(ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร) เลขเด่นงวดประจำวันที่ 16 ก.ค. 58 หน้าที่ 261 ...แชร์ความฝัน ^__^

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย aegmanmu, 15 มิถุนายน 2013.

  1. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ขอให้หายไวๆครับป้า

    ป่วยกันหมดเยย ญาติธรรม ผมก็เหมือนจะเป็นไข้ตอนนี้กินยาแล้วครับ
     
  2. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    สวัสดีครับลูกพี่ปุ๊ก ท่านบู๊ไปแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุนครับลูกพี่
     
  3. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ไม่รู้จะเกี่ยวกับฝันของเอกไหม ฝันแต่โรงเรียน และพวกนักเรียนนักศึกษา และก็ฝันถึงผู้หญิงสวยผมยาว
     
  4. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    DATE 25-09-2013

    [[สอนน้องเบลล์]]





    งดการสอนเนื่องจากพ่อน้องเบลล์ป่วยกระทันหันทำให้ต้องมาเรียนในวันอังคารหน้า สรุปว่าเลื่อนไปจ้า
     
  5. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ผมเปื่อยครับ ขอให้ญาติธรรรมดูแลสุขภาพด้วยนะครับ
     
  6. dara1

    dara1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +212
    หายไวไวนะน้องเอก บุญรักษาจ้ะ
     
  7. ขนมเทียน

    ขนมเทียน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +459
    ดูแลรักษาสุขภาพนะจ๊ะ หายไวไวจ้า ช่วงนี้ฝนตกบ่อยมากอย่า
     
  8. ขนมเทียน

    ขนมเทียน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +459
    ต่อ...อย่าลืมพกร่มไปด้วยน้า...
     
  9. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ขอบคุณครับพี่ดา
     
  10. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูแลสุขภาพกันด้วยครับผม

    ขอบคุณพี่ปุ๊กที่เป็นห่วงครับ
     
  11. juu-dt07

    juu-dt07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2010
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +934
    อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้างคะน้องเอก ดีขึ้นหรือยังคะ ดื่มน้ำอุ่นนะคะ อย่าดื่มน้ำเย็น แล้วก็้พักผ่อน(นอน)มากๆ แล้วจะฟื้นไข้ได้เร็วค่ะ
     
  12. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ค่อยยังชัวร์แล้วพี่ แต่ยังเจ็บคออยู่ ตัวก็อุ่นๆๆสงสัยต้องนอนพักยาวๆๆ
     
  13. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    "เราไม่รู้หรอกว่า เราเคยทำกรรมอะไรมาบ้างในอดีต แต่หากวันนี้ใครกำลังทุกข์ ก็คิดเสียว่า
    นี่จะเป็นชาติสุดท้ายที่เราจะทุกข์ เพราะต่อจากนี้ไป
    เราจะสร้างแต่คุณงามความดีไว้เป็นทุน เพื่อวันข้างหน้า
    เราก็จะได้รับแต่ผลของความดี ที่เราได้ทำมา อย่าน้อยใจในโชคชะตา ใครจะใหญ่เกินกรรม"
     
  14. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    "แม้สูญสิ้นทุกสิ่ง ก็ยังมีความดีติดตัว"
     
  15. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    "การให้ย่อมได้เสมอ คุ้มแสนคุ้ม ใครที่เคยคิดจะเอาอย่างเดียว เปลี่ยนความคิดเสียเถอะ เพราะแค่่คิดจะเอาความทุกข์ ความเครียดในใจมันก็ไม่คุ้มแล้ว ถ้าคิดจะให้ เบิกบานมีความสุข"
     
  16. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    "ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา" (บุญยกให้ญาติธรรมทั้งหมดครับ)

    เป็นเรื่องยากยิ่งทีเดียว ที่จะให้ใครเห็น เพราะด้วยความเป็นมนุษย์ ด้วยความเป็นคน ผู้พอกเอาความเห็นแก่ตัว ผู้พอกเอาความหวง ความอยากได้ ไว้ให้แก่ตัว เป็นคุณสมบัติ อันเหนียวแน่น จึงทำให้มองไม่ออก คิดไม่เห็นได้เลยว่า ถ้าเรายิ่ง "หวง" ไว้ ยึดไว้ให้แก่ตน เราจะไม่ได้ อะไรมาอีก แต่ถ้าเรา "ยิ่งให้ไป" มีเท่าใด เราก็ให้ไปๆๆ นั่นแหละ เราจะเป็นผู้ได้มามากขึ้นๆ

    จะมีใครสักคนบ้างไหม? ที่เห็นจริง ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวนั้น "ยิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา" ข้าพเจ้าเชื่อว่า ต้องมีผู้ เห็นได้แน่ๆ แม้อาจจะน้อยคน ก็ตามว่า ที่ข้าพเจ้าพูดนั้น เป็นความจริง ไม่ใช่พูดเล่น เพียงเอาภาษา หรือ คำพูด มาเรียบเรียง เล่นคารม แต่โดยความเป็นจริงแล้ว จะปฏิบัติจริง ให้เห็นให้แจ้งไม่ได้อย่างนั้น ไม่ใช่เช่นกล่าวนั้น ข้าพเจ้า ขอยืนยันว่า นั่นเป็นความแท้จริง และการ "ให้" ในที่นี้ ก็คือ การให้ไปจริงๆ คือไม่เอาไว้ เป็นของตนนั่นแหละ และไม่ว่าอะไร ทั้งสิ้นด้วย ทุกอย่างตั้งแต่ ของที่เป็นชิ้น เป็นอัน จับต้องได้ อันนับเนื่อง เป็นทรัพย์สินเงินทอง เข้าของ สมบัติมหาสมบัติ ไปจนสิ่งที่เล็กละเอียด ที่จับต้องไม่ได้ แม้เป็นการให้ความรัก ความชัง ความโกรธ ความเมตตา อันใดก็ดี ถ้าเรายิ่งให้ไป ยิ่งจะได้มา นั่นคือ กฎแห่งความแท้จริง อันเที่ยงแท้

    แต่จะมีใครกล้าไหม ในขณะนี้ เรามีทรัพย์สินเงินทองข้าวของ หรือ สมบัติอันใดอยู่ เราก็เริ่มลงมือ "ให้" เขาไป หรือแจก หรือจ่าย หรือ พูดเป็นภาษาสวยๆ ก็ว่า บริจาค หรือทาน นั่นเอง ให้เขาไปให้หมด เสียเดี๋ยวนี้ ทันที ไม่เอาอะไรไว้เลย มีไหมเอ่ย? คนที่จะกล้าทำดังนี้ และในการแจกจ่าย หรือให้ไปนั้น จะต้องให้โดยจริง โดยบริสุทธิ์ใจด้วย คือ ให้โดยอย่าหวัง ผลตอบแทน อย่างที่สมกับคำว่า "ให้" อันหมายความว่า มอบไป แก่ผู้อื่น เสียไปจากตน ตรงกันข้ามกับ โลภเอามา

    ข้าพเจ้าคิดว่า จะมีโดยแท้ โดยจริงนั้น ก็คงจะเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น กระมัง ที่กระทำทันที และ ตัดสินพระทัย ของพระองค์ได้ทันที โดยมิได้พะวงหน้าพะวงหลังเลย เมื่อจะ "ละ" หรือ จะไม่เอาแล้ว ก็ละทันที ทิ้งไปทันที ทิ้งไว้ให้ใครก็ตาม ไม่เอาอีกแล้ว ทั้งสิ้นทั้งปวง "ให้" อย่างสะอาด บริสุทธิ์ ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง ด้วยประการทั้งปวง ตั้งแต่มหาราชสมบัติ ตำแหน่ง ยศชั้นบรมกษัตริย์ ไปจนกระทั่ง ความพรั่งพร้อม อันมนุษย์ต้องการทั้งปวง คือ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ได้พยายามเหลือเกิน ที่จะสรรค์ และหามาบำรุงบำเรอ ให้แก่พระองค์ จนล้นฟ้า ล้นแผ่นดิน หากเป็นบุรุษธรรมดา ก็คงจะสุขแสนปรีดิ์เปรม เกษมจิตยอดยิ่ง ด้วยทุกรสที่จะเสพนั้น พรั่งพร้อมบริบูรณ์ ไม่มีใดเทียมอีกแล้ว นารีหมื่นนาง ล้วนเป็น ราชธิดากษัตริย์ ที่น้อมใจยินดีอยู่ปรนนิบัติ และหรือสตรีอื่น อันเป็นสนมน้อยใหญ่ อีกนับนางไม่ถ้วน สถานที่อยู่ อันยิ่งกว่า เวียงฟ้า เวียงสวรรค์ ประโคมด้วย สรรพสำเนียงดนตรี แต่ความอบอวลไปด้วยกลิ่น ทั้งที่ปรนปรุงขึ้นมา ทั้งธรรมชาติ ดารดาษ ด้วยกลิ่นหอม อันมนุษย์ พึงควรที่สรรค์สร้าง ไว้ล้อมรอบ จะต้องการ "รสสุข"ใด "รสอร่อย"ใด ย่อมได้สมพระประสงค์ ทุกสิ่งทุกประการ มิได้บกพร่องเลย แม้กระทั่งสิ่งผูกพันร้อยรัด ที่เป็น "สายใจ" อันเป็นโซ่สัมพันธ์ภายใน ที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ คือ มเหสีผู้ยอดยิ่ง ไปจนกระทั่ง พระราชโอรส ผู้บริสุทธิ์ สุดสวาท พระองค์ก็ "ให้" หรือ "ละ" หรือ "ปล่อย" ได้ทันที

    อันธรรมดา มนุษย์นั้น มีสมบัติอยู่กับตนแม้น้อยนิด ก็จะหวงของ ที่น้อยนิดนั้น ยิ่งกลัวมันจะหมดไป ให้ห่วงใย ทะนุถนอม ถ้าเป็นคน ผู้มีนิสัย อดออมได้ ก็จะอดออม ถนอมรักษาไว้ ให้เป็นสมบัติของตน ไปจนกระทั่งตาย ตายแล้วก็ยังหวง ยังห่วงอีก และ ยิ่งผู้มีสมบัติ มากหลากหลาย ก็ยิ่งให้ห่วงให้หวง หนักมากหลาย ตามขึ้นไปอีก บางทียอมตาย เพื่อให้สมบัตินั้นคงอยู่ ไม่ยอมให้ตกไป เป็นของเขาอื่น ก็ยังกล้าทำลงไปได้ ก็ลองคิดดูเถิดว่า มันเรื่องอันใดกัน ที่ต้องทำอย่างนั้น ตัวเองหวงของ หวงสมบัติไว้ แม้คนเขา ผู้มาแย่ง จะฆ่าเอา ก็ยังไม่ยอมให้ ยอมสู้ตาย เพื่อให้ของอยู่ แล้วมันได้อยู่เป็นเจ้าของ หรือ ของมันตายไป ตามเราหรือเปล่าล่ะ จะไปรัก ไปห่วง ไปหวงมันไว้ จนถึงขนาดนั้น ทำไมกัน ข้าพเจ้า ก็ยังคิดไม่ออก เหมือนกันว่า คนประเภทนั้น เขา "หวง" เขาหลง "รัก" สมบัติอะไร กันนักหนา ถึงขนาดนั้น จนกลายเป็น คนหลงผิด เป็นคนโง่ถึงขนาด ก็สมบัติเหล่านั้น ถ้าเราตายโดยเอาชีวิต แลกแล้ว สมบัติ มันก็ต้อง คงอยู่บนโลก นี่แหละ ส่วนเราสิ ตายไป อยู่อีกโลกหนึ่ง แล้วของนั้น มันไปอยู่กับเรา เมื่อไหร่กัน เราตายไป ของหรือ สมบัติเหล่านั้น มันก็ต้องตกเป็น ของคนอื่นวันยังค่ำ

    เรื่องของ "วัตถุ" หรือ "สมบัติภายนอก"นี้ เป็นเรื่องที่มองเห็นยาก สำหรับมนุษย์ปุถุชน อธิบายกันอย่างไร ก็ไม่มีวันเข้าใจ ได้ง่ายๆว่า "ยิ่งให้ไป จะยิ่งได้มา" และส่วนมาก จะไม่ยอมเชื่อ แล้วจะ "ไม่ยอมให้" ได้ง่ายๆ เป็นอันขาด แม้จะมีอยู่แล้วอย่างเหลือเฟือ

    เพราะเหตุว่า "วัตถุ" หรือสมบัติภายนอกนี้ มันมีส่วนสัมพันธ์ มีการเดินทาง กว่าจะแปรสภาพ แปรรูป เปลี่ยนมือ จากคนนี้ไป และกว่า จะเปลี่ยนรูป เป็นของ เป็นสมบัติกลับคืนมาให้ "ผู้ให้" เดิมนี้อีกที มันก็ใช้เวลาบ้าง และใช้ตำแหน่งสถานที่ และใช้การเคลื่อน การหมุน การแปรมากมาย หลายเหลี่ยมอยู่ จึงทำให้คน ไม่ค่อยเห็น ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะ มันมีเรื่องของ "จิตใจ" อันเต็มไปด้วย "กิเลส" เข้าไปพัวพัน ไปร่วม ในการแปรเปลี่ยน ร่วมในการหมุน การเคลื่อน การเดินทางนั้นๆด้วย "การให้" จึงกว่า จะหมุนกลับ มาให้ "ผู้ให้" จึงอาจแปรสภาพ ใช้เวลานานกว่าธรรมดา คนจึงเห็นได้ยาก และเข้าใจคำว่า "ยิ่งให้ไป จะยิ่งได้มา" ว่าเป็นของแท้ของจริง เป็นเรื่องถูก เรื่องต้องไม่ได้ แต่โดยความแท้แล้ว มันแท้จริง เป็นหลักการ ทีเดียว แม้การให้ไปแล้วนั้น มันจะเฉไฉ เป๋ไป๋ไปยังไง ก็จะต้องได้กลับมา วันยังค่ำ ยิ่งทรมานมาก หนักมาก เหนื่อยมากเท่าใด ยิ่งจะได้มากขึ้นๆ เป็นทวีคูณเท่านั้น

    จงจำไว้เถิดว่า จะไม่มีใครในพิภพจักรวาลนี้ จะได้อะไรฟรี หรือได้อะไรมา โดยไม่สะสมไว้ หรือลงทุนไว้ แม้จะเอา ของเขามาก่อน ในเมื่อนี้ ก็จะต้องคืนเขาในเมื่อหน้า และถ้าเราให้เขาไว้เมื่อนี้ เราจะได้คืนแน่ๆ ในเมื่อหน้า นี่คือหลักแห่งความจริง หลักการที่ถูกต้อง ที่สุด
    ดังนั้น ใครทำใจเย็นได้มากเท่าใด หัดให้ หัดสะสมไว้มากเท่าใด เราก็จะมีมากยิ่งๆเท่านั้น พระพุทธเจ้า ท่านมีมหาสมบัติ และมีทุกสิ่ง ทุกอย่าง พรั่งพร้อม เพราะอะไร? เพราะท่าน "บริจาค" ท่าน "ให้" มานักหนา "ให้" เสียจน แม้ท่านไม่ต้องการเลย ในสมัยชาติของ พระองค์ท่าน ก็ยังมีมายัดเยียดให้ท่าน จนเรียกว่า ล้นแล้วล้นอีก เมื่อมีมากกว่ามาก เหลือคณา เราก็เรียกว่า "ล้นฟ้า" นั่นเอง ใครอยากมี หรืออยากให้จน "ล้นฟ้า" ก็จะต้องหัด "บริจาค" หรือหัด "ให้"ไว้เถิด ให้แล้วก็อย่าไปคิด เอาสิ่งตอบแทน มาก่อนเสียล่ะ ให้ไปโดยแท้ โดยบริสุทธิ์ใจ คือ ให้อย่างลืมกันทีเดียว อย่าคิดถึงมันเลย ว่าเราได้ "บริจาค" เราได้ "ให้" ถ้าเรา "ให้" แล้ว ก็รับสิ่งตอบแทน "การให้"นั้นมา ไม่ว่าจะในรูปของ "วัตถุ" ที่แลกเปลี่ยน หรือในรูปของ "นามธรรม" ก็อย่าไปยินดีรับมา เฉยเมยเสีย เฉยเมยให้ได้จริงๆ แล้วเราจะมี "ทุน" ที่สะสมไว้จริงๆ
    ถ้าเราอยากได้ "ความดี" มากๆ เราก็หัดจ่าย "ความดี" ออกไป มากๆ ใช้ "ความดี" ออกไป จากตัวเรา ให้มากๆ ความดี ก็จะยิ่งพอกพูน ให้กับตัวเรา มากยิ่งขึ้น คิดให้ดี หรือจะเป็น "ความ..." อะไรก็ตาม หากใครจ่ายไป หรือ ให้สิ่งนั้นไป มากเท่าใด หรือ สะสม สิ่งนั้นไว้เท่าใด เราก็จะยิ่งได้สิ่งนั้นมาไว้ มากเท่านั้น เป็นหลักแห่งความจริง ความแท้ ที่ไม่มีใคร สามารถ จะบิดเบือนได้ ที่พูดนี้ เป็นหลักวิทยาศาสตร์ อย่างแท้ด้วย เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่มีใหม่ ไม่มีเก่า และ ไม่สูญหาย ไม่สลายไป นอกจากการเปลี่ยนแปร การเคลื่อนย้าย

    ในโลกนี้ ไม่มีสูญหาย ไปจากโลก ไม่ว่าพลังงาน หรือ สสาร และ ก็เป็นจริง ดังนั้น ทุกประการ พลังงาน คือนามธรรม และสสาร คือรูปธรรม หรือ วัตถุธรรม ทั้งหลายนั่นเอง ในพิภพจบสากล จักรวาลใดๆ ก็มีของอยู่ ๒ สิ่งนี้ เท่านั้นแหละ ที่มันมีบทบาท หมุนเวียน เปลี่ยนแปร อุบัติอยู่ให้เห็นให้รู้ ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย นอกจากนั้น ถ้าใครสามารถ ทำของ ๒ สิ่งนี้ ให้มัน หยุดหมุน หยุดเวียน หยุดเปลี่ยนได้ ผู้นั้นก็คือผู้ทำ "นิพพาน" ได้ ผู้รู้แจ้ง "เหตุ" ผู้รู้จุดระงับ ผู้ทราบ "ความแท้จริง" ผู้มีดวงตา เห็นธรรม ผู้มีดวงตาแจ้ง "ความแท้จริง" ย่อมเป็นผู้เดือดร้อนน้อย เป็นผู้ถูกหลอก ได้ยาก เป็นผู้สงบ อยู่ได้มากแล้ว และถ้าท่านผู้นี้ ทำของสองสิ่ง ให้กลายเป็นเหลือสิ่งเดียว ได้อย่าง จริงจังละก็ นั่นแหละคือ ท่านผู้นั้น ถึงซึ่งความพินาศ ความหมดสิ้น ความไม่เหลืออะไร ความไม่มีอะไร ความจบ ความหมด ความขาด ซึ่งวัฏฏะ ความเลิกหมุน เลิกเวียน นั่นคือ "ปรินิพพาน" นั่นเองแล
     
  17. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    "สำหรับผู้ดวงตาเห็นธรรม" (อริยทรัพย์เหนือว่าทรัพย์วัตถุ)

    [เคล็ดลับในการทำบุญและอธิษฐานให้ได้อานิสงค์แรง]

    ---------------------------------------------------------------------------------------
    การจะถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตร การทำสังฆทาน หรือถวายอะไรก็ตามมักจะมีการอธิษฐานหรือที่เรียกว่าการ “จบของ” ซึ่งบางคนอาจจะจบเร็ว บางคนอาจจะจบช้าด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง

    “ก่อนที่เราจะถวาย ให้จบมาเสียก่อนจากบ้าน เนื่องจากพอมาถึงวัด มักจะจบไม่ได้เรื่อง คนมากมายเดินไปเดินมา จะหาสมาธิมาจากไหน เราจะทำอะไรก็ตามอธิษฐานไว้เลย เวลาถวายจะได้ไม่ช้า เสียเวลาคนอื่นเขาอีกด้วย บางคนก็ขอไม่รู้จบให้ตัวเองไม่พอ ให้ลูกให้หลานจิตเลยส่ายหาบุญไม่ได้”

    แบบนี้การสร้างบุญแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยและอุทิศบุญได้แบบครบถ้วน เพราะในช่วงเวลาสำคัญที่กำลัง “จบของ” อยู่นั้นอาจจะถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุมได้ ดังนั้นควรอธิษฐานเสียก่อนที่จะใส่บาตร ก่อนไปวัด ก่อนไปทำบุญเพื่อบุญจะได้ไม่ตกหล่นสามารถทำได้ทุกบุญที่เราทำ

    การสร้างบุญกุศลนั้นขอให้ยึดหลักการสร้างบุญบารมีในบุญกิริยาวัตถุ 10 เป็นสำคัญที่มีทั้ง 10 ช่องทาง มีเพียงบุญจากการทาน เท่านั้นที่ใช้เงิน ส่วนที่เหลืออีก 9 ช่องทางไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียวคือ

    -บุญจากการรักษาศีล
    -บุญจากการเจริญภาวนา
    -บุญจากการอ่อนน้อมถ่อมตน
    -บุญจากการช่วยเหลือสังคมรอบข้าง
    -บุญจากการเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา
    -บุญจากการ ยอมรับและยินดีในการทำความดี
    -บุญจากการฟังธรรม
    -บุญจากการธรรมทาน
    -บุญจากการทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม

    เคล็ดสำคัญที่จะช่วยให้การทำบุญนั้นได้รับผลบุญมากคือ ต้องระมัดระวังจิตใจทั้ง 3 ระยะเป็นสำคัญต้องดูแลจิตให้ไปทางกุศลอย่าให้จิตตก ทั้งก่อนทำ ขณะทำและหลังทำบุญ ทั้ง 3 ช่วงระยะสำคัญนี้ต้องทำใจให้โล่งๆ โปร่งสบายๆ ยิ่งใจเป็นกุศล นิ่งมากเท่าใด บุญที่ได้รับก็มากตามเท่านั้นเพราะผู้ให้นั้นบริสุทธิ์

    เคล็ดสำคัญที่ครูบาอาจารย์ท่านเน้นมากคือ อย่าไปคิดว่าทำบุญแล้วต้องได้ผลอย่างนั้น เมื่อนั้นเมื่อนี้ แบบต้องรวยทันใจ ต้องให้คนมาหลงรัก ต้องแก้ดวงตกเคราะห์ไม่ดีได้ ถ้าไปคิดหวังผลแบบนั้นเลย อาจจะไม่ได้ตามที่หวัง เพราะการคิดแบบนั้นจะไปขวางทางบุญไม่ให้ส่งผลได้เต็มที่ ขอให้ทำบุญแบบไม่หวังผลใดๆ เข้าตัว ทำบุญเพื่อชำระจิตใจให้สะอาด เพื่อให้คนอื่นมีความสุขในบุญของเราที่ทำ ส่วนเรื่องของอานิสงส์บุญอย่างไรก็ต้องได้ เป็นกฎแห่งกรรมอยู่แล้ว เราหว่านอะไรไว้ต้องได้ผลแบบนั้น อยากได้อะไร อยากขอในเรื่องไหน ขอให้ ไปตั้งจิตในตอนอธิษฐาน ไม่ใช่ในช่วง 3 ระยะสำคัญที่ทำบุญอยู่

    และเวลาทำบุญก็อย่าไปกังวลว่าพระสงฆ์ ท่านจะเอาของที่ใส่ ทำสังฆทาน ปัจจัยต่างๆ ไปทำอะไร รวมถึงเวลาที่เราจะช่วยเหลือใครแล้วไม่ต้องไปหวังผลตอบแทน “ให้” เพราะอยากเห็นเขามีสุขได้ ให้เพราะอยากเห็นเขาคลายจากความทุกข์ ความไม่มีความขัดสนก็พอแต่อย่า “ให้” เพื่อเขาเอาไปทำบาปเป็นอันขาด เช่น การเลี้ยงเหล้า การให้เงินไปทำแท้ง ให้เงินไปทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม เพราะการให้แบบนั้นคือ การร่วมกรรมไม่ดีที่จะส่งผลกรรมแรงมาก ต้องพิจารณาให้ดี

    หลายคนทำบุญไม่ได้บุญเพราะจิตตกคิดไปทางอกุศล จิตส่ายไปคิดโน่นคิดนี่จนอาจจะถึงขั้นปรามาสพระสงฆ์ท่าน จะเป็นกรรมหนักเสียเปล่าๆ จะทำบุญแล้วไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องระแวง ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่าวัตถุทานที่ใส่บาตรนั้น

    - ถ้าเป็นของดีที่ประณีตมากเหนือกว่าที่เรากินและใช้ก็จะได้บุญมากขึ้นทวีคูณ
    - ถ้าเป็นของดีเสมอกับที่เรากินเราใช้ก็ได้บุญเท่าที่เราทำเสมอตัวตามนั้น
    - แต่ถ้าเป็นของไม่ดีของเลวกว่าที่ตนเองกินและใช้ อานิสงส์ของบุญที่ได้นั้นจะน้อยมากเพราะเป็นทานที่ไม่เต็มใจ เป็นทานที่ขาดเจตนาที่เป็นกุศล

    การพิจารณาคุณภาพของวัตถุทานนั้นสำคัญมาก มหาเศรษฐีหรือคนรวยบางคน มีเงินมากจริงเพราะได้รับอานิสงส์ในการทำทานมามาก แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเงินนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะทานที่ทำมานั้นเป็นทานชั้นต่ำ ทำทานด้วยของไม่ดีหรือทำทานด้วยความไม่เต็มใจ หรืออาจจะมาจากการทำทานที่หวังผลตอบแทน ทำบุญแบบการค้าแลกเปลี่ยนกัน คงจะพอเคยเห็นคนรวยที่ขี้เหนียวมาก เวลาที่จะกิน จะซื้ออะไรก็จะเลือกกินแต่ของใกล้จะเสีย หรือของเหลือเดน รวมถึงคนที่กินได้ประเภทกินแต่ข้าวต้มกับปลาเค็ม เศษผักอะไรประเภทนั้น ของดีๆ มีประโยชน์กินไม่เป็น กินไม่ได้ เหตุเป็นเพราะอาจจะทำทานชั้นต่ำมาก่อนและเหตุจากวิบากกรรมไม่ดีมาส่งผลให้เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่บางคนอยากจะกิน อยากจะใช้ของดีแต่ก็ทำไม่ได้ บางคนใส่เสื้อผ้าดีๆ กินอะไรดีๆ ไม่ได้เลย ต้องมีผื่นคันหรือถึงขั้นเจ็บไข้ล้มป่วยไปเลย

    ดังนั้นการใส่บาตรหากไม่พิจารณาแล้วเอาของเหลือเดน ของบูดเน่าเสียไปใส่บาตร อันนี้จะพูดถึงการที่ไม่รู้มาก่อน นอกจากได้บุญน้อยหรือแทบจะไม่ได้บุญแล้ว ยังไปสร้างบาปเสียอีกเพราะพระสงฆ์ที่รับไปนั้น ท่านเอาไปฉันหรือใช้ไปแล้วเกิดผลเสียต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นการไปขวางการปฏิบัติธรรมของท่านด้วย แต่สำหรับพวกที่รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าของนั้นบูดเน่าเสีย แล้วยังเอาสิ่งของนั้นไปทำบุญอีก บุญนั้นไม่ได้รับอยู่แล้วล้านเปอร์เซ็นต์ มีแต่บาปล้วนๆ เท่านั้น เหมือนเป็นการเอายาพิษไปให้พระสงฆ์เลยทีเดียว และจะทำอะไรไม่เจริญเลยในชาตินี้

    ครูบาอาจารย์และบรรพบุรุษตั้งแต่ครั้งโบราณท่านรู้เรื่องเคล็ดวิชาเหล่านี้ดี ท่านจึงสอนเสมอว่าต้องพยายามเอาของดีที่สุดที่มีอยู่ใส่บาตร เช่น ข้าวปากหม้อที่หุงใหม่ กับข้าวที่ทำเสร็จใหม่ ผลไม้ที่กำลังสุกงอมดี อะไรที่ไม่ดีท่านจะไม่เอาไปใส่บาตรหรือเอาไปทำบุญ ทำสังฆทานเลยเป็นอันขาด เพราะท่านรู้หลักการทำบุญด้วยของที่ดีกว่าตนเองกินและใช้ เพื่อที่จะเกิดบุญมาก

    ยิ่งสมัยนี้มักนิยมทำสังฆทานถังเหลืองกันมากเพราะสะดวกไม่ต้องเสียเวลาจัดเตรียม ขอแนะนำว่าให้ดูให้ดีๆ ในสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในนั้นดูวัน เดือน ปีที่ที่หมดอายุด้วย หากยังพอที่จะมีเวลาก็ควรจะหาซื้อเองจะได้บุญมากขึ้นตามเจตนาและความพยายามในการสร้างบุญนั้น และยังมีอีกหลายอย่างที่พระสงฆ์ท่านต้องการใช้จริงๆ เช่น ยาสระผม รองเท้าแตะ เครื่องเขียน มีดโกน ผ้าขนหนูเนื้อดี ไฟฉาย ฯลฯ

    ลองพิจาณาดูว่าอะไรที่ท่านต้องการใช้จริงๆ เพื่อให้ท่านสะดวกในการปฏิบัติธรรม การ”ให้”ที่ตรงกับคนรับต้องการนั้นได้บุญมากด้วย เพราะตรงกับความเดือดร้อน ตรงเวลา ตรงประโยชน์

    หลายคนไม่ค่อยมีเวลาในตอนเช้าที่จะไปใส่บาตร เพราะอาจจะติดภารกิจต่างๆ ก็ให้เอาเงินที่จะใช้ใส่บาตรในแต่ละวันนั้น ใส่ซองหรือใส่กระปุกเก็บไว้ก่อน เมื่อมีเวลาเมื่อใดก็ไปที่วัดเอาเงินในกระปุกนั้นตั้งจิตอธิษฐานถวายเป็นค่าภัตตาหารของพระสงฆ์ สามเณร เงินนั้นจะน้อยหรือมากไม่เป็นไร ไม่สำคัญอยู่ที่เจตนา ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า ควรฉลาดในการทำบุญคือ เฉลี่ยบุญให้ครบในทุกวัน

    เช่น ใน 7 วันนี้เราเก็บเงินในกระปุกได้ 7 บาทก็อธิษฐานว่า ขอถวายเป็นค่าภัตตาหารของสงฆ์วันละ 1 บาทครบ 7 วัน พออาทิตย์หน้ามาทำใหม่ก็ใช้วิธีเดิมจะได้บุญครบถ้วนทุกวัน เงินบาทเดียว สลึงเดียวถ้าเป็นเงินบริสุทธิ์มาจากความอดออม มาจากความตั้งใจอย่างแรงกล้าแล้ว คนที่ทำทานนั้นจะได้บุญมากเหลือที่จะสุดบรรยายได้

    สำหรับการเฉลี่ยบุญแบบนี้ จะทำให้เราได้สร้างบุญครบต่อเนื่องไปทุกวันไม่มีขาดตอน ถือว่าเป็นการสะสมบุญให้กลายเป็นบุญใหญ่ บุญกุศลก็จะหนุนนำชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน และเป็นการส่งเสริมให้จิตอยู่กับกุศลตลอดเวลา

    หรืออาจจะใช้วิธีฝากหรือไหว้วานให้คนอื่นไปใส่บาตรแทนให้ก็ได้ แต่ก็ให้”จบของ” เงินนั้นเสียก่อนแล้วค่อยมอบเงินให้ไป เรื่องนี้ถือว่าได้บุญสองเท่าด้วย เพราะนอกจากจะได้บุญจากการใส่บาตรแล้ว ยังได้บุญจากการที่ชักชวนคนไปสร้างบุญด้วย แต่อย่าไปบังคับไปขู่เข็ญให้เขาทำแทนโดยที่ไม่เต็มใจ เพราะจะเป็นบาปปนกับบุญ

    ถ้าอยากจะได้บุญถึง 3 เท่า 3 ทาง เงินที่เตรียมใส่บาตรไว้ที่เตรียมจะให้คนอื่นไปใส่บาตรแทนนั้น เราก็ให้เกินจำนวนที่เตรียมจะใช้ใส่บาตรจะดียิ่งขึ้น เช่น เงินที่เตรียมใส่บาตร 100 บาทใน 1 อาทิตย์ก็เพิ่มเป็น 150 บาทส่วนที่เพิ่ม 50 บาทให้เป็นทานแก่คนที่ไปใส่บาตรแทนให้ก็จะได้บุญทั้ง 3 ทาง

    ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง เมตตาแนะนำเสริมว่าโดยเฉพาะการ “จบของ” ก่อนใส่บาตรหรือทำสังฆทานนั้น ผู้ที่กำลังมีเจ้ากรรมนายเวรมารังควานมารบกวนหรือคิดว่ามี ที่กำลังทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านการเงิน การงาน สุขภาพหรือด้านใดก็ตาม

    ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศบุญไปตอนนั้นเลย…และต้องแบบเจาะจงเฉพาะตัว

    เฉพาะเรื่องที่กำลังมีปัญหาอยู่ ถ้าจะให้ดีมากๆ ให้เจาะจงเรื่องที่ต้องการจริงๆ เพียงเรื่องเดียว อย่าเหมารวมทุกเรื่องแบบบุฟเฟต์ ปนมั่วสับสนกันไปหมดเพราะแรงบุญนั้นอาจจะกระจายไปเรื่องนั้นนิด ไปเรื่องนี้หน่อย จนอาจจะไม่เกิดพลัง ไม่เกิดผลเท่าที่ควร จึงขอแนะนำให้อธิษฐานในเรื่องเดียวแบบตรงประเด็นที่สุด เช่น

    “ด้วยบุญกุศลในการใส่บาตร (หรือทำสังฆทาน) ที่ข้าพเจ้า ……….(ชื่อของตน) ได้ทำสำเร็จแล้วในวันนี้ ขออุทิบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่ตามจองเวรอยู่ในขณะนี้ที่กำลังทำให้เดือดร้อนเรื่อง…..(เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม) ขอให้ท่านเมตตามารับ มาร่วมอนุโมทนาบุญที่ทำนี้ เมื่อท่านยินดีพอใจในบุญนี้แล้วขอให้ถอนตัวจากอุปสรรคที่กำลังเกิดขึ้น และให้อโหสิกรรมกับข้าพเจ้า ขออานิสงส์แห่งบุญนี้ช่วยปรับภพภูมิให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่ในภพภูมิที่มีความสุขยิ่งขึ้นไป นับตั้งแต่บัดนี้เทอญ” (คำอธิษฐานนี้อาจจะแตกต่างกันไปตามครูบาอาจารย์ แต่รับรองว่าถ้าถูกธรรมแล้วดีทุกครูบาอาจารย์ เพราะท่านพิจารณาแล้วขอให้เลือกใช้ได้ตามจริตของท่าน)

    เวลาที่อธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตานี้ ในช่วงที่หลับตาตั้งจิตอธิษฐานขอให้นึกภาพว่ามีแสงสว่างมารวมที่จิตให้สว่างมากที่สุดเท่าที่จะนึกได้ แล้วส่งแสงสว่างนั้นออกจากจิตของเราให้พุ่งออกไปในวงกว้าง ยิ่งเราจำหน้าคนที่เราอยากอุทิศบุญไปให้ เช่น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูก หรือเจ้าหนี้ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้ลำแสงที่ออกมาจากจิตนั้นพุ่งตรงไปที่เขาเลย จะเกิดผลดีมาก

    สำหรับครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์ พรหมเทพเทวาทั้งหลายที่เราอุทิศบุญเพื่อถวายและเพื่อโมทนาพระคุณความดีของท่าน ขอให้เปลี่ยนจากการนึกภาพของแสงเป็นดอกไม้แทน จะเป็นดอกบัวหรือดอกอะไรก็ได้ที่ท่านชอบ เปลี่ยนจากการส่งลำแสงพุ่งไปหาเป็นการถวายดอกไม้ท่านที่เท้าของท่านหรือตรงหน้าท่านก็ได้

    หลายคนที่จิตมีกำลังมาก เมื่อเวลาอธิษฐานอุทิศบุญนี้สำหรับอุทิศโมทนาพระคุณความดีของสำหรับ พระอริยสงฆ์ พรหมเทพเทวา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ดอกไม้ที่ถวายในจิตนั้นจากดอกไม้ธรรมดาจะกลายเป็นดอกไม้บุญที่สุกสกาวเหมือนเพชรที่มีแสงระยิบระยับ สวยงามมาก

    ในส่วนของการอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาไปให้เจ้ากรรมนายเวร คนที่จิตมีกำลังมากจะเห็นภาพในนิมิตเหมือนดาวระยิบระยับพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งก็หมายความว่า เจ้ากรรมนายเวรเขามีความสุขได้ปรับภพภูมิที่สูงขึ้นด้วยอานุภาพแห่งบุญที่เราอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาไปให้ (แต่ท่านที่ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ขอให้ใจเป็นสุขในการให้และหมั่นทำไปเรื่อยๆ จะเห็นเอง)

    สำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่สร้างปัญหาชีวิตให้กับเรานั้นมีอยู่ 2 แบบที่อยากจะเรียนให้ทราบ คือ แบบที่หนึ่งเป็นดวงจิตวิญญาณที่อยู่กันคนละภพภูมิกับเรา ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิสูงเป็นเทวดาหรือต่ำกว่าเราพวกผี พวกสัมภเวสีต่างๆ เป็นกายละเอียดที่เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น การติดต่อกับเขาได้ต้องด้วยทางจิตเท่านั้นและการที่จะให้อะไรกับเขาต้องด้วยบุญเท่านั้นเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการที่ต้องอุทิศบุญไปให้เขาเพื่อการอโหสิกรรม

    แบบที่สองเป็นเจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า ลูกค้า สัตว์เลี้ยงหรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่มาทำให้เราทุกข์ใจหรือเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ เจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิตนั้นส่วนมากเราจะเป็นหนี้เขาด้วยการกระทำเป็นหนี้เรื่องทรัพย์สินเงินทอง หากเราได้ทำการชดใช้และได้ไปขออโหสิกรรมกับเขา กรรมนั้นมักจะอโหสิกรรม

    นอกจากเรื่องทางกาย วาจาและใจที่เขาอาจจะไม่อภัย เช่น ไปเบียดเบียนเขา ไปทำให้เขาเสียประโยชน์ ไปสร้างความเจ็บแค้นทางใจอย่างรุนแรงจนเขาแค้นมากอาจจะไม่เอาแล้วเงินทอง คอยจ้องจะทำให้เราเสียหายตกต่ำช้ำใจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    บางคนเขาไม่แสดงออกแต่เขาแค้นอาฆาต ถ้าเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตแบบนี้เราไปหาเขาไม่ได้แน่นอนเพราะอาจจะไม่ปลอดภัย หากเรารู้จักชื่อเสียงของเขา ที่อยู่เป็นหลักแหล่งของเขา ตอนที่อุทิศบุญให้เอ่ยนามเขาและที่อยู่ด้วยจะดีมากๆ แบบเจาะจงตัวไปเลย

    นอกจากอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว การอุทิศบุญให้เทวดาประจำตัวของเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตนั้นสำคัญมาก

    เพราะเจ้าหนี้บางคนนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ดวงจิตของเขาบางคนยังโกรธมากๆ คงไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ และมีความแค้นอาฆาตรุนแรง การอุทิศบุญไปให้เทวดาประจำตัวของเขาก็เพื่อขอให้ท่านช่วยเมตตาดลบันดาลทำให้จิตเขากลับเข้ามาทางกุศล เพื่อขอให้ท่านช่วยนำทางเขาให้คิดมาทางธรรมได้เร็วขึ้น เพื่อให้เจ้าหนี้เขารู้จักการให้อภัย การปล่อยวางได้ ซึ่งจะนำไปสู่การอโหสิกรรมต่อไปที่จะสำเร็จลงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ได้กับทุกเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต มีคนที่ทำงานแล้วเกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงาน คู่ค้า เพื่อนบ้านหรือแม้แต่คนในบ้านการอุทิศบุญแบบเจาะจงนี้ช่วยให้คลายทุกข์มาแล้วมากมาย

    การอุทิศบุญแบบเจาะจงอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ไปส่งจดหมายจะได้ส่งจดหมายนั้นถูกบ้านถูกตัว เพราะหากเราไม่เอ่ยชื่อเขาหรือเอ่ยถึงความเดือดร้อนที่ได้รับอยู่ในขณะนั้นแบบตรงตัว ตรงประเด็น ก็เหมือนเขียนจดหมายแต่ไม่จ่าหน้าซอง บุรุษไปรษณีย์ก็ไปส่งไม่ถูกคนนั้นแหละ

    สุดท้ายในเรื่องนี้ ขอให้รับทราบไว้ด้วยว่า อันคนเรานั้นไม่ได้มีเจ้ากรรมนายเวรรายเดียวแน่ๆ แค่คิดแต่เพียงที่เคยสร้างกรรมในชาตินี้ ลองคิดทบทวนดูดีๆ ว่าคงมีมากมาย ยิ่งรวมกับในอดีตชาติแล้วต้องนับกันไม่ถ้วนเลยทีเดียว จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนบอกว่า ทำไมวิบากกรรมไม่ดีจึงยังไม่หมดจากชีวิตเสียที ก็เพราะเราสร้างเจ้ากรรมทำให้เกิดเจ้ากรรมนายเวรมากมาย

    การสร้างบุญและอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นจึงควรหมั่นทำทุกๆ วัน เพราะเราไม่รู้ว่าวันนี้ พรุ่งนี้จะเจอวิบากกรรมใดและเจ้ากรรมนายเวรท่านไหนมาทำให้เดือดร้อน จะเป็นกรรมหนักหรือกรรมเบา ถ้ามัวแต่นั่งรอให้วิบากกรรมไม่ดีมาส่งผล ยิ่งเป็นกรรมหนักฝ่ายไม่ดีด้วยแล้ว มันจะไม่ทันการณ์ ไม่ทันเวลา เป็นคนประมาทเหมือนคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หรือเพิ่งจะมาคิดมาหัดว่ายน้ำตอนที่แพจะแตกแล้วมันไม่ทันแน่นอน

    ดังนั้นเราควรจะสร้างบุญอธิษฐานอุทิศบุญแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอถ้าทำแบบไม่หยุดยั้งแล้ว ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะวิบากกรรมไม่ดีและจำนวนเจ้ากรรมนายเวรจะลดลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน แต่ต้องทำด้วยความสำนึกผิด แล้วอยากจะให้เจ้ากรรมนายเวรเขามีความสุขพ้นทุกข์จริงๆ เจ้ากรรมนายเวรเขารับรู้ได้ถึงเจตนาที่แท้จริง อย่าไปหลอกเขาเพราะไม่มีทางหลอกเขาได้ เขามีจิตที่ละเอียดกว่าเรามาก ขอให้สำนึกผิดจริงๆ แล้วอยากจะขอโทษ อยากช่วยเขาจริงๆ จะทำให้เราหลุดจากอุปสรรคเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเร็วมาก

    เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมาก แต่ถ้าทำได้ถูกวิธีตรงช่องทาง ชีวิตก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้นๆ ในทุกวัน โชคลาภที่ควรจะได้ก็จะเข้ามาเพราะเจ้ากรรมนาเวรเขาพอใจและให้อโหสิกรรมถอนตัวไป ไม่มาบังความสุข ไม่ปิดทางโชคลาภอีกแล้วนั่นเอง

    เมื่อบุญเกิดขึ้นแล้ว เราสามารถน้อมเอาผลบุญนั้น มาอุทิศให้แก่ผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นนั้นมีความสุขด้วย อีกทั้งยังเป็นการใช้หนี้เวร หนี้กรรม เศษเวร เศษกรรม ทั้งหลาย ที่เกิดจากบาปเวรอกุศลกรรมที่เราเคยสร้างไว้กับผู้อื่น อันเป็นผลให้เราได้รับวิบากกรรมชั่วต่างๆ นานา (ที่เรามักว่ามาจากเจ้ากรรมนายเวรนั่นแหละ) โดยบุญที่เกิดขึ้นนั้น ก็ยังเป็นบุญของเราอยู่ด้วย การอุทิศให้ผู้อื่น ก็เพื่อให้เขาได้อนุโมทนาและได้มีส่วนในบุญนั้นด้วย

    ต่อจากนั้นเราก็กล่าวอุทิศบุญทั้งหลายนี้ให้กับบุคคลทั้งหลายที่เราปรารถนาจะอุทิศให้ แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้บุญนั้นเกิดเป็นความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ ตามที่เราได้ปรารถนา หรือตั้งเป้าหมายไว้ ส่วนการที่เราจะอุทิศบุญให้แก่ใคร บุคคลใดนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับบุคคลต่างๆ ในแง่ใด ในสถานการณ์ใด (ในทุกๆ ภพภูมิ หรือทุกมิติ) แล้วจึงเจาะจงอุทิศให้ไป (การอุทิศบุญต้องเจาะจง)

    ***(ควรทำให้ได้ทุกวัน และในแต่ละวันควรทำบุญให้ครบส่วน ทั้งในส่วนของ ทาน ศีล ภาวนา กรณีไม่มีโอกาสได้ทำทานทุกวัน หรือคิดว่ายังไม่พร้อมเพียงพอในเรื่องทรัพย์ปัจจัยที่จะนำไปใช้ในการทำบุญ ก็ให้หมั่นสะสมไว้ ใช้วิธีหยอดเงินใส่กระปุกออมสินรวบรวมไว้ก็ได้ แล้วนำไปทำทาน ถวายทาน ในแต่ละสัปดาห์ หรือตามโอกาส การทำบ่อยๆ จะทำให้จิตระลึกถึงบุญกุศลอยู่เสมอ)

    คำกล่าวอุทิศ โดยทั่วไป ใช้คำว่าอุทิศได้ทั้งนั้น ส่วนคนที่มีบุญบารมีมาก เราก็ควรใช้คำที่เหมาะสม ว่า “อุทิศถวายแด่” เช่น พรหมเทพ เทวดา ชั้นสูง บรรพกษัตริย์ แต่ในส่วนของผู้ทรงพระคุณความดีสูงสุด ครูบาอาจารย์ สมณะทั้งหลาย เราใช้คำว่า ขอน้อมถวายผลบุญนี้เพื่อบูชาพระคุณความดี ของท่าน

    ตัวอย่าง
    - ขอน้อมผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา อริยสังฆบูชา
    - ขอน้อมถวายผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถวายเพื่อโมทนา และบูชาพระคุณความดีของ สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านพระอาจารย์…. ฯลฯ
    - ขออุทิศถวายผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ แด่ ท่านท้าวพระยายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาล พระแม่ธรณี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฯลฯ
    - ขออุทิศผลบุญทั้งหลายทั้งปวงนี้ ให้แก่ บิดา มารดา นาย ก. นางสาว ข. เจ้ากรรมนาย
     
  18. bird888

    bird888 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +322
    สวัสดีคุณเอก อาการทุเลาแล้วใช่ไหม

    หายไปไประยะหนึ่งเลยนะครับ

    แอบเข้ามาอ่านบ่อยๆอยู่ แต่ไม่ค่อยชอบ ลงพิมพ์ข้อความ

    การนั่งทำสมาธิก็ยังไม่ได้ทำ ได้แต่กล่อมด้วย mp3 ธรรมะอยู่ทั้งคืน
     
  19. bird888

    bird888 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +322
    ขอเล่าฝันให้อ่านก่อน
     
  20. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ให้ข้าว ให้น้ำ กินไปก็หมดได้ สร้างบ้าน สร้างเรือน นานไปก็ผุพัง ให้ธรรมะคือให้ปัญญารู้ความเป็นจริง ก็จะอยู่คู่กับจิตเขาไปตลอดกาล

    "การให้ธรรมะจึงเป็นทานอันสูงสุด"

    "ไม้ที่เปียกน้ำ ไม่อาจติดไฟได้ฉันใด ใจที่มีธรรมะ ก็มิอาจทำชั่วได้ฉันนั้น"

    "โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
    คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
    คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
    เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
    ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา"

    "ใครจะชิง ใครจะชัง ก็ช่างหัว
    เรารู้ตัว ว่าเราำทำ ดีแค่ไหน
    ใครไม่ชอบ เราไม่ว่า ปล่อยเขาไป
    เราำทำอะไร เราว่าดี แค่นี้พอ"


    "อย่าได้หวังอะไรมากมายจากโลกใบนี้ อย่าได้เสียใจกับความไม่สมหวัง และหมดกำลังใจ เพราะเราเอาอะไรๆ จากโลกนี้ไปไม่ได้ เพราะวันหนึ่งเราก็ต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี เพียงแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"


    "ความทุกข์ ก็เหมือนนก บินข้ามหัวเราไป ข้ามหัวเรามา เราไม่สามารถ ห้ามนกไม่ให้บินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถห้ามไม่ให้มันทำรังบนหัวเราได้"

    "คำนินทานั้น ไม่ต่างอะไรกับสายลม ไม่มีตัวตน แม้จะทำให้เราร้อนบ้าง หนาวบ้าง แต่เมื่อผ่านมาแล้ยวก็ผ่านเลยไป"

    (การที่เราถูกนินทา แสดงว่าเรามีดีอะไรกว่าพวกเขา ฉะนั้นแล้วจงอย่าไปสนใจกับคำนินทาเหล่านั้น)


    "เรื่องราวที่ผ่านเข้ามา มีทั้งทุกข์...สุข การที่จะทำให้เราจะจัดการมันได้คือ การยอมรับ ยอมรับต่อสถานการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือ ทางออก ทางออกที่ทำให้เรากล้าเผชิญหน้า เผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะถ้าเราทำได้ ความกล้าหาญ ความหวัง กำลังใจ จะกลับคืนมาอีกครั้ง"

    "เวลาไม่หมุนกลับ คนเราไม่สามารถย้อนเวลา กลับไปแก้ไขอดีตได้ หากจะย้อนกลับไปแก้ไข ความผิิดพลาดต่างๆในอดีต คนเราก็ทำได้แค่เพียง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วปัจจุบันมันจะกลับไปซ่อมแซม ส่วนที่ชำรุดในอดีตของเรา และนำทางไปสู่อนาคตที่สมบูรณ์"

    "อะไรที่ได้มา ถือว่าเป็นกำไร ส่วนอะไรที่เสียไป ถือสะว่าชดใช้กรรม"
     

แชร์หน้านี้

Loading...