ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. การที่มีแฟนอยู่ด้วยกันแล้ว ทั้งผู้ใหญ่ของแฟนกับพ่อแม่เราเรารับทราบแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน นี่ถือว่าผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ

    คำตอบ
    การแต่งงานเป็นพิธีกรรมที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้นมาและยึดถือเป็นประเพณี ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเอ่ยปากและยินดีให้ทั้งสองอยู่กินกันเป็นครอบครัวแล้วหรือยัง หากเจ้าของชีวิตยังไม่ยินดียกให้ เหตุที่บุคคลทั้งสองได้กระทำลงไป ถือได้ว่าผิดศีลข้อ 3 และผลที่จะตามมาในวันข้างหน้า หลังจากทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้วไม่แคล้วต้องไปปีนขึ้นปีนลงต้นไม้มีหนามแหลมในนรก


    2. พ่อแม่ผมอยากให้ผมเลิกกับแฟนเพราะเธออายุมากกว่าผม ตัวท่านยังไม่เคยได้เจอหน้าแฟนผมเลย แต่ท่านก็อยากให้เลิก อย่างนี้ผมควรจะ ทำตามความสบายใจของพ่อแม่จึงจะได้เป็นลูกที่กตัญญู หรือรอเวลาให้ท่านได้พบกับแฟนของผมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเพราะผมคิดว่าคนเราไม่ควรตัดสินกันแค่ภายนอก

    คำตอบ
    ผู้รู้จะไม่ก้าวล่วงไปบงการให้ชีวิตของใครต้องเป็นอะไร ชีวิตเป็นของเจ้าของชีวิต ต้องบริหารจัดการด้วยตัวคุณเอง

    ส่วนเรื่องความกตัญญูต่อบุพการีเป็นเรื่องของการประพฤติจริยธรรมที่ลูกที่ดีควรมีต่อพ่อแม่ ประพฤติด้วยเหตุและผลที่ถูกต้องชอบธรรม จึงจะนับเข้าเป็นคุณธรรมเกิดขึ้นในจิตใจของผู้กระทำ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้ตามพวกพี่ๆไปดูดวงชะตาของพี่คนหนึ่งกับพระองค์หนึ่งที่ต่างจังหวัด ระหว่างที่ท่านพยากรณ์ว่าจะรำรวยนั้น พวกเราทุกคนรู้ว่าเขาตอนนี้กำลังลำบากเรื่องเงินทองมาก ก็ถามท่านว่ารวยอะไร รวยหนี้หรือเปล่าว ไม่ได้ตั้งใจดูถูก คือถ้ารวยได้ก็ดีเขาจะได้ใช้หนี้ให้หมดไป พระองค์นั้นท่านโกรธขึ้นมาทันที ดุว่า อยู่หลายคำ เรียกว่าถึงแก่โมหะ หน้าตาดุดันขึ้นมาทันที ดิฉันไม่ยอมพยายามอธิบายว่าไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่สงสัยเท่านั้น ระหว่างที่โต้ไปมาดิฉันนึกขึ้นได้ว่า เอเราจะบ้าหรือเปล่าวนี่มาเถียงอะไรกับพระ ก็เลยหยุดพูด แรกๆก็ไม่ได้คิดว่าจะบาป เพราะพระท่านก็ไม่สำรวม ให้โมหะเข้าครอบครอบง่ายจัง แถมยังพูดอีกว่า ท่านนะเป็นถึงรองเจ้าคณะนะ ท่าน คงเคยเจอแต่ชาวบ้าน ที่คะ ขา ตลอด พอเจอคนที่ซักถาม ก็โกรธขึ้นมาง่ายจัง แต่ตอนนี้รู้สึกกังวลใจว่าได้ทำบาปไว้กับพระหรือไม่ และจะขอขมา โดยไม่ต้องไปหาท่านถึงวัดได้หรือไม่

    คำตอบ
    การโต้แย้งเถียงเป็นเรื่องของกิเลสที่บุคคลทั้งสองนำมาแสดงให้กันและกันทั้งพระและฆราวาสจึงมีบาปอยู่ในใจ เหตุที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้น

    ส่วนเรื่องการขอขมากรรม สามารถทำได้ในทุกสถานที่ แต่ปัญหามีอยู่ว่า คู่เวรกรรมเขายินดีอโหสิกรรมให้ผู้ขอขมาหรือไม่ นั่นเป็นสิทธิ์ของเขาเมื่อรู้ว่าการโต้เถียงเป็นสิ่งไม่ดี เป็นเหตุนำพาชีวิตลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ต้องหยุดพฤติกรรมที่เป็นอกุศลนี้ให้ได้ และต้องไม่ประพฤติซ้ำให้เกิดกิเลสสั่งสมอยู่ในใจอีกต่อไป นี่เป็นวิธีที่พระพุทธะแนะนำพุทธบริษัทให้กระทำ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑. ตามที่หลวงปู่เหรียญ ได้เล่าว่า ขณะที่เดินจงกรมร่วมกับหลวงปู่ชอบ ปรากฎว่าได้เกิดแสงสว่าง และปราฎนาค ชื่อว่า เทพนาคาม มารับอนิสงฆ์จากหลวงปู่ชอบ แสดงว่านาคต่าง ๆ รวมทั้งสัตว์ที่ได้กล่าวถึงสมัยก่อน/พุทธกาล ยังมีอยู่ในโลกนี้ แต่รอเวลาที่จะปรากฏขึ้นอีกในภายภาคหน้าใช่หรือไม่ ถ้าใช่อาจารย์พอจะทราบว่าจะปรากฏขึ้นในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ใด

    คำตอบ
    พญานาคเป็นสัตว์ที่กำเนิดอยู่ในภพเดรัจฉานแต่เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างละเอียดเป็นทิพย์ ตาเนื้อตาหนังไม่สามารถสัมผัสได้แต่หากใครผู้ใด เจริญสมถภาวนาจนจิตสามารถเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นฌานได้ โอกาสเห็นพญานาคด้วยทิพพจักษุย่อมเกิดขึ้นได้ เป็นมิติละเอียดที่ซ้อนอยู่ในมิติหยาบบนโลกที่มนุษย์อยู่อาศัยใบนี้


    ๒. ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างหลวงปู่ชอบกับนาคเทพนาคาโดยวิธีใด

    คำตอบ
    สื่อสารกันด้วยพลังงานจิตที่มีขนาดความถี่คลื่นเดียวกัน พระอริยบุคคลผู้มีนิรุตติปฏิบัติปฏิสัมภิทาเกิดขึ้นในดวงจิตสามารถสื่อสารกับสัตว์ที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ได้


    ๓. ในสมัยก่อน/พุทธกาล ก็ได้กล่าวถึงสัตว์ต่าง ๆ มากมาย ใช้วิธีใดในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับสัตว์ต่าง ๆ และสัตว์ต่าง ๆ ด้วยกัน จึงเรียนมาเพื่อขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยครับ

    คำตอบ
    ใช้พลังงานจิตที่พัฒนาดีแล้วเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายกับสัตว์ต่าง ๆ ได้
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีปัญหาที่อยากจะเรียนถามดังนี้ค่ะ
    คือมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าการนั่งสมาธิ ทำให้กลายเป็นคนไม่มีสติ หรือวิปลาส ดิฉันเคยอ่านคำตอบของท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างแล้วค่ะ แต่อยากทราบว่าการที่นั่งสมาธิแล้ววิปลาส เป็นเพราะกรรมเก่าในอดีตส่งผล หรือเป็นเพราะกรรมปัจจุบันคะ

    คำตอบ
    เหตุที่ทำให้จิตวิปลาส เป็นเพราะจิตขาดสติไปรับสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดีแล้วจิตยึดมั่น (อุปาทาน) เอาอารมณ์ไม่ดีนั้นมาเป็นของตัวเพราะคิดว่าอารมณ์ไม่ดีเป็นของที่มีอยู่แท้จริงความวิปลาสของจิตจึงเกิดขึ้น สิ่งกระทบไม่ดีเป็นเรื่องของกรรมเก่า การขาดสติเป็นกรรมปัจจุบันทั้งสองทำงานร่วมกันผลไม่ดีจึงเกิดขึ้นครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์และฝึกจิตได้ผลมาแล้ว สามารถแก้ปัญหาความเห็นผิดของผู้ปฏิบัติธรรมแบบนี้ได้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อ้างคำพูด:

    คำถามที่ 2 ด้วยการไม่ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้หนูไปหลงยึดติดกับการใช้ชีวิตทางโลก จึงทำให้ปัจจุบันปฏิบัติได้ไม่ดี แต่ปัจจุบันนี้ได้หวนกลับมาปฏิบัติธรรมอีกครั้ง หนูไม่ปรารถนากลับมาเกิดอีก หนูเจอครูบาอาจารย์กี่คนก็บอกว่าหนูสร้างบารมีในอดีตชาติมามาก ทำไมไม่สานต่อ อย่าให้เสียเวลาที่เกิดมา หนูอยากให้ท่านช่วยแนะนำหนูด้วยว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงตรงตามทางที่ครูบาอาจารย์ปฏิบัติกันมาค่ะ

    คำตอบ
    คำที่ครูบาอาจารย์แนะนำนั้นถูกต้องแล้ว หากประสงค์นำพาชีวิตให้เป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งลวงตาลวงใจทางโลก ต้องเจริญพละ 5 (ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) ให้มีกำลังกล้าแข็งอยู่ทุกขณะตื่น แล้วปรับสมดุลระหว่างศรัทธากับปัญญาและวิริยากับสมาธิให้มีกำลังใกล้เคียงกัน ส่วนสติต้องเจริญให้มีกำลังมากสุดแล้วมีโอกาสนำพาชีวิตให้พ้นไปจากโลก พ้นไปจากการเวียนตายเวียนเกิด ในวัฏฏสงสารจึงจะมีความเป็นไปได้



    1. จากคำถามที่ 537 ข้อ 2 นั้น ท่านตอบว่า ให้เจริญพละ 5 ให้กล้าแข็งทุกขณะตื่น หนูพอจะเข้าใจ แต่ที่ให้ปรับสมดุลระหว่างศรัทธากับปัญญา และปรับวิริยะกับสมาธิ ให้มีกำลังใกล้เคียงกันนั้น ขอความเมตตาจากท่านสอนหนูเพิ่มเติมด้วยนะค่ะ ต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างค่ะ

    คำตอบ
    หากศรัทธามีกำลังมากกว่าปัญญาความอยากรู้อยากเห็นอยากได้อยากเข้าถึงธรรมระดับนั้นระดับนี้จะเกิดขึ้น แก้ไขด้วยการพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติให้มาก แล้วพิจารณาความอยากให้เห็นว่าดับไปตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งในความอยากเกิดขึ้น ความอยากจะหมดไปนี่เป็นวิธีการเพิ่มพลังของปัญญาให้เข้ามาใกล้เคียงกับพลังศรัทธา หากมีปัญญามากกว่าศรัทธาความสงสัยในสิ่งต่าง ๆ จะเกิดขึ้น ต้องทำตัวให้เหมือนเป็นคนโง่ไม่ทำตัวให้เหมือนน้ำชาล้นถ้วย ครูบาอาจารย์ชี้แนะให้ปฏิบัติอย่างไรต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะให้ได้ทุกเรื่อง มรรคผลของการปฏิบัติธรรมจะเพิ่มขึ้นแล้วความสงสัยจะหมดไป

    ถ้ามีกำลังความเพียรมากกว่ากำลังของสมาธิจิตจะคิดฟุ้งไปในเรื่องต่างๆ ต้องเจริญสติให้มากและยาวนานจนจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิมาขึ้นความฟุ้งซ่านจากการปรุงอารมณ์ของจิตจะลดลงหรือหากมีสมาธิมากกว่าความเพียรอาการง่วง (ถีนะมิทธะ) จะเกิดขึ้น จึงต้องเร่งความเพียรเช่นเดินจงกรมให้มากและยาวนานขึ้นและกำลังความเพียรกับกำลังสมาธิจึงจะเข้ามาใกล้ ๆ กัน แล้วอาการง่วงเหงาหาวนอนจะหมดไป

    ส่วนสติเป็นตัวเดียว ๆ ที่ต้องเจริญให้มากจนเป็นมหาสติได้เมื่อใดแล้ว พละ 5 คือ ธรรมะที่ทำให้เกิดเป็นกำลังของใจจะกล้าแข็งจิตไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของมารจากนั้นใช้สติกับปัญญาเห็นแจ้ง (สติสัมปชัญญะ) ส่องนำทางให้กับชีวิต อุปสรรคปัญหาของชีวิตจะลดน้อยถอยลงและหมดไปได้ในที่สุด


    2. การเจริญสติให้มีกำลังมากที่สุด คือ การระลึกรู้ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน (อย่างที่หนูเคยปฏิบัติคือระลึกรู้อยู่ที่พุธโธตลอดเวลา หากทำอะไรก็ระลึกอยู่เฉพาะสิ่งที่ทำอยู่ มีอะไรมากระทบที่จิตก็ระลึกรู้ให้เท่าทันถ้าเป็นอารมณ์โกรธก็รู้เท่าทันและดับลงทันที) หนูเคยปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ หรือท่านมีอะไรแนะนำหนูเพิ่มเติมอีกหรือไม่ค่ะ

    คำตอบ
    ปฏิบัติถูกแล้ว จงปฏิบัติต่อไปให้เกิดเป็นมหาสติระลึกได้ทันในทุกสิ่งกระทบที่เข้าสัมผัสจิตจะเห็นว่าสิ่งกระทบทั้งหลายดับไปตามกฎไตรลักษณ์จิตจะปล่อยวาง และว่างเป็นอุเบกขาเกิดปัญญาเห็นแจ้งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นปภัสสร ต่อไปต้องรักษาความดีที่พัฒนาได้แล้วให้คงอยู่ ด้วยการเจริญพละ 5 อยู่ทุกขณะตื่น


    3. วันก่อนหนูนั่งสมาธิ อธิฐานถึงพระพุทธองค์ ว่าทำอย่างไรหนูถึงจะปฏิบัติสานต่อในอดีตชาติได้ สักพักหนูก็รู้สึกขึ้นมาเป็นคำตอบที่ใจว่า "ให้ปฏิบัติแบบสละเป็นสละตายจึงจะพบธรรมะอันเป็นหนทาง" สิ่งที่หนูรู้สึกขึ้นมาที่ใจนี้เป็นหนทางที่ถูกต้องแล้วใช่ไหมค่ะ ขอคำแนะนำวิธีปฏิบัติด้วยค่ะ จะได้ไม่หลงทางอีก

    ด้วยความเคารพอย่างสูง...กราบสวัสดีค่ะ

    คำตอบ
    การอยากไปรู้เรื่องในอดีต ไม่ใช่วิสัยของผู้รู้จริงแต่ผู้รู้จริงสามารถอธิษฐานยอมตายเพื่อให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธะได้ฉะนั้นควรปรับความเห็นที่ผิดให้เปลี่ยนมาเป็นเห็นถูกตามธรรม
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูมีข้อสอบถาม อ.ค่ะ อ.บอกว่า ถ้าอย่างเจอพระดีให้อธิษฐานเอา เช่น ก่อนใส่บาตรให้อธิษฐานเอาว่าขอให้เจอพระสุปันฏิปันโน หนูก็ทำตามที่อ.บอกนะคะ แต่มีคนบอกหนูว่า อธิษฐานอย่างไรก็ไม่ถึงหรอกแรงอธิฐานของเรามันน้อย เราต้องไปแสวงหาพระดี ถ้าเราทำบุญกับพระที่ไม่ดี เราจะไม่ได้บุญหรือว่าได้น้อยมากหนูทราบค่ะว่าการทำบุญถ้าทำกับเนื้อนาบุญที่ดีเราก็จะได้บุญเยอะกว่า แต่หนูคิดว่า หนูทำบุญหรือทำดี อะไรก็แล้วแต่หนูไม่เคยคิดว่าจะได้บุญเยอะหรือได้น้อยเท่าไรหนูคิดว่าหนูทำบุญหรือทำดี เพราะต้องการและมันก็เป็นความดี เป็นสิ่งที่ต้องทำ สมควรจะทำ ทำแล้วเราไม่เดือดร้อน เราสะดวกที่จะทำ มีโอกาสทำ ทำแล้วสบายใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร แรงอธิษฐานของหนูมีโอกาสเป็นไปได้หรือเปล่าคะ หนูก้เลยสับสนกับสิ่งที่คิดและก็กระทำอยู่

    ขอบพระคุณ อ.อย่างสูง ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองท่าน อ.ให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงนะคะ

    คำตอบ
    ผู้ที่บอกว่า “ อธิษฐานอย่างไรก็ไม่ถึงหรอก ” เป็นความเห็นถูกของคนที่บอก แต่ไม่ถูกของคนที่ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธะ ผู้อธิษฐานหากมีศีลและสัจจะคุมใจได้แล้วคำอธิษฐานจะศักดิ์สิทธิ์ และได้สมดังที่อธิษฐานไว้ ดังตัวอย่างของพระอานนท์ อดีตได้อธิษฐานเป็นพุทธปัฏฐากของพระพุทธะองค์ใดองค์หนึ่ง จึงได้เป็นพุทธอุปัฏฐากของพระสมณโคดม ยโสธรา (พิมพา) อดีตได้อธิษฐานเป็นบาทบริจาริกาและอธิษฐานบรรลุธรรม ผลได้เป็นพระชายาของเจ้าชายสิทสัตถะและได้บรรลุธรรมเป็นภิกษุณีอรหันต์ อุบลวรรณาอดีตเคยอธิษฐานขอมีฤทธิ์จึงได้เป็นภิกษุณีอรหันต์ที่มีฤทธิ์สมดังคำอธิษฐาน ฯลฯ

    ฉะนั้นหากคุณได้ตั้งอธิษฐานไว้แล้วเมื่อใดที่เหตุปัจจัยถึงพร้อมความสมปรารถนาตามคำอธิษฐานย่อมเกิดขึ้นได้
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1) คำถามเกี่ยวกับหมอรักษาคนไข้ รักษาแล้วหมอก็ยังได้ทั้งบุญและทั้งบาป (ซึ่งเป็นบาปที่ตนไม่มีเจตตนาสักนิดที่จะทำแต่ต้องได้รับไปโดยปริยาย ) ทำให้ดิฉันรู้สึกน่าใจหาย ทำให้รู้สึกว่าคนเราขึ้นชื่อว่ามีการเกิดไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม มันน่ากลัวเพราะบุญกับบาปมันช่างละเอียดอ่อนเหลือเกิน ไม่ว่าจะคิด จะทำ จะพูด สิ่งใดๆ ก็ล้วนแต่อาจจะได้รับบาปโดยไม่ได้มีเจตตนาอยู่ดี เพราะเมื่อก่อนดิฉันคิดและเข้าใจเสมอว่า การที่เรา ( จะเป็นหมอหรือไม่ก็ตาม ) สามารถช่วยให้คนหายเจ็บหายไข้พ้นจากความทุกข์ทรมานได้เป็นกุศลอย่างยิ่ง คนเรามักจะพูดเสมอว่า ไม่มีปัญหาใดๆ ที่แก้ไม่ได้ แล้วบาปที่ได้รับโดยไม่มีเจตตนาเช่นนี้ ไม่มีทางแก้ไข หรือหลีกเลี่ยงเลยหรือค่ะ เพราะมีอีกหลายอาชีพที่ดิฉันเคยอ่านเจอ เช่น ผู้พิพากษา ทนายความ ฯลฯ ก็เข้าข่ายแบบนี้ แม้แต่คนที่นั่งสมาธิแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้คนป่วยหายป่วยก็ยังอาจได้รับอกุศลกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรของคนป่วยนั้นได้เลย

    คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหาเคยถวายการนวดไหล่นวดคอของพระสุปฏิปันโนผู้มีอาการเคล็ดขัดยอก ผลที่ได้รับจากการทำความดีคือตัวเองประสบกับอาการเคล็ดขัดยอกในตำแหน่งดังกล่าวอยู่นาน 3-4 วันหลังจากหายแล้วไม่นาน ได้ไปกราบท่านและเล่าเรื่องที่ตนเองต้องรับอกุศลวิบากที่มีต้นเหตุมาจากถวายการนวด ท่านหัวเราะและบอกว่า ในอดีตท่านเคยไปถวายการนวดพระอาจารย์ของท่านที่อาพาธในลักษณะเดียวกันนั้นแล้วท่านเองได้รับอกุศลวิบากจากาการทำความดีถวายพระอาจารย์ของท่านด้วย

    ฉะนั้นการเจ็บป่วยอันมีสาเหตุมาจากกรรมคือการผูกเวรระหว่างเจ้ากรรมนายเวร กับคนไข้ผู้ถูกจองเวรหากผู้ใดเข้าไปร่วมกระบวนกรรมของเขาทั้งสอง ต้องเป็นไปตามเหตุและผลคือได้บุญตรงที่รักษาคนไข้ แต่เจ้ากรรมนายเวรของคนไข้จองเวรกับผู้ให้การรักษา ผู้ให้การรักษาจึงต้องรับอกุศลวิบาก (บาป) จากเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ด้วย ดังมีตัวอย่างที่พบว่าเมื่อกรรมให้ผลหมอรักษาโรคมะเร็งต้องรับอานิสงส์บาปด้วยการเป็นมะเร็งหมอผ่าตัดโรคกระดูก ต้องรับอานิสงส์บาปด้วยการถูกผ่าตัดกระดูก หมอรักษาโรคตาต้องรับอานิสงส์บาปกับปัญหาเรื่องตา ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จึงแนะนำให้ทำบุญอยู่เสมอ แล้วอุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไปเรื่อย ๆ


    2) คนที่มีโทสะจริตแรง ขึ้หงุดหงิด ใจร้อน จะแก้ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างไรค่ะ

    คำตอบ
    ต้องแก้ไขด้วยการเจริญเมตตาคือให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ ให้อภัยแก่ผู้ทำให้ขัดใจให้อภัยให้ทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจ และจะดีที่สุด ต้องพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง ให้เกิดมีขึ้นกับตัวเอง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาขันธ์ 5 จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์ได้เมื่อใดแล้วอัตตาหรือความมีตัวมีตนจะหมดไป ความโกรธมีเกิดขึ้นแล้วดับไปทันทีไม่ยึดเอาความโกรธมาเป็นของตน ก็จะอยู่กับความทุกข์ใจได้โดยไม่ทุกข์


    3) ดิฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งปฏิบัติธรรมเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน เวลาเขาทุกข์ใจระลึกถึงครูบาอาจารย์แล้วครูบาอาจารย์ท่านนั้นก็มาเข้าฝันสอนเขาแทบทุกครั้ง แต่ทำไมเวลาดิฉันทุกข์แสนสาหัสระลึกถึงครูบาอาจารย์ท่านนั้น ท่านก็ไม่เคยไปเข้าฝันสอนดิฉันสักครั้งเดียว จะต้องปฏิบัติอย่างไรค่ะ ครูบาอาจารย์ถึงจะรับรู้ได้

    คำตอบ
    มีผู้อื่นเป็นที่พึ่งได้เป็นสิ่งดี หากพัฒนาจิตตัวเองให้มีธรรมะคุ้มครองใจได้แล้วพึ่งธรรมะที่มีอยู่ในใจตนเองได้นั้นดีที่สุด

    เหตุที่ระลึกถึงครูบาอาจารย์แล้วท่านไม่มาปรากฏในนิมิต แสดงว่าเครื่องรับส่งของครูบาอาจารย์ กับเครื่องรับส่งของศิษย์ มีความถี่ของช่วงคลื่นจิตไม่ตรงกันจึงสื่อสารกันไม่ได้ ด้วยวิธีเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องไปใช้วิธีการสื่อสารอย่างอื่นแทน หรือจะให้ดีที่สุดต้องพัฒนาจิตของตัวเองให้มีคุณธรรมอยู่ในระดับเดียวกันกับคุณธรรมที่มีอยู่ในวิญญาณของครูบาอาจารย์ได้แล้ว การสื่อโทรจิตจึงมีความเป็นไปได้
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ขณะบวชเนกขัมมะ แต่ไม่ได้ทานข้าวที่ทางวัดจัดไว้ให้ แต่นำเงินส่วนตัวไปซื้อทานเอง เนื่องจากนักบวชมีจำนวนมากต้องเข้าคิวรับอาหาร จึงกลัวว่า จะทานไม่เสร็จทันก่อนเที่ยงวัน การกระทำลักษณะนี้ ผิดศีลหรือไม่และบาปหรือไม่คะ

    คำตอบ
    ไม่ผิดศีล และจะไม่เป็นบาปกับผู้เข้าบวชเนกขัมมะก็ต่อเมื่อ รับประทานอาหารได้หมดจดไม่เหลือทิ้ง ไม่ยืนรับประทานอาหารไม่รับประทานอาหารจนอิ่มเกินไป มีจิตไม่ตกเป็นทาสรสชาติของอาหารฯลฯ


    2.ที่บ้านขายของชำ ของชำที่ขายจะมีสิ่งเสพติดอยู่ด้วย เช่นบุหรี่ เหล้าเบียร์ อยากทราบว่า เราถือศีล 5 หรือศีล 8 และขายของเหล่านี้จะผิดศีลและบาปหรือไม่คะ

    คำตอบ
    ตัวเองไม่ผิดศีล แต่เป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นประพฤติทุศีล เป็นมิจฉาอาชีวะจึงต้องรับอานิสงส์บาปนั้นด้วย


    3. ได้อ่านหนังสือจากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านอธิบายว่าคนเราสามารถเบิกบุญมาใช้ได้แห มือน การเบิกเงินจากธนาคาร และการจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลต้องกล่าวชื่อและผู้ที่เราจะอุทิศก่อนที่จะสวดมนต์และนั่งสมาธิ และอุทิศอีกครั้งหลังจากการนั่งสมาธิเสร็จ เพื่อให้ผู้รับได้เตรียมตัวรับ เพราะผู้รับบางท่านจะไม่สามารถรับได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เปรียบเหมือนกับการบอกกล่าวให้ผู้รับบุญได้ทราบก่อน และหากอุทิศหลังจากนั่งสมาธิแล้วผู้รับบุญบางท่านจะรับไม่ทันเปรียบเหมือนการเปิดน้ำเต็มที่ออกมาในคราวเดียว ก็จะมีความแรงของน้ำที่มาก ผู้ที่มีบุญมากจะมีโอกาสรับได้มากเหมือนมีภาชนะใส่น้ำขนาดใหญ่สามารถรับได้เต็มที่ ส่วนผู้ที่มีบุญน้อยก็จะได้รับน้อยไปตามลำดับเหมือนมีภาชนะขนาดกลางและเล็กลดหลั่นกันลงไปแต่ผู้รับบุญบางคนไม่มีภาชนะใส่น้ำเลยก็อาจไม่ได้รับน้ำเลย จึงขอความกระจ่างในเรื่องนี้ด้วยคะ

    คำตอบ
    ผู้ใดมีบุญเก็บสั่งสมอยู่ในจิตใจสามารถนำบุญออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์เมื่อใดก็สามารถทำได้ และผลสำเร็จของการอุทิศบุญกุศลจะเกิดได้ต้องถึงพร้อมด้วยองค์ 3 คือ มีผู้อุทิศบุญ มีบุญอุทิศให้และมีผู้มารับ (อนุโมทนา) บุญ

    การอุทิศบุญเจาะจงให้ผู้รับเพียงรายเดียว ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงอยู่ในฐานะที่มาอนุโมทนาบุญได้และได้มาอนุโมทนาบุญ เขาจะได้รับบุญมากหรือน้อยอยู่กับคุณธรรมของผู้รับและผู้ส่งบุญ

    หากผู้อุทิศบุญอุทิศให้สรรพสัตว์ไม่เจาะจง สรรพสัตว์ใดอยู่ในฐานะที่มาอนุโมทนาบุญได้เขาจะได้รับบุญมากหรือน้อยลดหลั่นไปตามระดับของคุณธรรมที่มีอยู่ไม่เท่ากันในใจของสรรพสัตว์
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้อ่านหนังสือทางสายเอกจบในรวดเดียว และเป็นจุดที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในใจ และได้ตระหนักถึงการดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตครอบครัวแต่งงานได้ 4 ปี มีลูกสาวหนึ่งคน เป็นครอบครัวเดี่ยว สภาพความสัมพันธ์กับสามีกระท่อนกระท่อน สาเหตุเนื่องจาก สามีชอบดื่มเหล้า ชอบงานสังสรรค์ มากกว่าชอบอยู่บ้านเพื่อช่วยกันเลี้ยงลูก และด้วยเหตุที่ทำงานทั้งสองคน ต้องเดินทางเสมอ ดิฉันเป็นฝ่ายเสียสละ ไม่ไปร่วมการประชุมที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ไปงานสังสรรค์ต่างๆ กิน-ดื่มซึงมีแทบทุกวัน

    ด้วยเหตุที่ไม่ชอบอยู่แล้วและอยากอยู่บ้านเลี้ยงลูก สามีมีข้อเสียด้านการพูด บางครั้งเมาก็จะพูดจาตำหนิ บางครั้งดิฉันทนไม่ได้ตอบกลับไป ก็จะโดนด่ากลับคืนด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบ แต่ดิฉันไม่โกรธ เนื่องจากคิดได้ว่าตัวเองก็ว่าเค้าเหมือนกัน ครั้งหนึ่งดิฉันสุดทนเพราะ อดนอน เหนื่อยกับการงานและเลี้ยงลูก ประกอบกับป่วยเลยกรี้ดลั่นบ้าน สามีเลยออกจากบ้านไปเมา กลับมาแล้วบอกเลิก เก็บข้าวของย้ายไปนอนอีกห้อง หาว่าดิฉันไม่เคยสนับสนุนด้านการงาน และเรียนไม่จบเพราะเกรงใจดิฉันที่ไม่กล้าออกไปทำงานวันหยุด ซึ่งไม่เป็นความจริง จริงๆ แล้ว ดิฉันกลางวันทำงาน เช้า-เย็นดูแลลูก กลางคืนก็อดนอนตื่นมาดูแลลูก จริงๆ สามีก็ช่วยงานบ้าน แต่ก็มักตำหนิว่าดิฉันไม่ทำอะไรเลย (ดูแลลูกอย่างเดียว) แต่เค้าก็มีเวลาดูทีวี สังสรรค์ เกือบจะทุกวัน (ตามประสาสังคมเกษตร ? ดิฉันจบโทโรคพืช , สามีเพิ่งจบโทอีกสาขาหนึ่ง ) ช่วงหลังดิฉันเฉยชากับเค้าเพราะรู้สึกไม่ดีที่โดนแบบนี้บ่อยๆ ดิฉันอดทนมาประมาณ 2 ปีเศษ ครั้งสุดท้ายที่คิดว่าทนไม่ไหวแล้ว เพราะดิฉันกล่าวพาดพิงถึงบุพการีเค้าว่าอยู่ที่ร้านเหล้าหรือ ถึงได้ไปทุกวัน แต่ลูกอยู่บ้านนี้นะ เค้าโกรธมาก เดินขึ้นมาด่าถึง 2 รอบ ดิฉันเฉยเสีย เพราะกลัวโดนทำร้าย และวันถัดมาบอกกับเค้าว่าจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน ไม่ขออยู่ต่อไปแล้ว บางครั้งที่เค้าเมาตื่นขึ้นมาพาลูกขับรถเดินทางไปบ้านแม่เค้า ดิฉันไม่สามารถห้ามได้ กลัวเกิดอุบัติเหตุ ดิฉันเคยโดนสามีทำร้ายแต่ไม่รุนแรงมากเมื่อลูกยังเล็ก เพราะสามีเมาแล้วนอนดิ้นมาทับลูก ดิฉันผลักออกเค้าเลยโกรธ ด่าทอต่างๆ และไล่ดิฉันออกจากบ้าน แรกๆ ก็คิดว่าทนได้

    มาถึงวันนี้คิดว่าไม่สามารถทนได้อีกต่อไป คิดถูกหรือเปล่าที่พาลูก 3 ขวบกว่า ย้ายกลับไปทำงานอยู่บ้านเกิด เป็นการหนีหรือเปล่า ถ้าอยู่ต่อไปจะทำอย่างไร ถ้าสามียังไม่เลิกดื่มเหล้า สามีเป็นคนมีมานะทิฐิสูงมาก ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ไปไหนไม่เคยบอกดิฉันเลย ดิฉันต้องเป็นฝ่ายบอกทุกครั้งถึงจะได้รู้ว่าเค้าก็จะไม่อยู่ เค้าไม่พูดไม่บอกลูกเช่นกัน บางครั้งไม่สนใจลูกเลยสามสี่วัน ไม่พูดไม่ถาม สามีฟังธรรมมะทุกวัน หนังสือก็อ่าน อ่านหลายเล่มมาก ดิฉันอ่านทางสายเอก ก็เพราะเห็นวางอยู่ในห้องเค้า อ่านไปดิฉันรู้สึกขนลุกซู่ และอนุโมทนาสาธุที่ได้อ่านหนังสือดีๆ รู้สึกสบายใจมาก พออ่านจบก็ไปสวดมนต์ เข้านอน บอกเลิกบอกลาสิ่งที่เคยโกรธเค้าไว้ ขออโหสิกรรม เช้ามาเจอเลย ลงมาข้างล่างจอทีวีเปิดขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ กดปิดจนแน่ใจว่าดับสนิทแล้ว และตรวจดูอย่างอื่นก่อนแล้วขึ้นนอนกับลูก และอยู่กันสองคน ดิฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ และไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ ดิฉันสนใจเรื่องการทำสมาธิ คงทำที่บ้านบ้าง เพราะมีภาระเรื่องลูกมาก

    คำถามคือ จะทำอย่างไรถึงจะอยู่กับคนแบบนี้ได้โดยไม่ทุกข์มาก ทุกวันนี้ได้แต่พยายามตามดูอารมณ์ตนเอง บางวันก็ตก บางวันก็ดี ที่ต้องคิดมากเรื่องย้ายเพราะมีลูกเข้ามาเกี่ยวข้อง กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ

    คำตอบ
    การโต้แย้งโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้ง (อกุศลกรรมบถ) เป็นพฤติกรรมของผู้ที่จะนำชีวิตไปสู่ความวิบัติในกาลข้างหน้า คนมีโทสะเป็นคนมีอารมณ์ร้อนและยิ่งทุศีลด้วยแล้วยิ่งมีบาปเพิ่มมากขึ้น คนมีเมตตาเป็นคนมีอารมณ์เย็นและยิ่งมีศีลด้วยแล้วยิ่งมีบุญเพิ่มมากขึ้น ในอดีตพระพุทธะเสด็จไปยังหมู่บ้านพราหมณ์ในชนบทของแคว้นโกศลและได้ตรัสกับหมู่พราหมณ์ว่า “ การประพฤติอกุศลกรรมบถ เป็นหนทางสู่นรก ” และยังได้ตรัสกับเทวดาที่วัดเชตวันกรุงสาวัตถีที่มาขอให้ตรัสความเป็นมงคล ซึ่งในข้อแรก ให้เว้นคบคนพาลแล้วจะเกิดเป็นมงคล ด้วยเหตุนี้เมื่อเทวปุตตมารเข้าใกล้ หมู่เทวดาจะหนีห่างไกลสุดขอบจักรวาล

    ผู้ใดประสงค์แก้ปัญหานี้ให้ทุเลาลง ต้องเจริญขันติบารมี และเจริญพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังมากยิ่งขึ้นพร้อมกับรักษากุศลกรรมบถ 10 ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่นแล้วความจริงที่ว่า “ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ก็จะกระจ่างแจ้งกับใจของตนเอง
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ตามหนังสือที่หนูอ่าน เขาบอกว่า เมื่อตายเเล้วคนเราต้องไปเกิด ทันที หมายความว่ายังไงคะ อย่างเช่น น้องชายหนูเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อ 25 สิงหา 50 ที่ผ่านมานี้ ถ้าเป็นแบบที่หนังสือบอก น้องของหนูก็ต้องไปเกิดเเล้ว และถ้าเป็นแบบนั้น การที่หนูทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ไปให้ น้องหนูจะได้รับเหรอคะ รบกวนอาจารย์อธิบายบอกหนูเป็นธรรมทานด้วยน่ะคะ

    คำตอบ
    การตายมี 2 ลักษณะ เมื่อครบอายุขัยแล้วตาย จิตออกจากร่างเดิมแล้วจะไปเข้าอยู่อาศัยในร่างใหม่ทันที ดังตัวอย่างของสิริมาโสดาบันตายเมื่อถึงอายุขัยแล้วไปปฏิสนธิในร่างของนางฟ้าโสดาบันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวตีทันที วัสสการพราหมณ์นักปราชญ์แห่งกรุงราชคฤห์ตายแล้วไปปฏิสนธิในร่างใหม่เป็นลิงทันที ฯลฯ

    การตายในลักษณะที่สอง คือ ตายก่อนครบอายุขัย เช่นถูกรถยนต์ชนตายจมน้ำตาย ฉีดยาตัวเองแล้วตาย ฯลฯ เหล่านี้จะยังไม่ไปเกิดในภพใด ๆ แต่จะอยู่ในรูปนามเดิมที่เป็นทิพย์มีลักษณะเหมือนก่อนตายทุกประการ ใครที่เคยรู้จักเมื่อพบเห็นสัมภเวสีนี้ก็จำได้ ต้องเสวยวิบากในรูปของสัมภเวสีนี้จนครบอายุขัย แล้วจึงจะไปเกิดในร่างใหม่ภพใหม่ได้

    ในขณะเสวยวิบากเป็นสัมภเวสีญาติมิตรอุทิศบุญกุศลให้ได้ และเมื่อสัมภเวสีมาอนุโมทนาบุญความสมปรารถนาในการอุทิศบุญก็จะเกิดขึ้น


    2. สัมภเวสี คืออะไรคะ การเป็นสัมภเวสีจะทำอย่างไรให้หลุดพ้นคะ หนูเคยสงสัยมากๆๆๆ ว่า ตายแล้วไปไหน คนตายจะใช้เวลาของพวกเขาไปที่ไหน อย่างไร มีผู้รู้บางท่านบอกหนูว่า น้องชายหนูตอนนี้เป็นสัมภเวสี อยู่ เพราะว่า เขาตายทั้งๆที่อายุขัย เขายังไม่หมด หนูก็เลย งง มากๆคะ ว่า ถ้าอายุขัยไม่หมด แล้วทำไมตายได้คะ

    คำตอบ
    สิ่งที่ผู้รู้บอกกล่าวนั้นถูกแล้ว เหตุเพราะมีอุปฆาตกรรมให้ผลตัดรอน จึงต้องตายก่อนครบอายุขัย หากคำตอบนี้ยังไม่ทำให้ผู้ถามหายสงสัย ผู้ถามต้องเข้าให้ถึงประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง พัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌานจนช่ำชอง แล้วลองไปนั่งเข้าฌานตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุด้วยตนเอง โอกาสพบกับน้องชายในร่างของสัมภเวสีมีความเป็นจริงได้


    3. การกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล ถ้าเรากรวดให้กับหลายๆคน หลายๆท่าน ทุกๆคนที่เรากรวดให้ เขาจะได้บุญเท่าๆกันมั้ยคะ หรือว่า ต้องไปแบ่งบุญกัน ใครเเข็งเเรงกว่าก้ได้ไป เป็นแบบนั้นรึเปล่าคะ

    คำตอบ
    ได้บุญไม่เท่ากันตามระดับของคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของผู้มาอนุโมทนาบุญซึ่งมีคุณธรรมสั่งสมไว้ในดวงจิตไม่เท่ากัน เปรียบเทียบได้กับการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดของพระพุทธะ เช่นพระนางเขมา ฆราวาสพาหิยะ พระสุกกา ฯลฯ บรรลุอรหัตผลก่อนบวชโสปากะ ทัพพะ อุตตมา ฯลฯ บรรลุอรหัตผลเมื่ออายุได้ 7 ขวบ พระอานนท์บวชอยู่นานถึง 44 ปี จึงได้บรรลุอรหัตผล เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีคุณธรรมสั่งสมมากไม่เท่ากัน
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ภาวะที่ความคิดภายในทุกอย่างหยุดนิ่ง เงียบสงัดและเงียบสนิทจริง ๆ (ภายใน) เกิดขึ้นระหว่างทำสมาธินั้น คืออะไร ดิฉันมีประสบการณ์นี้ 1 ครั้ง มีความสุขมากจริง ๆ ค่ะ

    2. เมื่อวานนี้ ขณะที่เพิ่งเอนกายลงนอน และปิดตาลง แต่ยังไม่หลับ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าแขนสองข้างหายไป
    ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเอนกาย และแขนไม่ได้ชาหรือถูกทับ เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณ 2-3 นาที แรกๆ ก็ตกใจ แต่ก็ไม่ลืมตา สักพักมันก็จะหายไปเอง ก่อนที่จะนอนหลับไป แต่ระหว่างที่รู้สึกแขนหายไป ยังไม่หลับแน่นอน เพราะยังได้ยินเสียงทีวีชัดเจนค่ะ ไม่ทราบว่าคืออะไรคะ


    คำตอบ

    (1) สภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว (เงียบสงัด) จะเกิดขึ้นกับจิตของผู้เข้าถึงความตั้งมั่นสูงสุดระดับหนึ่ง ที่ให้ผลเป็นฌานสุขที่มีความละเอียดประณีตเป็นความสุขที่คนรู้ไม่จริงเช่น ฤาษีต่างต้องการและแสวงหา

    (2) นั่นเป็นเรื่องของจิตที่มีความตั้งมั่น ระดับที่ทำให้เกิดสติระลึกได้ในกาย (กายคตาสติ) แล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าอวัยวะที่ถูกสมมติเรียกว่าแขนหายไป (อนัตตา) ตามกฎของไตรลักษณ์ ควรเจริญกรรมฐานในแนวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งเห็นชัดในกายว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ที่แท้จริงแล้วปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงเกี่ยวกับร่างกายจะเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางร่างกายแล้วว่างเป็นอุเบกขาแล้วมรรคผลแห่งความเห็นแจ้งจะเกิดขึ้นเด่นชัด
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.อยากทราบวิธีปฏิบัติเวลาเดินสวนกับพระสงฆ์ค่ะ
    ถ้าดิฉันหยุดแล้วพนมมือขึ้นตรงหว่างคิ้วอย่างนี้ ปฏิบัติถูกมั้ยคะ ต้องย่อหรือคุกเข่าหรือเปล่า

    2.อยากทราบกรรมที่ทำให้รูปร่างหน้าตาสวยงามว่าใช่เพียงการรักษาศีลอย่างเดียวหรือไม่คะ หรือต้องอาศัยทำบุญด้วยดอกไม้ของหอม แล้วเหตุใดรูปงามในปัจจุบันจึงมีโอกาสผิดศีลข้อ 3 ได้ง่าย เพราะหน้าตาดี มีคนมาชอบมากมาย ทำให้หลงในรูปจนหลงผิดไปในเรื่องอื่นๆด้วย


    คำตอบ

    (1) ประพฤติดีแล้วหากจะให้งามและมีสถานที่อำนวยต้องนั่งพับเพียบและพนมมือไหว้ที่ระดับอก แล้วกล่าวคำว่า “ นมัสการเจ้าค่ะ ”

    (2) งามภายนอกคืองามทางร่างกายต้องเสริมสวยเป็นความงามทางโลก ที่เนื่องด้วยกาลเวลาและเป็นความงามที่ไม่คงทนดังเช่น ภิกษุณีอรหันต์ที่ชื่ออัมพปาลี ได้รำพึงถึงร่างกายตัวเองในวัยชราว่า “ ผมที่เคยดำสนิทเหมือนสีของปีกแมลงภู่ บัดนี้ความแก่ทำให้ผมเหล่านั้นมีสีเหมือนเปลือกต้นปอและมีกลิ่นเหม็นสาบเหมือนขนแกะ ฟังที่เคยแลดูเรียบเหมือนผลกล้วยอ่อน กลับมาหักหลุดล่วงและมีสีเหลือง นิ้วที่เคยงดงามแต่ความชราทำให้บิดงอเหมือนหัวมัน ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ผู้เห็นแจ้งในสัจจธรรมจึงแต่งใจตนเองให้งามด้วยการมีศีลคุมใจได้แล้วจะงามข้ามภพข้ามชาติได้

    การเอาดอกไม้ของหอมมาประดับผมเป็นการเพิ่มราคะให้กับตนเองและผู้ได้รับสัมผัส หากเมื่อใดจิตขาดสติกำกับโอกาสละเมิดศีลข้อ 3 ย่อมเกิดขึ้นได้ หรือหากทำบุญด้วยดอกไม้ของหอม เมื่อกรรมแสดงผลจะออกมาในรูปของการชื่นชมยินดีจากคนที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วย
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1) ในเรื่องการใส่บาตรพระตอนเช้า ดิฉันต้องรีบออกไปทำงานแต่เช้ามืด จึงไม่สามารถรอพระเดินรับบาตรได้ แต่ดิฉันเตรียมทำอาหารไว้ให้พร้อมแล้วฝากให้คุณแม่ไปใส่บาตรแทน อย่างนี้ดิฉันทำได้หรือไม่ , บาปหรือไม่ที่ฝากคุณแม่ทำ , และบุญกุศลที่คุณแม่กับดิฉันได้รับแตกต่างกันอย่างไร , และถ้าหากดิฉันไม่ได้ใส่บาตรทุกวันแต่อาจจะใส่ช่วงวันหยุด เดือนละ 2-4 ครั้ง แต่เลือกไปใส่บาตรกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะดีกว่าไหมเพราะคิดว่าถึงแม้จะไม่ได้ใส่ทุกวันแต่ถ้าเลือกไปใส่บาตรด้วยตนเองและพาคุณแม่ไปด้วย โดยใส่บาตรทำบุญกับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็จะได้กุศลมากกว่าที่จะใส่บาตรทุกวันกับพระที่ไม่ปฏิบัติ

    คำตอบ
    เมื่อมีเหตุจำเป็นให้คนอื่นนำอาหารไปใส่บาตรแทนสามารถทำได้ การปรุงอาหารสำหรับนำไปใส่บาตรพระเป็นบุญ การใช้ให้แม่ใส่บาตรแทนเป็นบาป ฉะนั้นงานนี้ได้ทั้งบุญและบาป แต่ได้บุญมากกว่าบาปถ้าแม่เอ่ยปากว่า “ หากลูกไม่มีเวลา ให้เตรียมอาหารไว้แล้วแม่จะนำไปใส่บาตรให้ ” อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นบาป

    ส่วนที่ว่าแม่หรือลูกใครจะได้บุญมากกว่า ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของผู้กระทำคือมีความศรัทธาก่อนทำบุญ ขณะปรุงอาหารหรือนำอาหารใส่ลงในบาตรมีความตั้งใจ และหลังจากใส่บาตรแล้วเกิดเป็นความอิ่มใจทั้ง 3 ปัจจัยนี้ใครมีมากกว่าคนนั้นได้บุญมากกว่า

    ทำบุญกับพระที่มีคุณธรรมสูง เช่นพระสุปฏิปันโน พระที่ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย ย่อมได้บุญมากกว่าพระสงฆ์ที่มีความประพฤติตรงข้าม


    2) ในเรื่องของการให้ทาน ดิฉันเข้าใจว่าไม่ว่าจะให้ขอทานหรือช่วยเหลือคนที่ยากจนเดือดร้อนก็เป็นการให้ทานเช่นกัน ดิฉันคิดถูกหรือไม่ อย่างเช่น ดิฉันเอาเงินให้ทานคนที่นั่งขอทานอยู่ตามริมฟุตบาท ตามสะพานลอย ซึ่งดิฉันก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขาลำบากเป็นขอทานจริง หรือถูกพวกแก๊งค์บังคับให้มาขอทาน แต่ทั้งนี้การที่เขามานั่งตากแดดตากลมขอทานหรือถูกบังคับมาก็ย่อมต้องได้รับความลำบากทุกข์ทรมาน เมื่อดิฉันให้ทานไปอย่างนี้ดิฉันได้บุญได้บาปแตกต่างกันอย่างไรค่ะ และการที่ดิฉันให้ทานบางครั้งก็เป็นตัวเงิน แต่ขอทานที่รับไม่พอใจในจำนวนเงิน หรือบางครั้งดิฉันก็ให้ทานเป็นอาหาร แต่ขอทานที่รับไม่พอใจอยากได้เงินมากกว่าอาหาร อย่างนี้ดิฉันจะได้บุญหรือบาปค่ะ

    คำตอบ
    การให้สิ่งของเป็นทานกับผู้เดือดร้อนต้องการ ถือว่าเป็นทานทานชนิดไหนจะให้อานิสงส์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของทานขึ้นอยู่กับผู้ให้ทานและผู้รับทานให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน ได้บุญมากกว่าให้แล้วหวังผล หากผู้รับมีคุณธรรมสูงอานิสงส์ของทานย่อมมีมาก หากผู้รับทานมีคุณธรรมต่ำอานิสงส์เกิดน้อย หากผู้ให้ทานเป็นต้นเหตุทำให้ผู้รับทานเกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้น ผู้ให้ทานต้องรับอานิสงส์บาปนั้นด้วย
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1) ดิฉันขอถามปัญหาธรรมะ ว่า ในการปฏิบัติขั้นกลางคือการนั่งสมาธิ ดิฉันปฏิบัติโดยนั่งสมาธิแล้วระลึกรู้อยู่กับคำภาวนา เช่น พุธโธๆๆๆ... ไม่ส่งจิตออกนอกกายเพียงอย่างเดียวไปตลอดเวลา ทำแบบนี้จะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่ ปฏิบัติอย่างนี้ในทุกครั้งที่นั่งถูกต้องไหม และการที่บางครั้งเมื่ออยู่กับพุธโธ นาน ๆ จนนิ่งเป็นสมาธิ จะต้องให้นิ่งถึงแค่ไหนจึงจะพิจารณากายได้ ( ยังแยกไม่ออกระหว่างสมถะ กับ วิปัสสนา) หรือเป็นปัจจัตตังที่เมื่อปฏิบัติแล้วเมื่อถึงเวลาของแต่ละบุคคล บุคคลนั้นก็จะหาคำตอบได้เอง

    คำตอบ
    การภาวนาที่ได้ผลคือมีจิตระลึกรู้อยู่กับลมหายใจเข้าและระลึกรู้อยู่กับลมหายใจออกตลอดเวลาที่ปฏิบัติ สมาธิย่อมเกิดขึ้นแน่นอน สมาธิที่จะนำไปเจริญวิปัสสนาได้ต้องเป็นสมาธิระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) นำสมาธิระดับนี้ไปเจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ววิปัสสนาญาณสามารถเกิดขึ้นได้

    ผลที่เกิดจากการปฏิบัติสมถภาวนา คือจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิส่วนผลที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะต่าง ๆ ที่เข้ากระทบจิตแล้วดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ ลักษณะทั้งสองอย่างนี้ จะรู้เห็นเข้าใจ (สนฺทิฏฐิโก) ด้วยจิตของผู้เข้าถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติด้วยตนเอง


    2) การสวดมนต์ บทสำคัญๆ ก่อนนั่งสมาธิ กับไม่สวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิอย่างเดียวทุกวัน จะทำได้หรือไม่ มีผลแตกต่างกันอย่างไร

    ขอขอบพระคุณท่านดร.สนอง ที่เสียสละเวลามาตอบปัญหาค่ะ ....ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    สามารถทำได้ หากจิตของผู้ไม่สวดมนต์มีกำลังของสติมากพอแต่ถ้ากำลังของสติยังมีไม่มาก ควรสวดมนต์เพื่อสร้างสติให้มีกำลังได้ก่อน แล้วจึงปฏิบัติจิตตภาวนาภายหลัง
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เรียนมาเยอะก็จนปัญญา เวลาที่ชาวไร่ชาวสวนมีปัญหามาถามก็ต้องแนะนำให้พ่นสารเคมีกำจัดโรค-แมลงอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็คือยาพิษดีๆนี่เอง ขอความกรุณาชี้แนวทางด้วยค่ะ

    2. มีหลานอยู่ชั้น ม.ต้น เวลาเช้าพ่อแม่ต้องเคี่ยวเข็ญกว่าจะขยับได้แต่ละอย่าง ตื่นมาก็รำกระบี่กระบองเล่น เข้าห้องน้ำก็ไปหลับในห้องน้ำ ไปโรงเรียนแทบจะไม่ทัน มีธรรมะข้อไหนช่วยได้บ้างคะ

    คำตอบ
    (1) ความรู้ทางโลกคือตัวปัญญาไอคิว สามารถเขาถึงเหตุและผลได้จริงแต่ปัญญาตัวนี้มิได้คำนึงถึงศีลธรรม การใช้ปัญญาไอคิวมาแก้ปัญหาจึงสามารถแก้ได้ แต่เกิดโทษตามมาภายหลังด้วยเหตุนี้ผู้ที่เกรงกลัวบาป จึงควรพัฒนาปัญญาสูงสุด (ญาณ) ซึ่งเข้าถึงความจริงแท้ ความจริงที่อยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม เมื่อนำมาใช้แก้ปัญหาแล้วไม่เป็นโทษกับผู้ใช้

    (2) ต้องฝึกจิตก่อนนอน คือให้สวดมนต์ แล้วปฏิบัติจิตตภาวนา ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าว่า “ พุธ ” กำหนดลมหายใจออกว่า “ โธ ” ประมาณ 15 นาทีก่อนนอนทุกวันแล้วปัญหาที่บอกเล่าไปก็จะถูกแก้ไขได้
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันปฏิบัติธรรมแนวพองหนอ ยุบหนอ มีความก้าวหน้าพอใช้ แต่ตอนนี้กำลังเผชิญกับการนินทาใส่ร้ายป้ายสีอย่างหนัก เดินไปที่ไหนมีแต่คนหัวเราะเยาะ ไม่น่าเชื่อว่า คนสมัยนี้จะขาดปัญญาพิจารณาอย่างมาก เรื่องไม่เป็นเรื่องก็อุตส่าเชื่อกัน คิดว่าเป็นเรื่องของกรรมเวร แต่เมื่อเกิดเหตุครั้งใดก็จะมีเพื่อนคอยช่วยเหลือ พอข่าวนี้ซา ข่าวใหม่ก็มา เป็นอยู่อย่างนี้ จนดิฉันบอกกับเพื่อนว่า ไม่ต้องแล้วล่ะ ปล่อยไปตามกฏแห่งกรรม

    ดร.สนองเคยเจอการนินทาใส่ร้ายป้ายสีบ้างไหมคะ ดิฉันอ่านประวัติพระอาจารย์หลายรูปก็เจอแบบนี้ แต่ท่านก็ผ่านไปได้ เวลานี้ดิฉันก็เดือดร้อนใจน้อยลงมาก ไม่รู้ว่าชินหรือการปฏิบัติก้าวหน้า ทั้งยังคิดตามคำสอนท่านด้วยว่า เป็นเรื่องของเขา ทำตัวเป็นหูกะทะ แต่ทีนี้มันเบื่อเหลือเกิน เมื่อไรจะสิ้นสุดสักที บางครั้งก็กลัวอันตราย เพราะคนกลุ่มนี้กินเหล้าเมายา ร้องเพลงเปิดเพลงเสียงดัง (ปัจจุบันต้องเลิกเพราะกลัวเพื่อนดิฉัน) มีแต่มิจฉาทิฐิครอบงำ ตัวหัวหน้าเหมือนจะเคยประกอบอาชีพทุจริตอีกต่างหาก ล้อชื่อพ่อแม่บ้าง แกล้งเอาขยะ เอาขี้หมามาวางหน้าบ้านบ้าง ปัจจุบันโกรธเป็นบางครั้งแต่ค่อนข้างเบาบาง เวลานั่งกรรมฐานแล้วความเกลียดมันพุ่งขึ้นมาเลย ตอนปกติจิตจะวางเฉยมาก ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ

    ขอขอบพระคุณท่านดร.สนองที่กรุณาตอบคำถามและขออนุโมทนาสาธุกับบุญกุศลที่ท่านได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

    คำตอบ
    ใครผู้ใดถูกพูดนินทา ถูกกลั่นแกล้ง แล้วเกิดอารมณ์หวั่นไหว เกิดอารมณ์เบื่อหน่าย นั่นแสดงถึงจิตที่มีกำลังของสติอ่อนและมีปัญญาเห็นผิดไปรับเอาสิ่งกระทบที่ขัดใจมาปรุงเป็นอารมณ์แล้วยึดเอาอารมณ์ไม่ดีมาเป็นของตัวเอง หากคุณเลื่อมใสศรัทธาในธรรมของพระพุทธะ ว่าธรรมะเป็นสิ่งมีจริง ดีจริงและแก้ปัญหาได้สิ้นสุด คุณต้องเชื่อในผู้รู้ว่า คนที่พูดนินทาคน ที่กลั่นแกล้งคุณเขาเป็นเหมือนครูที่มีบุญคุณทำให้คุณได้สร้างขันติบารมี คุณต้องให้อภัยให้ได้ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น แล้วเมตตาจะถูกสร้างและสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของคุณได้จากนั้นจึงฝึกจิตให้มีกำลังสติเพิ่มมากขึ้นแล้วจะเห็นว่า คุณเป็นหนึ่งในผู้มีโชคดีไม่ต้องโคจรไปหาครูในที่ห่างไกลเพราะมีครูอยู่ใกล้ตัวนั่นเอง

    การนินทาให้ร้ายเป็นเรื่องของโลกธรรมมีเกิดขึ้นเป็นปกติกับผู้ตอบปัญหา แต่จิตไม่หวั่นไหวด้วยเหตุมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.เป็นคนที่มีสัญญาหรือความทรงจำที่ไม่ดีฝังลึกอยู่ในจิตของเรามาก ควรจะแก้ไขได้อย่างไร พอนึกขึ้นมาได้ทำให้เป็นทุกข์ทุกทีจนบางทีถึงกับอยากตาย แต่ได้มาเจอเว็ปกัลยาณธรรมและได้ฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ก็เลิกความคิดเหล่านั้น ตรงกันข้ามกลับได้เห็นคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่สัญญาที่ไม่ดีเหล่านั้นยังมีทำให้เกิดความแค้นกับคนรอบข้างอยู่ตลอด ขอความกรุณาอาจารย์ชี้แนะด้วย

    คำตอบ
    วิธีกำจัดความทรงจำที่ไม่ดีให้หมดไปทำได้โดย พัฒนาจิตให้เกิดสติและปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูความทรงจำไม่ดีที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเห็นว่าดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์นี่เป็นวิธีแห่งพุทธะ ที่แนะนำให้กำจัดขยะเก่าที่ฝังแน่นอยู่ในจิตวิญญาณให้หมดไป เมื่อไม่มีโปรแกรมติดลบแบบนี้อยู่ในจิต ต้องทำจิตให้ผ่องใสด้วยการเอาสิ่งดีคือธรรม เติมจิตให้เต็มและรักษาสิ่งดีให้คงอยู่กับใจตลอดไป


    2.ทุกวันนี้พยายามฟังธรรมบรรยายสวดมนต์ก่อนนอนและพยายามปฏิบัติสมาธิอยู่ที่บ้าน แต่เวลานั่งสมาธิเกิดความกลัวผี(เป็นคนขี้กลัวมาก)ขึ้นมาเราจะแก้ไขความกลัวอย่างไร และโดยส่วนตัวมีความคิดว่าการปฏิบัติเองโดยไม่มีอาจารย์สอนกลัวว่าจะเสียสติและมีมิจฉาฐิทิ เพราะเคยหลงทางมาแล้วจะไปปฏิบัติที่วัดก็ไม่สะดวกเพราะเป็นผู้หญิงทางบ้านเป็นห่วง เกิดมาเป็นผู้หญิงนี่มันมีกรรมมากกว่าผู้ชายไช่ไหมคะ

    คำตอบ
    วิธีแก้ปัญหาเรื่องกลัวผีต้องเข้าให้ถึงความจริงเรื่องผี แล้วจะไม่กลัวผีอีกต่อไป ไปอ่านหนังสือเรื่อง “ ทางสายเอก ” ของผู้ตอบปัญหาแล้วประพฤติให้ได้ตามที่บอกไว้แล้วคุณจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ปฏิเสธมีผีเป็นเพื่อน

    กรรมคือการกระทำจะบอกว่าชายหรือหญิงใครมีกรรมมากกว่าคงบอกไม่ได้ เพราะทั้งสองเพศมีการเวียนตาย-เวียนเกิดในภพต่าง ๆ เป็นอนันต์ แต่ที่แน่ชัดคือการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุดเพศหญิงต้องมีข้อปฏิบัติที่มากกว่าเพศชาย


    3.จิตอ่อนกับสติอ่อนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีคนบอกว่าถ้าจิตอ่อนไม่ควรไปร่วมงานศพ เพราะจะรับสิ่งไม่ดีเข้ามาจริงหรือไม่คะ ทุกวันนี้ถ้าจะไปงานศพที่บ้านจะเป็นห่วงมาก เพราะกลัวว่าไปแล้วกลับมาจะไม่สบาย มันเกี่ยวกันหรือไม่คะ

    คำตอบ
    จิตอ่อนคือจิตที่มีกำลังสติอ่อน มีกำลังปัญญาเห็นถูกตามธรรมอ่อนมีพลังบุญอ่อนมีพลังของบารมีอ่อน

    จิตทีมีกำลังสติอ่อนจะอยู่ในสถานที่ใด แม้ไปได้เข้าร่วมในงานศพ ก็สามารถรับเอาสิ่งกระทบทั้งดีและไม่ดีเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ทำให้จิตหวั่นไหวได้ ครั้งใดรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดี จิตมีกิเลสเข้าสั่งสม จิตเศร้าหมองเป็นบาป เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผลจึงมีโอกาสไม่สบายได้
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลังจากที่ได้อ่าน "ทางสายเอก" ทุกครั้งที่มีเวลา หนูจะฟังบรรยายของท่านอาจารย์ หรือไม่ก็อ่านหนังสือ หรือไม่ก็ฝึกปฏิบัติทำจิตให้นิ่งตามที่ท่านอาจารย์สอน หนูทำอย่างนี้ทุกวันไม่มีเว้น ทำเพราะใจอยากจะทำ ณ.วันนี้หนูรู้สึกอยากบวชมากเลยค่ะ หนูคิดว่าถ้าเกิดมาเป็นผู้ชายหนูคงลาออกจากงานแล้วไปบวชเป็นพระเพื่อมอบชีวิตนี้ให้กับพระศาสนา แต่ความเป็นจริงหนูเป็นหญิง และมีครอบครัว มีลูก 1 คน ซึ่งครอบครัวหนูค่อนข้างอบอุ่นมาก

    หนูจะพูดคุยเรื่องธรรมะกับลูก กับสามี กับพ่อแม่ ทุกครั้งที่มีโอกาสที่เหมาะสมที่คิดว่าเขามีใจที่จะฟังและคุยกับเราในเรื่องนี้ในเวลานั้น (เพราะหนูอยากให้ทุกคนในครอบครัวได้พบสิ่งอันประเสริฐนี้เช่นกัน โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งท่านก็อายุมากแล้ว) และหนูก็ได้รับการตอบรับที่ดี เวลาที่หนูสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ ลูกสาวหนูจะเข้าใจ ไม่มารบกวน หนูพยายามฝึกสติทุกวัน ตามที่อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนตักน้ำใส่โอ่งวันละนิดละหน่อย หนูไม่เคยต้องฝืนใจทำ หนูกลับมาถามตัวเองว่า "ทำไมถึงได้มุ่งมั่นขนาดนี้" หนูรู้สึกว่าหนูเคารพและศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ทุกครั้งที่สวดมนต์หนูระลึกถึงพระคุณของพระองค์ ทุกครั้งที่หลับตาทำสมาธิจะมีภาพของท่านอยู่ในใจ เหมือนกับว่าเรากำลังปฏิบัติตามท่านอยู่ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและดีมาก ซึ่งสามารถทำให้ใจของหนูนิ่งอยู่ตรงนั้นได้ ไม่ทราบว่าหนูไปถูกหรือผิดทางคะ

    นอกจากนี้หนูก็รู้สึกว่าหนูถึงศรัทธาท่านอาจารย์สนองมากเช่นกัน หนูฟังบรรยายของท่านอาจารย์แทบทุกวัน ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น (หนูอยากฝึกกรรมฐานกับท่านอาจารย์มากเลยค่ะ) เพื่อนหนูบอกว่าหนูไปมากแล้ว !! ทำให้หนูรู้สึกเหมือนว่าเพื่อนต้องการจะบอกว่าหนูกำลัง "หลง" แต่หนูค่อนข้างมั่นใจว่านี่คือ "ศรัทธา" ที่ทำให้หนูมุ่งมั่นศึกษาและปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้

    หนูจึงเรียนมาเพื่อขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างว่าสิ่งที่หนูปฏิบัตินี้ถูกต้องหรือไม่ และควรแก้ไขปรับปรุงอย่างไรค่ะ


    คำตอบ
    ผู้ใดนำพาชีวิตไปในแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรม ประพฤติแล้วไปเกิดปัญหากับชีวิต มีชีวิตอยู่อย่างรู้เท่าทันและไม่เกิดทุกข์ ปลดชีวิตให้เป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุได้ ฯลฯ อย่างนี้ ผู้รู้จริงไม่เรียกว่าหลงทางชีวิต

    เรื่องความศรัทธาเลื่อมใสในผู้ตอบปัญหาเป็นสิ่งดีแต่ศรัทธาเลื่อมใสในธรรมะของพระพุทธะนั้นดีที่สุด แต่ต้องปรับกำลังของศรัทธาให้ใกล้เคียงกับกำลังของปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้วจะไม่ทำให้เกิดเป็นความโลภ แต่จะเป็นศรัทธาที่ยังยืนและเกิดเป็นคุณกับผู้มีศรัทธา
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูรบกวนถามอาจารย์เรื่องบทสวดมนต์ก่อนนอนค่ะ ไม่ทราบว่าจะต้องประกอบ
    ด้วยอะไรบ้าง และหนูต้องสวดบทไหนบ้างค่ะ อยากทำให้จิตใจสงบก่อนนอนและอยากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้อื่นด้วยค่ะ

    กราบขอบคุณอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

    คำตอบ
    การสวดมนต์ก่อนนอน ถือได้ว่าเป็นการเจริญสติก่อนนอน จิตที่มีสติกำกับทำให้นอนหลับสนิทและไม่ฝัน พื้นฐานที่ควรประพฤติบ่อย ๆ ก็คือทำจิตให้มีสติและตั้งมั่นอยู่ในไตรสรณคมน์ด้วยการสวดมนต์ทบอิติปิโส ภควา .... ฯ สวดมนต์บทสวากขาโต ............., สุปฏิปันโน.........จนจบบทสวด ในบทสวดมนต์ไตรสรณคมน์เป็นการระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า คุณความดีของพระธรรม และคุณความดีของพระสงฆ์ ให้เอาความดีเหล่านั้นมาสถิตอยู่ในใจ เอามาเป็นที่พึ่งให้กับตัวเอง ผู้ใดปฏิบัติได้เป็นกิจวัตร ชีวิตนี้จะประสบกับความสวัสดี รุ่งเรือง ปราศจากภัยอันตรายมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว

    หากมีเวลาและมีศรัทธาควรสวดมนต์บทอื่น เช่น เมตตปริตรเพื่อแผ่เมตตาให้กับรุกขเทวา สวดมนต์บทขันธปริตร เพื่อแผ่เมตตาให้กับพญานาคจะได้พ้นภัยจากสัตว์มีพิษทั้งหลายขบกัด สวดมนต์บทโมรปริตร เพื่อคุ้มครองตนให้พ้นจากภัยที่จะเกิดขึ้นให้ห้วงเวลากลางวันและในห้วงเวลากลางคืน และสุดท้ายสวดมนต์บทอาฏานาฏิยปริตรเพื่ออ้างเอาคุณความดีของพระพุทธเจ้า 7 องค์ (พระวิปัสสี พระสิฐี พระเวสสภุ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ พระกัสสปะ พระโคดม) มาคุ้มครองให้เกิดเป็นความสวัสดีแก่ชีวิตตนเอง

    นอกจากนี้ยังมีบทสวดมนต์อื่น ๆ ซึ่งสวดแล้วให้อานิสงส์แตกต่างกันเช่น บทสวดโพชฌงค์ สวดเพื่อให้พ้นจากอาพาธ บทสวดวัฏฏกปริตร สวดเพื่อให้พ้นจากอัคคีภัย บทสวดอังคุลิมาลปริตร สวดเพื่อให้คลอดบุตรง่าย ฯลฯ
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จากการถามและท่านตอบปัญหาธรรมะ รวมทั้งได้อ่านหนังสือธรรมะของท่าน ทำให้ดิฉันสามารถทราบถึงปัญหาและทางแก้ไขที่ทำให้ดิฉันนั่งสมาธินิ่งได้ยากไม่เหมือนเมื่อก่อน จนปัจจุบันดิฉันได้ปฏิบัติตามที่ท่านชี้แนะ สังเกตได้ว่าดิฉันสามารถนั่งสมาธินิ่งได้เร็วขึ้น (ท่านสอนแก้ได้ถูกจุดมาก) ถึงแม้ดิฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปกราบท่านด้วยตนเอง แต่ดิฉันก็คิดเสมอว่าดิฉันขอนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ เนื่องจากสมัยก่อนดิฉันได้รับการสอนธรรมะจากหลวงปู่มหาปราโมทย์ (วัดป่านิโครธาราม) แต่ปัจจุบันท่านละสังขารไปแล้ว ดิฉัน จึงไม่ทราบจะถามธรรมะจากท่านไหนได้ วันนี้ ดิฉันมีคำถามเพิ่มเติมจากที่ท่านได้สอนไว้

    1) เราจะทราบได้อย่างไรว่าสมาธิของเราเข้าไปในขั้น อุปจารสมาธิ มีอะไรเป็นสัญญาณบอกหรือไม่ และตามที่ท่านสอนว่าสมาธิที่จะนำไปเจริญวิปัสสนาได้ต้องเป็นสมาธิระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) เราสามารถนำสมาธินั้นไปเจริญ สติปัฏฐานสี่ ได้นั้น นำไปใช้อย่างไรค่ะ ขอท่านกรุณาอธิบายและยกตัวอย่างให้ละเอียดขึ้นอีกสักนิด

    คำตอบ
    สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต้องพัฒนาสติให้เกิดขึ้นได้ก่อน จิตที่ตั้งอยู่ในความดีงามคืออย่างน้อยมีศีล 5 คุมใจอยู่ทุกขณะตื่นเมื่อนำจิตมาพัฒนาแล้วจะเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่ายและยิ่งมีกุศลกรรมบท 10 คุมใจ จะทำให้จิตเข้าเป็นสมาธิไดง่ายยิ่งขึ้น ความตั้งมั่นของจิตระดับต้น (ขณิกสมาธิ) มีปีติเป็นเครื่องบ่งบอก เช่นอาการขนลุกตั้งชัน น้ำตาไหล คันตามแขนตามหน้าเหมือนมีแมลงตัวเล็ก ๆ ไต่ รู้สึกแปลบ ๆตัวฟูตัวเบา โยกเยกวุบคล้ายตกจากหน้าผา ฯลฯ เมื่อจิตมีความตั้งมั่นสูงยิ่งขึ้นเป็นอุปจารสมาธิอาการดังกล่าวจะหายไปแต่ปรากฏมีผัสสะเกิดขึ้นสิ่งที่ส่งเข้ากระทบจิตเป็นผัสสะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกายเกี่ยวกับเวทนาเกี่ยวกับจิตปรุงอารมณ์ หรือเกี่ยวกับธรรมโดยเฉพาะนิวรณ์ธรรม (ความพอใจในกามคุณ คิดร้ายผู้อื่น ความหดหู่ซึมเซา ความฟุ้งซ่านรำคาญและความลังเลสงสัย) ต้องตามดูผัสสะเหล่านี้ด้วยจิตที่มีความตั้งมั่นว่า ผัสสะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดที่ผัสสะเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะเห็นแจ้งในสิ่งที่เข้ากระทบจิต ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนคือไม่มีตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางแล้วเกิดความอิสระ หากตามดูจนเห็นแจ้งได้อย่างนี้ในทุกผัสสะแล้วมีอุเบกขารมณ์เกิดขึ้น นี่เป็นวิธีนำสติในระดับอุปจารสมาธิไปพิจารณาสิ่งทั้งหลาย (กาย เวทนา จิต ธรรม) ให้รู้เห็นเท่าทันตามที่เป็นจริงได้แล้ว จิตจะไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้เห็นผิดเห็นเพี้ยนไปจากความเป็นจริงตามอำนาจของกิเลสบงการ
     

แชร์หน้านี้

Loading...