ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คุณวรารัตน์ สุนทราภา หัวหน้าหอสงฆ์อาพาธ ได้ส่งรูปนายแพทย์ของ รพ.ถวายเครื่องดูดเสมหะให้หลวงปู่บุญเกิดพระเถระ ที่ได้เข้าพักรักษาตัวด้วยโรคถุงลมโป่งพอง มาให้ทราบ โดยเป็นภาพจาก รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ส่งมาให้เมื่อเย็นนี้ทางไลน์

    เครื่องดูดเสมหะนี้ ทุนนิธิฯ ได้จัดซื้อให้หอสงฆ์เพื่อเตรียมบริจาคสำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธและจำเป็นต้องใช้ดูดเสมหะในกรณีที่ไม่สามารถลำคอในการขากเสลดไว้นานแล้ว วันนี้พอดีมีเคสนี้ ท่านจะต้องออกไปรักษาตัวที่วัด ทาง รพ.จึงมอบให้พระลูกศิษย์นำไปรักษาท่านต่อที่วัดครับ โดยได้ทำการสอนวิธีการใช้ให้เป็นอย่างดี


     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้คือวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2556 โดยนัดพบเพื่อจัดเตรียมสังฆทานอาหารที่โรงอาหารด้านข้าง รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-8.00 น. เหมือนเช่นเคย

    จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน ผมและกรรมการของทุนนิธิฯได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาเรียบร้อยแล้ว และจะได้ทยอยบริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ ให้เสร็จเรียบร้อยภายในสัปดาห์นี้ โดยมีรายละเอียดการบริจาคสำหรับเดือนตุลาคม 2556 ดังนี้ (สำเนาการโอนเงินจะได้นำมาลงให้อนุโมทนากันต่อไปครับ)


    1. รพ.สงฆ์
    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้200 รูป โดยจะถวายเป็นอาหารกล่องๆ ละ 30.-)
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-

    รวม 16,000.-


    2. รพ.ภูมิภาค
    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 8,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน 5,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย 8,000.-
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 8,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-

    รวม 55,000.-


    รวมเงินตามข้อ 1+2=71,000.-(เจ็ดหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วน)

    โดยในเดือนตุลาคมนี้ มีกิจกรรมเพิ่มเติมของทุนนิธิฯ คือ เตรียมไปทอดกฐินที่ทุนนิธิฯ รับเป็นเจ้าภาพ ในการหาปัจจัยสร้างถนนเข้าวัดโนนเสาธง ต.ตะเบาะ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2556 โดยในวันอาทิตย์ที่ทำกิจกรรมนี้ ทุนนิธิฯ จะได้นำพระพิมพ์หลวงปู่ทวดที่ได้อธิษฐานจิตจากหลวงปู่ทิม วัดช้างให้ ที่ศิษย์รุ่นใหญ่ของ อ.ประถม อาจสาคร นำมามอบไว้ให้ 5 องค์ นำมาแบ่งบูชา เพื่อหารายได้เข้ากองกฐินต่อไปด้วยครับ และในโอกาสเดียวกัน ผมก็จะได้นำพระพิมพ์สมเด็จ สกุลเจ้าคุณกรมท่าที่ได้เก็บรักษาไว้ นำมาแบ่งให้บูชาเพื่อสมทบทุนเข้ากองกฐินด้วยเช่นกัน (ทางวัดต้องการสร้างถนนคอนกรีตจากถนนใหญ่เชื่อม เข้าไปถึงวัดมีระยะทางก่อสร้างที่ยังขาดอยู่ประมาณ 500 เมตร) ทุนนิธิฯ เห็นว่าเป็นจำนวนเงินซึ่งคณะกรรมการพอที่จะบอกบุญกันได้ จึงรับเป็นเจ้าภาพในการนี้ครับ

    พันวฤทธิ์
    21/10/56


    [​IMG]

    อัพเดทเอกสารการโอนเงินบริจาคและใบอนุโมทนาบัตรเท่าที่ได้รับมาในขณะนี้ และในวันพรุ่งนี้ ยอดจำนวนพระสงฆ์ที่อาพาธที่ทุนนิธิฯ จะถวายสังฆทานภัตตาหารเช้ามีจำนวนประมาณ 150 รูป ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2013
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    านิสงส์กฐินทาน
    คัดลอกจากหนังสือ สนทนาธรรม เล่ม ๑ ของพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
    โดย JetoViMut Team

    ต่อไปนี้ จะพูดถึงอานิสงส์กฐิน เอาย่อๆนะ อานิสงส์ในการถวายกฐิน หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถวายสังฆทาน สังฆทานวันนี้เป็นสังฆทานของกฐิน การถวายสังฆทานทุกอย่างมีผลควบกับกฐิน เพราะเป็นวันของกฐิน ความจริงการทอดกฐิน ไม่ใช่ประเพณีนิยม เป็นพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ผ้ากฐินทาน จะรับได้ก็ต่อเมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 หลังจากนั้น จะทอดขนาดไหนก็ตาม จะไม่เป็นกฐิน ฉะนั้น กฐินมีเวลากาลจำกัด

    ทีนี้ ว่าถึงอานิสงส์กฐิน อานิสงส์กฐินนี้ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเคยเทศน์ และก็เทศน์ตามบาลี ท่านพูดถึงอานิสงส์ให้ทราบ ฉะนั้น การถวายวันนี้ทั้งหมด เมื่อวานก็ดี วันนี้ก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม จะเป็นของก็ตาม ถือว่าทุกอย่าง เป็นอานิสงส์กฐิน

    ต่อไปนี้ก็โปรดทราบ จะนำพระสูตรตามที่ท่านกล่าวไว้ในบาลีให้ทราบ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ในสมัยพระองค์เกิดเป็น "มหาทุคคตะ" ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระปทุมมุตระ" เวลานั้น พระพุทธเจ้าของเรา เกิดเป็นคนจนอย่างยิ่ง เป็นทาสของคหบดี เวลานั้น ถอยหลังจากนี้ไป 92 กัป ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระปทุมมุตระ"

    วันหนึ่ง มหาทุคคตะ ไปดูงานทอดกฐินเขา เมื่อเขาทอดกฐินเสร็จ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลใด เคยทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี และเป็นบริวารกฐินก็ดี(แต่ว่ากฐินนี้ไม่มีบริวาร มีแต่เจ้าภาพ เพราะเป็นกฐินสามัคคี) จะทำบุญน้อย จะทำบุญมาก มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน และอานิสงส์กฐินนี่ เวลานั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

    "โภ ปุริสะ ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุคคลใดเคยทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคน ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ท่านผู้นั้น จะไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้า 500 ชาติ"

    นั่นหมายความว่า ถ้าหมดอายุเทวดา หรือ นางฟ้า จุติแล้วก็เกิดทันที 500 ครั้ง เมื่อบุญหย่อนลงมานิดหน่อย เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้ ลงมาเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก 500 ชาติ แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 500 ชาติ แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ 500 ชาติ หลังจากนั้น จะเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติ

    คำว่า "มหาเศรษฐี" นี่ มีเงินตั้งแต่ 80 โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า "มหาเศรษฐี" ถ้ามีเงินต่ำกว่า 80 โกฏิ แต่ว่าตั้งแต่ 40 โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า "อนุเศรษฐี"

    เมื่อเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ หลังจากเป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นคหบดี 500 ชาติ !!!

    ก็รวมความว่า การทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นอกจากจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีแล้ว บุคคลที่ทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาพระโพธิญาณก็ย่อมได้!!!.....นั่นก็หมายความว่า จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้ จะปรารถนานิพพานเป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้

    ฉะนั้น การทอดกฐินแต่ละคราว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท โปรดทราบถึงอานิสงส์ คนที่เคยทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง รวมความว่า ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด คำว่ายากจนเข็ญใจ จะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกชาติ

    สำหรับวันนี้ การทอดกฐินมันมี 3 อย่าง ความจริงอานิสงส์กฐินก็ย่อมเป็นอานิสงส์กฐิน แต่ในปัจจุบัน จัดกฐินเป็น 3 อย่าง คือ

    (1) จุลกฐิน
    (2) ปกติกฐิน
    (3) มหากฐิน

    กฐิน 3 อย่าง ย่อมเป็นเทวดานางฟ้าเหมือนกัน แต่ทว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากกว่ากัน

    คำว่า "จุลกฐิน" เวลานี้แปลงไป คงจำของพระพุทธเจ้าไม่ได้ คำว่า "จุลกฐิน" ก็หมายความว่า เขาถวายผ้าโดยเฉพาะชิ้นเดียว คือ ผ้ากฐิน จะเป็นผ้าสังฆาฏิตัวหนึ่งก็ได้ จะเป็นผ้าจีวรตัวหนึ่งก็ได้ สบงตัวหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไม่มีทั้งไตร ถวายผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็เป็นกฐิน

    ทีนี้ถ้า "ปกติกฐิน" ก็มีผ้าไตรครบไตร ถวายผ้าไตรเดียวหรืออย่างน้อยก็มีผ้าไตร ๓ ไตร คือองค์ครองหนึ่งไตรคู่สวด ๒ ไตร ทีนี้ถ้ามีผ้าไตรครบทุกองค์ อย่างที่วัดทำเป็น "มหากฐิน" อย่างนี้ถ้าบังเอิญจะไปเกิดในชาติใดก็ตาม จะเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดเป็นพิเศษ อย่างตระกูล นางวิสาขามหาอุบาสิกา มีทรัพย์มากเป็นพิเศษ อย่างมหาเศรษฐี เขาบอกว่าต้องมีเงิน ๘๐ โกฏิ หรือว่า ๑๖๐ โกฏิ แต่ว่าตระกูลของนางวิสาขาจะนับเป็นโกฏิไม่ได้ ต้องนับเป็นโกฏิของเล่มเกวียน ไม่ใช่นับเป็นโกฏิของเหรียญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าตระกูลนี้ร่ำรวยมาก

    ตระกูลนางวิสาขาจริงๆ เริ่มต้นจากคนที่ยากจนเข็ญใจ ต้นตระกูลนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเมณฑกเศรษฐี นี้ ท่านเมณฑกเศรษฐี เป็นปู่ของนางวิสาขา ใสชาติก่อนโน้นท่านเป็นคนยากจนเข็ญใจมาก เรียกว่าเป็นคนแก่ ๒ คน ไม่มีลูก ลูกหญิงไม่มี ลูกชายไม่มี แล้วก็หาเช้ากินค่ำหรือว่าหาค่ำกินเช้า ไม่ได้เกิดพร้อมท่านไม่รู้ใช่ไหม เป็นอันว่าหากันไม่ค่อยจะพอกิน บ้านอยู่ใกล้วัด ไม่มีโอกาสจะทำบุญ ถึงแม้แต่วันพระที่เขาตั้งใจทำบุญกัน เวลาจะทำบุญก็ไม่มี ถ้าขืนมาทำบุญไม่ได้ทำงานก็ไม่มีกิน มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ศรัทธานะมีอยู่ แต่ทรัพย์ไม่มี

    มาคราวหนึ่งปรากฏว่า ที่วัดเขาสร้างส้วม เมื่อเขาสร้างส้วมเสร็จแล้วเขาก็ขุดหลุมส้วมเสร็จ ตอนกางคืนสองคนตายายก็คิดในใจว่า ชาติทั้งชาติ เรามันจนแสนจะจน ไม่มีเงินจะทำบุญ ไม่มีข้าวจะใส่บาตร เวลานี้เขาสร้างส้วมเสร็จ เรามีทองคำอยู่ชนหนึ่งเท่าปีกริ้น นั่นก็คือ ทองคำเปลว เอาไปบูชาพระรัตนตรัยดีกว่า ฉะนั้นเวลากลางคืนมันว่างงาน สองคนตายายจึงย่องเอาทองคำมาปูตรงที่ก้นหลุมส้วม ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย ฟังแล้วก็จำให้ดีนะ ! นีสำคัญมาก

    หลังจากนั้นสองคนตายาย ก็นั่งคิดนอนคิดถึงบุญที่ทำแล้ว ก่อนจะหลับก็ดีใจว่าชาตินี้เราได้ทำบุญด้วยทองคำ ตื่นขึ้นมาก็ดีใจว่าได้ทำบุญด้วยทองคำ ปลื้มใจทุกวันจนกว่าจะถึงวันตาย เมื่อตายจากความเป็นคนอาศัยอานิสงส์ถวายทองคำเท่าปีกริ้นหรือทองคำเปลว ไปบูชาพระรัตนตรัย ไว้ที่ก้นหลุม ทั้งสองคนก็ไปเกิดเป็นเทวดากับนางฟ้า อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เมื่อลงมาจากความเป็นเทวดาและนางฟ้า ด้วยบุญอานิสงส์อย่างยิ่ง ที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยทองคำ ก็เป็นเหตุให้มาเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐี จากคนแสนจนนะ มาเป็นลูกมหาเศรษฐี

    ทีนี้ชาติเดิมท่านเป็นคนมีศรัทธาเป็นปกติ แต่ไม่มีทรัพย์ เมื่อไปเกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ก็มีศรัทธาเป็นปกติ มาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี ก็เป็นคนมีศรัทธาเป็นปกติ มีความเมตตาปรานีในบุคคลทั้งหลาย ฉะนั้นทานมหาเศรษฐีคนนี้จึงมีสภาพไม่เหมือนเศรษฐีคนอื่น เมื่อเป็นเศรษฐีแล้วก็ไม่หวังผลกำไรในดอกเบี้ย ปีหนึ่งได้ข้าวเท่าไร เศรษฐีมีนาเป็นแสนไร่ได้ข้าวมาก ก็กันไว้ส่วนหนึ่ง แกล้งขายเอาเงินเข้าในกองทรัพย์สินของตอนเอง อีกส่วนหนึ่งเอาไว้แจกกับคนจน แต่ว่าต่อมาท่านจะเก็บข้าวเอาไว้จริงๆ ข้าวที่เก็บไว้กินเอง เก็บไว้ประมาณเผื่อคนจนด้วย เผื่อท่านด้วย ที่เก็บไว้นะ ๓ ปี ปีหนึ่งได้ข้าวมาแล้ว เก็บไว้เพื่อกินเองบ้าง เพื่อคนจนบ้าง นี่ ๓ ปี เหลือจากนั้นก็ขาย เหลือจากนั้นก็แจก

    และมาในตอนหนึ่งปรากฏว่า ในประเทศนั้นเกิดข้าวยากหมากแพง ฝนแล้วไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฝนมันแล้งชาวบ้านทำนาไม่ได้ ท่านมหาเศรษฐีก็แจกข้าวกับบรรดาประชาขนที่มาขอ ไม่มีคำว่าขาย แจกมาแจกไป แจกไปแจกมา ในปีแรกข้าวก็ยังเหลือ ปีทีสองข้าวก็ยังเหลือ มันแล้งตั้ง ๓ ปี พอถึงปีที่ ๓ ข้าวหมด ข้าวที่แจกเขาก็หมด มีไว้เพื่อแจกข้าวที่มีไว้เพื่อกินก็หมด

    ทีนี้มันมีข้าวเหลือทะนานเดียว เวลานั้นปรากฏว่าข้าทาสหญิงชายมีมาก ปล่อยหมด ไปตามเวรตามกรรม ไปหากินเอง ที่บ้านนี้ไม่มีกินแล้ว ถ้าขืนอยู่ก็อดตาย ก็มีทาสคนหนึ่ง ชื่อว่า "นายบุญ" ไม่ยอมไปจากนาย บอกถ้านายอดขออดด้วย ถ้านายตายขอตายด้วย ก็เป็นอันว่าตามธรรมดามหาเศรษฐีต้องไปเฝ้าพระราชาเช่นเดียวกับอำมาตย์ทั้งหลาย เวลาประชุมขุนนาง มีวันหนึ่งข้าวเหลือทะนานเดียว ท่านมหาเศรษฐีกลับมาจากเฝ้าพระราชา ก็ถามแม่บ้านว่า ข้าวของเรามีเท่าไร แม่บ้านก็บอกว่า ข้าวของเรามีหนึ่งทะนาน ที่บ้านเรามี ๕ คน ฉันหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ลูกสะใภ้หนึ่งคน และทาสคือนายบุญอีกหนึ่งคน ท่านมหาเศรษฐีก็ถามว่า เราจะกินได้กี่วัน

    ภรรยาก็บอกว่า ถ้าต้มกินเราจะกินได้สองวัน วันนี้กับวันพรุ่งนี้ ถ้าหุงกินเราจะกินได้วันเดียว หลังจากนั้นคำว่า กินข้าวจะไม่มีสำหรับเราอีก ท่านมหาเศรษฐีก็ตัดสินใจว่า เราจะอดตาย อดวันนี้เราก็ตาย อดวันพรุ่งนี้เราก็ตาย ถ้าอย่างนั้นอดวันนี้ตายวันนี้ดีกว่า หลังจากนี้ไปไม่ต้องกินข้าว จะตายเมื่อไรก็ช่างมัน

    ก็เป็นอันว่าสั่งให้ภรรยาหุงข้าว ภรรยาก็หุง เมื่อหุงข้าวเสร็จ ทุกคนก็ตั้งใจคิดว่าเราจะกินเวลานี้เป็นเวลาสุดท้าย
    หลังจากนี้เราจะตาย จะตายก็ช่างมัน ทำทานมหาศาลตาย แล้วอย่างน้อยที่สุด พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าอย่างน้อยเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เมื่อเป็นคนลำบากแบบนี้ เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าดีกว่า

    แต่ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง วันนั้นมี พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์หนึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ


    คำว่า "นิโรธสมาบัติ" นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นสมาบัติพิเศษ ถ้าเราเข้าฌานตามปกติ เรียกว่า "ปกติสมาบัติ" คำว่า ?ปกติสมาบัติ? ก็มีอานิสงส์ การถวายทานแก่คนหรือกับพระที่ไม่ได้เข้าสมาบัติ พระถึงแม้จะมีศีลบริสุทธิ์ ถึงแม้จะเป็นพระอรหันต์ก็ตาม ก็มีอานิสงส์มาก แต่ว่าถ้าพระองค์นั้นเข้าสมาบัติปกติ แล้วออกจากสมาบัติ ถ้าถวายทานแก่ท่าน เวลานั้นจะมีอานิสงส์เพิ่มเป็นแสนเท่า อานิสงส์ไม่เท่ากัน

    ถ้าหากว่าท่านผู้นั้นออกจาก "นิโรธสมาบัติ" คือสมาบัติพิเศษ ถ้าทำบุญคนเดียวคนจนจะเป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น ถ้าคนรวยอยู่แล้วจะรวยใหญ่ และวันนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติ การที่เข้านิโรธสมาบัติ

    "นิโรธ" แปลว่า ดับ
    "สมาบัติ" แปลว่า การเข้าถึง เข้าถึงความดับ คือดับทุกขเวทนาของร่างกาย เพราะร่างกายมันเหนื่อย

    เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติแล้วก็ใช้ ทิพจักขุญาณ ว่า วันนี้เราจะบิณฑบาตที่ไหนจึงจะมีคนสงเคราะห์ ก็ทราบว่ามหาเศรษฐีวันนี้มีข้าวอยู่ทะนานเดียว และก็เวลานี้ภรรยาหุงข้าวเสร็จ แต่ถ้าบังเอิญเราไปบิณฑบาตที่นั่น คนตระกูลนี้ทั้งหมดทั้ง ๕ คน จะมีศรัทธาใส่บาตรให้ ท่านก็นุ่งสบงทรงจีวร ความจริงท่านนุ่งอยู่แล้วไม่ได้แก้ผ้านะ และก็ประคองบาตรเหาะมาจากเขา คันธมาทน์ พอถึงใกล้บ้านก็ลงเดิน

    เมื่อลงเดินท่านมหาเศรษฐีเห็นเข้าก็คิดในใจว่า ข้าวถ้าเรากินเวลานี้ วันนี้เราก็ตาย วันนี้ถ้าเราใส่บาตร เราก็ต้องตาย เราไม่ใส่บาตรเราก็ต้องตาย นี่การตายด้วยการใส่บาตรมันมีอานิสงส์มาก อย่างน้อยที่สุดเราเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าเป็นพรหม ทุกคนจึงตัดสินใจว่า ข้าวทะนานเดียวที่หุงหนึ่งหม้อใส่บาตรดีกว่า ก็ไม่มีแต่ข้าว แกงก็มีด้วย ไอ้แกงก็พอหาได้ จึงไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้หยุดยืนอยู่ บอกขอนิมนต์ก่อนขอรับ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็หยุด ออกไปทั้ง ๕ คนก็ไปใส่บาตร เมื่อใส่บาตรพร้อมกันเสร็จ ต่างคนต่างกล่าววาจาว่า

    "ธรรมใดที่พระคุณเจ้าบรรลุแล้ว ขอข้าพเจ้าทั้งหมดบรรลุธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าข้า"

    พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้พรว่า "เอวัง โหตุ" ซึ่งแปลว่า "เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นสมความปรารถนา"


    และหลังจากนั้นคนทั้ง ๕ คนก็อธิษฐานต่อไปว่า
    "ข้าพเจ้าไปเกิดชาติใดขอให้เป็นมหาเศรษฐีทุกชาติ"
    ภรรยาอธิษฐานว่า "ถ้าไปเกิดชาติใดขอเป็นภรรยามหาเศรษฐีทุกชาติ"
    ลูกชายก็อธิษฐานว่า "ข้าพเจ้าไปเกิดชาติใดขอเป็นลูกของพ่อทุกชาติ"
    ลูกสะใภ้ก็อธิฐานว่า "ขอข้าพเจ้าเป็นลูกสะใภ้ทุกชาติ"
    นายบุญผู้เป็นทาสก็อธิษฐานว่า "ขอเป็นทาสทุกชาติเหมือนกัน ไม่เป็นมหาเศรษฐี"

    ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นคนทั้ง ๕ คนใส่บาตรเสร็จพระปัจเจกพุทธเจ้าให้พรแล้วก็กลับ พอท่านกลับออกไปแล้วท่านมหาเศรษฐีเข้ามาในบ้านก็หมดแรงนอน ความจริงตั้งใจพร้อมยอมตาย แต่ความหิวมันปรากฏ ก็คิดในใจว่า ไอ้ข้าวในหม้อมันคงจะไม่มี ไม่มีมากแต่บางเม็ดมันคงจะมีบ้าง บอกแม่บ้านบอก "แม่คุณเอ๋ย" เข้าไปในครัวทีนะ เอาน้ำไปใส่ในหม้อข้าวคนๆ เข้าให้กลิ่นข้าวมันติดน้ำ ขอดื่มสักหน่อยเหอะ นี่ไอ้คนคิดอยากจะตายมันไม่แน่ แม่บ้านเข้าไปในบ้านก็ตกใจ เปิดหม้อข้าว ตกใจตอนไหนญาติโยม ตกใจว่าข้าวที่ไม่มี มันกลับเต็มหม้อตามเดิม ร้อนเหมือนกับสุกใหม่ๆ ไปเปิดหม้อแกงเข้า ไอ้หม้อแกงก็ร้อนตามเดิม เต็มหม้อ เหมือนกับสุกใหม่ๆ

    ทีนี้ภรรยาก็วิ่งมาบอกท่านมหาเศรษฐี บอก "ท่านเศรษฐีเข้าไปในครัวซิ" ทั้งหมดเข้าไปในครัวมาดูของแปลก ก็ไปเจอะข้าวแกงเต็มหม้อ ก็ดีใจ ตักข้าวออกแล้วปรากฏว่าข้าวสุกก็มีเต็มหม้อตามเดิม แกงก็เหมือนกันตักแล้วก็เต็มหม้อตามเดิม ในเมื่อท่านเห็นว่าข้าวไม่ยอมยุบก็ประกาศแก่คนในหมู่บ้าน ว่าคนในหมู่บ้านนี้ทั้งหมด ใครต้องการกินข้าวกินแกงฉันมี แกงอย่างเดียว มาที่บ้านเอาชามมา ทุกคนกินให้อิ่ม ก็ตักแจก ตักแจกเท่าไรมันก็ไม่ยอมยุบ เลยประกาศให้ชาวบ้านอื่นนอกจากนั้นเข้ามาอีก

    ก็เป็นอันว่า คนที่ต้องอดทั้งหมด ที่ไม่มีข้าวกินทั้งหมดมารวมกันกินที่บ้านมหาเศรษฐี กินอย่างนี้ทุกวัน ข้าวหม้อนั้นก็ไม่หมด แกงหม้อนั้นก็ไม่ยอมยุบ ไม่หมดและก็ไม่ยุบด้วย เมื่อให้ทานขนาดนี้แล้ว ต่อมาก็ตาย ตายเหมือนกัน ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    ทีนี้กลับลงมาเกิดใหม่ ระหว่างนี้สามีภรรยาก็ต้องแยกตระกูลกัน ถ้าไม่แยกตระกูลก็แต่งงานกันไม่ได้ กลับลงมาเกิดใหม่ มาเกิดเข้าท้องคนจนในป่า คือสองคนตายายในป่าคนหนุ่มสาวเขาเรียกว่าตายาย สองผัวเมียในป่าเป็นคนจนมาก แต่คืนนั้นเมื่อ เมณฑกเศรษฐี ปฏิสนธิเข้าในครรภ์ของมารดาพอตื่นเช้าขึ้นมา พ่อบ้านล้างหน้าที่นอกชาน เห็นว่าไอ้กอไผ่นับร้อยนับพันต้นที่ล้อมบ้านที่เขาอยู่กลางป่า เป็นป่าไผ่ หน่อไม้ทั้งหมดเป็นทองคำทั้งหมด จึงเรียกภรรยามาดู ก็ถามว่า "ตาฉันฝาดไปเสียแล้วหรือยังไง ว่าไอ้หน่อไม้นั้นเป็นทองคำ"

    ภรรยาบอก "ตาท่านไม่ฝาด หน่อไม้เป็นทองคำหมด" ทั้งสองคนไปดูใกล้ๆ ก็เป็นทองคำจริงๆ เมื่อไปจับเข้าต้องการหน่อนี้หน่อนั้นก็หลุด จับหน่อไหน หน่อนั้นก็หลุดถ้าต้องการ แต่ว่าคนอื่นไม่สามารถจะดึงเอาหน่อไม้ทองคำไปได้ จะดึงก็ไม่ได้ จะขุดก็ไม่ได้ จะฟันก็ไม่ขาด ทำยงไงก็ไม่ได้ทั้งหมด จะได้เฉพาะสองตายาย

    ในเมื่อหน่อไม้เป็นพันหน่อเป็นหมื่นหน่อ ถึงออกมาแล้วก็เกิดหน่อใหม่ อย่างนี้ก็เป็นมหาเศรษฐีกันแน่นะ พอถึงวันคลอด ท่านเมณฑกเศรษฐี คลอดออกจากครรภ์มารดา พอวันคลอดวันนั้นปรากฏว่า มีแพะตัวเท่าช้างสาร คำว่าช้างสารก็ดูช้างสีดอก็แล้วกันนะ ช้างใหญ่มีจำนวนนับนับร้อยตัวยืนล้อมบ้านอยู่ แพะทั้งหมดยืนอ้าปากมีสายไหมอยู่ในปาก ถ้าต้องการเงินไปดึงเงินจะไหล ถ้าต้องการทอง ทองจะไหล ต้องการผ้า ผ้าจะไหล ต้องการอะไร มันจะไหลตามออกมา

    ก็เป็นอันว่า เมฑกเศรษฐี นี่เป็นปู่ของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ตระกูลนี้เป็นตระกูลมหาเศรษฐีที่ยิ่งใหญ่ในโลก จะเปรียบเทียบก็ได้กับบรรดาท่านทั้งหลายมาทอดกฐินวันนี้ คือ ว่ากฐินมี ๓ อย่าง คือ

    (๑) จุลกฐิน จุลกฐินไม่ใช่มานั่งทอผ้ากันนะ มันมีผ้าชิ้นเดียว
    (๒) ปกติกฐาน มีไตรครบถ้วน
    (๓) มหากฐิน

    กฐินทั้ง ๓ อย่างจะเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์แตกต่างกัน อย่าง จุลกฐิน จะเป็นมหาเศรษฐีแค่ทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ปกติกฐิน จะมีอานิสงส์เป็นมหาเศรษฐีนับได้แต่ ๑๖๐ โกฏิขึ้นไป

    สำหรับ มหากฐิน ก็เช่นเดียวกับนางวิสาขา จะมีทรัพย์มากที่สุด ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน โปรดทราบถึงอานิสงส์ อาตมาก็ไม่สบายนะ ที่มานี่เมื่อคืนก็ท้องถ่ายอย่างหนัก ลงมาไม่ได้ วันนี้บังเอิญมีแรงพูด จึงพูดให้ทราบ ก็จำไว้ว่า การทอดกฐินแต่ละครั้งเป็นมหากุศล และเป็นมหาสังฆทาน เฉพาะกาลเวลาคือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒

    ฉะนั้น การทอดกฐิน ขอบรรดาพุทธบริษัททุกคน ให้ตั้งจิตอธิษฐาน ท่านต้องการอะไรตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส ถ้าต้องการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นได้ ต้องการเป็นอัครสาวกก็เป็นได้ ต้องการเป็นมหาสาวกก็เป็นได้ ต้องการเป็นปกติสาวก คือเข้านิพพานก็เป็นได้ แต่เรื่องการเป็นเศษฐี มหาเศรษฐี ไม่ต้องอธิษฐาน อานิสงส์กฐินธรรมดาก็เป็นมหาเศรษฐีแน่นอน

    หลวงพ่อพระราชพรหมยานอธิบายเรื่องอานิสงส์ของกฐิน

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การทอดผ้าป่า กับ การทอดกฐินอย่างไหนได้อานิสงส์มากน้อยกว่ากันคะ..?"
    หลวงพ่อ : "ความจริง ผ้าป่า กับ กฐินเป็นสังฆทานด้วยกันทั้งคู่นะ แต่ถ้าว่าอานิสงส์โดยเฉพาะกฐินได้มากกว่า เพราะว่ากฐินมีเวลาจำกัด จะทอดตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 แต่อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือ ผู้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้ พระผู้รับมีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท ทำให้สบายขึ้น

    ต้นเหตุแห่งการทอดกฐินนี้ ก็มี นางวิสาขา เป็นคนแรก ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าท่าทรงบัญญัติการจำพรรษา เพื่อป้องกันพระไปเดินเหยียบต้นพืชต้นข้าวที่ชาวบ้านเขาปลูกไว้ใน ฤดูฝนไม่ให้เสียหาย

    ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุชาวปาฐา 30 รูปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในเวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลายมีผ้าจำกัดเพียง 3 ผืนเท่านั้น เมื่อมาถึงในขณะที่นางวิสาขา เฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่พอดี เห็นพระมีผ้าสบงจีวรเปียกโชกด้วยน้ำฝนและน้ำค้าง จึงได้กราบทูลขอพรแด่พระพุทธเจ้าว่า " หลังจากออกพรรษาแล้ว ขอบรรดาประชาชนทั้งหลายมีโอกาสถวายผ้าไตรจีวร แก่คณะสงฆ์ด้วยเถิด" พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุมัติ ส่วนผ้าป่าก็เป็นสังฆทาน แต่อานิสงส์จะน้อยไปนิดหนึ่ง แต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่เป็นสังฆทานเฉพาะกิจ กับสังฆทานไม่เฉพาะกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าป่าผู้ให้ก็ได้อานิสงส์ ผุ้รับก็มีอานิสง์แต่เพียงแค่ใช้ เป็นอันว่าทั้งสองอย่างนี้ถือว่าอานิสงส์การทอดกฐินมากกว่าผ้าป่า แต่ว่าการทอดกฐินปีหนึ่งครั้งเดียว ผ้าป่าทอดได้หลายครั้ง อานิสงส์ผ้าป่าย่อมได้มากกว่านะ"

    ผู้ถาม : "แล้วองค์กฐินที่แท้จริงเป็นอย่างไรคะ..?"
    หลวงพ่อ : "องค์กฐินจริง ๆ คือ ผ้าไตร นอกนั้นเป็นบริวาร เวลากรานกฐินจริง ๆ เรากรานกันแต่ผ้า การถวายก็ไม่ยาก เรามีผ้าจีวรผืนหนึ่งหรือว่าสบงผืนหนึ่ง หรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เขาเรียกว่า จุลกฐิน หรือจะถวายไตรจีวรครบทั้งวัด เขาเรียกว่า มหากฐิน

    ฉะนั้น จะถวายมากก็ได้ ถวายน้อยก็ได้ อานิสงส์เหมือนกัน โดยเฉพาะที่วัดท่าซุง จัดเป็นกฐินสามัคคี เป็นเจ้าภาพร่วมกันทุกคน ได้อานิสงส์เท่ากันหมด

    สำหรับการทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเคยเทศน์คือพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระท่านเคยเทศน์วาระหนึ่ง สมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็น มหาทุคคตะ

    คำว่ามหาทุคคตะนี้จนมาก เป็นทาสของท่านคหบดี ได้ไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าว่า อานิสงส์กฐินนี้มีมาก ท่านจึงกลับไปชวนนาย แต่นายก็มอบหมายทรัพย์สมบัติให้ท่านเป็นผู้จัดการทุกอย่าง ท่านมหาทุคคตะอยากมีส่วนร่วมในทานนี้ด้วย แต่ไม่มีอะไรมีแต่เสื้อผ้าเก่า ๆ ขอตนที่มีติดตัวอยู่เพียงชุดเดียว จึงนำไปแลกที่ร้านในตลาด มีด้าย 1 กลุ่ม เข็ม 1 เล่ม เอามาร่วมในการทอดกฐินกับเจ้านาย เพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระองค์ทรงตรัสว่า คนถวายผ้ากฐิน หรือ ร่วมในการถวายกฐินทานครั้งหนึ่ง
    จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงพระนิพพาน เพียงใดอานิสงส์จะให้ผลแก่ท่านผู้นั้น เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาแล้วก็จะลงมาเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ปกครองโลก 500 ชาติ เมื่อบุญน้อยลงมาจะเป็น พระมหากษัตริย์ 500 ชาติ เป็น มหาเศรษฐี 500 ชาติ เป็น อนุเศรษฐี 500 ชาติ เป็น คหบดี 500 ชาติ แต่คนที่ทอดผ้ากฐิน หรือว่าร่วม ในการทอดผ้ากฐินครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันหมดก็ปรากฏว่า ท่านเจ้าของทานไปนิพพานก่อน"
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คำอธิษฐาน

    แล้วก็สำหรับคำอธิษฐานนะโยมนะ ขอให้ญาติโยมตั้งใจว่า ตั้งใจตอนหลังจากถวายไปแล้วนะ หลังจากถวายของกฐินแล้วก็อธิษฐาน ให้อธิษฐานคิดโดยตรงว่า

    "ถ้าข้าพเจ้าได้อานิสงส์การถวายกฐินนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ ถ้าบังเอิญบารมียังไม่ถึง ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ก็ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า"

    นั่นก็หมายความว่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องการอะไรมันมีทุกอย่าง อย่าง พระอนุรุทธ พระอนุรุทธ ตั้งแต่กาลก่อนๆ ที่จะมาเกิดในกาลนี้ เวลาถวายทานทุกครั้งก็อธิษฐานว่า "ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า"


    ต่อมาชาติหลังที่สุด มันก็มีทุอย่าง แต่ว่าท่านชอบเล่นขลุบกับเพื่อน เล่นสกานะ แล้วก็แม่ทำขนมมาให้ทุกวันๆ ละถาด เลี้ยงตัวเองด้วย เลี้ยงเพื่อนด้วย แต่ทว่ามาวันหนึ่งปรากฏว่าขนมไม่มี พอถึงเวลาก็ใช้ให้คนใช้ไปรับขนมที่แม่ แม่บอกว่าขนมไม่มี ท่านไม่เคยได้ยินคำว่า "ไม่มี" มีแต่มีเฉยๆ ท่านจึงบอกว่า ขนมไม่มีก็เอา อยากจะกินขนมไม่มี แม่ก็คิดในใจว่า ลูกของเราเกิดเป็นลูกเจ้า ต้องการอะไรก็ได้ทุกอย่างไม่เคยขัดข้อง ไอ้การขัดข้องขงคนมันต้องมีสักวันหนึ่งข้างหน้า จึงอยากจะสอนลูกชายให้รู้ว่าคำว่า "ไม่มี" มันเป็นอย่างนี้ จึงเอาถาดเปล่าๆ วางลงไป แล้วก็เอาถาดเปล่าๆ อีกใบหนึ่งวางคว่ำปิดทับเป็นฝาปิด แล้วส่งให้คนใช้นำมาให้ลูกชาย ลูกชายจะได้รู้จักคำว่า "ไม่มี" มันไม่มีจริงๆ

    ตอนนี้อานิสงส์ที่พระอนุรุทธท่านเคยอธิษฐานไว้หลังจากการทำบุญว่า "ผลทานที่ข้าเจ้าทำนี้ ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า" เป็นเหตุให้เทวดารักษาตัวเดือดร้อน คิดว่าถ้าวันนี้ท่านพระอนุรุทธ ไม่มีขนมกิน เทวดารักษาตัวต้องหัวแตกเจ็ดเสี่ยง ตายแน่ ! เทวดาจึงต้องเนรมิตขนมทิพย์เข้าถาด พอคนใช้ไปถึงก็วางถาดลง พอเปิดขึ้นกลิ่นก็หอม รสก็หวานอร่อย

    ต่อมาเมื่อตอนเย็น ท่านกลับมาหาแม่ ถามแม่ว่า? ทุกวันแม่ไม่เคยปรานีลูกเท่าวันนี้เลย? แม่ก็ถามว่า? เพราะอะไร? ท่านก็บอกว่า "เพราะขนมไม่มีของแม่นั่นแหละ ! มันอร่อยเหลือเกิน ทีหลังขอให้แม่ทำขนมไม่มีให้ทุกวันนะ" แม่เลยสบายเวลาลูกชายใช้ให้คนใช้มาเอาขนมก็เอาถาดเปล่าวางเข้า แล้วเอาถาดเปล่าอีกใบปิดข้างขนให้คนใช้แบกไป เป็นอันว่าเทวดาองค์นั้นต้องทำขนมทุกวัน สบายไปเลย

    ญาติโยมก็เหมือนกัน วันนี้ทำบุญกันหลายอย่าง คำว่า "กฐิน" ตามที่ ดร.ปริญญา ประกาศบอกว่าต้องมี ผ้า อันนี้เป็นความจริงผ้านี่เป็นกฐิน สำหรับอย่างอื่นเป็นบริวาร อย่างเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัทให้มาแล้ว ต่อไปชาติหน้าก็จะมีเงินคับคั่งฐานะดีไม่น้อยกว่ามหาเศรษฐีทุกคน ถ้าบังเอิญต้องเกิดอีกนะ

    ประการที่สอง การถวายผ้าเนื่องด้วยกฐินก็ดี สังฆทานก็ตาม เทวดาเคยถามพระพุทธเจ้าว่า

    การให้อะไรได้ชื่อว่าเป็นการให้ผิวพรรณ? พระพุทธเจ้าบอกว่า "การให้ผ้าผ่อนท่อนสไบได้ชื่อว่าเป็นการให้ผิวพรรณ"

    คำว่า "ให้ผิวพรรณ" หมายความว่าให้มีผิวพรรณสวยนั่นก็คือ "การถวายผ้า"

    ประการที่สาม ญาติโยมถวายพระพุทธเจ้า เมื่อกี้อย่าลืมว่าการถวาผ้ามีผิวพรรณสวยนะ แต่ตัวเองอาจะไม่สวยก็ทรวดทรงนะไม่สวย

    ทีนี้การถวาย "พระพุทธรูป" ถ้าเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม จะมีแสงสว่างมาก ถ้ามาเกิดเป็นคนจะมีทวดทรงสวยมาก เป็นอันว่าอานิสงส์ที่ญาติโยมต้องการ

    (๑) มีทรวดทรงสวยก็ได้ทำแล้ว
    (๒) มีผิวพรรณสวยก็ได้ทำแล้ว
    (๓) มีทรัพย์สมบัติมากก็ได้ทำแล้ว

    เป็นอันว่าของทุกอย่างที่ญาติโยมทำครบทุกประการ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยของพระนิพพานโดยตรง

    ขอให้ทุกคนตั้งใจว่าอย่างนี้นะว่า

    "ชาตินี้ขอให้นิพพาน ถ้ายังบังเอิญไปนิพพานไม่ถึงก็ขอค้างอยู่ที่พรมบ้าง ที่สวรรค์บ้าง แล้วก็จะตีตั๋วต่อไปนิพพานทันทีเมื่อหมดวาระ "

    ขอขอบคุณ
    อานิสงส์กฐินทาน....พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    สำหรับกฐินของคณะทุนนิธิฯ นั้น คณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเหมาะแล้ว ดีแล้ว และมีจำนวนเงินที่ทางวัดต้องการเพียง 150,000.- นั้น อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือได้ คณะกรรมการจึงตกลงที่จะรับเป็นเจ้าภาพโดยเป็นกฐินเอก และหากท่านใดสนใจที่จะร่วมทำบุญ ก็ขอได้โปรดโอนเงินเข้ามาที่บัญชีทุนนิธิฯ เลยก็ได้ เพราะคณะกรรมการฯ จะได้นำเงินที่ฝากเข้าบัญชีในคราวต่อไป หักออกไปช่วยในกองกฐินนี้ โดยขั้นต้นกำหนดวงเงินที่จะหักสมทบกฐินในครั้งนี้ 10,000.-โดยส่วนที่เหลืออีก 140,000.- จะได้นำมาจากผู้บริจาคตามฏีกากฐินและผู้บริจาคสมทบอื่นๆ ที่บริจาคเข้ามาเพิ่มเติมครับ ส่วนภาพบรรยากาศในวันทอดกฐิน จะได้นำมาลงให้โมทนากันต่อไป

    พันวฤทธิ์
    21/10/56
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อย่าดูถูกท่านผู้เฒ่า​



    “ คนเฒ่าคนนี้สำคัญมากนะ ” โดยปกติแล้วเพิ่นครูอาจารย์มั่น เพิ่นอยู่ไหนนาน ๆ นั้น เพิ่นต้องอยู่ด้วยการรู้เห็นอุปนิสสัยของบุคคลผู้ที่จะได้รับประโยชน์ตลอดจนได้มรรคได้ผล วัดหนองน่องบ้านห้วยทรายนี้ก็เหมือนกัน มีหลวงตาทุม รูปนี้ล่ะที่เป็นผู้ได้คุณธรรมชั้นสูง เพิ่นครูอาจารย์มั่นเอาพ่อผ้าขาวทุมขึ้นไปบวชแล้ว พวกหมู่พ่อออกก็ขึ้นไปรับลงมาอยู่จำพรรษาวัดหนองน่อง ก่อนลงมาเพิ่นครูอาจารย์มั่นให้โอวาทกำกับคนเฒ่าหลวงพ่อทุมว่า “ หลวงพ่อเฒ่าให้คุณตั้งใจภาวนา อิหยังจะเกิดก็ตามในขณะภาวนา อย่าได้ทิ้งผู้รู้อย่างเด็ดขาด ตั้งผู้รู้ให้ได้ ” ก่อนลงมาก็ทำขมาคารวะกรรมเข้าพรรษา แล้วก็ลงมา ลงมาแล้วหลวงตาเฒ่าก็ทำกิจวัตร ข้อวัตร ของตนมิได้ขาด รักษาธรรมวินัย มิได้บกพร่อง ตั้งใจของตนเรื่อยมา หลังจากนั้นที่เพิ่นครูอาจารย์มั่นอยู่จำพรรษาทางเหนือเที่ยวธุดงค์แถบจังหวัดเลย อุดร หนองคาย หนองบัวลำภู นครพนม แล้วก็ลงมาอยู่จำพรรษาอยู่วัดหนองน่อง เอาคุณแม่จันทร์โยมแม่ออกของเพิ่นครูอาจารย์มั่นลงมาด้วย มาถึงแล้วก็ถามหลวงตาทุมว่า “ เป็นแนวได๋หลวงตาผู้เฒ่าคุณฟังเทศน์ได้ความดีบ่ ” “ โดยข้าน้อย ฟังได้ธรรมะอยู่ครับ ” จากนั้นหลวงตาทุมก็ได้แจกแจงลำดับหัวข้อเทศนาของเพิ่นครูอาจารย์มั่นว่า วันนั้น ๆ เดือนนั้นปีนั้น อัญญาท่านได้แสดงเรื่องนั้น ว่าอย่างนั้น อยู่ที่นั้น เพิ่นครูอาจารย์มั่นก็นั่งฟังคนเฒ่าลำดับสาธยายอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ฉงนใจ อัศจรรย์ใจของหมู่พระเณรผู้ติดตาม เพิ่นครูอาจารย์มั่นว่า ก็คนเฒ่าหลวงตาเฒ่าคนนี้อยู่ประจำวัดนี้อยู่ที่นี่จะได้ยินครูอาจารย์เพิ่นเทศน์ได้อย่างไร เป็นที่สงสัยของหมู่พระเณรอย่างมาก เพราะหลวงตาเฒ่าอยู่ทางนี้กลับฟังเทศน์ธรรมได้ดีกว่าพวกตนเป็นนักเป็นหนา

    เพิ่นครูอาจารย์มั่นกลัวว่าพระเณรจะปรามาสหลวงตาเฒ่าให้เป็นบาปเป็นกรรมได้ เพิ่นจึงได้แก้ไขความสงสัยว่า “ คนเราผู้ตั้งใจไว้ดีแล้วนั้น การฟังจะฟังใกล้ จะฟังไกล ก็ฟังได้ความทุกถ้อยกระทงธรรม ผู้อยู่ใกล้กับมดส้ม มดแดงเฝ้าผลหมากม่วงก็มีถมไป ” ก็ในพรรษานี้เองที่หลวงตาทุมได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน เทียบเคียงขออุบายธรรม เพื่อแก้ไขขัดเกลาจิตใจของท่านกับเพิ่นครูอาจารย์มั่น หลวงตาทุมเองก็ปฏิบัติตนเป็นที่น่าเลื่อมใส ตั้งอยู่ในสมณวินัยมิได้มีการถือตนลำพองใจแต่อย่างใด ยังปฏิบัติตนตามอายุพรรษาพระนวกะปฏิบัติครูบาอาจารย์ รับใช้ช่วยเหลือการงานของพระเณรเท่าที่เพิ่นจะทำได้ แม้พระเณรจะห้ามมิให้ทำก็ตามหลวงตาเฒ่าก็ขอโอกาสทำตามกำลังของตนจะอำนวย ๓๙.) วันนั้นตั้งแต่เช้าตื่นนอนมา ลูกหลานนำจังหันมาส่งได้ให้พรและฉันจังหัน ก็ทำข้อวัตรภาคเช้า มาพักผ่อนเอาเที่ยงกว่า พักไปได้หน่อยเดียวก็ลุกขึ้นมา มีความคิดที่อยากจะภาวนาก็เลยทำข้อวัตรในช่วงบ่าย มีการปัดกวาดใบไม้ดูแลเสนาสนะเสร็จแล้ว ก็อาบน้ำชำระกาย จากนั้นก็เข้ากุฏิปิดงับหน้าต่างประตูให้มิดชิดแล้วก็นั่งเข้าที่ภาวนา นั่งนึกพุทโธจนอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์แล้ว ปรากฏว่า “ ร่างกายแยกออกเป็น ๒ ภาค ส่วนหนึ่งกระเด็นไปฟากฟ้าด้านตะวันออก อีกส่วนหนึ่งกระเด็นไปฟากฟ้าตะวันตก ร่างกายหายไประยะชั่วอึดใจ จากนั้นก็มีรูปร่างใหม่รู้ตัวใหม่ว่ามีรูปกาย มีรูปใจ ตั้งใจรวมสมาธิใหม่พอจิตเป็นเอกัคคตารมณ์แล้ว ร่างกายก็แตกดับใหม่อีก แยกออกเป็น ๒ ภาคเหมือนเดิม

    ส่วนหนึ่งตกไปทิศเหนือห่างจากตัวพอมองเห็นชัด อีกส่วนหนึ่งตกไปทิศใต้ห่างจากตนพอมองเห็นชัด จากนั้นก็เกิดเป็นอสุภะตามลำดับจนส่วนของร่างกายนั้นหายไปเป็นดิน ขณะท่านเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า อะไรจะเกิดขึ้นหนอ ก็มีเสียงธรรม มาเตือนว่า “ อย่าไปสนใจอะไรทั้งหมดให้ตั้งผู้รู้ให้ได้ อะไรจะเกิดขึ้นก็ให้มีผู้รู้อยู่กับตัว ” จากนั้นท่านก็กำหนดตั้งใจระลึกในผู้รู้ได้ จิตใจสงบแนบแน่นขึ้นจนจิตเคลื่อนจากอาการนั้นอยู่ต่อไปอีก จิตก็เที่ยวไปในภูมิต่ำมีนรกหลุมต่าง ๆ จากหลุมใหญ่สุดแล้วก็เที่ยวไปในหลุมบริวารต่าง ๆ พอพ้นจากนรกภูมิต่ำแล้วก็ลำดับพิภพของสัตว์เดรัจฉานน้อยใหญ่ ดูในภูมิของมนุษย์ ดูในภูมิของสวรรค์ ลำดับชั้นสวรรค์จนครบก็ขึ้นชั้นพรหมาปริสัชชาเทวา เลยมีเสียงบอกว่า “ ยังไม่ถึงกาลเวลา ขอพระคุณเจ้าจงลงไปก่อน ” จิตของท่านเลยถอยจากสมาธิ รู้สึกตัว กายกับใจเคลื่อนเข้าหากันลุกออกจากการทำสมาธิภาวนา แต่นิมิตที่เห็นนั้นจำได้จนหมด ท่านก็ไม่ใส่ใจเรื่องของมันต้องเป็นอย่างนั้นเกิดแล้วก็ดับไป ท่านมาใส่ใจการทำภาวนาให้มากขึ้นกว่าเดิม นิมิตต่าง ๆ เกิดขึ้นก็เรื่องของมัน เกิดมาก็เป็นอย่างนั้น ท่านย้อนมาดูกายจนแจ้งชัดกายมาดูเวทนามาดูจิต มาดูธรรม จนเกิดผลอัศจรรย์เฉพาะตัวเป็นชั้น ๆ ขั้น ๆ ไป ท่านบอกว่าระยะเวลานิมิตท่องเที่ยวภูมิต่าง ๆ นั้น ใช้เวลาตั้งแต่ประมาณบ่าย ๓ โมงจนแปดนาฬิกาอีกวัน จากนั้นก็เกิดเป็นผลอัศจรรย์เรื่อยมา โดยอาศัยเทศน์ธรรมะของเพิ่นครูอาจารย์มั่น ที่ท่านเทศน์ในที่ต่าง ๆ ทางทิศเหนือทางอุดร หนองคาย” สมัยอายุ ๘ - ๙ ปี วันไหนได้ไปส่งจังหันถ้าวันนั้นจะเป็นวันที่หลวงปู่มั่นเทศน์ ท่านก็จะเตือนผู้คนเด็กผู้ใหญ่ว่า “ อย่าใช้เสียง อย่าเสียงดัง ข้าฯ จะฟังเทศน์ญาท่าน ” จากนั้นท่านก็ห่มผ้า เฉวียงบ่า กราบไหว้ไปในทิศที่หลวงปู่มั่นกำลังจะเทศน์อยู่ จากนั้นก็นั่งฟังจนจบเทศนา ท่านจึงลุกคุกเข่ากราบไหว้แล้วไปทำข้อวัตรต่าง ๆ ต่อไป สมัยนั้นเราก็เป็นเด็กอยู่เลยมิได้สังเกตอะไรมาก แต่อาศัยจดจำจากคำของคนใหญ่ นอกจากหูฟังได้ไกล ใจแก้ไขได้ถูกต้องแล้ว หลวงตาทุมยังกำหนดวันละสังขารรูปกายของตนได้ เดือน ๑๑ เก็บข้าวกล้านาบุ้งยุ้งฉางของแล้วหมด ลมเปลี่ยนทิศ วันนั้นล่ะลูกหลานเอย ผู้ข้าจะต้องไป ไปตามกรรมของตน เหลือแต่ชั้นของสูเจ้า ญาท่านได้บอกสอนไว้หมดแล้ว ให้ใส่ใจตนของตนอัตตาหิ อัตโน นาโถ ให้ชัดเจน

    เมื่อวันเวลาดังกล่าวมาถึงก็จริงดังกำหนดเอาไว้ แต่เช้าวันนั้นลมกลับทิศหลวงตาผู้เฒ่าก็มีอาการไข้และเหนื่อยเล็กน้อย ลูกหลานญาติโยมจึงมาเฝ้าแต่เช้า ตัวท่านเองหลังจากฉันจังหัน ก็ทำสรีระกิจ ปัดกวาดกุฏิ โดยมีเด็กอยู่วัดคอยช่วยเหลือ เสร็จจากนั้นท่านก็ไหว้พระภาวนาแล้วจึงจำวัดประมาณ ๔๕ นาที จึงลุกมานั่งชานนอกกุฏิ ญาติโยมก็ตำหมากถวายแต่ท่านปฏิเสธ แต่ฉันน้ำสักพักก็กลับเข้าห้องภาวนาบอกห้ามเสียงรบกวนท่านภาวนาจากบ่ายคล้อยจนบ่าย ๕ โมงเย็น ก็ออกมาสรงน้ำ สรงน้ำเสร็จท่านก็กลับเข้าห้องภาวนาต่อ ลูกหลานก็คอยค่อย ๆ ย่องเข้าไปใต้ถุนกุฏิท่านก็บอกออกมาจากกุฏิว่า ยังข้ายังอยู่ ลูกหลานญาติโยมทำอยู่หลายครั้ง ท่านก็บอกออกมาทุกครั้ง จนได้เวลาประมาณตี ๔ ตี ๕ ครั้งสุดท้ายที่ย่องเข้าไปเสียงที่ท่านเคยตอบกลับเงียบ เมื่อขึ้นไปดูบนกุฏิปรากฏว่าท่านละสังขารไปแล้ว อยู่ในท่าภาวนานั่งค้อมไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่อยู่ในท่าสมาธิภาวนา เช้าวันใหม่ลูกหลานจึงจัดการสังสการศพ ในสมัยนั้นทำกันง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากวุ่นวายเหมือนสมัยนี้ เหลือแต่อัฐิ อังคาร ก็ไม่มีใครสนใจอยากได้ หลงงมงายเหมือนสมัยนี้ เผาเสร็จแล้วก็ขุดหลุมฝังอัฐิอังคารรวมลงไปอัดดินถมดินให้แน่นก็เสร็จแล้วสมบูรณ์

    ***คัดจากธรรมประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ : วัยต้นชีวิต — กับ พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สืบหาพระเครื่องดีวันนี้ มาด้วยความอาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเรื่องนี้เมื่อสองวันที่แล้วได้คุยกับครูอาจารย์ไว้ว่า เจ็บคราวนี้เห็นท่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของท่าน เพราะมีการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต และระบบข้างในมีปฏิกริยาตอบสนองต่อการใช้ยาน้อยลงแล้ว น่าจะมีโอกาสสิ้นพระชนม์ได้ง่ายๆ คำถามต่อไป พี่ช่วยไหวมั้ยคราวนี้ รอให้ผ่านวิกฤตบางอย่างก่อนได้มั้ย คำตอบ คือไม่ได้ว่ะ สงสารท่าน ให้ท่านไปเหอะ ท่านน๊ะไม่มาอีกแล้ว เหลือแต่พวกเอ็งนั่นแหละ ให้เร่งภาวนากันเข้าไว้ก็แล้วกัน เมื่อคืนพอรู้ข่าวท่านสิ้นพระชนม์ เช้านี้ตื่นตีสี่ รีบนั่งสมาธิ แล้วขอบารมีจากท่าน บารมีจากร่างที่ยังทิ้งพลังงานไว้ให้บางคนที่รู้ อธิษฐานขอพรใ ห้เรามีความก้าวหน้าในชีวิตต่อไป (ครูอาจารย์ชั้น อนาคามีขึ้นไป เมื่อละสังขารไปแล้ว พลังงานของท่านที่สะสมไว้ ยังคงเหลืออยู่ให้พวกเราอธิษฐานขอพรได้ นานนับชั่วโมง แล้วแต่บารมีของแต่ละท่าน)

    ทีนี้ไหนๆ ก็เขียนเรื่องถึงท่านแล้ว จำได้ว่า ได้เคยเห็นวัตถุมงคลชิ้นนึง ที่ทำในโอกาสฉลองพระชนม์มายุ 8 รอบ 96 พรรษาของท่าน ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ถูกมองข้าม และไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ขอโทษ วัตถุมงคลชุดนี้แรงขาดใจ แบบจัดหนักได้เลย วัตถุมงคลชิ้นนี้ก็คือ “สายรัดข้อมือมหามงคล สมเด็จพระสังฆราช” นั่นเอง หน้าตาของวัตถุมงคลชุดนี้ ดูตามด้านล่างเอาเอง แล้ววัตถุมงคลชุดนี้ ใครทำใครเสก รู้แล้วจะร้องอู้ ก็ท่านเจ้าคุณธีฯ แห่งวัดชนะสงครามที่ละสังขารไปแล้วเช่นกัน ท่านเจ้าคุณธีฯ นี้ ครูอาจารย์บอกสำคัญนัก เพราะท่านสำเร็จกสิณธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ครบ เรื่องการเสกนั้นหวานหมูมาก การเสกของท่านคือเสก ด้วยธาตุไฟเพื่อตั้งธาตุก่อน แล้วตามด้วยดิน น้ำ ลม และตบท้ายด้วยธาตุไฟมาประกบอีกทีนึง บอกได้เลยว่า จับสายรัดข้อมือนี้แล้ว มันส์มากจริงๆ ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังหาได้รึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีแล้ว คาดได้เลยไม่ต้องอายใคร คาดไว้ ปรับธาตุในตัวได้ด้วย ดีกว่าวัตถุมงคลธรรมดา ที่ครูอาจารย์สำเร็จธาตุไม่ครบ แถมยังเสกไม่ครบธาตุซะด้วยซ้ำ ราคาตอนนั้น ผมทำบุญกับ รพ.จุฬาฯ ร้อยเดียวเอง ตอนนี้เท่าไรก็ไม่รู้ ใครมีแล้ว ใส่ตอนนี้ ไม่ตกเทรนด์น๊ะจะบอกให้


    [​IMG]


    นอกจากกิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้นเพื่องานฉลองเทิดพระเกียรติแด่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวโรกาสพิเศษเช่นนี้ได้มาบรรจบกัน ทางสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จึงได้จัดทำโครงการ “สายรัดข้อมือมหามงคล สมเด็จพระสังฆราช” มีการออกแบบให้เป็น สายรัดข้อมือ ๓ สี ๓ เส้น สีเหลือง สีขาว สีฟ้า ซึ่งเป็นสีประจำตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ สมเด็จพระสังฆราช โดยสายรัดข้อมือได้ผ่านพิธีมังคลาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิริมงคลของชีวิต เพราะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จัดทำขึ้น

    [​IMG]

    [​IMG]

    คุณลักษณะของสายรัดข้อมือมหามงคลสมเด็จพระสังฆราช

    เป็นสายรัดข้อมือสามเส้น สามสี ร้อยเกี่ยวเข้าด้วยกัน มีเส้นสีเหลือง สีขาว และสีฟ้า ซึ่งสีทั้งสามสีนี้ เป็นสีประจำตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์สมเด็จพระสังฆราช และสีแต่ละสีมีความหมายดังนี้


    [​IMG]

    สายสีเหลือง (สีแทนพระพุทธศาสนา) สื่อถึงทรงเป็นพระเถระที่ทรงภูมิธรรมด้านการปฏิบัติธรรม

    ด้านนอก จารึกภาษาบาลีว่า พุทธํ ธมฺมํ สงฺมํ สรณํ คฺจฉามิ อภิปูชยามิ เอเตน สจฺจ วชฺเชน โสตฺถิเม โหตุ สพฺพทา (ลายพระหัตถ์) และเป็นบทสวดซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงสวดมนต์ทุกวัน

    ด้านใน จารึกลายพระหัตถ์ มีตัวเลข ๒๒๐ ซึ่งเป็นตัวเลขมงคลมีความหมายถึงการครบรอบ การสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ครบ ๒ ทศวรรษ ๒๐ ปี ในวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ นี้, มีตัวเลข ๘๙๖ ซึ่งเป็น ตัวเลขมหามงคล ซึ่งมีความหมายถึงวันประสูติ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ นี้ ทรงเจริญพระชนมายุ ครบ ๘ รอบ ๙๖ พรรษา

    สายสีขาว (สีแทนพระบริสุทธิคุณ) สื่อถึงทรงเป็นพระเถระที่ทรงเพียบพร้อมด้วย อัตตสมบัติ (คือมีศีลาจารวัตร)

    ด้านนอก อัญเชิญตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์สมเด็จพระสังฆราช และจารึกพระนาม สด.พระญาณสังวร (ลายพระหัตถ์)

    ด้านใน จารึกพระราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ


    สายสีฟ้า (สีวันประสูติ) สื่อถึงทรงเป็นพระเถระที่ทรงภูมิธรรมด้านปริยัติ

    ด้านนอก จารึกคติธรรมเป็นภาษาบาลี และภาษาไทย ว่า ปุญญเมว โสสิกฺ เขยฺย ควรศึกษาทำความดีแล และจารึกภาษาบาลีว่า อายุ วณฺโณ ๙ สุขํ พลํ (ลายพระหัตถ์)

    ด้านใน จารึกคติธรรมปีใหม่ เว้นการควรเว้น ทำการควรทำ เพื่อพัฒนาตน และประเทศชาติ (ลายพระหัตถ์)


    ขอให้หาสายรัดนี้ให้เจอน๊ะครับ

    พันวฤทธิ์
    25/10/56

    [/COLOR]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2013
  8. ต้นแก้ว

    ต้นแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,569
    โอนเงินร่วมบุญทุนนิธิฯ 300 บาท 26/10/56 อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  9. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    วันเสาร์ที่ 19 ต.ค. (วันออกพรรษา) นั้น ผมได้ไปจ.มหาสารคามเพื่อทอดกฐิน ระหว่างเดินทางผ่านอ.สีคิ้วเพื่อรับเพื่อนธรรมอีกท่านหนึ่ง ผมก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังยืนริมถนน มีอาการเหมือนจะรอรถโดยสารประจำทางนานแล้ว จึงให้รถจอดแล้วแวะไปถามท่านว่า ผมและพวกจะไปมหาสารคาม พระคุณเจ้าจะไปทางเดียวกันหรือเปล่า หลังจากได้ฟังคำถามผมแล้ว พระคุณเจ้าจึงแจ้งว่าจะไปในตัวเมืองโคราชเพื่อทำธุระเกี่ยวกับเอกสารของวัด ผมจึงนิมนต์ท่านขึ้นรถไปด้วย

    ระหว่างทางนั้นก็ได้สนทนากับท่านไปพลางๆ จนสุดท้ายท่านก็ล้วงไปในย่ามแล้วหยิบสิ่งมงคลนี้ให้ผมครับ
    [​IMG]

    ผมรู้สึกยินดีและปิติมากๆ เลยครับเพราะไม่เคยรู้ว่ามีวัตถุมงคลนี้อยู่ ผมก็แกะออกจากกล่องและอารธนาติดตัวทันที และเพิ่งจะมารู้จากพี่พันวฤทธิ์ในกระทู้นี้ว่าวัตถุมงคลนี้ดีอย่างไรยิ่งทำให้ยินดและปิติยิ่งขึ้นครับ

    วันอาทิตย์ที่ 27 ต.ค.นี้ ผมไปร่วมกิจกรรมตามปกติครับ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บุญแท้น้อ...อนุโมทนาด้วย ท่านผู้มีบุญ
     
  11. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 1

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2013
  12. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 2

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  13. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 3

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  14. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 4

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  15. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 5

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  16. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 6

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2013
  17. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 7

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2013
  18. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนตุลาคม 2556 ตอนที่ 8

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พบกันใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2556 นี้

    ขอพรพระให้ทุกท่านมีความสุขสวัสดิพิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล

    สุขภาพร่างกายแข็งแรง

    จิตใจแจ่มใส

    การเงินคล่องตัว

    การงานราบรื่น

    ลูกหลานสามัคคี

    บริวารเกื้อหนุน

    เดินทางสะดวก

    ทุกท่านครับ

    สาธุครับ
     
  19. sirimanod

    sirimanod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +912
    ผมขอร่วมทำบุญประจำเดือน พ.ย.56ด้วยนะครับ

    ผมนายศิริมาโนชญ์ จันทรคุปต์ (ต๊อง) ขอร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ โดยผมจะทำเป็นประจำในทุกๆเดือน เดือนละ100 บาท ผมได้โอนเงินประจำเดือนพ.ย.56 เข้าบัญชีของทุนนิธิฯเป็นจำนวน 100 บาทเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 56 และผมขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่ได้มีส่วนร่วมในการรักษาพระภิกษุสงฆ์อาพาธด้วยครับ
     
  20. Smilerider

    Smilerider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +1,994
    ผมขอร่วมทำบุญประจำเดือน พ.ย.56 ครับ
    500 บาท โอนเงินวันที่ 1 พย 56 เวลา ประมาณ 22.55 น

    ขอผลบุญนี้จงส่งผลถึง บิดา มารดา และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ตลอดจน ครูบา อาจารย์ เพื่อนสนิท มิตร สหาย และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และสัมมาอาชีพ ของข้พเจ้า

    ดีใจครับที่ได้เห็นรูปที่ทุกท่านได้ไปช่วยกันถวายของสงฆ์อาพาธเป็นประจำทุกเดือน
    ขออนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...