ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูคบเพื่อนชายสนิทอยู่คนหนึ่ง ประมาณ 1 ปีแล้ว อายุเราก็27 ปี บรรลุนิติภาวะกันแล้ว ขอถามนะคะ

    1.ถ้าเราเมคเลิฟกันแต่ไม่มีอะไรกัน(ไม่มีเพศสัมพันธ์กัน)เราผิดศีล หรือบาปไหมคะ แฟนสัญญาว่าจะไม่มีอะไรกันจนกว่าจะพร้อมแต่ขอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะมีกรรมกันไหมคะยิ่งกับแม่กับพ่อด้วย หนูคิดมากเพราะครออบครัวหนูค่อนข้างหัวโบราณ คุณแม่เป็นคนธรรมะธรรมโมมาก ตัวหนูเองหนูเองก็ค่อนข้างเชื่อในเรื่องหลักปฏิบัติธรรม

    2. หนูควรจะทำตัวอย่างไรต่อไปคะ ช่วยแนะนำหนูด้วยนะคะ

    ขอบคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) ไม่ผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารแต่ผิดธรรมข้อยังมีจิตเป็นทาสของกามราคะ ตายแล้วยังมีโอกาสไปเกิดอยู่ในภพที่มีการเสพกาม เช่น ภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพเดรัจฉาน และกามภพอื่นในอบายภูมิ

    (2) พระพุทธะตรัสได้ว่า หากปรารถนานำพาชีวิตไปสู่ความเกษม ต้อง ลด ละ เลิก การหาความสุขจากการเสพกาม แล้วแสวงความสุขจากจิตสงบและความสุขจากจิตเป็นอิสระ ซึ่งเป็นความสุขที่ละเอียดประณีต ยืนยาว และมีโทษน้อยกว่ากามสุข
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. มีผลบุญอะไรบ้างไหมคะที่จะส่งผลต่อชีวิตของเราทุกภพทุกชาติ

    2. มีบ้างไหมคะที่เราทำบุญแล้วคำอธิษฐานของเราเป็นจริงได้ในชีวิตนี้ ไม่ต้อง รอนานข้ามภพข้ามชาติ

    3. การที่เราจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นสิ่งที่ดีแล้วอยากทำให้สำเร็จโดยง่ายดาย (อยากมีผู้ช่วยเพราะทำด้วยตัวคนเดียวไม่ได้) จะทำอย่างไรดีคะ รบกวนอาจารย์ ให้คำแนะนำด้วยค่ะ


    คำตอบ (1) บุญและบาปที่ถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของสัตว์บุคคล ส่งผลให้สัตว์บุคคลต้องเวียนตาย - เวียนเกิด ทั้งในสุคติภพและในทุคติภพเรื่อยมา จนสุดตาทิพย์สัมผัสยังไม่รู้ที่จบสิ้น

    ผู้ตอบปัญหาเพียงต้องการให้ผลของบุญส่งผลคือต่อชีวิตทุกภพชาติต้องหยุดทำบาปแล้วประพฤติกุศลกรรมบถ 10 ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ประพฤติเบญจศีล ฯลฯอยู่เสมอ โอกาสที่บุญจะส่งผลผลักดันชีวิตให้ไปเกิดอยู่ในสุคติภพย่อมเป็นได้

    (2) บุญที่จะส่งผลให้เป็นจริงได้ในชีวิตนี้ ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล แม้จะอธิษฐานหรือไม่อธิษฐาน สิ่งที่ผู้ประพฤติได้รับในชีวิตนี้คือ มีครอบครัวเป็นสุข คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา มีอายุยืนยาวปราศจากโรคฯลฯ หรือประพฤติตนให้มีบุญด้วยทำตัวเองให้มีจิตเมตตา ผลที่ได้รับในชีวิตนี้คือหลับเป็นสุข ไม่ฝันร้าย ตื่นเป็นสุข มีจิตตั้งมั่นเร็ว มีสีหน้าผ่องใสฯลฯ หรือประพฤติตนให้มีบุญด้วยการเลี้ยงดูพ่อแม่ ผลที่ได้รับในชีวิตนี้คือ นักปราชญ์สรรเสริญ มีความเจริญในชีวิตและเจริญในอาชีพการงานฯลฯ

    สรุป ผลดีต่าง ๆ เหล่านี้ เกิดกับผู้กระทำ โดยไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า

    (3) ต้องทำตัวให้เป็นผู้มีบุญด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอ แล้วใช้อิทธิบาท 4 เป็นฐานรองรับความสำเร็จในการทำงาน

    ประสงค์มีผู้ช่วยที่ดี ตัวเองต้องประพฤติดีให้ได้ก่อนด้วยการมีจริยธรรมของนายจ้างที่ดี เช่น จัดงานให้เหมาะกับสติ ปัญญา และกำลังของผู้ช่วยงาน ให้ค่าจ้างรางวัล เหมาะสมกับงานและความเป็นอยู่ให้สวัสดิการดี ได้สิ่งตอบแทนมาต้องแบ่งปัน ให้มีวันหยุดพักผ่อน ตามโอกาสสมควรฯลฯ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมมีปัญหาดังนี้ครับ ผมมีความปรารถนาในพุทธภูมิ แต่จากการศึกษาและปฎิบัติธรรม ทำให้บางครั้งรู้สึกว่าอยากพ้นจาก สังสารวัฏโดยเร็ว เนื่องจากเห็นว่าชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ ขณะที่อีกใจหนึ่งก็อยากช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ทำให้เกิดความรู้สึกสับสนวนเวียนอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา (ส่วนใหญ่จิตปรารถนาพุทธภูมิ) ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะวางใจอย่างไรครับ รู้สึกว่าเป็นคนโลเล จิตใจไม่มั่นคง

    ขอความกรุณาอาจารย์เมตตาช่วยชี้แนะด้วยครับ
    ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ
    ผู้สับสน

    คำตอบ
    ผู้ใดประพฤติให้มีศีลบริสุทธิ์คุมใจอยู่ได้ทุกขณะตื่น และผู้ใดมีสัจจะสถิตอยู่ในใจได้ทุกขณะตื่น ผู้นั้นไม่มีจิตโลเลสองเรื่องนี้หากคุณประพฤติได้ ความสับสนในการเลือกทางเดินของชีวิตจะหมดสิ้นไป
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมเคยเลี้ยงปลามังกร (Arowana) 3 ตัว โดยเลี้ยงมาเป็นเวลาประมาณ 5 ปี ผมรักปลาทั้ง 3 ตัวมาก เอาใจใส่ดูแลอย่างดีมาตลอด แต่อาหารที่ให้ปลามังกรกินนั้นเป็นสัตว์น้ำตัวเล็กๆ เช่นลูกปลานิล ลูกปลาดุก ลูกปลาไน ลูกกบ รวมถึงจิ้งหรีด หนอนนก ซึ่งผมให้อาหารแบบนี้มาตลอด จนมาถึงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมานี้ผมเริ่มสนใจเรื่องธรรมะมากขึ้น จึงรู้สึกว่าการให้อาหารปลาโดยใช้สิ่งมีชีวิตเป็นบาป ผมเริ่มมีความกังวล จึงพยายามฝึกให้ปลากินอาหารสำเร็จรูปแต่ไม่ได้ผล ครั้งสุดท้ายผมอดอาหารทุกอย่างให้แต่อาหารเม็ดอย่างเดียวเป็นเวลา 1 เดือน จนปลาผอมก็ไม่ยอมกินอาหารเม็ด ผมจึงต้องตัดสินใจให้อาหารที่มีชีวิตอีกครั้งจนเขาเริ่มอ้วน แล้วตัดสินใจนำเขาไปปล่อยที่บึงฉวาก (เนื้อที่ประมาณ 2700 ไร่) จ.สุพรรณบุรี เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2550 โดยผมคิดว่าเขาน่าจะหากินเองได้เพราะเขาเคยจับลูกปลามีชีวิตในตู้ปลากินเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะปรับตัวใช้ชีวิตตามธรรมชาติได้หรือไม่ จนมาถึงตอนนี้ผ่านมาประมาณ 4 เดือนแล้ว ผมยังคิดถึง ยังเป็นห่วงเขาอยู่ และมีจิตใจที่เศร้าหมองทุกครั้งที่คิดถึงเขา

    ผมจึงมีคำถามจะถามอาจารย์ดังนี้
    1. การตัดสินใจนำปลาไปปล่อยเป็นวิธีที่เหมาะสมหรือไม่ บาปหรือเปล่า
    2. จะแก้ไขสภาพจิตใจที่เศร้าหมองได้อย่างไรเมื่อคิดถึงปลา

    คำตอบ
    (1) เจตนาปล่อยสัตว์ให้มีชีวิตอิสระถือได้ว่าเป็นบุญและไม่เข้าไปร่วมกระทำปาณาติบาตไม่เป็นบาป ถามว่าการกระทำนี้เหมาะสมหรือไม่ เรื่องนี้อยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคล มุมมองทางโลกในฐานะเป็นผู้เลี้ยงปลาตู้ จะเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่มองในแง่มุมของธรรมะ เห็นว่าเหมาะสม ถ้าให้ผู้ตอบปัญหาเลือกวิธีปฏิบัติ จะเลือกปฏิบัติอย่างที่คุณทำเพราะชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ละสัตว์ต้องบริหารจัดการนำพาชีวิตด้วยตัวของเขาเอง

    (2) ทำบุญใหญ่ ๆ เช่น ปฏิบัติจิตตาภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลให้ปลาทั้งสามชีวิตไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดถึงปลาจะหมดไป นั้นจึงจะแสดงว่าจิตของคุณเป็นอิสระจากกิเลสมารได้แล้ว
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมได้ไปเข้าปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานครั้งแรกก็เกือบจะหนึ่งปีแล้วครับ ผมได้ยอมตายดู และผ่านมาได้ (เวทนาดับไป) เห็นการเกิด การทนอยู่ไม่ได้ การดับ และเมื่อได้เห็นครั้งแรก จิตรู้สึกเป็นกุศลเบาสบายมากและตื่นเต้นและรู้ว่ามีธรรมวิเศษอยู่จริง หลังจากนั้นได้เชื่อนรก สวรรค์ เวรกรรมและเรื่องต่าง ๆ ในพุทธศาสนา หลังจากนั้นก็ปฏิบัติและศึกษาธรรมะมาเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ครับ ค่อนข้างรู้มากขึ้นจากไม่ค่อยรู้อะไร ทุกวันนี้จะกำหนดสติในกิจวัตรประจำวันตลอด เท่าที่ระลึกได้ ไม่ซีเรียส เพราะเคยเคร่งไปกับการกำหนด พอลืมพอเผลอไป ทำให้หงุดหงิด อึดอัด หนักแน่นใจ ฟุ้งซ่าน จนลืมตามดูอาการหงุดหงิด อึดอัด หนักแน่น ฟุ้งซ่านไป จึงทำให้จิตรู้สึกไม่เป็นกุศล ก็เลยทำแบบสบาย ๆ ไม่ซีเรียสมาก จึงมีจิตเบาสบาย - เฉย ๆ เพราะเคยรู้ว่า ถ้าปฎิบัติถูกทางจิตจะเบาสบาย ถ้าไม่ถูกจิตจะหนัก ๆ แน่น ๆ ทุกวันนี้ก็จะเดิน - นั่งทุกวัน หลังจากปฎิบัติแล้วก็จะมีเบาสบายบ้าง แน่นบ้างไม่มากนัก และจะเฉย ๆ นี้มากสุด เพราะรู้ว่าจิตไม่เที่ยง จะให้ได้ดีทุกครั้งเป็นไปไม่ได้ จะรบกวนถามอาจารย์ครับว่า ที่ปฏิบัติแล้วจิตรู้สึก เฉย ๆ ไม่เบาสบายนี้ ถูกต้องหรือป่าวครับ ขออาจารย์ชี้แนะครับผม เพราะทุกวันนี้จะเฉย ๆ มากครับ

    ผมรักและเคารพอาจารย์มากครับ ทุกครั้งที่ปฏิบัตกรรมฐานก็จะแผ่กุศลถึงอาจารย์ด้วยครับ ผมขอโทษนะครับที่รบกวนอาจารย์ เพราะผมรู้ว่าอาจารย์นั้นเหนื่อยมากกับภารกิจของอาจารย์ทุกวันนี้ เพราะเครื่องมือเริ่มเสื่อม
    ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงนะครับอย่าเจ็บไข้ได้ป่วยเลยครับ

    กราบขอบพระคุณครูอาจารย์ด้วยรักและเคารพครับ

    คำตอบ
    เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตจะเห็นแจ้งในอารมณ์ คือเห็นอารมณ์ของจิตดับไป อารมณ์ไม่มีตัวตน จิตปล่อยวางอารมณ์จิตเป็นอิสระเข้าสู่การวางเฉยเป็นอุเบกขารมณ์ นี่เป็นหนทางที่ผู้รู้ใช้เป็นวิธีดูจิตตัวเอง คุณได้ปฏิบัติมาถูกทางแล้ว เพียงแต่รักษากำลังของใจคือพละ 5 ให้กล้าแข็งอยู่ทุกขณะตื่น แล้วจิตจะเป็นอิสระต่อสรรพสิ่งที่เข้ากระทบจิต เมื่อใดจิตเป็นอิสระจากกิเลสในสังโยชน์ 10 ได้ ความเป็นอริยบุคคลเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีนี้
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมเริ่มที่จะรู้จักการปฏิบัติกรรมฐานมาประมาณ 7-8 ปีได้แล้ว โดยไปปฏิบัติที่วัดอัมพวัน(ยุบหนอ-พองหนอ) แต่กลับมาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อ โดยผมเองเพิ่งมาเริ่มปฏิบัติต่อเนื่อง จริงจังเมื่อตนเองตัดสินใจเลิกบุหรี่ และอบายมุขต่างๆ เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลที่อยากให้ตนเองมีศีลอย่างน้อย 5 ข้อให้ครบ และอยากสะสมสิ่งดีเข้าไว้ในดวงจิตเพื่อไปในภายภาคหน้า,

    คำถามก็คือ

    1. การปฏิบัติผมจะยึดหลักการเดิน แล้วก็นั่งหากมีเวลา แต่หากมีเวลาน้อยก็ใช้สวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิต่อเลย โดยจะไม่ได้กำหนดช่วงเวลาว่าเท่าไร คิดแต่ว่าทำได้เท่าไร ก็เท่านั้น แต่ปรากฏว่าทุกครั้งหลังจากที่เราออกจากสมาธิก็จะเป็นประมาณ 1 ชั่วโมงทุกครั้ง ทั้งทั้งบ้างครั้งตั้งใจว่าจะให้เลยชั่วโมงแล้วค่อยออกแต่ก็ผ่านไปไม่ได้ กระผมจะมีวิธีการตามดูจิต หรือพิจารณาอย่างไร เพื่อให้ผ่านเวลาไปได้ครับ ทั้งๆ ที่เวทนาต่างๆก็น้อยสามารถทนได้ แต่ใจเราอยากออกพอถึงช่วงเวลาดังกล่าว(ดูเหมือนมันจิตมันจะติดกับเวลามากเกินไปครับ)

    2. ขอแนวทางในการดูจิต ในชีวิตการทำงานประจำวันว่าเราจะทำยังไงได้บ้างเพื่อให้เราสามารถมีสติตลอดวันครับ และนำมาใช้ในการปฏิบัติสมาธิอย่างไรครับ

    3. กรณีที่นั่งแล้วเห็น ดิน เห็นน้ำไหล เห็นลมพัดไหว และเห็นไฟ มันมีปริศนาธรรมอะไรหรือเปล่าครับ หรือพิจารณาให้ดับไปก็พอครับ แต่ช่วงที่เห็นก็รู้สึกสบายจนบ้างครั้งก็รู้สึกว่ามีลมมากระทบ แต่ไม่เหมือนลมทั่วไปที่มาโดนกาย เหมือนเย็นจากข้างในครับ


    คำตอบ
    (1) หากประสงค์ให้การปฏิบัติธรรมมีระยะเวลายาวนานออกไป อยู่ที่การตั้งจิตปรารถนา ( อธิษฐาน ) อธิษฐานจิตจะศักดิ์สิทธิ์ได้จิตของผู้อธิษฐานต้องมีศีลบริสุทธิ์และมีสัจจะคุมจิตให้ได้ทุกขณะตื่นด้วยเหตุนี้ต้องปรับปรุงแก้ไขจิตตนเองให้ได้ก่อน แล้วความปรารถนาที่อยากให้เป็นไปจึงจะเกิดขึ้นได้

    (2) คนที่ยังทำงานอยู่กับสังคมมนุษย์ มีเหตุภายนอกหลากหลายเข้ากระทบจิต ทำให้เกิดเป็นอารมณ์หลากหลาย การมีจิตระลึกทันสิ่งกระทบให้ได้ตลอดทั้งวัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ประสงค์ให้มีสติมากขึ้นระลึกได้ทันสิ่งกระทบมากขึ้น สามารถทำได้กับคนที่ยังจำเป็นต้องทำงานอยู่ด้วยการทำเหตุสี่อย่างให้ถูกตรงคือ ทำงานด้วยใจรัก ( ฉันทะ ) ทำงานด้วยความพากเพียร ( วิริยะ ) ทำงานด้วยใจจดจ่อ ( จิตตะ ) และใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำ ( วิมังสา ) วิธีการทำงานแบบนี้มีผลดีอย่างน้อยสองทาง คือทำให้เกิดความสำเร็จในงาน และมีสติเพิ่มขึ้น ผู้ที่ปฏิบัติงานด้วยวิธีการเช่นนี้บ่อย ๆ ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิตย่อมเกิดขึ้น จากการทำงานนั่นเอง มือโปรเขาทำงานแบบนี้

    (3) ไม่ได้เป็นปริศนาธรรมอะไรหรอก เป็นผลที่เกิดจากการมีจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฤาษีโยคีในอดีตมีความชำนาญในเรื่องเหล่านี้และด้วยเหตุที่รู้ไม่จริง จึงหลงเล่นอยู่กับสิ่งที่ถูกเห็นซึ่งไม่ทำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ดังนั้นผู้รู้จริงจึงเอาสิ่งที่ถูกเห็น มาใช้เป็นตัวอย่างให้จิตตามดู จนเห็นว่าสิ่งที่ถูกเห็นจึงไม่ใช่ตัวตนแท้จริง จิตปล่อยวางจิตเป็นอิสระ และเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นกับจิต แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งส่องนำทางให้กับชีวิต ดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เนื่องจากดิฉันทำงานประจำอยู่ ดังนั้นการที่จะมีโอกาส ปฏิบัติธรรมได้ มักจะเป็นช่วงค่ำ แต่เนื่องจากได้รับทราบข้อมูลหนึ่งมาว่า การนั่งสมาธิแก้กรรมนั้นต้องทำเฉพาะช่วงกลางวันระหว่าง 6 โมงเช้าไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น เพราะถ้าหากทำนอกเหนือเวลาดังกล่าวจะทำให้เราสื่อสารกับเจ้ากรรมนายเวร นั้นมีสัมภเวสีมาด้วย และถ้าสัมภเวสีมาขอผลบุญก่อนและเอาไปไม่ได้จะทำให้เขาโกรธแค้น ซึ่งมีผลเสียมากกกว่าผลดี

    ดิฉันจึงมีความไม่สบายใจ ว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงการทำบุญของดิฉันนั้นอาจมีโทษมากกว่ามีคุณ จึงกราบขอความกรุณาจาก ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยไขความกระจ่างและแนะนำวิธีการที่ถูกต้องด้วยค่ะ


    คำตอบ
    คำพูดที่ออกจากปากมนุษย์ มีทั้งถูกมีทั้งผิดด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงได้สอนชาวกาลามะ แห่งแคว้นโกศลว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง อาทิ ด้วยการฟังตามกัน ด้วยการเล่าลือด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ด้วยเขาเป็นครูของเรา ฯลฯ ผู้ตอบปัญหาได้ปฏิบัติตามจนเข้าถึงความจริงแท้ ( ปรมัตถสัจจะ ) ได้จึงได้ใช้เหตุและผลมาเป็นเครื่องกลั่นกรอง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาว่าเป็นจริงหรือไม่

    จึงได้รู้ว่าการสื่อสารกับสัตว์ที่มีกายหยาบ หรือสื่อสารกับสัตว์ที่มีกายทิพย์ สามารถสื่อสารได้ทุกโอกาส โดยไม่มีกาลเวลามาเป็นเครื่องปิดกั้นเพียงแต่วา เขาอยู่ในวิสัยที่จะรับได้หรือรับไม่ได้ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งตัวอย่างเช่น ในมัชฌิมยาม เทวดาในหมื่นโลกธาตุ มาขอฟังธรรมและสนทนาธรรมกับพระพุทธะในปัจฉิมยามพระพุทธะประทานโอวาทข้อปฏิบัติที่ผิดพลาดแก่ภิกษุผู้มีจิตข้องในอกุศล

    จากประสบการณ์ตรง มีเรื่องจริงเล่าให้ฟังว่า เคยมีสัมภเวสีมาขอส่วนบุญหลังสองทุ่มล่วงแล้ว กลางดึกภุมมเทวดารังเกียจคนทุศีลจึงแสดงอิทธิฤทธิ์ไล่คนเหตุเพราะคนกลุ่มนั้นดื่มสุราจนเมามายขาดสติฯลฯ

    ผู้ถามปัญหาเกรงว่าสัมภเวสีจะโกรธแค้นและทำร้าย วิธีป้องกันคือต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล มีธรรม มีสติ และอุทิศบุญกุศลอยู่เสมอ
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมกับแฟนอยู่ด้วยกันมา 4 ปีไม่ได้แต่งงานกัน และปัจจุบันได้เลิกกันไปแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก็จากกันด้วยดีพอสมควร ตั้งแต่วันที่เลิกกันจนปัจจุบัน 6 เดือนแล้ว เราไม่เคยติดต่อกันเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราสองคนเข้าใจกันดี และคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสจะกลับมาพบเจอกันอีกแล้วในชาตินี้

    โชคดีอย่างหนึ่งว่า ช่วงเวลาที่ผมและแฟนอยู่ด้วยกัน แฟนชอบให้ผมพาไปไหว้พระ ทำบุญ ถวายสังฆทานอยู่บ่อยๆ ซึ่งผมก็พาไปด้วยจิตใจที่ตั้งใจจริงทั้งคู่ เมื่อเลิกกันแล้ว ผมก็ยังคงไปไหว้พระ ทำบุญเช่นเดิม และผมไม่เคยลืมที่จะอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้เธอทุกครั้ง

    ขอถามอาจารย์ว่า
    1.บุญกุศลที่เราร่วมทำด้วยกันมาเหตุใดไม่ส่งผลให้เราครองคู่กันได้ครับ?
    2.แล้วบุญกุศลนี้จะส่งผลในชาติหน้ากับเราสองคนอย่างไรบ้างครับ?
    3.ทุกครั้งที่ผมทำบุญผมจะอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้เธอ โดยเจาะจงชื่อ-นามสกุลของเธอทุกครั้ง ไม่ทราบว่าเธอจะได้บุญด้วยไหม? เพราะว่าเธอไม่รู้ไม่เห็นและไม่ได้อนุโมทนาบุญที่ผมทำครับ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ...

    คำตอบ
    (1) เมื่อใดแรงกรรมที่ผลักดันให้มาอยู่ร่วมกันหมดกำลังการพลัดพรากย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตัวอย่างเช่น พระนางสิริมหามายาได้สวรรคตจากไป ทิ้งเจ้าชายสิทธัตถะอายุ 7 วันไว้เบื้องหลัง ลูกชายอายุ 3 ขวบ ของนากีสาโคตรมีตายจากไปทิ้งแม่ให้อยู่เบื้องหลัง ปิปผลิมาณพแยกทางกับภัททกาปิลามีภรรยา ด้วยเหตุนี้ปัจจัยแห่งการเข้าถึงความเป็นอนาคามีบุคคลจึงทำให้แรงกรรมที่อยู่ร่วมกันหมดไปฯลฯ ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นผลมาจากแรงกรรมที่ถูกเก็บสั่งสมในดวงจิตส่วนใหญ่มีไม่เหมือนกัน

    (2) บุญกุศลที่ทำไว้ร่วมกัน มีโอกาสส่งผลให้มาพบกันได้อีกในอนาคตข้างหน้า แต่เกิดในที่ห่างกัน ดังตัวอย่างในปลายพุทธกาลของพระพุทธกัสสปะ มีภิกษุ 7 องค์ต่างพร้อมใจกันขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขาสูง โดยเอาชีวิตเข้าแลกธรรม ผลปรากฏว่ามีภิกษุหนึ่งองค์บรรลุอรหัตผลตายไปเข้าสู่นิพพาน ภิกษุอีกองค์หนึ่ง บรรลุอนาคามิผล ตายไปเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส ส่วนอีกห้าองค์ที่เหลือตายไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากนั้นจุติจากเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในสมัยพุทธกาลของพระพุทธโคดม แม้ว่าจะเคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมาก็ตาม ภายหลังได้มาเกิดในสถานที่ต่างกัน เกิดเป็นมนุษย์ชื่อ ปุกกุสาติชาวแคว้นคันธาระ เกิดเป็นมนุษย์ชื่อกุมารกัสสปชาวโกศล เกิดเป็นมนุษย์ชื่อสภิยปริพพาชกชาวมคธ เกิดเป็นมนุษย์ชื่อทัพพะ ชาวมัลละ และเกิดเป็นมนุษย์ชื่อพาหิยะแคว้นพาหิยะ

    (3) บุญสำเร็จด้วยการทำเหตุดีสิบอย่าง ( บุญกิริยาวัตถุ 10) แต่หนึ่งในการทำความดีนั้นคือ การอุทิศบุญ ซึ่งจะสัมฤทธิ์ผลได้ต้องมีบุญที่อุทิศต้องมีผู้อุทิศและต้องมีผู้มาอนุโมทนาบุญ ดังนั้นหากผู้รับไม่รู้ว่ามีผู้อุทิศบุญให้ จึงไม่ได้มาอนุโมทนาบุญความสำเร็จในการอุทิศบุญย่อมไม่เกิดขึ้น
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูเป็นคนหนึ่งที่เคยหลงทนงตนมาก มักคิดว่าตนเองดีกว่าเหนือกว่าคนอื่น รวมทั้งมักดูถูกว่าผู้อื่นเขลากว่าตน มาบัดนี้ได้สำนึกรู้แล้วว่าเป็นความคิดและการกระทำของคนเบาปัญญาโดยสิ้นเชิง เวลานี้ได้เข้าถึงซึ่งความไม่เจริญแห่งชีวิต ซึ่งเข้าใจได้ว่าเกิดเพราะอกุศลกรรมที่ทำมา ท่านอาจารย์ปรดเมตตาชี้ทางออกให้แก่ผู้เบาปัญญาผู้นี้ด้วยค่ะ

    ขอขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ ต้องปวารณาเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นที่พึ่งเคารพบูชา ด้วยการกล่าวคำว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ สามครั้งแล้วขอขมาโทษต่อสัตว์บุคคลที่คุณได้เคยปรามาสให้เขาเหล่านั้นยกโทษให้ และต้องไม่ประพฤติพฤติกรรมอันเป็นอกุศลให้เกิดขึ้นอีกจากนั้นรักษาใจให้มีศีล 5 กำกับมีสัจจะคุมใจทุกขณะตื่น ทำบุญตลอดชีวิต อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่นึกได้ว่าตัวเองได้ทำบุญและมีบุญสั่งสมอยู่ในใจ
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เมื่อหมดอายุขัยจุติจิตแล้วจะปฏิสนธิจิตทันที (ผู้ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์) แล้วจะต้องไปพบยมบาลหรือไม่ กรณีใดต้องพบกรณีใดไม่ต้องพบ และการพบยมบาลเพื่อตัดสินว่าจะต้องไปสู่ภพภูมิใดใช่หรือไม่ หรือกรรมที่ได้กระทำได้ตัดสินแล้วหลังจุติจิตทันที เช่น ผู้ที่จุติจิตในฌาณจะไปเกิดเป็นพรหมทันทีนั้นก็ไม่ต้องไปพบยมบาลใช่หรือไม่คะ แล้วที่พระท่านว่าหลังตายแล้ว 7 วัน ผู้ตายจะมาเยี่ยมบ้านเก็บรูปเก็บรอย นั้น ช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าผู้ตายอยู่ในสภาวะใด ภพภูมิใด ก่อนที่จะไปสู่ภพภูมิใหม่ต่อไป

    2. สัมภเวสี จัดอยู่ในภพภูมิใด ใช่ จาตุมหาราชิกาภูมิหรือไม่คะ ส่วนมนุษย์ต่างดาวอยู่ใน อสูรกายภูมิใช่หรือไม่คะ

    3. เมื่อตายแล้วไม่มีกายเนื้อ ไม่มีลมหายใจ ในการพัฒนาจิตจะทำได้อย่างไร พรหมในชั้นสุทธาวาสจะสามารถพัฒนาจิตให้เข้าสู่พระนิพพานได้ โดยใช้วิธีใดคะ และเทวดาในชั้นต่างๆนั้นจะพัฒนาจิตได้อย่างไร ใช้วิธีเหมือนมนุษย์คือ สติปัฏฐานสี่ ได้หรือไม่คะ

    กราบขอบพระคุณที่อาจารย์ให้ความรู้กับผู้ไม่รู้และขออภัยที่ถามหลายคำถามในคำถาม 1 ข้อ เพราะต้องการทราบอย่างละเอียดจริง ๆ ค่ะ

    คำตอบ
    (1) กรณีที่ต้องพบยมบาล คือคนที่ทำกรรมที่เป็นทั้งบุญเป็นทั้งบาป อันเป็นเหตุนำพาชีวิตไปได้รูปนามอยู่ในกามภพ ( ภพนรก ภพสวรรค์ )

    กรณีที่ไปพบยมบาลชั่วคราว คือคนที่ปฏิบัติสมถภาวนาจนเข้าถึงความเป็นฌาน ในขณะจิตทรงฌานตายแล้วไปได้รูปนามในรูปภพและอรูปภพ

    การพบยมบาลมีอยู่เหตุเดียวคือ ท่านจะเป็นผู้ตัดสินทางชีวิตให้สัตว์บุคคลที่ตายแล้วไปเกิดใหม่ในปรภพ

    คนที่ตายแล้วยังไม่ไปเกิดในรูปใหม่ ยังคงมีรูปลักษณ์เหมือนเดิม แต่เป็นรูปทิพย์ถือได้ว่ามีสภาวะเป็นสัมภเวสียังไม่ไปเกิดอยู่ในภพใด สัมภเวสีมีโอกาสมาเยี่ยมบ้านเก่าเก็บรูปรอยบันทึกเป็นสัญญาไว้ในดวงจิต ส่วนคนที่ตายแล้วไปได้ร่างใหม่อยู่อาศัยดังเช่นสิริมา กลับมากราบพระพุทธเจ้าในร่างที่ตนเองเป็นนางฟ้า ได้เห็นศพตัวเองในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ นอนขึ้นอืดอยู่นานถึง 4 วัน

    (2) สัมภเวสีเป็นสัตว์ที่มีรูปนามเป็นทิพย์ แทรกอยู่กับภพมนุษย์ มนุษย์ต่างดาวบางประเภทเกิดโดยวิธีโอปปาติกะแต่ยังจิตอยู่ในภพมนุษย์เช่นกัน มิได้อยู่ในภพของเปรตอสุรกาย

    (3) มนุษย์ที่ตายแล้วไปเกิดอยู่ในภพที่มีรูปนามละเอียดมีลมหายใจที่ละเอียด ระบบประสาทของมนุษย์สัมผัสไม่ได้ เมื่อมีรูปนามจึงสามารถพัฒนาจิตวิญญาณได้ ดังตัวอย่าง ของสิริมหามายาเทพบุตรสามารถใช้ร่างกายทิพย์พัฒนาจิตตนเอง จนเข้าถึงความเป็นเทพบุตรโสดาบันได้ ในสวรรค์ทุกชั้นมีเทวดานางฟ้าโสดาบันในพรหมสุทธาวาสมีพระพรหมอนาคามี ท่านเหล่านั้นสามารถพัฒนาจิตวิญญาณ ให้เป็นเทพอริยบุคคลที่สูงขึ้นไป ด้วยวิธีกำจัดกิเลส ( สังโยชน์ 10) ให้หมดไปจากใจ จนบรรลุอรหัตตผลได้

    หมายเหตุ รู้มากฟุ้งมาก มีสัญญามากกำจัดกิเลสได้ยาก ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจได้
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    "การเอาเนื้อเป็ด เนื้อไก่ ไปเซ่นไหว้ คือการส่งอาหารไปให้ผีหรือเจ้าที่ (บรรพบุรุษ) ถ้าเขาเป็นผีหรือเจ้าที่ที่สื่อสาร (ทางจิต) กันได้แล้วเขามาอนุโมทนา เขาจะได้รับอาหารนั้นในลักษณะเป็นทิพย์" อยากถามว่า ถ้าเราไม่เซ่นไหว้เลยจะดีกว่ามั้ยครับ (อย่างเทศการตรุษจีน) แต่ทุกครั้งที่ทำความดี เช่น ตักบาตร สวดมนต์ ปฏิบัติกรรมฐาน จะอุทิศไปให้เค้าแทน อย่างนี้เค้าจะอดอาหารมั้ยครับ

    ขอบพระคุณครับ

    คำตอบ
    ไม่เซ่นไหว้เลยไม่ดีเพราะบางอมนุษย์ยังจำเป็นต้องรับการเซ่นไหว้ ทุกครั้งที่ตักบาตรแล้วอุทิศบุญกุศลให้อมนุษย์ที่ยังต้องการอาหารทิพย์ยังมีอยู่ เมื่อเขามาอนุโมทนาเขาจะไม่อดอาหารสวดมนต์และปฏิบัติกรรมฐานแล้วเสร็จ ควรอุทิศบุญให้กับญาติที่ตายหากบุญสื่อไปถึงและเขามาอนุโมทนาได้เขาจะได้รับอานิสงส์ของบุญในส่วนอื่นที่ไม่ใช่อาหาร
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ตอนนี้ดิฉันอายุ 28 ปี เมื่อเรียนจบปริญญาตรีตอนนั้นอายุได้ประมาณ 22 เกี่ยวกับร้านเครื่องเขียนและถ่ายเอกสาร เงินลงทุนตอนแรกมาจากคุณพ่อคุณแม่กู้โดยใช้หลักทรัพย์บ้านเข้าธนาคาร ได้มาประมาณ 5 แสนกว่าบาท ก็เริ่มทำธุรกิจนี้เพราะทำเลดีมากอยู่หน้าโรงเรียน โดยปลูกร้านค้าเองประมาณ เกือบ 4 แสนกว่าบาท ส่วนเงินที่เหลือก็เอามาซื้อเครื่องถ่ายเอกสาร แต่ของที่ลงร้านไม่มีเลยไปกู้สินเชื่อส่วนบุคคลธนาคารและบัตรเครดิตต่างๆ ช่วง 2-3 ปีแรกก็ดีคือค้าขายได้ดีหมุนเงินทันแต่พอมาช่วงหลังๆ เกิดหมุนเงินไม่ทัน และมากู้นอกระบบพอนานเข้าเกิดหมุนไม่ทันไม่มีส่งปัญหาวุ่นวายตามมาเจ้าหนี้ก็มาทวง ค่าของ ค่าบัตรเครดิตและสินเชื่อต่างๆมากมาย ดิฉันจึงตัดสินใจประกาศเซ้งร้าน พอประกาศได้ไม่ถึงเดือนก็มีคนมาเซ้งร้าน พอได้เงินมาดิฉันก็เอาเงินไปเอาบ้านออกจากธนาคาร และชำระหนี้ส่วนต่างๆเกือบทั้งหมด แต่ยังมีเหลืออยู่บาง เงินที่อีกส่วนดิฉันก็เอามาลงทุนใหม่สถานที่ใหม่ เพราะดิฉันคิดว่าถ้าไม่ลงทุนอะไรสักอย่างดิฉันก็ไม่มีงานทำไม่เงินใช้ ดิฉันลืมบอกไปว่าดิฉันสนใจศึกษาธรรมะตั้งแต่เด็กๆๆ พอมาทำธุรกิจใหม่ก็เริ่มมีปัญหาอีกค้าขายไม่ดีเหมือนเก่าดิฉันก็พยายามปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ทำบุญใส่บาตรและทำบุญทำกุศล บางวันก็ทำได้ดี บางวันจิตฟุ้งมีปัญหาต่างๆๆมากมาย และพพอได้ฟัง cd และอ่านหนังสือธรรมของอาจารย์ ดร.สนอง ก็สบายใจขึ้นบางแต่พอมีปัญหาก็กลับมาคิดอีก พยายามทำจิตให้ว่าง พยายามไม่คิดถึงสิ่งที่มีเป็นปัญหาของตัวเอง เพราะทุกสิ่งที่มากระทบจิตเป็นสิ่งปรุงแต่ง แม้กระทั่งความโศกเศร้าเสียใจ การดีใจ ผิดหวัง เจ็บปวด หรืออาการอื่น แต่ฉันก็อยากฝึกและปฏิบัติตามแนวทางพุทธศาสนาที่ถูกต้องจากกัลยาณมิตร

    อยากขอแนะนำจากท่านอาจารย์สนอง ว่าดิฉันควรทำอย่างไร และควรฝึกปฏิบัติอย่างไร เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ถึงแม้จะไม่หลุดพ้นจากพันธะนาการที่ดิฉันได้สร้างไว้ แต่อยากได้คำแนะนำจากอาจารย์ เพื่อให้ดิฉันปฏิบัติตรงตามแนวทางของพระพุทธเจ้าและพระศาสนาต่อไป

    ขอขอบคุณค่ะที่อาจารย์ได้อ่านและตอบคำถาม

    คำตอบ
    หลักธรรมที่ใช้นำพาชีวิตและธุรกิจให้เจริญงอกงาม ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาได้คือ ทำใจของตัวเองให้เป็นผู้มีกุศลกรรมบถ 10 มีสัจจะ มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ และปฏิบัติธรรมที่เป็นบุญ (บุญกิริยาวัตถุ 10) แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอธุรกิจจึงจะดำเนินไปราบรื่น
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เวลาหนูไปกราบครูบาอาจารย์ หนูจะเห็นท่านนั่งคุยกับญาติโยมเป็นเวลาหลายๆชั่วโมง (บางครั้ง 4-5 ชั่วโมงเลยค่ะ) โดยไม่ลุกจากอาสนะและไม่ฉันน้ำเลย (ทั้งๆที่มีโยมถวายแล้ว) หนูเข้าใจว่าที่ท่าน ไม่ฉันน้ำเพราะอาจจะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่ด้วยความเมตตา ท่านคงไม่อยากให้โยมนั่งรอท่าน ใจ หนูอยากจะกราบเรียน ขอให้ท่านฉันน้ำบ้างและไปเข้าห้องน้ำบ้าง แต่เนื่องจากหนูเป็นผู้หญิง จึงไม่กล้า เพราะกลัวพูดไปแล้วจะไม่เหมาะสม หนูจึงรบกวนถามอาจารย์สนองค่ะว่า ในกรณีแบบนี้ หนูพูดได้ไหม คะ ถ้าพูดได้ หนูควรจะใช้คำพูดแบบใดที่เหมาะสมดีคะ

    2. ที่บ้านหนูไม่มีห้องพระค่ะ หนูจึงนำพระพุทธรูปและรูปครูบาอาจารย์ตั้งไว้ที่หัวเตียงค่ะ อย่างนี้ทำได้ ไหมคะ เพราะเคยอ่านหนังสือว่าไม่สมควรตั้งพระพุทธรูปและรูปครูบาอาจารย์ไว้บนหัวเตียง

    ขอขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) พูดได้แต่ไม่ควรพูด พระจะฉันน้ำหรือไม่ฉันน้ำเป็นเรื่องของท่าน ที่ต้องบริหารจัดการด้วยตัวท่านเอง คุณไม่มีสิทธิ์ไปบอกให้ท่านทำหรือไม่ทำอะไร ตามความหวังดีของกิเลสที่มีอยุ่ในใจคุณ

    (2) สามารถทำได้หากมีใจศรัทธา ตั้งไว้ที่หัวนอนเพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณความดีของท่านและจะดียิ่งขึ้นหากเอาท่านมาเป็นครูสอนใจและดำเนินตามรอยธรรมให้ได้อย่างท่าน
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. อาจารย์กรุณาอธิบายเรื่องการมองเห็นข้ามภพภูมิหรือการมองเห็นต่างมิติกันของมนุษย์กับเทวดาว่าเกิดได้อย่างไร มนุษย์ต้องพัฒนาจิตจึงจะเห็นได้ แล้วเทวดาล่ะคะ ส่วนมนุษย์หลังตายแล้ว จิตออกจากร่าง สามารถเห็นญาติพี่น้องได้ทุกคนหรือไม่ แม้ว่าคนที่ตายนั้นจะไม่เคยฝึกจิตมาก่อนเลย เป็นความสามารถตามธรรมชาติของกายทิพย์ทุกกายทิพย์หรือไม่ และสามารถเห็นได้ทุกคนในโลกหรือเห็นได้เฉพาะคน ที่อยากเห็นเท่านั้น และการมองเห็นนี้จะคงอยู่ไปถึงเมื่อใด เป็นการมองเห็นตลอดเวลาหรือชั่วขณะคะ

    2. สัมภเวสี เห็นมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ ในมนุษย์ภูมิเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่คะ ถ้าเหมือนท่านเหล่านั้นจะไม่ถูกรบกวน จิตเป็นทุกข์จนกว่าจะถึงเวลาได้เปลี่ยนภพภูมิหรือคะ และจะมีวิธัใดสร้างบุญบารมี ในระหว่างที่รอเวลาถึงอายุขัย จะใช้วิธีใดในการพัฒนาจิตวิญญาณคะ

    3. การเข้านิโรธสมาบัติเหมือนหรือแตกต่างจากการเข้าฌาณธรรมดาอย่างไรคะ พระที่ท่านอาพาธเป็นไข้ป่าเข้านิโรธสมาบัติหลายวัน แล้วหายป่วยเพราะเชื้อโรคไม่ได้รับออกซิเจนทำให้เชื้อโรคตายนั้น สมองหรือร่างกายของพระท่านจะได้รับออกซิเจนปริมาณเท่าใด เพราะเหตุใดคะ

    ปัญหาทั้ง 3 ข้ออาจคล้ายคลึงกับผู้อื่นที่อาจารย์เคยตอบแต่ไม่ซ้ำกันแน่นอน ปัญหาของดิฉัน ถามละเอียดกว่า ปัญหาเหล่านี้มาจากการที่ดิฉันได้อ่านหนังสือซึ่งเป็นผลงานของอาจารย์ หลาย ๆ เล่ม แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็เลยขอความกรุณาอาจารย์อธิบายโดยละเอียดอีกครั้งนะคะ จะสังเกตได้ว่าในคำถาม 1 ข้อ ดิฉันถามหลายอย่าง ดิฉันสงสัยจริง ๆ ค่ะ อยากทราบก่อนจะได้ไม่เป็นแบบชื่อหนังสือ " เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน "
    กราบขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์กรุณาให้ความรู้เป็นทานบารมีค่ะ

    คำตอบ
    (1) การเห็นรูปนามในต่างมิติ ต้องใช้ทิพพจักขุญาณ ซึ่งมนุษย์สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาสูงสุดระดับนี้ได้ด้วยการพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นระดับฌาณ แล้วทิพพจักขุญาณก็จะเกิดขึ้นจึงสามารถเห็นรูปนามที่เป็นทิพย์ได้ เทวดาที่รูปนามที่เป็นทิพย์อยู่แล้วหากเขาปรารถนาเห็นสิ่งใจที่อยู่ในวิสัยของบุญบารมีที่มีเขาสามารถเข้าถึงได้ เขาก็จะเห็นได้โดยไม่ยากลำบากเช่นมนุษย์

    มนุษย์ที่ตายแล้วไปได้รูปนามที่เป็นทิพย์ สามารถเห็นญาติพี่น้องได้หากอยู่ในข่ายความถี่คลื่นจิตจะระดับเดียวกัน ภุมมเทวาอยู่ในภพที่ใกล้ชิดกับภพมนุษย์ เขาจึงสามารถเห็นการกระทำของมนุษย์ได้ง่ายความลับของมนุษย์จึงไม่มีกับเทวดาที่อยู่ในภพ จาตุมหาราชิกา

    (2) สัมภเวสี เห็นมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ ในมนุสฺสภูมิได้เท่าที่อยู่ในรัศมีของจิตสัมผัส สัมภเวสียังต้องทุกข์เช่นหิวกระหาย ร้อนหนาว ฯลฯ เช่นเดียวกับมนุษย์ก่อนตายไปเป็นสัมภเวสี แต่ไม่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณได้ เพราะมีทุกข์วิบากที่ต้องเสวยจนกว่าจะครบอายุขัยแล้วไปเกิดใหม่ เช่น เกิดในสุคติภพที่เหมาะสมจึงจะมีโอกาสพัฒนาจิตได้

    (3) คำว่า “ ญาณ ” คือปรีชาหยั่งรู้ เป็นปัญญาระดับสูงสุดที่เกิดกับจิต ส่วนคำว่า “ ฌาน ” เป็นสภาวะของจิตที่มีความสงบประณีตดังนั้นคำทั้งสองจึงมีความหมายต่างกัน

    การเข้านิโรธสมาบัติ เป็นความสงบประณีตของจิตที่ปราศจากเวทนาและสัญญา อริยบุคคลตั้งแต่ระดับอนาคามีขึ้นไป จึงจะสามารถพัฒนาจิตเข้าสู่สภาวะเช่นนี้ได้ ส่วนปุถุชนที่พัฒนาจิตจนเข้าถึงฌานสมาบัติไม่สามารถเข้าถึงนิโรธสมาบัติได้

    คำวา ร่างกายไม่ได้รับออกซิเจน หมายถึง ไม่มีก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย แต่ไม่ตายด้วยร่างกายมีพลังของสมาธิขั้นสูงคุ้มรักษา ความรู้ของวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเข้าถึงเหตุผลในระดับนี้ได้ เพราะอยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส

    เหตุที่ผู้ถามอ่านหนังสือหลายเล่ม แล้วยังไม่เข้าใจในเรื่องของนิโรธสมาบัตินั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะผู้ถามปัญหาใช้ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือในการรู้เห็นเข้าใจเหตุผลที่อยู่ในระดับตื้นเท่านั้นผู้ถามจะหมดความสงสัยได้ก็ต่อเมื่อ พัฒนาจิตตนเองจนเข้าถึงสภาวะของนิโรธสมาบัติได้ แล้วคำวาสันทิฏฐิโก จะกระจ่างขึ้นความสงสัยในสภาวะของนิโรธสมาบัติก็จะหมดไป
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ผมเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด พระท่านสอนว่า จิตของคนเรามี 121 ดวง หมายความว่าอย่างไรครับ และดวงจิตทั้ง 121 นั้น มีการดำเนินไปอย่างไร เกิดแล้วดับตลอดเวลาหรือไม่ครับ และเมื่อจิตคิด เรื่อง 1 เรื่องต้องใช้จิตทั้ง 121 ดวงคิด 1 เรื่อง หรือใช้จิต 1 ดวงคิด 1 เรื่องครับ การที่จิตเราไม่นิ่งต้องคิดตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่ไม่อยากคิดเพราะอะไร

    2. จำนวนภพภูมิทั้งหมด 31 ภพภูมินั้นรวมทุก ๆ galaxy และทุก ๆ ระบบสุริยะจักรวาลด้วยหรือไม่ครับ ไม่ใช่เฉพาะสุริยะจักรวาลที่มีโลกเราเป็นบริวารเท่านั้นใช่ไหมครับ

    3. คนที่อยู่ในสภาพเป็นเจ้าชายนิทรานั้น มีเวทนา สัญญา สังขาระ หรือไม่ครับ ร้อน หนาว เจ็บ ไม่มีใช่หรือไม่ครับ แล้วทุกข์เวทนา สุขเวทนามีได้หรือไม่ ต่างจากคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างไรครับ ส่วนที่เหมือนกันคือมีจิตวิญญาณ จะสามารถพัฒนาจิตที่มีอยู่ให้สงบเพื่อให้เกิดปัญญาเข้าถึงธรรมได้หรือไม่ อย่างไรครับ ใช้วิธีกำหนดจิตอย่างไรครับ ปัญหานี้อาจารย์เคยตอบแต่ว่าจิตยังทำงานอยู่เพียงแต่สมองใช้การไม่ได้จึงสั่งให้อวัยวะอื่น ๆ ทำงานไม่ได้จึงไม่มีการตอบสนอง แต่เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขาระขันธ์ยังมีอยู่หรือไม่ครับ
    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความรู้ครับ


    คำตอบ
    (1) มิได้เรียนปริยัติ ต้องขออภัยไม่ตอบ

    (2) ภพที่สัตว์ต้องไปเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารมิได้มีแต่เพียงสุริยจักรวาลเท่านั้น ยังมีภพอื่นที่อยู่ในจักรวาลอื่นเช่นภพยามาอันเป็นที่อยู่ของเทวดาประเภทหนึ่ง ภพนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่แสงแห่งดวงอาทิตย์จะสาดไปถึง

    (3) ตราบใดที่จิตยังไม่จุติ จิตจะยังคงอยู่ในร่างกาย ที่รับกระทบได้แต่ไม่สามารถส่งออกให้ประสาทรับรู้ได้ การมีเวทนา สัญญา สังขาร ปรากฏอยู่ในดวงจิตจึงมีได้เป็นธรรมดา ส่วนคนที่อยู่ในสภาวะที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ ขณะใดจิตระลึกได้ถึงสิ่งที่เข้ากระทบ เช่น เสียงเพลงสวดมนต์ สุภสัญญาที่เป็นบุญย่อมเกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิต

    คนที่ถูกสมมุติเรียกว่า เจ้าชายนินทรา หากเครื่องมือ (ร่างกาย) ชำรุดมาก จนไม่สามารถรับกระทบจากภายนอกได้ จะไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมได้
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อยากสอบถามคือว่า บุคคลเพศที่ 3 เช่น เกย์ ตุ๊ด กระเทย ทอม ดี้ เลสเบี้ยน ที่ต้องการและสนใจในธรรมะ แต่เพศไม่สมบูรณ์ซึ่งมีคนเคยบอกว่าจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะมีกรรมผิดศีลข้อที่ 3 แต่พวกเขาเหล่านั้นสนใจกับธรรมะและสนใจปฏิบัติธรรมควรทำอย่างไรดีค่ะที่สามารถหาวิถีแก้ไขได้
    1. บุคคลเพศที่ 3 สามารถฝึกฝนธรรมมะได้หรือไม่
    2. ควรฝึกสมาธิ วิปัสนากรรมฐานได้อย่างไรที่ถูกต้อง
    3. อยากให้อาจารย์แนะนำวิธีทางที่ถูกต้องสำหรับบุคคลเหล่านี้จะได้เป็นทางสว่างต่อค่ะ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ได้อ่านและตอบคำถามค่ะ

    คำตอบ
    (1) สามารถฝึกฝนธรรมะได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงธรรมขั้นสูงที่จะนำพาไปสู่ความเป็นอริยบุคคลได้ เหตุเพราะยังต้องชดใช้หนี้กรรม ด้วยการเสวยอกุศลเป็นบุคคลประเภทสามอยู่

    (2) ควรฝึกตนเองให้ประพฤติอยู่ในกุศลกรรมบถ 10 ให้ได้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยเริ่มปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน

    (3) สำหรับบุคคลผู้ยังจำเป็นต้องชดใช้หนี้เวรกรรมประเภทนี้ แนะนำให้ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ในข้อที่สามารถทำได้ ทำไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต พ้นวิบากกรรมได้เมื่อใด บุญที่ทำไว้แล้วนี้จะส่งผลให้การบำเพ็ญจิตตภาวนาจะบรรลุผลสำเร็จดังที่ตนปรารถนา
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การที่เราใช่ชีวิตในปัจุบันมีสิ่งรอบข้างเรามากมายหรือคนพูดกับเราแล้วมากระทบจิตของเราจะรู้ และรู้สึกเสียวแป๊ปๆๆที่หน้าอก และความรุ้สึกเสียวแบบนี้จะค่อยกะตุ้นเราตลอกเวลาทั้งเรื่องเล็กหรือใหญ่ จนต้องระลึกรุ้ถึงอารมณ์นั้นๆๆตลอดจนอาการหายหรือความรุ้สึกนั้นหาย สิ่งที่จะจับได้ อย่างเช่น คือความรุ้สึกโกรธก็จะรู้ตาม จะตามรู้ไปจนหาย แต่บางครั้งใช่เวลานานมากเพราะอารมณ์โกรธรุนแรง เมื่อมาเปรียบเทียบการที่นั้งปฎิบัติจะเห็นเวทนา เกิดดับที่ชัดเจนมาก แต่อาการโกรธที่เราอยู่กับปัจุบันนี้ตามรุ้ว่าเกิดโกรธดับคือหายโกรธ แต่บางครั้งจะนานมาก อย่างนี้ถูกหรือเปล่าครับการที่เราตามดูอาการโกรธทำให้เกิดทุกที่ใจครับหายโกรธ(ดับที่ใจ)

    ถามอาจารย์ว่า
    อาการเสียวที่หน้าอกเวลามีอะไรมากะทบที่จิตเราจะรุ้ทันที่ว่าต้องตามรู้ทันที่ ว่าเกิดสภาวะไดครับหรือผมเป็นอะไรแน่ครับ การที่ใช้ชีวิตปกติทุกวันเราจะตามดู สิ่งที่มากะทบจิต ว่ามีสภาวะใด แต่จะมองดูการเกิดดับ ระหว่างที่เกิดและกำลังจะดับไม่ชัดหรือไม่เห็นเลย ต้องฝึกอย่างไรครับ

    ขอขอบคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

    คำตอบ
    อาการเสียวที่หน้าอก เหตุเกิดเพราะจิตมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง และจิตยังมีอัตตาอยู่ ประสงค์จะแก้ปัญหาต้องดับเหตุทั้งสองลงให้ได้ ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา แล้วต่อด้วยวิปัสสนาภาวนาใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอัตตาด้วยการพิจารณาขันธ์ 5 ให้เห็นว่าดับไปตามกฎของไตรลักษณ์

    วิธีการที่ผู้ถามปัญหานำมาใช้ ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกทางต้องแก้ปัญหาด้วยการปรับแก้ไขต้นเหตุที่สองให้ถูกตรงตามที่บอกกล่าวไว้ข้างต้นให้ได้ก่อน แล้วจึงจะเห็นการเกิด-ดับของสิ่งที่เข้ากระทบจิตได้ชัดเจน
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ที่ร้านเป็นร้านหนังสือ มีลูกค้าเข้าออกทั้งวัน สังเกตุดูว่า
    - ลูกค้า 75 % เป็นพวกมีเป้าหมาย มาเลือกดู แล้วซื้อหาไปตามที่ต้องการ
    - ส่วนลูกค้า อีก 10 % เป็นพวกรสนิยม สูงในการเลือกดู คือดู แต่หนังสือ แพง ๆ เท่านั้น แต่ไม่เคยซื้อ พอดูจนพอใจ( หนังสือ เยินได้ที่แล้ว) วาง หันไปซื้อ นสพ 10 บาท กลับบ้าน
    - อีก 15 % เป็นพวกไม่ซื้อเลย ขอให้ข้าอ่าน อ่าน อ่าน บางที มายืนกางหนังสือพิมพ์ อ่านเสมือนอยู่บ้าน ก็มี ต้องเตือน
    แม่ค้า "พี่ค่ะ หนังสือพิมพ์ อย่ากางอ่านนะคะ"
    ลูกค้า " ทำไม ดูก่อนไม่ได้เหรอ"
    แล้วส่วนมาก พวกที่กาง อ่านนี่ไม่ซื้อซะด้วย

    ในความคิดของดิฉัน ว่าร้านเรานี่ก็ใจดี สุด ๆ แล้ว เพราะไม่ได้เย็บ หรือติดไม่ให้อ่าน แต่ก็เห็นบางรายอย่างที่ว่า อ่านเอาเป็นเอาตาย อ่านทุกเล่มเปิดทีละหน้าเลยยืนอ่าน เลยทั้งที่ไม่ใช่ พ็อคเก็ตบุ๊ค

    ขอถามว่า
    - จะวางใจ ของเรา เองตรงไหนดี ค่ะ เพราะถ้าไปเปลี่ยนพวกนี้คงไม่เปลี่ยน ตัวเราเองก็ไม่อยาก จะโมโห ให้มันเดือดในใจ

    โปรดแนะนำ ด้วยเถอะค่ะ - อาจารย์ ค่ะ ปฏิบัติสม่ำเสมอ ทุกวันมากบ้างน้อยบ้าง แต่รู้สึกว่าไม่พัฒนาขึ้นเคยฟังที่อาจารย์ บอกว่า ต้องพิจารณาดูว่า ทำไม ถึงไม่พัฒนา ก็เรียนตามตรงค่ะว่า ไม่มั่นใจ ต้องใส่ความเพียรมากกว่า นี้ หรือหันมา ดูตัวเองให้ดี ๆ ว่าขณะนี้ มีสติประกอบอยู่ตลอดหรือไม่ อันเนื่องมาจากการงาน ทำให้ จิตไม่ตั้งมั่นเลยค่ะ ในเมื่อตอนนี้ยัง ปฏิบัติได้ไม่ดี ก็หมั่น ทำบุญทุกวัน ตักบาตร พยายามควบคุมจิตให้มี ศีล 5 ตลอด (รวมทั้งปฏิบัติด้วย) ชวนผู้คนที่มืดบอดมีปัญหามาปรึกษา ให้ศึกษาพระธรรมชวนไปวัด ทำบุญ พิมพ์หนังสือสวดมนต์ ให้ความรู้ในทางธรรม ด้วยกุศลพวกนี้ จะทำให้พบทางสว่าง ในการปฏิบัติได้บ้างไหมค่ะ - ในกรณีที่ เราพบเจอ พระปลอม มาบังคับให้ทำบุญ ควรจะปฏิบัติ อย่างไร แจ้งตำรวจ หรือต่อว่าตรง ๆ หรือว่า ทำเฉย ค่ะ อาจารย์ (ที่รู้ว่า ปลอม เพราะต้องการ แต่เงินค่ะ เปิดบาตรมี แต่แบงค์ 20 ในบาตรค่ะ) ขอแสดงความนับถืออย่างสูง


    คำตอบ
    ลูกค้าร้อยละ 75 รวมกับลูกค้าร้อยละ 10 เป็นเหตุสนับสนุนให้ธุรกิจดำเนินอยู่ได้เป็นบุญ ส่วนลูกค้าอีกร้อยละ 15 ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้เวรกรรม (บาป) ที่คุณเคยก่อไว้ในอดีตเอาส่วนที่เป็นบุญรวมกับส่วนที่เป็นบาป แล้วยังเหลือส่วนที่เป็นบุญให้คุณและบริวารได้เสวย ก็น่าจะพอใจแล้วเพราะตายแล้วมีบุญกับบาปเท่านั้นที่จะนำติดตัวได้ วางใจให้ได้อย่างนี้จะได้ไม่ต้องโมโหให้มันเดือดอยู่ในใจ แล้วการไปเกิดใหม่ในภพต่ำ จะได้ไม่เกิดกับคุณในวันข้างหน้า

    หากประสงค์จะมีความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ต้องทำใจให้เป็นผู้มีศีลและสัจจะ เป็นพื้นฐานรองรับใจให้ได้ก่อน แล้วความเพียรจึงจะเกิดเป็นความจริงได้ หมั่นทำบุญทุกวันเป็นเรื่องดี เพราะบุญจะเกิดและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในใจทุกวันจะให้ดียิ่งขึ้นก่อนทำบุญต้องใช้ปัญญาเป็นฐานรองรับใจ แล้วอานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการทำบุญจะมีมากและหากประสงค์พบทางสว่างของชีวิต ต้องทำบุญด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนา

    ส่วนเรื่องเจอพระปลอมหากไม่ศรัทธาไม่เอากายวาจาใจเข้าไปร่วมกระบวนอกุศลกรรมผู้ถามปัญหาจะปลอดจากการเก็บบาปของคนอื่นมาสั่งสมเป็นสมบัติของตัว
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูนั่งสมาธิเกือบทุกวัน แต่หนูก็มีปัญหาขอเรียนถามท่านดังนี้ค่ะ
    1. ตอนที่หนูกำลังน้งภาวนาอยู่และกำหนดพุทโธ ไปเรื่อยๆ หนูรู้สึกปวดตีงที่ขมับ แต่ภาวนาไปเรื่อยก็หายไปเอง อยากเรียนถามว่าอาการอย่านี้ควรทำอย่างไรต่อค่ะ

    2. เวลาที่กำหนดพุทโธอยู่นั้นโดยกำหนดที่ลมหายใจเข้า หายใจออก นั้นพยายามที่ให้จิดอยู่ที่ลมหายใจแต่ปรากฏว่าจิตกลับออกไปคิดเรื่องอื่นๆ โดยที่ไม่ไต้ตั้งใจคิด เหมือนจิตออกไปเอง และเหมือนจิตอีกดวงก็กำลังภาวนาพุทโธอยู่ อยากเรียนถามว่าต้องแก้ไขอย่างไรค่ะ

    คำตอบ
    (1) หลังจากอาการปวดตึงที่ขมับหายไปให้ดึงจิต (สติ) กลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่มีอารมณ์อื่นปรากฏแล้วดับไป

    (2) ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนา มาเป็นอิริยาบถเดินจงกรมสลับกันไปเรื่อยๆ จะทำให้สติมีกำลังมากยิ่งขึ้นจิตจะไม่หนีออกไปจากร่างกายได้
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หากกระผมทราบว่าตนเองเคยปรารถนาพุทธภูมิมาและชาตินี้ต้องการที่จะลงมาเป็นสาวกภูมิจะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

    คำตอบ
    ให้ไปกล่าววาจาขอโทษต่อหน้าพระพุทธรูปแล้วแจ้งความประสงค์ขอลาพุทธภูมิพร้อมยกเหตุแห่งการลา แล้วจึงอธิษฐานใหม่ขอนำพาชีวิตมาดำเนินอยู่ในสายของพุทธสาวก
     

แชร์หน้านี้

Loading...