วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. Misspink777

    Misspink777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +148
    หนูเสี่ยงพระไม่สำเร็จค่ะ เบาโหวงเลยค่ะ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เล่ารายละเอียดด้วยครับ ว่าอธิฐานว่าให้เบาให้หนักอย่างไร

    ใจเราเป็นสมาธิไหม ได้อาราธนา พระท่านด้วยความเคารพแค่ไหน
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ผู้ที่เชื่อใน "สัจจะ"
    ทำอะไรก็สำเร็จ !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอถามพี่ๆเพื่อนๆสหายธรรมน่ะครับ
    สัจจะ ที่พี่ๆพูดถึงกันคือ อะไร ครับ ขอแบบละเอียด
    โลกุตระ หมายถึง อะไรครับ ขอแบบละเอียด
    วิธีเอาชนะความโกรธ ความโลภ ความหลง และความรักที่มีราคะ
    ตอนนี้ผมรักษาศีล 5 แต่ข้อสี่ทำไม่ค่อยได้ และกำลังเจริญพรหมวิหารสี่อยู่ครับ
    ผมขอให้พี่ๆ เพื่อนๆมาตอบกันตอนที่ว่างๆกันน่ะครับ ผมไม่อยากรบกวนครับ เพราะพี่ๆทุกคนกำลังทำกิจเพื่อคนอื่นๆอยู่ ผมเกรงใจจังครับ แต่กรุณาด้วยครับ
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หลักสัจจะธรรม ****

    ผลการกระทำไม่เคยสูญหาย
    เกิดเป็น "ตัวกระทำ"

    ... ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน ....
    นี้เป็นแก่นสาร ความหมายของ..."สัจจะธรรม"

    ทำดี ก็เป็นตน
    ทำชั่ว ก็เป็นตน
    ทำโดยเจตนา ก็เป็นตน
    ทำโดยไม่เจตนา ก็เป็นตน
    ทุกการกระทำ...ย่อมมีผลตอบแทน
    ตัวกระทำ...จะจัดสรรส่งผลย้อนกลับมาในชีวิต คือ เกิดเหตุการณ์ขึ้นมา

    การเกิด...
    ตัวกระทำ....คือ ผู้จัดสรรให้ไปเกิด
    เมื่อเกิดเป็นคน...หมายถึง "ชดใช้กรรมไปหมดแล้ว"

    โชคดี โชคร้าย...ในปัจจุบันนี้
    คือ ผลตอบแทนจาก "ตัวกระทำ" จากการกระทำที่ตัวของเราได้ทำไปแล้ว นับจากวันที่เกิดขึ้นมา

    ระวัง...เข้าใจไปผิดจาก "หลักสัจจะธรรม" ความจริงในธรรมชาติ ว่า...
    - ทุกข์ของวันนี้...คือ กรรมเก่าในชาติก่อน
    - ชาติที่แล้วท่านทำดี...ต่อไปชีวิตท่านจะดีขึ้นเอง
    หากมัวแต่นั่งรอ โดยไม่ทำความดี
    แล้วชีวิตจะดีขึ้นได้อย่าไร

    การปฏิบัติตาม "หลักสัจจะธรรม"
    คือ การพยายามลด ละ เลิก ขจัดนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด...ด้วย "สัจจะ"
    "สัจจะ" คือ หนทางหลุดพ้นทุกข์ การเกิด การตาย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. tam220t

    tam220t ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +537
    เรียนพี่คณานันท์

    เวลาผมนึกภาพพระ ต้องนึกในภาพรวมทั้งองค์ ตลอดเวลาหรือไม่ ตอนที่ผมทำอยู่มันชอบโฟกัส ไปตามจุดต่างๆของภาพพระ เช่นส่วนแขน ขา เท้า อก พระพักตร์ สลับไปมาอยู่เรื่อยไม่นิ่งแบบนี้ ที่ถูกต้องทำยังไงครับ
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จับภาพพระให้เห็นทั้งองค์แบบนิ่งครับ

    อย่าได้ซัดส่าย

    บางครั้งจิตเป็นสมาธิดีก็จะเห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส

    หากจิตยังไม่เข้าสู่สมาธิ ภาพพระก็จะไม่ชัดหรือขุ่นมัวไปบ้าง

    เราควรจับลมหายใจสบายให้ได้ จนใจสงบก่อน จากนั้นการจับภาพพระเป็นพุทธนิมิตรก็จะแจ่มใสขึ้นครับ

    ยิ่งจิตเราสงบเป็นสมาธิ ลมหายใจเรายิ่งละเอียดเบาสบาย จนแทบหายไป หรือหายไป และภาพพระหรือกสิณก็จะยิ่งชัดเจนแจ่มใส ทั้งสามอย่างนี้สัมพันธ์กันทั้งหมดครับ

    ส่วนปัจจัยในความชัดเจน และแม่นยำถูกต้องของวิชชามโนมยิทธินั้น

    -ยิ่งมีความเคารพในพระรัตนไตรสูงมากขึ้นเท่าไร ความรู้ความเห็นยิ่งถูกต้องแม่นยำ

    -ยิ่งมีวิปัสนาญาณชัดเจนเห็นจริงในอริยสัจจ์และตัดสังโยชน์สิบในจิตได้มากเท่าไร ภาพในญาณยิ่งชัดเจนแจ่มใสและถูกต้องแม่นยำ

    -ลมสบาย จนหายไปเป็นผลเมื่อทรงกำลังใจได้สูงสุดในสมาธิ



    การทรงวิชชามโนมยิทธิต้องทำให้ได้ทุกอิริยาบท ไม่ว่ายืนเดินนั่งนอนวิ่ง ทำให้ได้ทั้งลืมตาหลับตา ทำได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นรู้ว่าเราทรงอารมณ์อยู่ในการปฏิบัติ ไม่ต้องไปแสดงจริยาว่าเราเก่งเราเคร่ง สูงสุดคืนสู่สามัญ สลายมานะทิษฐิของเราออกไป

    สิ่งำคัญก็คืออย่าได้ลืมเลือนวัตถุประสงค์ของวิชชานี้ที่ว่า เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่าบุญมีกรรมมี สวรรค์ นรก นิพพานมีจริง สังสารวัฏฏ์มีจริงเพื่อความเป็นสัมมาทิษฐิ และอีกประการคือการใช้วิชชานี้เพื่อสงเคราะห์ผู้คนตามแนวทางของพุทธภูมิ

    หาใช่เพื่อความเป็นผู้วิเศษ ให้คนมายกย่องไม่ เป้าหมายเพื่อส่วนรวม

    ขอให้ทุกๆท่านก้าวหน้าเจริญในธรรมให้ยิ่งขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  8. Misspink777

    Misspink777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +148
    คือ ก็ทำต่มที่เขียนหนะค่ะ อ่านข้ัอ 1 ก็ทำตามเลย
    หาผ้ามาปู
    หาพระหน้าตักกว้าง 6 - 12 นิ้ว
    หา ดอกไม้ จุดธูป 3 ดอก เทียน 2 อัน เเปลกแต่จริงหาได้ทุกอย่าเป็นสีแดงทั้งหมด
    กล่่าว นะโม 3 จบ แล้วขอขมาพระ แล้วอัญเชิญพระ แล้วทำสมาธิ จับภาพพระจากดำ เป็๋นใส เป็นเพรช บางทีก็ลืมตามาดูพระใหม่เพราะจำไม่ได้
    สักพักก็
    แล้วใช้มือของเราประคองจับที่ตักขององค์พระท่าน แล้วอธิฐานว่า
    "หากแม้นพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์ท่านเสด็จมาเมตตาข้าพเจ้าแล้ว ขอให้องค์พระปฏิมานี้จงหนักปานภูผาจนข้าพเจ้ามิอาจยกขึ้นด้วยเทอญ"
    จากนั้นจึงยกองค์พระขึ้น ลองดูว่ายกไหวหรือไม่ ?

    คือว่ายกไหว ก็เลยทำใหม่ อีก 2 รอบ ก็เบาอีก ก็เลยเลิกทำ :)
    ขั้นต่อไปก็เลยไม่ได้ต่อเพราะขั้นเรกก็ไม่ผ่านแล้ว
    ก็เลยไม่รู้ว่าพระพุทธรูปที่มีอยู่เสื่อมหรือเปล่า หรือเราเองที่เข้าไม่ถึงพระ
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เลือกหนทางชีวิต ****

    กสิน...ฝึกแล้วได้อะไร...จะเกิดอะไรกับตัวของเรา !!!!

    "สัจจะ" ... ปฏิบัติประจำ....กิเลสนิสัย จะลดลง จนหมดไปได้
    "สัจจะ"....คือ หนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ การเกิด การตาย
    ไม่เริ่ม "สัจจะ" วันนี้...ก็ต้องเริ่มวันหน้า หรือ ชาติต่อๆไป อยู่ดี
    เพราะ ...."สัจจะ" คือ หนทางหลุดพ้น ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ หลังพบ "หลักสัจจะธรรม"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** คาดหวังกับสิ่งไม่เที่ยง ****

    จะคาดหวังอะไรได้ !!!
    หากเราไม่สะสม.... "การกระทำจากสัจจะ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    [​IMG] วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->คือ ก็ทำต่มที่เขียนหนะค่ะ อ่านข้ัอ 1 ก็ทำตามเลย
    หาผ้ามาปู
    หาพระหน้าตักกว้าง 6 - 12 นิ้ว
    หา ดอกไม้ จุดธูป 3 ดอก เทียน 2 อัน เเปลกแต่จริงหาได้ทุกอย่าเป็นสีแดงทั้งหมด
    กล่่าว นะโม 3 จบ แล้วขอขมาพระ แล้วอัญเชิญพระ แล้วทำสมาธิ จับภาพพระจากดำ เป็๋นใส เป็นเพรช บางทีก็ลืมตามาดูพระใหม่เพราะจำไม่ได้
    สักพักก็
    แล้วใช้มือของเราประคองจับที่ตักขององค์พระท่าน แล้วอธิฐานว่า
    "หากแม้นพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์ท่านเสด็จมาเมตตาข้าพเจ้าแล้ว ขอให้องค์พระปฏิมานี้จงหนักปานภูผาจนข้าพเจ้ามิอาจยกขึ้นด้วยเทอญ"
    จากนั้นจึงยกองค์พระขึ้น ลองดูว่ายกไหวหรือไม่ ?

    คือว่ายกไหว ก็เลยทำใหม่ อีก 2 รอบ ก็เบาอีก ก็เลยเลิกทำ :)
    ขั้นต่อไปก็เลยไม่ได้ต่อเพราะขั้นเรกก็ไม่ผ่านแล้ว
    ก็เลยไม่รู้ว่าพระพุทธรูปที่มีอยู่เสื่อมหรือเปล่า หรือเราเองที่เข้าไม่ถึงพระ



    -------------------------------------------------------------------

    องค์ประกอบในสิ่งที่เราอธิฐานเพื่อให้เกิดผล นั้นได้แก่

    1.ศรัทธา ความเชื่อ ความเคารพในพระรัตนไตร

    2.จิตที่บริสุทธิ์ ทำด้วยความเคารพปรารถนาให้ท่านเมตตาสงเคราะห์

    3.สมาธิที่ตั้งมั่น จิตสบาย ลมหายใจสบาย ไม่ลังเลสงสัย

    ลองพิจารณาและปรับสามอย่างนี้ครับ

    และอีกประการหนึ่งอธิฐานให้จิตของเราเป็นสัมมาทิษฐิเสียก่อนครับ

    พระพุทธเจ้าท่านไม่มีความเสื่อมครับ พิจารณาที่เรา จิตเราก่อน
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post845725 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>เกษม<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_845725", true); </SCRIPT>
    สมาชิก กิตติมศักดิ์

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:41 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2004
    ข้อความ: 1,884 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 5,313 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 20,460 ครั้ง ใน 1,652 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2360 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_845725 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    ฤทธิ์อภิญญาของพระเทวทัต

    [​IMG]
    พระเทวทัตสำแดงฤทธิ์ให้อชาตศัตรูราชกุมารเลื่อมใส
    เพื่อให้รับเป็นโยมอุปัฏฐาก

    การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้าครั้งแรก ดังได้บรรยายมาแล้วนั้น เป็นเหตุให้เจ้าชายศากยะเสด็จออกบวชกันมาก ในจำนวนนั้นที่มีชื่อเสียงและมีคนรู้จักกันดีจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "เจ้าชายอานนท์" หรือ "พระอานนท์" ในเวลาต่อมา นายภูษามาลา ชื่อ อุบาลี หรือ พระอุบาลี และ เจ้าชายเทวทัต

    เทวทัตเป็นพระเชษฐา หรือพี่ชายของพระนางพิมพายโสธรา ว่ากันอย่างสามัญ เทวทัต ก็คือพี่เมียของเจ้าชายสิทธัตถะ หรือ พระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทุกคนที่ออกบวชพร้อมกันกับเทวทัต ต่างได้บรรลุมรรคผลในเวลาต่อมาทั้งนั้น แต่เทวทัตได้สำเร็จเพียงฌานชั้นโลกีย์ ฌานชั้นนี้ทำให้ผู้ได้สำเร็จ แสดงอิทธิฤทธิ์ได้ เหาะก็ได้

    ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์จำนวนมากรวมทั้งพระเทวทัตด้วย เสด็จไปถึงกรุงโกสัมพี ชาวเมืองได้พากันออกมารับเสด็จ และนำของมาถวายเป็นอันมาก ถวายของแด่พระพุทธเจ้าแล้วก็ถวายพระสงฆ์ แต่ละคนเที่ยวถามไถ่กันว่า "พระสารีบุตรของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน พระโมคคัลลานะของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ฯลฯ " เมื่อทราบแล้วก็นำของไปถวาย แต่ไม่มีใครสักคนที่จะเอ่ยชื่อของพระเทวทัตว่า "พระเทวทัตของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน"

    นั่นคือความไม่พอใจของพระเทวทัต ที่เป็นสาเหตุให้พระเทวทัตก่อกรรม หรือกระทำการรุนแรงในเวลาต่อมา พระเทวทัตเข้าฌานโลกีย์ เนรมิตเป็นกุมารหนุ่มน้อย ใช้งูพิษร้าย ๗ ตัว พันเป็นสังวาลตามตัว ตัวหนึ่งพันหัวต่างผ้าโพก อีกสี่ตัวพันข้อมือข้อเท้า อีกตัวหนึ่งพันคอ และอีกตัวหนึ่งทำเป็นสังวาลเฉวียงบ่า เหาะเข้าไปในวัง ลงนั่งบนพระเพลาของอชาตศัตรูผู้เป็นมกุฏราชกุมาร และพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้นมคธ เทวทัตได้แนะนำให้อชาตศัตรู ปลงพระชนม์พระราชบิดา แล้วเสด็จขึ้นครองราชย์เสีย ส่วนตัวเองจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า แล้วจะตั้งตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ประกาศศาสนาใหม่

    เวลาไปเฝ้าเจ้าชายอชาตศัตรู พระเทวทัตเหาะไป แต่ขากลับพระเทวทัตเหาะไม่ไหว ต้องเดินกลับ เพราะใจอกุศลเกิดขึ้น ฌานโลกีย์เลยเสื่อม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา


    [​IMG]
    นายขมังธนูซึ่งพระเทวทัตส่งไปฆ่าพระพุทธองค์
    ปลงอาวุธฟังธรรม สำเร็จมรรคผล

    บุรุษที่นั่งประนมมือวางคันธนูไว้กับพื้นอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ดังที่ปรากฎอยู่ในภาพแสดงนั้น คือ นายขมังธนู "ขมัง" (อ่านว่า ขะ - หมัง) แปลว่า นายพราน ขมังธนู ก็คือ นายพรานแม่นธนู อาวุธร้ายแรงที่คนใช้ยิงสังหารกันในสมัยพระพุทธเจ้า คือ ธนู

    พระเทวทัตแนะนำอชาตศัตรู มกุฎราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดาของพระองค์แล้ว จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ พระเทวทัตกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงพระชราแล้ว ขอให้ทรงมอบตำแหน่งกิจการบริหารคณะสงฆ์ให้แก่ตนเสีย เลยถูกพระพุทธเจ้าทรงทักด้วย เขฬาสิกวาท (เขฬาสิกวาท แปลตามตัวว่า ผู้กลืนกินก้อนน้ำลาย ก้อนเสลด ที่บ้วนทิ้งแล้ว คือ กลืนน้ำลายตัวเองน่ะแหละ) ความหมาย ก็คือ นักบวชนั้น เมื่อออกบวช ได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ลูก เมีย ทรัพย์ และตำแหน่งฐานันดรต่าง ๆ พระเทวทัต ก็ ชื่อว่า สละสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเมื่อตอนออกบวช แต่เหตุไฉน จึงย้อนกลับมายอมรับ ซึ่งเท่ากับมาขอกลืนกินสิ่งเหล่านี้อีก

    พระเทวทัตฟังแล้วเสียใจ ผูกความอาฆาตพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น จึงวางแผนการกระทำการรุนแรง เพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายแผน เฉพาะด้านการเมืองนั้น พระเทวทัตได้ทำสำเร็จแล้ว ด้วยการเกลี้ยกล่อมอชาตศัตรูราชกุมารให้เลื่อมใสตนได้ แล้วราชกุมารผู้นี้ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดา จนในที่สุดได้ขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา ที่ยังไม่สำเร็จคือ การปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า
    ขั้นแรก พระเทวทัตได้ว่าจ้างพวกขมังธนูหลายคน ล้วนแต่มือแม่นในการยิงธนูทั้งนั้น ไปลอบยิงสังหารพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนารามในกรุงราชคฤห์ ทั้งนี้โดยพระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้เห็นด้วย แต่เมื่อพวกนายขมังธนูถืออาวุธมาถึงวัดที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้วเกิดมือไม้อ่อนเปลี้ยไปหมด ยิงไม่ลง เพราะพุทธานุภาพอันน่าเลื่อมใส ข่มใจให้สยบยอบลง จึงต่างวางคันธนูแล้วกราบพระบาทพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้พวกนายขมังธนูฟัง ฟังจบแล้ว นายขมังธนูต่างได้สำเร็จโสดาหมดทุกคน


    [​IMG]
    พระเทวทัตได้สำนึกในความผิดของตน ใคร่ทูลขอขมา
    แต่ถูกธรณีสูบเสียก่อนเข้าเฝ้า

    เมื่อแผนการของพระเทวทัตในการปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าชั้นแรก คือ จ้างนายขมังธนูลอบสังหารได้ล้มเหลวลง พระเทวทัตจึงลงมือทำเอง คือ แอบขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏ เพราะพระเทวทัตทราบได้แน่นอนว่า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่เชิงเขาเบื้องล่าง พระเทวทัตจึงกลิ้งก้อนหินใหญ่ลงมา หมายให้ทับพระพุทธเจ้า ก้อนหินเกิดกระทบกันแล้วแตกเป็นก้อนเล็ก ก้อนน้อย สะเก็ดหินก้อนหนึ่งกระเด็นปลิวมากระทบพระบาทพระพุทธเจ้า จนทำให้พระโลหิตห้อขึ้น (โลหิตุปบาท)

    แผนการที่สองล้มเหลวลงอีก ต่อมา พระเทวทัตได้แนะนำให้พระเจ้าอชาตศัตรู สั่งเจ้าพนักงานเลี้ยงช้าง ปล่อยฝูงช้างดุร้ายออกไปไล่เหยียบพระพุทธเจ้า ในขณะที่เสด็จบิณฑบาต แต่ก็ล้มเหลวลงอีก เพราะฝูงช้างไม่กล้าทำร้ายพระพุทธเจ้า

    ตอนนี้เอง ความชั่วของพระเทวทัตเป็นข่าวแดงโร่ออกมา ประชาชนชาวเมืองต่างโจษจันกันเซ็งแซ่ว่า ผู้จ้างนายขมังธนูก็ดี ผู้กลิ้งก้อนหินกระทบพระบาทพระพุทธเจ้าก็ดี ผู้ปล่อยขบวนช้างก็ดี (ในหลายที่ว่า ปล่อยช้างตัวเดียว เป็นช้างพลายเพศผู้ ชื่อ นาฬาคีรี กำลังตกมัน แล้วยังถูกมอมเหล้าถึง ๑๖ หม้อ) แม้ที่สุดพระเจ้าพิมพิสารที่เสด็จสวรรคตก็ดี เป็นแผนการของพระเทวทัตทั้งสิ้น แล้วต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า พระราชาของเราคบพระที่ลามกเช่นนี้เอง จึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

    พระเจ้าอชาตศัตรูทรงได้ยินเสียงชาวเมืองตำหนิเช่นนั้น ทรงเกิดความละอายพระทัย ทรงยกเลิกไปหาพระเทวทัต สำรับกับข้าวของหลวงที่เคยพระราชทานให้พระเทวทัต ก็ทรงสั่งให้เลิกนำไปถวาย คนในเมืองนั้นไม่มีใครใส่บาตรให้พระเทวทัตเลย แต่พระเทวทัตก็ยังไม่สิ้นมานะทิฐิ ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอให้ทรงปฏิรูปศาสนาพุทธเสียใหม่ เช่น ให้ห้ามพระสงฆ์ฉันเนื้อและปลา เป็นต้น แต่ถูกพระพุทธเจ้าปฏิเสธ พระเทวทัตจึงตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง

    แต่ต่อมา สาวกของพระเทวทัตที่เข้าใจผิด และไปเข้าข้างพระเทวทัต ได้พากันหนีกลับมาหาพระพุทธเจ้า เหลืออยู่กับพระเทวทัตไม่กี่รูปพระเทวทัตเสียใจมาก กระอักเลือดออกมา พอรู้ว่าตนจะตายก็สำนึกผิด เลยใช้สาวกที่เหลืออยู่หามตนมาเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาเป็นครั้งสุดท้าย แต่ไม่ทันเข้าเฝ้า เพราะพอมาถึงสระน้ำท้ายวัด พระเทวทัตเกิดอยากอาบน้ำ พอหย่อนเท้าลงเหยียบพื้นสระโบกขรณี เลยถูกแผ่นดินสูบเสียก่อน


    ที่มา http://www.watkoh.com/forum/forum_posts.asp?TID=1594

    พระเทวทัตถูกธรณีสูบ ให้ต้องไปรับกรรมในอเวจีมหานรก ในช่วงที่ถูกธรณีสูบจนถึงคอ พระเทวทัตมีสติระลึกถึงบาปกรรมได้ ได้อธิษฐานขอขมาโทษ และยึดเอาพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งต่อไป ความว่า

    ข้าพเจ้าขอนับถือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลอันล้ำเลิศ ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้ฝึกฝนบุคคลที่ควรฝึกฝน ผู้มีพระจักษุรอบพระองค์ ผู้มีลักษณะแห่งบุญอันคุณด้วย ๑๐๐ ด้วยกระดูกของข้าพระพุทธเจ้า ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีก

    พระพุทธองค์ทรงตรัสพุทธพยากรณ์แก่พระสาวกว่า เมื่อพระเทวทัตพ้นกรรมจากอเวจีมหานรก จะมีโอกาสสร้างสมบารมี จนสามารถตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อัฏฐิสสระ ในอนาคต

    พระเทวทัตไม่ได้มีเวรกรรมกับพระพุทธเจ้า ในพระชาติสุดท้ายนี้เท่านั้น แต่มีมาหลายภพหลายชาติทีเดียว ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ในฐานะพระโพธิสัตว์ และใช่ว่าพระเทวทัตจะเป็นฝ่ายทำร้าย หรือเบียดเบียนพระโพธิสัตว์แต่ถ่ายเดียว ในบางภพบางชาติ พระโพธิสัตว์กลับเป็นฝ่ายเบียดเบียนให้พระเทวทัต ได้รับทุกข์ หรือเสียผลประโยชน์เช่นกัน เวรกรรมที่ผูกพันกันทั้งดีและร้าย ได้และเสีย จึงส่งผลต่อเนื่องมาถึงชาติภพสุดท้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ****

    พระไตรปิฎก...คำสอนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    อยู่รอบๆ ตัวเรา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอถามหน่อยได้มั้ยครับว่า คนที่ไม่มีณาน ไม่มีอิทธิฤทธิ์ เป็นคนธรรมดา ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน เป็นคนดีในระดับหนึ่ง อาจจะถือศีล 5 มีความรัก และ เมตตาต่อคนและสัตว์ ปราถนาดีต่อผู่อื่น จิตใจสะอาด จะสู้กับภัยพิบัติได้มั้ย
    เคยได้ยินมาว่าพลังแห่งความรักที่บริสุทธิ์ หรือ พลังแห่งการอธิษฐาน หรือเปล่าไม่แน่ใจ ไม่ได้เจาะจงไปในทางคริสต์น่ะครับ เพราะผมเป็นพุทธ
    หากว่าเรามีความปราถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจ อยากช่วยผู้อื่นจริงๆ อาจจะมีพลังพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงๆ
    ใครรู้มั้ยครับว่าคืออะไร
    และมันใช้ยังไง
    ขอผู้ที่รู้ๆจริงๆน่ะครับ ผมว่าอาจจะเป็นทางเลือกได้อีกทางหนึ่งสำหรับคนธรรมดา ผมไม่ได้ยุยงใครให้เชื่อ และ ไม่ได้ให้ปฏิบัตินอกเหนือคำสอนจากพระพุทธเจ้า ผมว่าในจักรวาลนี้มีอีกหลายสิ่งที่คนอย่างเราๆยังใช้ไม่เป็น
     
  15. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    คนธรรมดา ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน เป็นคนดีในระดับหนึ่ง อาจจะถือศีล 5 มีความรัก และ เมตตาต่อคนและสัตว์ ปราถนาดีต่อผู่อื่น จิตใจสะอาด

    นั่นคือพาสปอร์ตของการอยู่รอดค่ะ
    คนเรายังไงๆก็ต้องละขันธ์วันใดวันหนึ่ง และไม่รู้ว่าวันนั้นมาเมื่อไหร่
    แต่ความรู้สึกดีๆมี่คุณมีจะเป็นเครื่องหล่อหลอมใจให้เข้มแข็งเพื่อรอดได้กระทำในสิ่งที่ต้องกระทำ เพื่อตัวเองและบริวาร
    เป็นกำลังใจให้ค่ะ เช็คกระทู้อื่นๆในห้องนี้ มางานวันที่ ๑๖ ธค. แวะไปเยี่ยมปรียนันท์ธรรมสถานบ้างค่ะ จะได้คุยกับญาติธรรมอื่นๆถึง Doom's day game plan ค่ะ

    บุญรักษานะคะ
     
  16. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    หลวงปู่บอกว่า อิทธิฤทธิ์ แพ้บุญฤทธิ์ ครับ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พลังแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ครับ


    ถึงเราเป็นคนธรรมดา หากทรงพรหมวิหารสี่อย่างเต็มเปี่ยมในจิตใจ ด้วยอำนาจแห่งพรหมวิหารสี่อันมีเมตตาธรรมเป็นต้นก็สามารถคุ้มเราจากภัยพิบัติได้ครับ

    อานิสงค์แห่งพรหมวิหารสี่นั้นพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า

    ผู้เจริญพรหมวิหารสี่เป็นนิจย่อมไม่หลงตาย

    ย่อมไม่ตายด้วยศาสตราวุธ
    ย่อมไม่ตายด้วยยาพิษ
    ย่อมไม่ตายด้วยน้ำ ด้วยไฟ

    เป็นที่รักของคนสัตว์ และเทวดา มีสุขคติเป็นที่ไป

    อันที่จริงมีมากกว่านี้ครับ สมัยผมได้อ่านอานิสงค์ของการเจริญพรหมวิหารสี่ครั้งแรก ก็บอกกับตนเองเลยว่า เป็นกรรมฐานที่อานิสงค์สูงมากๆ ตอนนั้นก็เลยตลุยเจริญพรหมวิหารสี่อย่างเดียว จนในที่สุดก็ปรากฏ เมตตาอัปปันนาณฌานขึ้นแก่จิตเอง จนสิ้นสงสัยในการปฏิบัติครับ

    สมัยนั้นก็ไม่ได้รู้ได้เห็น มีญาณทัศนะอะไร ยังไม่ได้มโนมยิทธิ แต่ก็ปรากฏว่ามีเทวดามาสงเคราะห์บ่อยๆ เพราะอานิสงค์ของพรหมวิหารสี่ครับ

    ทุกอย่างจึงเริ่มที่จิตใจที่ดีงามครับ นำไปสู่สัมมาทิษฐิ และธรรมมะอันเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อเนื่องก้าวหน้าไปครับ
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post846866 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>maxmedia<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_846866", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 05:19 PM
    วันที่สมัคร: Aug 2007
    ข้อความ: 29 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 242 ครั้ง ใน 26 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_846866 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->kananunชวยแนะนำที
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ผมโจ 085-138-0634 ผมสายพุทธ.......เหมือนกันผมฝึกได้ช้ามากยากได้คนแนะนำครับkananun ติดต่อมาที่นะครับ คอยอยู่ครับ
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    รักบริสุทธิ์ หรือ เพลโตนิคเลิฟ (Platonic love) เป็นคำนิยามของความสัมพันธ์เพลโตโซเครติส (Socrates) กับลูกศิษย์ โดยกล่าวถึงความรักที่ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ทั้งบุคคลที่อายุต่างกัน และบุคคลที่เพศต่างกัน หรือเพศเดียวกัน ที่ไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง คำว่าเพลโตนิคเลิฟ มาจากคำว่า อามอร์ เพลโตนิคัส (amor platonicus) ที่หมายถึง ความรักของ โดยมีความหมายเหมือนคำว่า อามอร์ โซเครติคัส (amor socraticus) ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง

    คำภาษาไทยมาจากคำประสมระหว่าง คำว่า รัก และ บริสุทธิ์ หมายถึง รักที่มาจากความบริสุทธิ์ใจ

    โดยคำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่าพลาโตนิคเลิฟ กล่าวโดย เซอร์วิลเลี่ยม เดวีแนนท์ (Sir William Davenant) ในปี พ.ศ. 2179(ค.ศ. 1636) เกี่ยวกับทฤษฎีของความรักตามคำกล่าวของเพลโต โดยความรักตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง และความซื่อสัตย์

    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของความรักบริสุทธิ์ ได้แก่ ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือความรักระหว่างเพื่อนฝูง


    -------------------------------------------------------
    เพลโตนิคเลิฟ ก็คือความรักแบบพรหมวิหาร 4 นั่นเอง ^^
     
  20. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ สหายธรรมทุกคนน่ะครับ ที่ช่วยตอบคำถามครับ
    ผมจะพยามเจริญพรหมวิหารสี่ กับ ศีล 5 ให้บริสุทธิ์ครับ ผมขอเป็นกำลังใจให้พี่ๆน่ะครับ ขอให้อุปสรรคในการทำงานของพี่ๆ ผ่านไปด้วยดี และประสบความสำเร็จทุกอย่างครับ ขอเหตุการณ์ร้ายๆ จงเบาบาง หรือ ไม่เกิดขึ้นเลย เป็นห่วงพี่ๆเพื่อนๆทุกคนครับ
    เดี๋ยวขอตัวไปดูหนังพระพุทธเจ้าก่อนครับ พี่ๆก็คงจะไปดูกันใช่มั้ยครับ *-*
     

แชร์หน้านี้

Loading...