโว้รบชนะข้าศึกจากโกสัมพี ที่ยกกองทัพมาราวีกรุงละโว้ นับย้อนหลังจากนี้ไปหนึ่งพันสามร้อยปีเศษ หลังจากกองทัพละโว้รบชนะข้าศึกแล้วด้วยจิตเมตตาของพระนางฯผู้เป็นแม่ทัพ ได้ปล่อยเชลยโกสัมพีให้เป็นอิสระกลับสู่บ้านเมืองของตน

    ผู้รู้จริงกล่าวว่า “ ผู้ใดมีกำลัง สามารถอดทนต่อผู้ด้อยกำลังได้ บัณฑิตกล่าวสรรเสริญความอดทนของผู้นั้นว่า..เป็นบรมขันติ ”
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เราสามารถต่ออายุให้กับคนอื่นได้หรือไม่คะ หมายถึงถ้าเราอธิษฐานแบ่งอายุของเราให้กับคนอื่นจะได้หรือไม่คะ
    2. การศึกษาธรรมมะ และการปฎิบัติธรรม โดยมีจุดประสงค์อยากที่จะพันทุกข์ อยากให้จิตสงบ และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆบนโลกนี้ถือว่าเป็นความอยากหรือเปล่าคะ มันจะเป็นอุปสรรคต่อการปฎิบัติธรรมหรือเปล่า บางครั้งรู้สึกว่าการที่ตัวเราปฎิบัติธรรมเหมือนเราต้องการหนีปัญหาหรือหนีทุกข์ แต่ในความรู้สึกก็เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า จะมีวิธีปรับความคิดของตัวเราอย่างไรก่อนเริ่มการปฎิบัติอย่างจริงจัง เพื่อที่จะทำให้จิตแน่วแน่และเริ่มปฎิบัติได้อย่างถูกต้องและถูกทางคะ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยตอบปัญหาให้ค่ะ

    คำตอบ
    (1) ในทางโลกใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยืดอายุของคนได้ แต่ในทางธรรมยืดอายุได้ด้วยการประพฤติกุศลกรรมด้วยตัวเอง ดังตัวอย่างของหญิงชราที่เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย หมดรักษาโรคบอกว่าจะต้องตายในอีกไม่เกิน 5 เดือน แต่จากการได้รับคำแนะนำจากพระภิกษุผู้เฒ่า ให้เจริญอานาปานสติอยู่ทุกขณะตื่นที่นึกได้เจริญอยู่ทุกขณะที่ไม่มีงานภายนอกให้ทำ ขณะเดียวกันได้นำตัวเองเข้าไปเป็นผ้าขาวปฏิบัติธรรมอยู่ในวัด มีการสวดมนต์มีการฟังธรรมเป็นวัตรผลปรากฏว่าปฏิบัติธรรมอยู่ได้นานถึง 60 เดือน จึงได้ทิ้งขันธ์ลาโลกได้

    ด้วยเหตุนี้ผู้ถามปัญหาจึงไม่สามารถแบ่งอายุให้กับคนอื่นได้ เพราะแต่ละคนมีกรรมเป็นของตัวเองแต่ผู้ถามสามารถแบ่งอวัยวะ เช่นบริจาคไตให้กับคนอื่น เพื่อยืดอายุให้คนไข้มีอายุยืนยาวออกไปได้แต่เมื่อดูให้ยาวไกลออกไปแล้วคนไข้ต้องทำกรรมดีมาก่อนจึงได้ไตคนอื่นมาช่วยยืดอายุ

    (2) ปัญหาในลักษณะเช่นที่ถามไปผู้ตอบปัญหาเคยถามท่านเจ้าคุณโชดกมาก่อนท่านตอบว่าความอยากเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้อยากมีจิตสงบ ต้องเจริญสมถภาวนาอยากพ้นทุกข์ต้องเจริญวิปัสสนาภาวนาคือต้องสร้างเหตุให้ถูกตรงนั่นเอง

    ดังนั้นเมื่อผู้ถามยังไม่มีประสบการณ์ด้วยตัวเองให้เชื่อคำบอกกล่าวจากผู้รู้ ทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ ปฏิบัติให้ตรงตามคำบอกกล่าว แล้วการมีจิตสงบ มีจิตเป็นอิสระพ้นไปจากความทุกข์จึงจะเกิดเป็นจริงตามพุทธวจนะได้
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พ่อของสามีดิฉันประสบอุบัติเหตุถูกรถกระบะชนรถจักรยานยนต์จนกระเด็นไปตกน้ำข้างทาง และสำลักน้ำซึ่งสกปรกมาก ตอนนี้อยู่ห้องไอซียูที่โรงพยาบาลยังไม่ได้สติต้องให้ออกซิเย่น หมอบอกว่ายังบอกไม่ได้ว่าจะรอดหรือเปล่า ถ้ารอดก็ไม่รู้ว่าจะเป็นปรกติเหมือนเดิมมั้ย ให้ดูอาการไปเรื่อย ๆ อยู่โรงพยาบาลได้อาทิตย์กว่าแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ดิฉันสงสารครอบครัวของสามีมาก โดยเฉพาะสามีรู้สึกจะเครียดมาก ดิฉันก็คิดว่ามันคงเป็นกรรมของพ่อสามีอาจจะไปทำกรรมอะไรไว้จึงต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ก็อยากจะช่วย ทุกวันนี้ดิฉันก็จะสวดมนต์ นั่งสมาธิและแผ่แมตตาให้พ่อสามีเสมอ ดิฉันอยากถามว่าจะมีวิธีไหนที่พอจะช่วยพ่อสามีให้พ้นเคราะห์กรรม สามารถหาย หรืออาการดีขึ้น อย่างน้อยก็ให้ฟื้นได้สติกลับมาก็ยังดี พอมีวิธีไหนช่วยได้บ้างไหมค่ะ หรือต้องปล่อยไปตามกรรม

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    ประสงค์ช่วยเหลือผู้ที่กำลังเสวยอกุศลวิบากผู้เป็นบริวารควรทำบุญใหญ่ ๆ เช่น ปฏิบัติจิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผู้กำลังเสวยอกุศลวิบาก ถ้าบุญที่อุทิศมีกำลังมากกว่าบาปที่คนไข้ทำปาฏิหาริย์คือฟื้นขึ้นมามีสุขภาพเป็นปกติย่อมเป็นไปได้
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูมีเรื่องเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับประวัติของพระพุทธเจ้าค่ะ เนื่องจากมีน้องที่ทำงานถามมา แต่หนูตอบไม่ได้ค่ะ และบางส่วนที่ตอบไปก็ไม่แน่ใจว่าถูกต้องดีหรือไม่ (ที่ทำงานหนูมีพนักงานอยู่แค่ 10 คน แต่ประกอบด้วย 3 ศานาค่ะ คือ 1. ศานาพุทธ 2. ศานาคริสต์ (คริสเตียน) และ 3. ไม่นับถือศาสนาใดๆเลย นอกจากเชื่อมั่นผลอันเกิดจากการกระทำของตนอย่างเดียว) น้องคนที่ถามนี้เป็นพุทธนะคะ แต่มีศรัทธาในพุทธศาสนาน้อยมาก อาจเป็นเพราะข่าวสารที่เขาได้รับ และสภาพแวดล้อมที่เขาพบเจอมาแต่เด็กก็อาจเป็นได้นะคะ

    1. เขาถามว่าถ้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีบุญจริง ทำไมไม่ไปเกิดกับหญิงพรมจารีย์ ซึ่งเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากกาม (ซึ่งคำถามนี้หนูก็ตอบเขาไปว่า ถามหลักธรรมชาติมนุษย์จะก่อกำเนิดขึ้นมาได้ ต้องมีทั้งพ่อและแม่ ไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือเปล่าคะ )

    2. เขาถามว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดินได้จริงหรือ เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อหรอกว่าจะเดินได้ แล้วทำไมต้องเดินแค่ 7 ก้าว ไม่ใช่ 9 ก้าว และมีการเปล่งวาจาออกมาด้วย ( คำถามนี้หนูตอบเขาไปว่า ตามหลักการประสูตรของพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตย์ ซึ่งเป็นผู้สั่งสมบารมีมาเป็นยาวนาน การกำเนิดก็จะไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แม้แต่ผู้ที่จะมาเป็นพุทธมารดา ก็ต้องมีการตั้งสัจจะอธิษฐานมาก่อน จึงจะสามารถเป็นได้ ไม่ทราบถูกหรือเปล่าคะอาจารย์)

    3. หลังจากการประสูตรแล้วพระพุทธเจ้า มีพัฒนาการอย่างไร เหมือนเด็กปกติธรรมดาทั่วไปหรือไม่ เพราะพระพุทธเจ้าสามารถเดินได้ และ ตรัสได้ตังแต่แรกที่พระองค์ประสูตร

    ที่หนูต้องเรียนถามท่านอาจารย์ เพราะหนูมีความรู้สึกว่าคนรุ่นใหม่ๆ เขาเป็นพุทธแค่เพียงในบัตรประชานเท่านั้น ซึ่งไม่มีความรู้ในพระพุทธศาสนา ก็ยังไม่ร้ายเท่า การไร้ซึ่งศรัทธานี่สิ หนูคิดว่า น่าเป็นห่วงมากๆ เพราะคำถามที่แต่ละคำที่ยิงมา สำหรับหนูรู้สึกว่าเป็นการหมิ่นบารมีของพระพุทธองค์อย่างมาก หนูอยู่ท่ามกลางสังคมที่มีความแตกต่างกันมาก ศรัทธาของเราดูเหมืนสิ่งที่น่าขบขัน ไร้สาระ รวมทั้งการทำทานซึ่งเขามองดูเป็นการสิ้นเปลืองโดยไร้ซึ่งประโยชน์ ซึ่งหนูก็ไม่เคยโกรธเคืองเลยนะคะ ทุกครั้งที่ทำบุญ หรือเข้าคอร์สกรรมฐาน ก็จะอุทิศบุญให้ผู้ร่วมงานด้วยทุกๆคนค่ะ อยากให้พวกเขามีดวงตาเห็นธรรม มีโอกาสได้พบสิ่งที่น่าประเสริฐเช่นนี้บ้าง

    หนูอยากได้คำตอบ เพื่อไขความกระจ่างให้ผู้ที่ถาม เขาจะได้ไม่มีเวรกรรม หนูรู้มาว่าปรามาสพระอรหันต์ตายโหงในชาตินี้ (ผู้ที่ถามเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมากๆ ยากแก่การอธิบาย)


    คำตอบ
    ถูกแต่ถูกไม่หมด ยังมีมนุษย์บางประเภทเกิดโดยวิธีโอปปาติกะ ไม่ต้องมีพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต เช่น อัมพปาลี เกิดมาแล้วมีอาชีพเป็นโสเภณี ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธะแล้วเลิกอาชีพที่ทุศีลนั้นหันมาปฏิบัติธรรมพัฒนาจิตได้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสในสังโยชน์ทั้ง 10 บรรลุอรหัตตผลที่หญิงพรหมจารีย์ยังไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุนี้ ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์มิได้อยู่ที่การประพฤติตนเป็นหญิงพรหมจารีย์เท่านั้น แต่อยู่ที่การพัฒนาจิตให้หมดจากกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ให้ต้องเวียนตาย-เกิดอยู่ในวัฏสงสารคือสังโยชน์ 10 นั่นเอง

    ด้วยเหตุนี้ที่เป็นพุทธวิสัยในพระชาติสุดท้ายจึงไม่มีพระพุทธะองค์ใด ถือกำเนิดเป็นสตรีแล้วจึงพัฒนาจิตวิญญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    หากผู้ถามปัญหามีบุญบารมีมากพอ ควรช่วยให้เขาพ้นจากมิจฉาทิฏฐิแต่หากช่วยไม่ได้ต้องปล่อยวางเพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

    ผู้ถามอยากรู้พัฒนาการของผู้มีคุณธรรม ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรมสูงแล้วจะสามารถรู้เห็นเข้าใจในสิ่งที่อยากรู้ได้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กระผมขอเรียนถามปัญหาดังนี้ครับ ปัจจุบันผมอายุ 28 ปีครับ เมื่อผมอายุ 17 ปี ได้บวชเณรในระยะเวลา 13 วันครับหลังจากนั่งสมาธิมาเกือบปีได้ศึกษาธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุและฝึกเซ็นโดยตรงเอง แล้วฝึกเกิดสติปัฏฐาน 4 โดยบังเอิญ ในระยะเวลาที่บวชอยู่ได้มีสติ สมาธิตลอดเวลา ภายในระยะเวลานั้นมีครั้งหนึ่งได้เผลอสติไปในขณะกำลังนั่ง แต่สิ่งที่ได้มาคือการระลึกถึงสติ การมองที่เปลี่ยนไปทุกอย่างมองเห็นในสิ่งที่เป็นจริงและที่เป็นสิ่งในนามสมมุติ (ตอนนั้นไม่ได้นั่งสมาธินะครับ)รู้ว่าตนเองบรรลุธรรมใดสักอย่างหนึ่ง รู้ได้ว่าบางอย่างที่ยึดถือเป็นเรื่องงมงายเรื่องยึดติด ได้ปัญญาเข้าใจในธรรมะของพุทธเจ้า หลังจากนั้นก็หาอ่านหนังสือธรรมะว่าสภาวะธรรมที่ตนเองได้มาคืออะไร อ่านของท่านพุทธทาสก็ว่าใช่ และอีกหลายๆท่าน ที่ว่าดวงตาเห็นธรรมว่าเป็นเช่นนั้นเอง ตอนนั้นซาบซึ้งมากครับก้มลงกราบพื้นเลย แต่ครั้งนั้นไม่ได้ปรึกษาข้อที่พบนี้กับใคร ไม่ได้มีครูอาจารย์มาสอนโดยตรงครับ ปัจจุบันนี้ครับเข้าใจเรื่องศีล เรื่องจิต เรื่องอภิธรรมดีครับ รู้ได้ในปัญญาเองตั้งแต่ครั้งนั้นตามระดับของภูมิธรรมตนเองครับ ที่ผ่านมายังดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน ใช้ความสามารถทางปัญญาในทางที่ไม่ถูกกับคนอื่นบ้าง (เคยอ่านเจอว่าในสมัยพุทธกาลมีโสดาบันที่ยังดื่มเหล้าอยู่) ปัจจุบันนี้ได้ปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสโดยมุ่งกำจัดกิเลสเพื่อบรรลุธรรมขั้นดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง เพราะว่าหลายปีที่ผ่านมาเริ่มเข็ดเริ่มแล้วเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง พอมีการตัดสินใจเกิดขึ้น เรื่องเที่ยวเตร่กลางคืน อะไรที่ไม่ดีหลายๆอย่างเริ่มหายไป

    ขอเรียนถามท่าอาจารย์ว่า ครูบาอาจารย์หลายท่านว่าไม่เหมือนกันในลักษณะความประพฤติบางแต่ที่เหมือนกันคือละสังโยชน์ 3 อย่างอาจจะเกี่ยวกันมั้ยครับที่พระท่านต้องรักษาศีลอยู่แล้ว ทำไมเรื่องบรรลุธรรมจึง เกิดกับผมง่ายๆละครับ แต่ตอนที่บวชเณรครั้งนั้นตั้งใจเป็นอรหัต ละกิเลส ไปนิพพาน

    ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเป็นกัลยาณมิตรผมด้วยนะครับ ผมมีข้อสงสัยกับประสบการณ์ทางจิตตลอด10 ปีที่ผ่านมาเพราะไม่รุ้จะถามใครดี

    ขอขอบพระคุณอย่างสูงนะครับ

    คำตอบ
    หนังสือเขียนบอกไว้ว่าพระโสดาบันยังดื่มเหล้าได้เรื่องนี้เป็นความเห็นถูกของผู้เขียนหนังสือให้คนอื่นอ่าน แต่ไม่ถูกต้องของพระพุทธะที่ตรัสว่า พระโสดาบันคือผู้เข้าถึงธรรม สามารถกำจัดกิเลสทั้งสาม (สังโยชน์ 3 ) ให้หมดไปจากใจได้

    ในครั้งพุทธกาลมีลูกพราหมณ์ชาวแคว้นโกศล มาบวชเป็นภิกษุอยู่ในพุทธศาสนาบำเพ็ญสมถภาวนาอยู่ไม่นาน ได้บรรลุฌานสมาบัติ 8 ซึ่งมีฤทธิ์ปรามพญานาคได้ ชาวบ้านศรัทธาจึงถวายสุราให้ท่านดื่มยามออกเดินบิณฑบาต พระสาคตะฉันสุราจนเมาไม่ได้สติเหตุเพราะยังเป็นภิกษุที่มีสภาวะจิตเป็นปุถุชน จึงเป็นต้นบัญญัติห้ามพระดื่มสุราตั้งแต่นั้นมาผู้ที่เป็นโสดาบันแล้วจะไม่ประพฤติเช่นนั้น

    ฉะนั้นผู้ถามปัยหาประสงค์นำพาชีวิตดำเนินตามรอยอริยบุคคล ก่อนอื่นต้องมีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น เจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนาจนเลิกสติปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วเอาสติสัมปชัญญะส่องดูใจตนเองแล้วพัฒนาใจให้ปลอดจากกิเลส (สังโยชน์) ได้มากหรือน้อยตามกำลังของสติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้หากกำจัดสังโยชน์ 3 ได้ ความเป็นโสดาบันย่อมเกิดขึ้นได้หากสามารถกำจัดสังโยชน์ 5 ได้ความเป็นอนาคามีย่อมเกิดขึ้นได้ฯลฯ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    คนเป็นลูกเคยแอบเอาเงินพ่อแม่ไปช่วยเพื่อนที่กำลังเดือดร้อน ทำบ่อยๆหลายครั้งติดกัน แต่ใจเศร้าหมองเพราะรู้ว่าเป็นบาป หลายปีต่อมาลูกไม่กล้าเอ่ยคำขอขมาพ่อแม่ตรงๆ แต่เลียบเคียงพูดเป็นนัยว่า "ถ้าอาจารย์ที่สอนธรรมะขอหนูบอกว่าในอดีต อาจจะเป็นชาติไหนก็ไม่รู้ หนูเคยแอบนำเงินของพ่อแม่ไปใช้ช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ได้บอกกล่าวพ่อแม่ ไม่รู้ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ รู้แต่ว่ามากพอสมควรจนถึงกับทำให้คนหนึ่งตั้งตัวได้ แล้วพ่อกับแม่จะว่าอย่างไร"

    พ่อตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อลูกนำเงินไปช่วยคนอื่นก็ถือว่าได้ทำบุญและพ่อแม่เองก็ได้บุญนั้นด้วยเช่นกัน อย่าไปกังวลใจ"

    แม่ตอบว่า "ถ้าอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น พรุ่งนี้หนูก็ไปเบิกเงินในธนาคารมาให้แม่และให้ถือว่าใช้หนี้ให้แม่ทั้งหมดแล้ว และต่อไปขออย่าให้มีอะไรติดขัดในชีวิต ขอให้ชีวิตรุ่งเรือง"

    1.การสนทนาเช่นนี้ถือว่าเป็นการขอขมาลาโทษกันแล้วหรือยังคะ ความตั้งใจคืออยากขอขมา แต่ยังไม่กล้าพูดตรงๆจึงยกอาจารย์ที่สอนธรรมะมาอ้างนำ

    2.หากว่าลูกเคยตั้งใจไว้ก่อนหน้านั้นว่าจะผ่อนชำระหนี้ที่เคยทำไว้ให้กับพ่อแม่จนครบจำนวนเท่านั้นเท่านี้ หลังจากที่ได้สนทนากันตามที่เล่านี้แล้ว และพ่อแม่ก็กล่าวยกหนี้ให้แล้ว ลูกยังคงต้องทำต่อจนสำเร็จตามที่คิดเอาไว้หรือไม่เพื่อสร้างสัจจบารมี

    ขอบพระคุณค่ะ


    คำตอบ
    (1) ยังไม่ถือว่าเป็นการขอขมากรรม

    (2) บาปที่เคยทุศีลข้อ 2 กับพ่อแม่ ยังคงมีอยู่ในจิตวิญญาณของผู้กระทำ ส่วนความตั้งใจใช้หนี้ด้วยการผ่อนชำระ หากเป็นเพียงแต่คิด ยังไม่ได้ทำบุญจากการให้ทรัพย์เป็นทาน ยังไม่บังเกิดผลสำเร็จถ้าปฏิบัติไปแล้วบุญจากการให้ทรัพย์เป็นทานจึงจะเกิดขึ้น แต่หนี้บาปที่เคยไปขโมยเงินพ่อแม่ยังมีอยู่เมื่อใดกรรมที่เป็นบาปให้ผลผู้กระทำอกศุลกรรมจะสูญทรัพย์มากกว่าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

    ดังนั้นผู้รู้จริงจะไม่ประพฤติดังเช่นที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไป
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ทุกเช้าดิฉันและทุกคนในบ้านจะทานข้าวเช้าก่อนพ่อแม่ เพราะต้องออกไปเรียนแต่เช้า บางคนไปทำงาน บางคนทานข้าวเช้า แต่พ่อกับแม่จะทานหลังพวกเราเพราะท่านจะรอสายหน่อย จะตักแยกจานท่านก็ไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าเปลืองจาน พวกเราควรจะทำอย่างไรดีคะ เพราะรู้สึกเหมือนทานข้าวก่อนผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ

    สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์ มีสุขภาพแข็งแรง และตอบปัญหาได้ตรงใจมากๆตลอดไป หากมีสิ่งใดที่ดิฉันทำผิดพลาดต่ออาจารย์ ขออาจารย์โปรดอโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยนะคะ

    คำตอบ
    ในครั้งพุทธกาลนางเรวดีภรรยาของนันทิยะมาณพเศรษฐี ได้นำอาหารเหลือจากที่ตนเองรับประทาน ไปใส่บาตรพระที่มาบิณฑบาตผลปรากฏว่าเมื่อนางเรวดีตายไปแล้วต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก

    พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณต่อลูก ด้วยการให้ร่างกายแก่ลูกได้อาศัยใช้เป็นที่เกิด เลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำ ล้างปัสสาวะอุจจาระ อาบน้ำฯลฯ ด้วยความยากลำบากจนลูกเติบใหญ่ การให้พ่อแม่รับประทานอาหารที่เหลือ (เดน) จากลูก เป็นการสร้างทางสู่นรก ฉะนั้นผู้เป็นลูกต้องเลือกเอาเองว่าจะทำตามความเห็นผิดของพ่อแม่หรือจะทำให้สิ่งที่เป็นความเห็นถูกตามธรรมเพราะชีวิตเป็นของลูก ต้องเลือกทางชีวิตด้วยตัวเอง
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้ปฏิบัติสวดมนต์ นั่งสมาธิ (5-10 นาที ทุกวัน) และได้แนวของหลวงพ่อปราโมทย์มาปฏิบัติ สิ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกมากในระยะหลังคือ จิตดวงนี้ แข็ง กระด้าง และมีการแสดงพฤติกรรมออกไปโดยบางครั้งแสดงออกไปแล้ว
    สติทันขึ้นมาก็หยุด พอหยุดจิตก็จะมีอาการ แข็ง กระด้าง จะเรียนถามอาการของจิตที่มีลักษณะนี้มีแนวทางอย่างไรที่ทำให้ดิฉันจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น


    คำตอบ
    จะเข้าให้ถึงต้นเหตุแห่งความแข็งกระด้างของจิตได้ มีอยู่ทางเดียงคือใช้ปัญญาสูงสุด(ญาณ) ส่องดูใจตัวเองปัญญาสูงสุดที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐาน จนบรรลุมรรคผลแห่งธรรมของผู้รู้ แล้วจึงนำปัญญาเห็นแจ้งนั้นไปดับต้นเหตุที่ทำให้จิตแข็งกระด้าง ปัญหาที่ถามก็จะถูกกำจัดไป
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หากได้ทราบข่าวว่าใครจะตายเพราะโรคร้าย และได้แนะนำให้เขาไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อย่างนี้จะถือว่าได้ไปร่วมขบวนกรรมกับเขาไหมคะ เราจะติดบ่วงไปด้วยหรือเปล่า เช่นเจ้ากรรมนายเวรของเขามาจองเวรกับเรา

    ขออาจารย์ได้โปรดไขข้อข้องใจ และชี้แนะวิธีป้องกันภัยเวรทั้งหลายที่จะตามมาด้วย


    คำตอบ
    หากเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ติดใจจองเวรกับผู้แนะนำ ยังถือว่าเข้าไปร่วมในกระบวนธรรมของคนไข้อยู่ ด้วยเหตุที่ผู้แนะนำไม่ทราบว่ามีการจองเวรเกิดขึ้นหรือไม่ดังนั้นควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน ด้วยการประกอบบุญให้หลากหลายประกอบบุญอยู่เรื่อย ๆ แล้วอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไปเรื่อย ๆ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การทำความดี มีศีลธรรม รักษาศีล ทำทานอยู่เสมอทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา หรือการทำสมาธิภาวนาจนมีฌานทำให้ไปเกิดเป็นพรหม อยากเรียนถามอาจารย์ว่าหากเราไม่อยากเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แต่อยากเกิดเป็นมนุษย์อีกสามารถอธิษฐานขอเกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปจากผลของการทำบุญนั้นได้หรือไม่

    ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

    คำตอบ
    ผู้มีบุญมากสามารถเลือกทางชีวิตของตนเองได้มากกว่าผู้มีบุญน้อยกว่า ดังเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐีโสดาบันผู้สร้างและถวายวัดเชตวันไว้ในพุทธศาสนา เมื่อถึงกาลเวลาที่ได้ทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว แทนที่จะไปโอปปาติกะเป็นเทวดาโสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามบุญบารมีที่ทำสั่งสมไว้ในครั้งที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ แต่ตัวเองเลือกไปโอปปาติกะเป็นยักษ์โสดาบัน(ชนวสรายักษ์) อยู่กับท้าวเวสสุวัณเพื่อนเก่าที่เป็นจอมยักษ์ อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นแดนสุขาวดีชั้นแรกนั่นเอง
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีปัญหากับแม่มาก คือแม่ไม่ชอบหน้าดิฉันเลย ดิฉันทราบดีว่าเป็นกรรมเก่า ก็ทำใจยอมรับ แต่สิ่งที่แม่ปฏิบัติต่อดิฉัน คือ พยายามเป็นปฏิปักษ์กับดิฉันตลอดเวลา เช่น ซื้อของมาให้ทานก็ไม่ทาน คุยด้วยก็ไม่ตอบ คือพยายามจะยัดเยียดความอกตัญญูให้ดิฉันตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะเป็นการขัดขวางให้ดิฉันปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าหรือไม่ ดิฉันควรทำอย่างไร จึงจะปฏิบัติธรรมก้าวหน้า เพราะจิตฟุ้งซ่านมากในขณะเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ไม่สงบเลยสักนาที

    ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้คำตอบดิฉันด้วยค่ะ

    คำตอบ
    ปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าเพราะยังมีความเห็นผิดลูกซื้อของให้แต่แม่ไม่รับประทานก็เป็นเรื่องของแม่ ลูกพูดคุยกับแม่แล้วแม่ไม่พูดโต้ตอบก็เป็นเรื่องของแม่ การกระทำของลูกทั้งสองอย่างผู้เป็นแม่รับรู้ได้แต่โปรแกรมจิตของท่านเป็นลบ อาหารจึงไม่ถูกรับประทานการโต้ตอบจึงไม่เกิดขึ้น ผู้มีโปรแกรมจิตเช่นนี้ เป็นผู้ที่ทำตัวเองให้เปล่าประโยชน์อันพึงได้รับ ดูให้ออกว่าแม่เป็นครูที่ดีสอนลูกไม่ให้มีทิฏฐิวิบัติอย่างแม่ การจะอยู่ร่วมสังคมกับคนที่มีความเห็นผิดเช่นนี้คุณต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีขันติและพรหมวิหาร 4 คุ้มใจ หากพัฒนาได้เมื่อใดแล้วปัญหาเรื่องจิตฟุ้งซ่าน ปัญหาปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าจะหมดไป แล้วจะเห็นบุญคุณของแม่แสดงพฤติกรรมที่เป็นเหตุให้ลูกได้เจริญในขันติธรรม เมตตาธรรมและอุเบกขาธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...