(ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร) เลขเด่นงวดประจำวันที่ 16 ก.ค. 58 หน้าที่ 261 ...แชร์ความฝัน ^__^

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย aegmanmu, 15 มิถุนายน 2013.

  1. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 26)

    ความรู้การอนุโมทนา


    อนูโมทนา หมายถึง การมีความยินดีในบุญของเรา ผู้ที่ขออนุโมทนาบุญ ก็จะได้มีส่วนแห่งบุญกับเราไปด้วย เราพึงกล่าวตอบว่า "สาธุ" เป็นการแสดงว่า เมือเขามีจิตอนุโมทนาคือชื่นชมในบุญของเรา เราก็แบ่งบุญให้เขาด้วยบุญยิ่งให้ ยิ่งเพิ่ม

    อนุโมทนา คือ การยินดีตาม เป็นการทำบุญแล้วได้บุญ ในบุญกิริยาวัตถุ10 มีเรื่องสมัยพุทธกาล เพื่อนของนางวิสาขา ไม่ค่อยจะทำบุญเท่าไหร่หรอก ตามนางวิสาขาเห็นนางทำอะไรก็ปลื้มใจไปด้วยนี่คืออนุโมทนา เห็นเขาทำความดีเราก็ปลื้มใจไปกับเขา บุญก็ได้ด้วย เพื่อนของนางวิสาขานี่โมทนาอย่างเดียวไปสวรรค์ได้ในชาตินั้น ส่วนเราก็ทำได้ เป็นการทำบุญที่ง่ายมาก แต่ขอให้ปลื้มใจจริงๆ ถ้าเราทำดี ใครมาอนุโมทนา เราก็ไม่ต้องทำไร บอกว่าว่า จ๊ะๆๆ อะไรที่อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ10 นี่ทำแล้วได้บุญทั้งนั้นครับ อันนี้เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย หรือบุญสำเร็จโดยการอนุโมทนาอ๋อ อนุโมทนาบาปก็มีนะ เช่นเห็นคนดื่มเหล้า คอแข็งไปยินดีว่าเขาเก่งวุ้ย.. แบบนี้พากันลงนรกได้นะ
     
  2. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงเอาข้อความดีๆๆมี Rerun เพราะผมทำเพื่อญาติธรรมท่านใดจะนำไปรวมเป็นเล่มแล้วอ่าน ตอนที่ชีวิตท้อแท้ ก็ขอให้อ่านข้อความเหล่านี้และบุญที่ร่วมทำกันมา
    จะได้มีกำลังใจสู้ต่อไป
     
  3. Palita N

    Palita N เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +1,515
    ไปธุระค่ะ เย็นๆแว๊ปมาใหม่ค่ะ คืนนี้ไปงานศพญาติค่ะ
     
  4. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 31)

    ---------คติธรรม---------

    "อดทนเป็นคุณสมบัติอันล้ำเลิศ
    รู้จักพอเพียง สุขนิรันดร์
    รู้จักอดทนอดกลั้น พ้นภัยนานา"

    "สามัคคีเป็นคุณสมบัติอันล้ำค่า
    ครอบครัวกลมเกลียวสมหวังทุกสิ่งสรรค์
    สามัคคี ปรองดอง บันดาลให้เจริญรุ่งเรือง"

    "กิจกรรมทั้งมวล ความซื่อสัตย์สำคัญที่สุด"
    "ไม่มีสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จ หากมีความขยันอดทน"
    "ความมัธยัสถ์เป็นหนทางแห่งความร่ำรวย"
    "รายได้น้อย รายจ่ายมาก ทำให้ทุกข์ทั้งชีวิต"
    "ใช้จ่ายสิ้นเปลืองนำมาซึ่งความขาดแคลน"
    "ความโกรธทำให้ตนเองรับทุกข์"
    "คนโง่เท่านั้นมักอวดตนเป็นคนฉลาด"
    "ความสามารถควรมีมาก แต่ปัญหาควรมีน้อย"
    "ผุ้รอบรู้มักถ่อมตัว ผุ้โง่เขลามักหยิ่งยโส"
    "อย่ารังแกคนยากจน อย่าหยิ่งยโสในความมั่งมี"
    "คนดีเกลียดชังความชั่ว เพราะรักในคุณธรรม"
    "ยามรุ่งเรืองไม่ประมาท ยามตกยากต้องอดทน"
    "อย่าอวดตนเก่งกว่าผู้อื่น โลกนี้ผู้ที่เก่งกว่าตนนั้นมีมากมาย"
    "ยามให้มไม่ควรคิด ยามรับควรแทนคุณ"
    "กุศลกรรมที่ไม่มีอะไรใหญ่เท่ากับการให้อโหสิกรรม"
    "บุคคลเปิดช่องให้โทสะครอบงำ นำความวิบัติให้แก่ครอบครัว"
    "ผู้ไร้สัจจะ ถึงจะมีความสามารถก็ไร้ประโยชน์"
    "การพูดจาไม่รู้จักถ่อมตน ธุรกิจก็ยากที่จะประสบผล"
    "เรื่องราวของครอบครัวไม่ควรแพร่งพรายออกนอกเรือน"
    "ความรีบร้อนมักนำความผิดพลาดมาให้เสมอ"
    "มารยาทดีงามต่อคน เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด"
    "ผิดพลาดเพียงก้าวเดียว เสียใจไปตลอดชีพ"
    "โกหกเพียงครั้งเดียว ถูกสงสัยตลอดกาล"
    "ครอบครัวจะรุ่งเรืองอยู่ทีสองประโยค ขยันและประหยัด"
    "กตัญญูเป็นการแสดงออกของจิตใจ อันสูงและประเสริฐ"
    "คนมีคุณธรรมย่อมรุ่งเรือง คนถืออำนาจย่อมหายนะ"
    "การเป็นคนต้องพยายามทำดีที่สุด นอกจากนี้แล้วแต่ฟ้าลิขิต"
    ---------------------
     
  5. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    โชคดีครับพี่้อ้อย
     
  6. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    สวัสดีครับคุณบู๊
     
  7. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090

    (หน้าที่ 30-31 ) พาเที่ยววัด
     
  8. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090


    สวัสดีครับคุณบู๊ เด๋วจะย้อนให้ แล้วใครอยากก๊อบไปใส่ใน word แล้วปรินไว้

    อ่าน่นาจะได้มีประโยชน์มาก กันเว็บล้ม หรือมีปัญหา และเย็นๆๆมืดๆจะทำคู่มือ

    อัพรุปให้พี่อ้อย จะได้โพสต์รูปได้ อิอิ
     
  9. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 33)

    "อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา ยังไงมันก็ไม่ใช่"

    >>>>>>>ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยสักอย่างแม้แต่ร่างกายของเรา เมื่อถึงเวลา ยังต้องคืนเขาไปเลย ทุกคนเกิดมาตัวเปล่า ไม่มีใครขนเอาสมบัติ หรือคนรักติดตัวมาด้วยหรอกทั้งสิ่งของ ทั้งแฟน ถือเป็นสิ่งภายนอกที่ต้องมาหาเอาภายหลังแล้วทั้งนั้นดังนั้นถ้าจะบอกว่าไม่ใช่ของเรามันก็ถูกต้อง เพราะเป็นแค่ของนอกกาย เสียไปก็หาใหม่ได้
     
  10. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 36)

    คาถาพาหุงฯ ความศักดิ์สิทธิ์มากมายจริงๆ
    บทชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา)

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ )

    พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ

    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติฯ

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ

    พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
    ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
    โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
    ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
    ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
    จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง
    วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
    ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
    อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
    พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

    เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย
    วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
    หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
    โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

    มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ

    ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัมหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต

    กลับสู่ด้านบน



    บทชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา) (แปล)

    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (สามครั้ง)

    ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธเจ้าเป็นสะระณะ
    ข้าพเจ้าขอถือเอา พระธรรมเจ้าเป็นสะระณะ
    ข้าพเจ้าขอถือเอา พระสงฆเจ้าเป็นสะระณะ

    แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธเจ้าเป็นสะระณะ
    แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอา พระธรรมเจ้าเป็นสะระณะ
    แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอา พระสงฆเจ้าเป็นสะระณะ

    แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธเจ้าเป็นสะระณะ
    แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอา พระธรรมเจ้าเป็นสะระณะ
    แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอา พระสงฆเจ้าเป็นสะระณะ

    พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ทรงแจกจ่ายธรรม เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ดีโดยชอบด้วยพระองค์เอง ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชา และ จรณะ (ความรู้และความประพฤติ) เสด็จไปดี (คือไปที่ใดก็ยังประโยชน์ให้ที่นั้น) ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก หาผู้อื่นเปรียบมิได้ ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ตื่น ทรงเป็นผู้แจกจ่ายธรรม

    พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติเห็นชอบได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ควรเรียกมาดูได้ ควรนอบน้อมเข้าไปหา อันผู้รู้พึงรู้ได้ด้วยตนเอง

    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติตรง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความรู้ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติชอบ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนั้น จัดเป็นบุรุษสี่คู่ เป็นบุคคลแปด เป็นผู้ควรบูชา เป็นผู้ควรรับทิกษิณา เป็นผู้ควรกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก หาสิ่งอื่นเปรียบมิได้

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นจอมของนักปราชญ์ ทรงชนะพญามารพร้อมด้วยเสนา ซึ่งเนรมิตแขนได้ตั้งพัน มีมือถืออาวุธครบทั้งพันมือ ขี่ช้างคิรีเมขล์ ส่งเสียงสนั่นน่ากลัว ทรงชนะด้วยธรรมวิธีมีทานบารมี เป็นต้น และด้วยเดชะของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะอาฬวกยักษ์ผู้โหดร้ายบ้าคลั่ง น่าสพึงกลัว ซึ่งต่อสู้กับพระองค์ ตลอดทั้งคืนรุนแรงยิ่งกว่าพญามาร จนละพยศร้ายได้สิ้น ด้วยขันติธรรมวิธีอันพระองค์ได้ฝึกไว้ดีแล้ว และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญาช้าง ชื่อ นาฬาคิรี ซึ่งกำลังตกมันจัด ทารุณโหดร้ายยิ่งนัก ดุจไฟป่าจักราวุธและสายฟ้า ด้วยพระเมตตาธรรม และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะมหาโจร ชื่อ องคุลีมาล ในมือถือดาบเงื้อง่าโหดร้ายทารุณยิ่ง วิ่งไล่ตามพระองค์ห่างออกไปเรื่อย ๆ เป็นระยะทางถึง ๓ โยชน์ ด้วยทรงบันดาลมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะคำกล่าวใส่ร้ายท่ามกลางชุมชน ของนางจิญจมาณวิกา ผู้ผูกท่อนไม้ซ่อนไว้ที่ท้องแสร้งทำเป็นหญิงมีครรภ์ ด้วยความจริง ด้วยความสงบเยือกเย็นด้วยวิธีสมาธิอันงาม และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะสัจจกนิครนถ์ ผู้เชิดชูลัทธิของตนว่าจริงแท้อย่างเลิศลอย ราวกับชูธงขึ้นฟ้า ผู้มุ่งโต้วาทะกับพระองค์ ด้วยพระปัญญาอันเป็นเลิศดุจประทีปอันโชติช่วง ด้วยเทศนาญาณวิถี และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญานาคชื่อนันโทปนันทะ ผู้หลงผิดและมีฤทธิ์มาก ด้วยทรงแนะนำวิธี และ อิทธิฤทธิ์แก่พระโมคคัลลานะ พระเถระภุชงค์ พุทธบุตร ให้ไปปราบจนเชื่อง และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพรหม ชื่อ ท้าวพูกะ ผู้รัดรึงทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดไว้แนบแน่น โดยสำคัญผิดว่าตนบริสุทธิ์มีฤทธิ์รุ่งโรจน์ด้วยวิธีวางยาอันวิเศษ คือ เทศนาญาณ และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    แม้นรชนใดไม่เกียจคร้าน สวดก็ดี ระลึกก็ดี ซึ่งพุทธชัยมงคลคาถา ๘ บทนี้ ทุกวัน ย่อมเป็นเหตุให้พ้นอุปัทวอันตรายทั้งปวง นรชนผู้มีปัญญาย่อมถึงซึ่งความสุขสูงสุดแล สิวโมกข์นฤพานอันเป็นเอกันตบรมสุข

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

    ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

    ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

    กลับสู่ด้านบน



    พาหุงมหาการุณิโก คืออะไร

    (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี)

    พาหุงมหากา คือ บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็ พรพาหุงอันเริ่มด้วย พาหุงสะหัส จนไปถึง ทุคคาหะทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึง มหาการุณิโกนาโถหิตายะ และจบลงด้วย "ภะวะตุสัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธรรมา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต" อาตมาเรียกรวมกันว่า "พาหุงมหากาฯ"

    อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือ บทสวดมนต์ที่ สมเด็จพระพนรัตน์ วัด ป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้สวดเป็นประจำ เวลาอยู่กับพระบรมราชวัง และในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ทรงรบ ณ ที่ใดทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมา มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่า ด้วยการกระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากา ที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง อาตมาได้พบตามที่นิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจ ถึงปากปล่องที่ลงไป เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ

    ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาฯ ให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้น เป็นบทสวดมนต์ที่มีค่ามากที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากพญาวัสดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคีรี จากองคุลิมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนธ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มา ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้เป็นประจำทุกวัน จะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ

    ขอให้คุณโยมช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะ ว่าให้สวดพาหุงมหากากันให้ถ้วนหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้วยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมาก ๆ เข้า สวดกันทั้งหลายประเทศ ก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

    ไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น ที่พบความมหัศจรรย์ของพบพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงพบเช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ดังนี้

    "เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเล็งเห็นว่า สงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้น แล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตาม พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"
     
  11. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 36)

    บอกบุญจากคุณบู๊

    [​IMG]
     
  12. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 39)

    ความสุขที่แท้จริงของชีวิต

    คนหลายคนหาความสุขในชีวิตของตัวเองไม่ได้เพราะไม่สามารถตัดความอยากในตัวตนได้ จึงยังจมปลักกับความทุกข์อยู่ เพราะไม่รู้จักการปล่อยวาง เช่นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต ก็กลัวคนอื่นจะดีกว่าตนเอง กลัวคนอื่นจะเลื่อยขาเก้าอี้ คนรวยก็กลัวโจรจะปล้น แต่ผมว่าคนที่น่ากลัวที่สุดคือคนใหญ่คนโตในสังคมบ้านเมืองเรานี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือว่าหน่วยงานที่ใหญ่โตกว่านี้ เพราะถ้าคนเหล่านั้นยึดตัวเองเป็นสรณะ ไม่ฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ยอมเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เพราะกลัวว่า ถ้าเกิดเปลี่ยนไปแล้วตัวเองจะถูกลดบทบาท และความสำคัญจะน้อยลง จึงต้องทำให้ตัวเองมีความหมายเสมอ

    และความคิดที่ว่า เงินสามารถบันดาลทุกอย่าง จึงทำให้ทุกคนดิ้นรนขนขวายทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โดยไม่คิดว่าสิ่งทำเพื่อให้ได้เงินมานั้นจะถูกหรือผิด และอยากมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งปวง โดยไม่สนว่าใครจะเดือดร้อนเพราะการกระทำของตัวเอง

    เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ตัวเองมาความสุข จงอย่าหาที่คนอื่น เพราะความสุขไม่อยู่ที่ไหนไกล แต่ความสุขนั้นมันซ่อนอยู่ในหัวใจของตนเอง เพียงแค่ท่านเห็นคุณงามความดีเป็นเรื่องสำคัญ และมีความสุขอยู่กับการกระทำสิ่งที่ดีงาม ช่วยเหลือสังคม และหน่วยงานของท่านอย่างเต็มความสามารถและถูกต้อง ความสุขจะเกิดเอง ความสุขชนิดนี้ไม่สามารถจับต้องได้แต่มันจะรู้สึกได้เอง และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างขอให้คุณคิดเสมอว่า ทุกอย่างมีเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีอะไรอยู่เหนือกฏธรรมชาติ อำนาจไม่ได้อยู่ที่คุณนาน วันนึงมันมา แล้ว วันนึงมันต้องไป เงินทองที่หาได้ วันนึงเงินทองมันมา แต่สุดท้ายคุณก็เอาไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นกฏของธรรมชาติ ก็ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติต่อไป ปล่อยวางแล้วทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและหน่วยงานมากที่สุด คุณจะเป็นผู้ที่มีสุขอยู่เต็มเปี่ยมหัวใจตลอดเวลา

    ความสุขคืออะไร ใครเล่ารู้
    ความสุขที่มีอยู่ หาสุขไม่
    ถ้าหากมีความสุข แค่เพียงกาย
    แต่สุขใจคือ "ปลายทางอันสมบูรณ์"

    “ผู้ใดก็ตามตื่นขึ้นมาด้วยความปลอดโปร่งใจ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีอาหารสำหรับวันนั้นพร้อม ก็ดุจดั่งได้ครอบครองโลกทั้งโลกไว้”

    “พึงรู้เถิดว่าในร่างกายนั้นมีเนื้ออยู่ก้อนหนึ่ง หากเนื้อก้อนนั้นดี ร่างกายทั้งหมดก็พลอยดีด้วยหากเนื้อก้อนนั้นเสีย ร่างกายทั้งหมดก็พลอยเสียไปด้วย พึงรู้เถิด เนื้อก้อนนี้คือ หัวใจ นั่นเอง”



    ลักษณะของพระพุทธรูป 9 พระพุทธลักษณะ



    [​IMG]

    พระพุทธรูปเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนไทยนิยมสร้างไว้สักการบูชา รำลึกถึงพระพุทธคุณของพระองค์ ผู้สร้างมีเจตนาที่จะให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงนำพระพุทธลักษณะมาพิจารณาเพื่อใช้ในการดับทุกข์ดังนี้

    1. พระเศียรเป็นก้นหอย คือ นิมิตหมายถึงปัญญา เราเป็นผู้ขมวดปมปัญหา(เป็นก้นหอย) ขึ้นด้วยความคิดของเราเอง ถ้าเราไม่ขมวดปม ความทุกข์ก็ไม่มี
    2. เปลวไฟบนพระเศียร คือนิมิตหมายว่า เราขมวดปมปัญหาขึ้นแล้วเราจะต้องร้อนใจ (ดังไฟสุมหัว) จึงควรเตือนใจตนว่า ถ้าสร้างปัญหาจะต้องร้อนใจ
    3. ยอดแหลมของพระเศียร คือนิมิตหมายว่า เมื่อเราเป็นทุกข์ จะต้องใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ดังยอดแหลมคมดุจปลายหอก ของยอดพระเศียร แทงทะลุปมปัญหา และดับความร้อนลุ่มดุจเปลวไฟนั้นไปให้ได้ จึงจะมีความสงบเป็นปกติ
    4. พระเนตรที่หลบต่ำ คือ นิมิตหมายเตือนใจว่า ให้หลบตาลงต่ำมองตนเองเสียบ้าง อย่ามัวเพ่งโทษผู้อื่น อย่าคิดแต่จับผิดผู้อื่น
    5. พระนาสิก ( จมูก ) โด่ง คือ นิมิตหมายเตือนใจว่า ต้องเข้มแข็งอดทน (ดุจสันจมูกที่โด่ง) อย่าเบื่อหน่ายท้อแท้ในชีวิต พระพุทธองค์ทรงมีพุทธลักษณะความเอาจริงเด็ดเดี่ยว อดทนเป็นเลิศจึงได้พบทางอันวิเศษที่จะดับทุกข์ได้
    6. พระโอษฐ์ยิ้มละมัย หมายถึง น้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ มีความรักและเมตตาเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เปี่ยมล้นจนปรากฏออกมาเป็นรอยยิ้ม เป็นเครื่องเตือนใจเราให้พยายามชำระจิตใจให้บริสุทธ์ เห็นเพื่อนมนุษย์และสัตว์ว่าเป็นเพื่อน ทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เราจะมีเตตาและรอยยิ้มได้ดุจพระองค์
    7. พระกรรณ ( หู ) ยาว หูยิ่งยาวก็ยิ่งหนัก จึงเป็นนิมิตเตือนใจให้เป็นคนหูหนัก อย่าหูเบาเชื่ออะไรง่ายๆ
    8. พระหัตถ์ ( มือ ) แบ พระพุทธรูปเกือบทุกปางจะแบพระหัตถ์ ไม่ว่าปางสมาธิ ปางห้ามญาติ ปางห้ามสมุทธ ปางประทานพร ปางรำพึง ปางรำพึง หรือปางสะดุ้งมาร พระหัตถ์จะแบ ไม่กำพระหัตถ์ เป็นนิมิตรหมายเตือนใจเราให้ปล่อยสละว่างเสียบ้าง เพราะยิ่งกำเข้ามาหาตัวมากก็ยิ่งทุกข์มาก ถ้าปล่อยวางได้ทุกข์ก็จะน้อยลง
    9. นิ้วพระบาทเสมอกัน เราใช้เท้าในการก้าวเดิน เท้าจะเป็นผู้พาตัวเราไป เปรียบเสมือนการก้าวเดินของจิต จะต้องค่อยประคองจิตให้สม่ำเสมอดุจนิ้วพระบาทที่เสมอกัน อย่าหวั่นไหวด้วยรักด้วยชัง ใช้จิตนำกายให้ก้าวไปสู่แต่สิ่งที่ดีงาม

    ตำแหน่งของการปิดทองพระพุทธรูป
    ชาวพุทธ มีความเชื่อที่ว่าการปิดทองพระพุทธรูป ถือเป็นบุญบารมีมหาศาล ที่จะทำให้ผู้ที่ปิด ได้อานิสงค์ผลบุญ ส่งผลให้บังเกิดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต และสิ่งที่หลายท่านอาจยังไม่ทราบคือ การปิดทองในตำแหน่งต่างๆ ของพระพุทธรูป จะส่งอานิสงค์ผลบุญในด้านที่แตกต่างกันด้วย

    ปิดทองบริเวณเศียรพระ (หัว) จะมีสติปัญญาแหลมคม จดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี
    ปิดทองบริเวณพระพักตร์ (ใบหน้า) จะประสบความสำเร็จในชีวิต ทางด้านการทำงานก็จะเจริญรุ่งเรือง
    ปิดทองบริเวณพระอุระ (อก) จะมีผู้คนชื่นชอบ เอ็นดู มีบุคลิกสง่า มีราศี
    ปิดทองบริเวณพระอุทธ (ท้อง) จะมีกินมีใช้ ร่ำรวย มั่งมี
    ปิดทองบริเวณพระหัตถ์ (มือ) จะมีผู้คนเคารพยำเกรง เป็นที่น่ายกย่อง
    ปิดทองบริเวณพระบาท (เท้า) จะมีความเป็นอยู่ที่ดี มียานพาหนะที่ดี[1]
    อ้างอิง

    "มหาบุรุษ ลักษณะ ๓๒ ประการ"

    ผู้ที่มีมหาบุรุษลักษณะ เป็นคำที่ใช้เรียกพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ ลักษณะของมหาบุรุษมี ๓๒ ประการ คือ

    มีพระบาทราบเสมอกัน (พระบาท = เท้า)
    ลายพื้นพระบาทเป็นจักร (จักร = รูปลอยล้อรถ คือธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุลล้อนำไป สู่ที่หมาย)
    มีส้นพระบาทยาย (ถ้าแบ่ง ๔ ส่วน พระชงฆ์ตั้งอยู่ในส่วนที่ ๓) (พระชงฆ์ = แข้ง)
    มีนิ้วยาวเรียว (หมายถึงนิ้วพระหัตถ์และพระบาทด้วย)(นิ้วพระหัตถ์ = นิ้วมือ)
    ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
    ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย
    มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน (อัฐิ = กระดูก ดำเนิน = เดิน)
    พระชงฆ์เรียวดุจแข้งเนื้อทราย
    เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองลูบจับพระชานุ (พระชานุ = เข่า)
    มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก (พระคุยหะ = อวัยวะที่ลับ)
    มีฉวีวรรณดุจสีทอง (ฉวีวรรณ =สีผิวกาย)
    พระฉวีละเอียด (พระฉวี = ผิว)
    มีเส้นพระโลมาเฉพาะขุมละเส้น ๆ (พระโลมา = ขน)
    เส้นพระโลมาดำสนิทเวียนเป็นทักขิณาวัฏ มีปลายงอนขึ้นข้างบน (ทักขิณาวัฏ = วนเลี้ยวทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา)
    พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม
    มีพระมังสะอูมเต็มในที่ ๗ แห่ง (คือ หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ และหลังพระบาททั้ง ๒ , พระอังสาทั้ง ๒, กับลำพระศอ) (พระมังสะ = เนื้อ , ชิ้นเนื้อ พระอังสา = บ่า,ไหล่ พระศอ = คอ)
    มีส่วนพระสรีระกายบริบูรณ์ (ล่ำพี) ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ (สรีระ = ร่างกาย)
    พระปฤษฎางค์ราบเต็มเสมอกัน (พระปฤษฎางค์ = ส่วนหลัง,ข้างหลัง)
    ส่วนพระกายเป็นปริมณฑล ดุลปริมณฑลแห่งต้นไทร(พระกายสูงเท่ากับว่าของพระองค์)(วา = เท่ากับ ๔ ศอก ประมาณ 2 เมตร)
    มีลำพระศอกกลมงามเสมอตลอด
    มีเส้นประสาทสำหรับรสพระกระยาหารอันดี
    มีพระหนุดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)(พระหนุ = คาง)
    มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่) (พระทนต์ = ฟัน)
    มีพระทนต์เรียบเสมอกัน
    พระทนต์เรียบสนิทมิได้ห่าง
    เขี้ยวพระทนต์ทั้ง 4 ขาวงามบริสุทธ์
    พระชิวหาอ่อนและยาว (อาจแผ่ปกพระนลาฏใต้)(พระชิวหา = ลิ้น พระนลาฎ = หน้าผาก)
    พระสุรเสียงดุจท้าวมหาพรหม ตรัสมีสำเนียงดุจนกการเวก
    พระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
    ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
    มีอุณาโลมระหว่างพระโขนง เวียนขวาเป็นทักขิณาวัฏ (อุณาโลม = ขนระหว่างคิ้ว)
    มีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ (พระเศียร = ศีรษะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  13. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 40)

    "ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากใจก่อนทั้งสิ้น"

    อะไรที่เป็นความทุกข์ของปัจจุบัน รูปธรรม นามธรรม กายกับใจเราเนี่ย เป็นตัวทุกข์ในปัจจุบันนี่เอง อย่างคนทุกข์ถึงอดีตใช่ไหม จริงๆ คือทุกข์ในปัจจุบัน ใช่ไหม คนกังวลถึงอนาคตก็คือกังวลอยู่ในปัจจุบัน งั้นถ้าเราอยู่กับปัจจุบันนะ เรามีสติ รู้จิตรู้ใจตัวเอง มันจะปรุงความทุกข์ขึ้นมารู้ทันมัน ความทุกข์ทางใจจะหายไป เหลือแต่ความทุกข์ทางร่างกาย เพราะงั้นความทุกข์ในปัจจุบันมีจริงๆ คือรูปธรรมนามธรรมมีจริงๆ ไม่ใช่ฝันๆเอา ไม่ใช่คิดๆเอา ไม่ใช่จำๆเอาแต่มันมีอยู่จริง เวลามีความทุกข์นะ ไม่ได้ให้หนีทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ กายนี้เป็นทุกข์ ใจนี้เป็นทุกข์ งั้นเราคอยรู้ลงในกายรู้ลงในใจบ่อยๆนะ

    "ทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น ดั่งต้นไม้ที่เกิดจากผลและผลก็เกิดจากต้นไม้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
    แมลงที่ช่วยผสมเกสรดอกไม้มันจะรู้ไม๊ ว่าตัวมันทำอะไรอยู่ มันก็แค่ตอมน้ำหวาน แมลงที่ช่วยผสมเกสรดอกไม้
    มันจะรู้ไม๊ว่าตัวมันทำอะไรอยู่ มันก็แค่ตอมน้ำหวานหาอาหารที่ต้องการเท่านั้นเอง ส่วนการผสมเกสรนั้นเป็้นแค่
    เรื่องบังเอิญหรือไม่....
    หากแต่ความเป็นจริงการผสมเกสรนั้นเป็นหน้าที่ที่ถูกกำหนดมาแล้วโดยไม่รู้ตัว โดยมีดอกไม้เป็นผู้กำหนดให้
    การที่คนเรามาเกิดและการพบเจอกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เราทั้งหลายต่างถูกกำหนดด้วยกรรมกันทั้งนั้น
    ผู้้ที่มีกรรมดีร่วมกันก็จะได้เจอกันเพื่อสร้างกรรมดีและส่งเสริมกันและกัน ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่วนั้นก็เจอกัน เพื่อชดใช้
    กรรมกันไป ตราบใดที่มนุษย์ยังเป็นสัตว์สังคมอยู่ กรรมก็จะก่อเกิดต่อกันและต้องตามชดใช้กันไปไม่จบไม่สิ้น
    ชาติที่แล้วเขาฆ่าเรา ชาตินี้เราฆ่าเขา...แล้วเพราะอะไรเราจึงต้องฆ่าเขาล่ะ เหตุเพราะความเขลาของมนุษย์นี้เอง
    พระศาสดาจึงด้องบังเกิดแก่โลกเพื่อชี้ทางสว่างในการลดละกรรมของผู้คน เช่น การให้อภัย คือการลดละกรรมต่อกัน
    และไม่เป็นการสร้างกรรมใหม่่ขึ้น ส่วนตัวเจ้าของกรรมนั้น ผลกรรมจะเป็นตัวลงโทษเอง
    พระพุทธองค์ทรงสอนให้รักในความสันโดษ ยินดีในความสงัด การวางเฉย ฯลฯ
    ส่ิงเหล่านี้ทำให้เราไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนกรรมที่ติดตัวมานั้นก็ต้องชดใช้กันไป เมื่อใดที่หมดกรรมก็จะสามารถเข้า
    ถึงนิพพานได้โดยไม่มีอุปสรรค
    มนุษย์เราก็เกิดมาเพื่อมีหน้าที่ใช้กรรมเท่านั้นเองแต่คนส่วนใหญ่ยังคงไม่รู้ตัว ยังขวนขวายสร้างกรรมใส่ตัวต่างๆ นานา
    เขาเหล่านั้นก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ไปไม่จบไม่สิ้น ไม่สามารถหลุดพ้นได้...
    เราไม่สามารถลบล้างกรรมให้หมดไปได้ เราทำได้แค่ทำให้ผลกรรมนั้นเบาบางลงไป และชดใช้ให้หมดไป ส่วนกรรมดีนั้น
    เปรียบเสมือนทรัพย์ที่นำไปใช้ส่งเสริมให้เกิดในภพภูมิที่ดี มีความพร้อมในการสร้างกรรมดีต่อไปเรื่อยๆ....
    ผู้รู้เท่าทันกรรมเท่านั้นจึงจะได้ไปสู่ความสุขสงบอย่างแท้จริง ไม่ปล่อยตัวไปตามแรงกรรม มีสติในการดำเนินชีวิต
    ใช้ปัญญาส่งเสริมตัวตนให้หลุดพ้นจากวัฎจักรแห่งกรรม... แม้ว่าจะไม่ได้หลุดพ้นในชาตินี้แต่กรรมที่น้อยลงก็จะช่วยให้เข้า
    ถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น...ในชาติต่อๆ ไป"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  14. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 40 ต่อ)

    "คนเราเจอกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
    ความสัมพันธ์ พ่อ,แม่,พี่,น้อง,ญาติ,เพื่อน,ศัตรู,คนรัก ฯลฯ
    ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
    เมื่อสิ้นวาสนาก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่
    ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
    เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกันไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
    ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้
    ทำดีต่อกันไว้ดีกว่าเพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะต้องจากกันเมื่อไหร่"

    อย่าคิดเรื่องคนใกล้เมื่อสายไปแล้ว สาธุ





    เรื่องเล่า
    มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมากคบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
    เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
    ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่าคู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
    โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
    เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมากร้องไห้
    ไม่กินไม่นอนไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ
    เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปหาหมอเท่าไหร่ ก้อไม่ดีขึ้น
    ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
    เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้าน
    จึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่าเป็นพระจึงบอกว่า
    ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตา แล้วพูดว่า
    "อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาตร ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย"
    อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึเปล่า
    เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้ง แต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน
    เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
    เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า "อยากเข้ามาก็เข้ามา!"
    เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอน
    พบว่าชายคนดังกล่าว นอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
    สีหน้าซีดเซียวร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
    เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา
    พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
    หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า "อาการหนักเลยนะ"
    ชายคนนั้นนิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
    หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี "จึงกล่าวว่าโทรมมากเลยนะ"
    ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่า "ไม่เชื่อลองมองที่กระจกสิ"
    ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
    เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น
    ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
    กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล
    ที่ชายทะเลแห่งนั้น เงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
    ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
    เขาพบมีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด
    เวลาผ่านไปซักครู่มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
    เขามองเห็นศพหญิงคนนั้น ด้วยความรังเกียจแล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
    ต่อมาพักใหญ่ มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมาเขามองเห็นศพนั้น
    เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป
    พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมาเขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่
    จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่าเป็นศพด้วยใจสงสาร
    จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
    เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้าง ค่อยๆกอบทรายขึ้นมาเขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น
    พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป
    จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
    และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก
    เขาได้เห็นก็ตกใจ พอซักพักก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป
    เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก
    ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า "ทีนี้เข้าใจรึยัง
    ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ
    ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา
    ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี
    วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"
    เมื่อชายคนนั้นฟังจบ ก็กระอักเลือดออกมา
    เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า
    "โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือด เอาเลือดเสียออกมาแล้ว"
    ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด


    เมื่อโชคชะตาขีดเส้นให้คนสองคนมาพบกันแล้ว เมื่อถึงวันที่เส้นทางมันต้องแยกจากกัน เราต้องไม่เสียใจ และพร้อมที่จะ "ยิ้ม" ยอมรับความเป็นจริง .....

    จงเดินไปตามทางของตนเอง ผมเชื่อว่า ไม่แน่วันหนึ่งโชคชะตาอาจทำให้ได้เจอคนที่ใช่จริงๆๆก็ได้
     
  15. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 42,44)

    พระสมเด็จแม่นางพญางิ้วดำ ปี 7 เม.ย 16 ขอบคุณบู๊

    [​IMG]

    สมเด็จนางพญางิ้วดำ วัดใหม่บ้านดอน อ.เมือง จ.นครราชสีมา รูปพระสมเด็จนางพญางิ้วดำ ทีประดิษฐาน ณ.มณฑป

    [​IMG]



    คุณบู๊บอกว่าส่วนมากจะมีสีดำ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่า จะเป็นเนื้อไม้งิวดำทั้งหมดหรือเปล่า แต่น่าจะเป็นเนื้อผสมมากว่า เพราะถ้าเป็นไม้งิ้วดำทั้งชิ้น ราคาบูชาค่อนข้างสูงหน่อยครับ แต่ถ้าเป็นพิมพ์อย่างที่เห็นราคาบูชาไม่แพงครับ อยู่แค่หลักร้อยเท่านั้นครับ
    เท่าที่ทราบมานั้น ไม้งิ้วดำจะมีเทพธิดาบริวารขององค์สมเด็จแม่ฯสถิตย์อยู่น่ะครับ (อันนี้ฟังเขามาอีกทีนึง ไม่ขอยืนยันน่ะครับ)


    [​IMG]

    [​IMG]

    ประวัติพระนางพญางิ้วดำ ของคุณบู๊ (หน้าที่ 25)

    วัดใหม่บ้านดอน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตั้งอยู่ริมถนนสายหลักก่อนเข้าตัวเมืองโคราชพระพุทธรูปสมเด็จนางพญางิ้วดำนั้นประดิษฐานอยู่ในมณฑป ตั้งอยู่ข้างหลังโบสถวัดใหม่บ้านดอน ที่วัดท่านเจ้าอาวาส(มรณภาพไปหลายปีแล้ว) ได้สร้างพระนางพญางิ้วดำไว้ให้คนร่วมทำบุญบูชาเพื่อทำนุบำรุงวัด ออกมาหลายรุ่นแต่ละรุ่นจะนิมนต์พระเกจิเช่นหลวงพ่อผาง จ. ขอนแก่น หลวงพ่อนอ จ. อยุธยาฯ มาร่วมปลุกเสกอธิษฐานจิตและ เกือบทุกรุ่น จะมีหลวงพ่อคูณเมตตามาปลุกเสกให้เพราะท่านเจ้าอาวาสที่ล่วงลับไปแล้วนั้นได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อคูณเป็นพิเศษครับ คุณบู๊เคยสัมผัสท่านผ่านร่างผู้หญิงรุ่นพี่คนนึง ธรรมที่ท่านสอนเขานั้นของแท้เป็นไปตามหลักพุทธศาสนาอย่างไม่ผิดเพี้ยน คนมาหาท่านส่วนมากมาขอให้ท่านช่วยเหลือเรื่องทางโลก มักขอโชคลาภเสียเป็นสวนใหญ่ แต่ไม่มีใครสนใจมาขอธรรมจากท่าน ถ้าจำไม่ผิดมีไม่เกินสองรายที่มาแล้วได้ฟังธรรมจากท่าน หนึ่งในนั้นก็คือตัวคุณบู๊เองครับ( เรื่องนี้ท่านบอกคุณบู๊เอง)วัดใหม่บ้านดอนสร้างพระนางพญางิ้วดำมาหลายรุ่น แต่มีรุ่นนึงพิเศษกว่าทุกรุ่นเป็นรุ่นที่ทรงขันธ์ของสมเด็จแม่นางพญางิ้วดำอยู่ แต่คุณบู๊ไม่กล้่าบอกเพราะมันไม่มีหลักฐานอะไรที่จะมาพิสูจน์ได้เพราะท่านบอกมาเป็นคำพูด ถ้าใครศรัทธาอยากได้คงต้องแล้วแต่วาสนา
    การขอพร
    ให้สวดมนต์ไหว้พระและลองจุดธูป 16 ดอก สวดบทของสมเด็จแม่นางพญางิ้วดำ วัดใหม่บ้านดอน โคราช แล้วปักกลางแจ้งดู เผื่อมีบุญสัมพันธ์กับท่าน ท่านก็อาจช่วยได้ คุณบู๊บอกว่าเห็นลูกศิษย์ของสมเด็จแม่ฯ มาขอให้ท่านช่วยแล้วส่วนใหญ่ก็สำเร็จครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  16. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 45)


    "พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ คนที่มีความรักนั้นมีกำลังนับร้อยเท่านับพันเท่า โลดแล่นโจนทะยานออกไป บางครั้งโจนทะยานออกจากอกพ่ออกแม่เพื่อมาค้นพบภายหลังว่า คนที่รักเราแท้ที่สุดก็คือพ่อคือแม่นั่นเอง ฉะนั้นทุกครั้งที่เราเริ่มต้นมีความรัก สิ่งหนึ่งซึ่งควรมาคู่กันกับการมีความรักก็คือความเข้าใจในธรรมชาติของความรัก ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ หรือรักกันมานานตั้งห้าหกปีแล้วสุดท้ายก็เลิกกัน หรือแต่งงานมาสิบปีแล้วสุดท้ายก็เลิกกัน คนที่เจ็บปวดจากความไม่สมหวังในความรักจากการใช้ชีวิตคู่ ควรมองออกไปให้กว้างว่าขาดเขาแล้วเราไม่ตาย เพราะก่อนจะมีเขาเรายังอยู่มาได้ เมื่อย้อนกลับไปไม่มีเขาอีกครั้งหนึ่ง เราก็กลับไปยืนอยู่ ณ จุดเดิม ก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ แล้วอย่าทำร้ายชีวิต อย่าทำร้ายตัวเอง แต่ให้มองว่าการที่เราเกิดเป็นคนแล้ว ไม่ได้ทุกอย่างดังใจหวังนั้น เป็นบทเรียนอีกขึ้นหนึ่งของชีวิต เป็นบันไดขั้นหนึ่งของชีวิตที่ต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ



    " ในชีวิตของมนุษย์เรามีบทเรียนอยู่สองบทเรียน หนึ่ง บทเรียนที่ยาก และสอง บทเรียนที่ง่าย บทเรียนที่ง่ายก็คือทำอะไรก็สมหวังไปเสียทุกอย่าง แต่พอสมหวังไปเสียทุกอย่าง มนุษย์มักจะหลงตัวเอง พอหลงตัวเอง นั่นคือ ต้นทางของความผิดพลาด "



    บทเรียนที่ยากมักจะช่วยขัดเกลาฝึกปรือเราให้เข้มแข็ง เหมือนคนบางคนที่เกิดมายากจนจึงเรียนรู้ที่จะต่อสู้ และเมื่อพยายามต่อสู้ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จกลายเป็นคนมั่งคั่งพรั่งพร้อมได้ คนจำนวนมากที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้แล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนั้นเพราะเขาไม่ปฎิเสธบทเรียนที่ยาก แต่กลับถือว่าเป็นบทเรียนที่เปรียบเสมือนหินลองทอง หรือเปรียบเสมือนหินลับมีด หรือบางทีเปรียบเสมือนกระดาษทรายที่ทำหน้าที่ขัดสีฉวีวรรณให้ชีวิตของเราผุดผ่องแวววาวทอประกายเจิดจรัสงดงามยิ่งขึ้น

    ฉะนั้นการที่เราล้มเหลวในเรื่องความรัก ในเรื่องชีวิตคู่ ขอให้ถือว่าความล้มเหลวนั่นแหละคือบทเรียนแสนยากที่เป็นบันไดขั้นหนึ่งซึ่งเราต้องก้าวข้ามไป พอเราก้าวข้ามไปได้ ชีวิตของเราก็จะมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผู้รู้ท่านหนึ่งบอกว่าชีวิตที่ไม่ผ่านการต่อสู้เป็นชีวิตที่ไม่ควรค่าแก่การยกย่อง เห็นไหม เรามีหน้าที่สู้ชีวิต มีหน้าที่ก้าวข้ามความยากลำบาก ไม่ได้มีหน้าที่มาจมปลักอยู่กับความยากลำบากแล้วก็ทำร้ายทำลายตัวเอง ทุกครั้งที่เจอบทเรียนแสนยาก บอกตัวเองว่าต้องก้าวข้ามมันไป ไม่ใช่ฝังตัวเองอยู่กับบทเรียนแสนยาก บทเรียนยากๆ ทั้งหลายนั้นเปรียบเสมือนบันได ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องก้าวผ่านบันไดเหล่านั้นไป ไม่ใช่ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงบันไดแล้วบอกว่าพอแล้วสำหรับชีวิตของเรา
     
  17. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 47)

    ของมงคลป้าเม้าท์


    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  18. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    (หน้าที่ 48)

    "เหตุผลที่คนไม่เข้าวัด
    -ตัดบ่วงไม่ขาด
    -ฉลาดกว่าพระเทศน์
    -เพราะเหตุศาสนา
    -สังขารไม่อำนวย
    -พระให้หวยไม่ถูก
    ...................."



    "ในที่สุดแห่งชีวิต ก็หนีไม่พ้นโลง เคยอยู่ที่ใหญ่โต สุดท้ายก็ต้องเข้าไปอยู่ในที่แคบ ๆ. “ใหญ่แค่ไหน ก็ไม่ใหญ่เกินโลง" สูงต่ำดำขาวยากดีมีจน สุดท้ายก็ไปนอนทีเดียวกัน"
     
  19. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  20. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,207
    ค่าพลัง:
    +10,090
    ว่างๆๆจะนั่งรวมงานบุญทั้งหมดที่ทำนะครับ ญาติธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...