การพิจารณา กิเลส ในใจของตน แบบ ธรรมยุติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ลุงมหา๑, 15 กันยายน 2013.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ความเห็นทางการเมืองต่างมีข้อมูลสะสมไปคนละด้าน
    คนละแหล่งข้อมูล ถ้าบังเอิญข้อมูลมาจากที่เดียวกัน
    ก็เห็นไปทางเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยตรงกัน

    ก็เลยกลายเป็นวิวาทกัน
    แต่ ณ ขณะนี้ หากเรามองการ
    บริหารประเทศในมิติของธรรมะก็อาจกล่าวได้มันก็เป็น
    ตถตา มีความเรียบร้อยบริบูรณ์ดี มีการปรับการปรุง
    เรียบร้อย มีการจัดสมดุลย์ลงตัวในเรื่องการเงิน
    และมีความเป็นธรรมแล้ว
    (มีคนได้เปรียบ มีคนเสียเปรียบ
    ถูกปรับปรุงโดยกุศลกรรม และอกุศลกรรม
    ในอดีตและปัจจุบัน)

    เมื่อมองในมิติการปกครอง มีการปรับการปรุง
    ความเป็นธรรมด้วยการสร้างความชอบธรรม
    จากจำนวนมือของเสียงข้างมาก
    และกำลังพลพร้อมโล่ห์ กระบองประจำกาย
    ของฝ่ายที่ได้อำนาจรัฐ ที่ต้องปราบปราม
    ประชาชนให้สยบราบคาบภายใต้ภาษีที่ประชาชน
    เป็นผู้จ่ายให้เป็นเงินเดือน

    ความเรียบร้อยไร้เสี้ยนหนาม
    ไร้ความคิดเห็นและข้อโต้ใด ๆ ในการบริหาร
    การจัดการงบประมาณแผ่นดิน
    เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

    เหล่านี้ เป็นทัศนะที่เป็นสากลได้อย่างไร
    แต่บังเอิญคนส่วนใหญ่มีทัศนะแบบนี้ ก็เลยลงตัว
    แบบทัศนของลุงมหา๑
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตกลง จะเป็นศิษย์นอกครู (ไม่เชื่อครูสายเทพ ที่สอนยกย่องคนทำผิดศีล)
    หรือจะเป็นผู้สนับสนุนให้คนทำผิดศีลครับ?
     
  3. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    มองเห็นกิเลสในใจตนบ้างไหมครับ

    ขออนุญาตครับ

    ข้อเขียนของคนจะเป็นตัวบอก "ภูมิรู้ ภูมิธรรม" " สติ ปัญญา" ของท่านเอง

    ในขณะเดียวกัน ก็เป็นตัวบอก "กิเลสในใจ" ของท่านเช่นกัน


    ส่วน ภูมิรู้ ภูมิธรรม บอกให้ทราบว่า ผู้เขียน ยังปฏิบัติไปได้ไม่ถึงไหนเลย

    ส่วน สติ ปัญญา บอกให้ทราบว่า ผู้เขียน ยังไม่ทราบว่า ผมเขียนถึงใคร ผมหมายความว่าอย่างไร

    ส่วน กิเลสในใจ บอกให้ทราบว่า ผู้เขียน ยังคงนึกว่าตัวท่านนั้นยังเหนือชั้นกว่าผมมากมายนัก

    แล้วมันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร

    ท่านสมาชิกในเว็บนี้บางท่าน ได้พบปะ ได้พบเจอ ตัวผมแล้ว
    ท่านก็ตกใจมาก ที่ผมพูดคุยในมุมมองที่ท่านเอง ก็คาดไม่ถึง
    เพราะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เกินกว่าจะได้เคยได้ยินที่ใหนมาก่อน

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ กับ ท่านผู้อ่านที่มี ภูมิรู้ั ภูมิธรรม
    และมีสติปัญญา พอจะเข้าใจได้ แม้เพียงส่วนเล็กๆน้อยๆก็ตาม

    ลุงมหา


     
  4. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ธรรมเนียมของฝ่ายธรรมยุติ


    ขออนุญาตครับ

    ธรรมเนียมข้อหนึ่งของฝ่ายธรรมยุติ ที่มีความสำคัญมากๆคือ

    นอกจากจะเคารพ ให้เกรียติกันตามพระธรรมวินัยคือ
    "หลัก อาวุโส ภันเต"
    คือ ผู้บวชทีหลัง หรือ พรรษา น้อยกว่า ต้องเคารพ ผู้ทีบวชก่อน หรือ พรรษามากกว่า

    แต่ ธรรมเนียม อันหนึ่งของฝ่ายธรรมยุติ ที่สำคัญมากๆคือ
    ต้องสอดส่องมองหา ผู้ที่มีจริต มีนิสสัย ใกล้เคียงกับตน
    ต้องสอดส่องมองหา ผู้ที่มีภูมิรู้ มีภูมิธรรม ใกล้เคียงกับตน

    พร้อมกันนั้น

    ต้องสอดส่องมองหา ผู้ที่มีภูมิรู้ มีภูมิธรรม สูงส่งกว่าตน

    เพื่อว่าจะได้สนทนาธรรม แลกเปลี่ยน ประสบการกัน
    จะได้เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน ในด้านต่างๆ

    เมื่อใดก็ตาม ที่มีผู้ สามารถบอก สามารถอธิบาย ธรรม

    ในส่วนที่ตนปฏิบัติไปไม่ถึง
    ในส่วนที่ตนไม่รู้
    ในส่วนที่ตนไม่เข้าใจ

    นั่นแสดงว่า ท่านผู้นั้น มีภูมิรู้ มีภูมิธรรม สูงส่ง กว่าตนแล้ว
    ท่านก็จะยอมรับในทันที ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ


    ศิษย์ธรรมยุติสายปฏิบัตินั้น ไม่ว่า พระ หรือ ฆราวาส
    ต่างก็รักษา ธรรมเนียมอันนี้ อย่างเคร่งครัด

    เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่า เพื่อประโยชน์ของหมู่คณะ
    เพราะ ท่านที่มี ภูมิรู้ ภูมิธรรม สูงกว่า ย่อมทำประโยชน์ให่หมู่คณะได้มากกว่านั่นเอง

    เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่า เพื่อประโยชน์ของตน
    เพราะเมื่อรู้ว่าท่านผู้ใด ภูมิรู้ ภูมิธรรม สูงกว่าตน
    ก็เอาท่านเป็นเป้าหมาย ปฏิบัติ ตามท่านไป
    ติดขัดอันใด ก็ สามารถ ขอคำขี้แนะจากท่านได้

    โดยปรกติ พระเถระผู้ใหญ่ จะบอกเล่าแนะนำเองว่า
    ท่านผู้ใด พอจะแนะนำ ผู้อื่นได้
    ท่านผู้ใด พอจะอบรมสั่งสอน ผู้อื่นได้

    ต่างจากผู้คนในเว็บนี้ ที่ผู้รู้นั้น มีน้อย จนตามหาแทบจะไม่เจอ

    ที่เจอส่วนมากกลับเป็น

    "ตั้งกระทู้ ก็ยังไม่ถูก"
    "แล้วยังไปเที่ยวตอบกระทู้เขาอีกต่างหาก"
    "ร้ายกว่านั้น เอ่ยอ้างคำสอนของครูบาอาจารย์ พระเถระผู้ใหญ่"
    "ยังกับว่า ตนปฏิบัติ จนถึง ภูมิรู้ ภูมิธรรม ระดับนั้นแล้ว"
    "ยังกับจะไม่มีผู้รู้ว่า ปฏิบัติไปถึงไหน กิเลสจะถูกขัดเกลา ลด ละ เลิก ได้ เท่าไร ได้ อย่างไร"

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2013
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เอะอะ อะไร ก็ ฝ่ายของตน แบบของตน พวกของตน ตนรู้เยอะ ผู้อื่นรู้น้อย กลุ่มของตนรู้เยอะ กลุ่มของผู้อื่นรู้น้อย

    แบ่งเขาแบ่งเรา ในใจของตนเอง แล้วยังจะเอาไปแบ่งให้ หมู่เหล่า ของสาวก ของพระพุทธองค์
    การเผยแพร่พุทธศาสนา ไม่ได้กระทำโดยการแบ่งกลุ่ม คัดเลือกผู้ที่ดีกว่าเข้ากลุ่ม และแบ่งแยกเหล่าสัตว์ที่ไม่มีความรู้ หรือ ยังไม่เห็นธรรม ออกจากพวกตน
    การเผยแพร่พุทธศาสนา คือ การสอนให้ผู้ที่ไม่รู้ ให้กลายเป็นผู้ที่รู้ หากตั้งธงเสียก่อนแล้ว ว่า พวกข้ารู้ พวกแกไม่รู้ แกไม่ใช่พวกของข้า

    แบบนี้ เป็นการทำลายพุทธศาสนา...
    สังฆเภท
     
  6. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    .........ผ่านมาเฉยๆ
     
  7. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ผ่านมาแล้ว ก็ฝากนี่ไปพิจารณาด้วยนะครับ

    ผ่านมาแล้ว ก็ฝากนี่ไปพิจารณาด้วยนะครับ

    อ้อ เพิ่มเติมให้อีกนิด

    คนทั่วไปเขามีเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องทุ่นแรง

    แต่ผู้มีบุญบารมี เขากลับมี

    เอาไว้ทุ่นแรงตัวเองยังไงล่ะครับ

    ต่อให้อีกนิด

    "บุญ" นั้น สร้างให้ตัวเอง
    "บารมี" นั้น ช่วยผู้อื่นร่วมสร้างบุญด้วย

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2013
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผู้รู้ย่อมไม่ยึด ผู้ยึดย่อมไม่รู้

    ไม่รู้ คือ ไม่รู้จักทุกข์ที่แท้จริงนั่นเอง

    เมื่อไม่รู้จักทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร

    ศรัทธาต้องมีปัญญา จึงพ้นภัย

    ทิฏฐิมาก ก็ยากที่จะเข้าถึง

    พิจารณาไม่เป็น ก็เย็นไม่พอ

    ...
     
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ขอบคุณครับที่ชี้แนะ
     
  10. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    แท้จริงกิเลสตัณหาอุปาทานนั้นเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง
    กล่าวคือ เป็นสภาวะธรรมที่นำไปสู่ความทุกข์ต่างๆนานานั่นเอง ซึ่งผู้ปฏิบัติต้องก้าวข้ามให้ได้....
    โมทนา...​
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ศาสนาพุทธ..ท่านสอนให้พึ่งตนเอง ไม่ใช่ลูกแก้ว-เหล็กไหล-บารมีใคร.. เจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ยอมก้มกราบพราหม์ เพราะไม่เชื่อถือในคำสอน จึงเสด็จออกบวชเพื่อค้นหาความจริง..มา2500กว่าปีแล้ว จึงพบสัจจธรรม
    อัตตาหิอัตตโนนาโถ..จึงเป็นคำที่ท่านเปล่งออกมาเป็นภาาบาลีสอนชาวพุทธ ตนคือที่พึ่งแห่งตน แม้ข่าวมงคล ใครสำเร็จอริยะ-อรหันต์ ท่านยังสอนมิให้ไปตื่นข่าวเช่นนั้น..ปฏิบัติที่ตัวเองเถิด ตามมรรคมีองค์8..แล้วไม่ต้องไปพึ่งสิ่งภายนอกเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มี มีแต่กำลังจิต(หลวงปู่ดูลย์) ฝึก สมาธิ-สมถะ ให้กำลังจิตเกิดให้แกร่ง จะต้านความกลัว-ความทุกข์ ทุกสรรพสิ่งได้ อย่าหวังพึ่งสิ่งภายนอก พึ่งตนเอง อัตตาหิอัตตโนนาโถ สาธุ
    เราแสดงธรรม การไตร่ตรองธรรม แจ้งธรรม ตัวใครตัวมันครับ
     
  12. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    -" อยู่...ที่พันทิพย์ "

    ****93
     
  13. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    โอ้โห พูดได้ดีจริงๆ Link ๆๆ
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อุ๊ ต๊ะ !!

    ขาย เมนทอส หรือฮ๊าาาาาาาา
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อะระ

    อย่าให้เห็น น๊า ว่าไป เกาะชายกระโปรง คนแก่ ขายผัก

    .......ฮึ่ม พวกลืมบุญคุณ นี่ ใช้ไม้ลาย ใช้ไม้ลาย


    " นี่แหนะ นี่แหนะ ........"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2013
  16. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ถ้าภูมิรู้ ถ้าภูมิธรรมถึง ก็ขอให้ลองพิจารณาให้รอบคอบด้วย

    ขออนุญาตครับ

    ถ้าภูมิรู้ ถ้าภูมิธรรมถึง ก็ขอให้ลองพิจารณาให้รอบคอบด้วย

    ชาวเทวะโลก ชาวพรหมโลก ส่วนใหญ่ ก็ล้วนนับถือศาสนาพุทธ

    ท่านเหล่านั้น เทียบกับมนุษย์โลกในปัจจุบัน อายุขัยยืนยาวยิ่งนัก

    ท่านพูดออกมาได้อย่างไรว่า


    แล้วที่องค์เจ้าชายสิทธัตถะ ไปเรียนทั้งที่ สำนักของท่านอาราฬดาบถ
    และ สำนักของท่านอุทกดาบถ(ลัทธิศาสนาพราหม)นั้น

    องค์เจ้าชายสิทธัตถะ ก็ได้กราบท่านทั้งสอง เป็นครูบาอาจารย์

    ชาวพุทธต่างก็รู้กันทั่ว

    ที่ไม่รู้ก็คงจะมีท่านเพียงคนเดียว หรือ อย่างไร?

    แม้แต่การการอัญเชิญ "อรุณเทพบุตร" (พระชาติก่อนการมาจุติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ)
    ก็ได้รับการเลือก ก็ได้รับการอัญเชิญจาก "ธรรมสภา" ของชาวเทวะโลก

    ขนาดผู้มีบุญบารมีสูงส่ง อย่างพระพุทธองค์
    แม้ในพระชาติสุดท้ายก่อนการตรัสรู้เพียงไม่นาน
    พระองค์ ก็ยังคงเป็นพราหม อยู่เลย

    การที่ชาวพุทธ "ทำพิธีบวงสรวง" "ทำพิธีอัญเชิญเทวดา" ก็เป็นเรื่องปรกติไม่ใช่หรือ

    หรือมีวัดไหนเลิกสวดพระคาถา "ชุมนุมเทวดา" กันแล้ว

    แม้แต่ศาสนาพุทธแบบจีน เขาก็มีศาลเจ้าของเขาเต็มบ้านเต็มเมืองไทย
    ก็ไม่เห็นมีใครไปว่าเขา เพราะมันเป็นความเชื่อ ความเลื่อมใสของเขา

    จะเขียนอะไรออกมาก็พิจารณาด้วย หรือว่า มีภูมิรู้ มีภูมิธรรม อยู่เท่านี้

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มี บุญ วาสนา บารมี ทุกๆท่าน

    ลุงมหา

     
  17. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ลุงมหา ๑..
    เข้าใจครับ ที่ลุงมหายกมา ก็ถูกนั่นก่อนที่ท่านจะตรัสรู้นะครับ..เมื่อเห็นว่าไม่สามารถช่วยท่านให้พ้นทุกข์ได้ พระองค์จึงทรงขวนขวายเองจนตรัสรู้..ก็ทราบกันดีอยู่แล้วครับ
    การสวดมนต์ พิธีกรรม นั่นเป็นเรื่องของผู้ที่มีกำลังจิตและเจตนาต่างกันออกไป..บางคนสวดเพื่อรักษาประเพณีปฏิบัติ บางคนสวดเพราะทำสมาธิ บางคนสวดเพราะต้องการทบทวนธรรมคำสอน ..บางคนสวดเพราะกลัว เพราะจิตอ่อนแอ ยังข้ามสิ่งที่ต้องการพึ่งพา อาศัย ไปไม่ได้จะด้วยความนับถือสืบต่อกันมา หรือความกลัวในสิ่งที่ไม่เห็นหรือ..กะามสูตร10 ก็ตาม
    แต่..สำหรับผู้ที่ดำเนินมรรคมีองค์8..ผู้ที่เป็นศิษย์ตถาคต ผู้ถึงพร้อมแล้ว ท่านลุงมหาเห็นมีพระองค์ไหน "ห้อยพระเครื่องรึครับ" หากมีนั่นก็ไม่ใช่พระแล้วครับ ..สมณะ นักบวช ในพุทธเราเขาอาจหาญในหมู่คณะ เขามีศิล-ธรรม ความบริสุทธิ์แห่งศิลเป็นที่พึ่ง มีจิตเกษมเบิกบาน เขาไม่ต้องการพึ่งพาใคร เข้าใจในหลักกรรม แม้ถึงที่ตาย..ของวิเศษอย่างไรก็ช่วยเขามิได้..
    เขาเคารพธรรม แม้พระพุทธองค์ยังทรงเคารพ..คนที่แจ้งธรรมเขากราบตัวเอง กราบตนเอง สะอาด สว่าง สงบ เขาไม่กราบขอพึ่งสิ่งนอกตัว ..เครื่องรางของขลัง พระเขายังไม่แขวนเลยครับ เพราะเขาถือว่าตัวเขานั้นนั่นแหละ..พระนอกเครื่องแบบ
     
  18. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    พระสงฆ์ท่านไม่ห้อยพระหรอกครับ แต่......

    ขออนุญาตครับ

    พระสงฆ์ท่านไม่ห้อยพระหรอกครับ

    เพราะท่านเหน็บไว้บ้าง ท่านเก็บไว้ในย่ามบ้าง ท่านเก็บไว้ในกุฏิบ้าง

    แม้เหตุผลที่ทางวัดป่าบ้านตาด สร้างพระขององค์หลวงตามหาบัว

    คณะสงฆ์ท่านก็กราบเรียนว่า


    "องค์หลวงตาท่านก็ ชราภาพมากแล้ว ไม่รู้จะจากไปวันไหน"
    "ขออนุญาตสร้างพระเครื่องไว้เป็นที่ระลึก"


    แต่พอสร้างมากเข้าๆ องค์ท่านก็ว่า

    "จะสร้างอะไรกันนักหนา"

    ถึงได้หยุดสร้าง

    แล้วก็มาสร้างอีกที ในงานฌาปนกิจองค์ท่าน

    แล้วก็สร้าง รูปหล่อองค์เขื่องปางเดินบาตร เอาไว้แจกพระสงฆ์ที่มาในงาน

    พระวัดป่าบ้านตาด นั้นระดับไหนกันแล้ว ก็ยังเหน็บรูปเหมือนครูบาอาจารย์เอาไว้ ลูบคลำ กราบไหว้บูชา

    แล้วพระสงฆ์ต้องระดับไหนกันหรือ

    จึงไม่ต้องพึ่งครูบาอาจารย์

    จึงไม่ต้องมีรูปเหมือนครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่ระลึก

    พระเถราจารย์ต่างๆก็ดี พระเถระ พระมหาเถระต่างๆก็ดี
    ต่างก็มี พระเครื่องต่างๆกันมากมาย

    โดยเฉพาะ พระสมเด็จวัดระฆัง
    รองลงมาก็ พระเครื่องนาดูน

    พระท่านก็มีเวลาว่างกันบ้าง มาก น้อย ก็ ตามจริต ตามนิสัย

    หลายๆท่าน ก็พุทธานุสติ ด้วยการส่องพระเครื่องบ้าง ดูรูปพระเครื่องบ้าง

    คนไม่เคยบวชพระ คนไม่เคยใกล้ชิดพระ ไม่รู้หรอกครับว่า พระนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง

    ผมเคยสงสัยว่า พระเก่งๆ อย่าง หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ ตาคลี นครสวรรค์
    ว่า ทำไมท่านถึงต้องเผาตำรา "เล่นแร่แปรธาตุ" ทิ้ง

    เมื่อผมคลุกคลีไปในหลายๆสำนัก หลายๆรูปแบบ จึงได้ทราบว่า
    จะ "เล่นแร่แปรธาตุ" ให้สำเร็จ มันต้อง "อาราธนา" มันต้อง "อ่านโองการ"
    ที่อาราธนาแล้ว ที่อ่านโองการ แล้ว ท่านจะกลายเป็นฝ่าย ไสย์เวทย์เต็มตัว

    เห็นพระเจ้า พระสงฆ์หลายๆท่าน รอให้ปฏิบัติ จนได้ อภิญญา ไม่ไหว
    ก็หันเข้าหา สายไสย์เวทย์ แทน เพราะใช้ได้ ไม่ต่างกัน
    ส่วนจะถลำลึก มากน้อย อย่างไร ก็แล้วแต่ละบุคคล
    ใครเป็นใคร ไปพิจารณากันเอาเอง

    ก็อย่างที่ครูบาอาจารย์ ท่านได้บอกเล่าเอาไว้


    "พระองค์คุลีมาร เคยฆ่าคนตั้ง ๙๙ คน ยังสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้"
    "พญามาร และ อสุรินทร์ราหู ยังจะได้เป็นพระพุทธเจ้า"
    "แล้ว ใครผิด ใครถูก ใครชั่ว ใครเลว จะพิจารณาได้อย่างไร"
    "ธรรม จำนวนมากที่พระพุทธองค์ได้โปรดเหล่าเทวดาเอาไว้ มีใครรู้กันบ้าง"


    ใครมีภูมิรู้ มีภูมิธรรม อยู่เท่าไร ใครปฏิบัติ จะมาก จะน้อย ปฏิบัติไปได้ถึงไหน
    ข้อคิด ข้อเขียน ของท่านก็จะบอกออกมาเอง

    ก็อย่างที่องค์หลวงตามหาบัว ท่านบอกเอาไว้ว่า


    "ธรรมนั้น ผู้ไม่รู้ ถามไม่ได้"
    "ธรรมนั้น ผู้ไม่รู้ ตอบไม่ได้"


    ส่วนผมก็จะพิจารณาว่า ข้อเขียนของท่าน มีกิเลสเจือปนอยู่ตรงไหน
    เพราะผู้ปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อปฏิบัติไปๆ ก็จะเป็นการ สกัดกั้น ชำระกิเลสไปๆ
    กิเลสก็จะถูก ลด ละ เลิกไปๆ

    ถ้ามีกิเลสมาก แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติถึงขั้นนั้น ขั้นนี้ ได้อย่างไร
    ถ้าปฏิบัติมาก แล้ว บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ ได้อย่างไร

    อย่างว่าละครับ ในเว็บนี้ ก็เอามาตรฐานของผู้ตอบกระทู้ ของผู้ถามกระทู้เป็นเกณฑ์

    เห็นคนอ่านมากๆ เลยพาลจะนึกว่า ตนเองก็รู้ธรรมขี้นมาจริงๆ

    เพราะถ้าอ่านมากๆแล้วรู้ธรรมขึ้นมาได้

    องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านก็คงไม่สอนว่า


    ๑ กิเลสอยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน
    ๒ เรียนอะไรมา รู้อะไรมา ลืมให้หมด
    ๓ อยากรู้อะไร ให้ปฏิบัติเอา


    จึงขอเตือนสติ นักอ่าน นักถาม นักตอบ กระทู้ทั้งหลาย
    ลดได้ลด ละได้ละ เลิกได้เลิก ไอ้เข้ามาตอบกระทู้นี่

    เอาเวลาไปปฏิบัติ จะดีกว่า เสียดายเวลาแทน

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับญาติธรรม ผู้มีจิตเป็นบุญ เป็นกุศลทุกๆท่าน

    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2013
  19. ยี่แปะกง

    ยี่แปะกง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +272


    กลับมาอ่านใหม่รู้สึกว่า ลึกซึ้งกว้างขวางกว่าเดิม แต่อ่านจบหลายรอบแล้วกลับ รู้สึกว่าไม่รู้อะไรเลย สาธุธรรมครับ
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมนั้น..ความรู้ยังน้อย ไม่มีฌาน ญาน แบบใครเขาในห้องนี้มีมากมายในสัมผัสพิเศษ ผมเข้ามาศึกษาธรรมแลกเปลี่ยนธรรมและตามหาสภาวะธรรมที่คล้ายคลึงกันเพื่อนำไปเปรียบเทียบแล้วปฏิบัติ..
    จนบัดนี้ยังไม่ไปถึงไหนทั้งที่อยากไปจะตาย ปริยัติก็ไม่เคยเรียน ปฏิบัติก็งูงูปลาๆ อาศัยจิตที่บริสุทธิ์ ถาม-ตอบตามสัญชาตญานที่ตนเองอยากรู้และรู้มา บางครั้งก็ทำได้ บางครั้งก็ทำไม่ได้ตามที่ตนเองพูดโพสต์ออกมา ..
    ผมนะรู้ตัวครับ ไม่ได้มาอวดตัว มาแข่งกับใคร อย่าได้เข้าใจผิดเพราะผมไม่มีอะไรดีหรอก อย่าได้มาหมายผมไมงั้นท่านจะถูกผมหลอกเอาหมดตัวนะครับ ในวันข้างหน้า..
    ..ท่านขันธ์ คือคนที่รู้จริง..คิดถึงท่านเสมอ แม่เหล็กของนักปฏิบัติหายไปแล้วเสียดายจริงๆ..
    เราแสดงธรรมแล้ว การไตร่ตรองธรรม แจ้งธรรม ตัวใครตัวมันนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...