วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

กลับมาเเล้วครับ เป็นกำลังใจให้ครับ.ให้พี่ๆน้องๆสู็เเละชนะอุปสรรคขัดขวางทั้งปวงจนเข้าสู่นิพพานตามปารถนาครับ ขึ้นชื่อว่าโลกเเละร่างกาย(ฉิบหายเป็นปกติ) ขอกราบคุณพระศรีรัตนตรัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เทพพรหม ท่านผู้มีคุณ พี่ๆด้วยครับที่ทำให้ควายอย่างผม กลายเป็นคนได้

 

สัมมาทิษฐิ(สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ)

ลมสบาย(ระดับณานสี่)

พุทธานุสติ(เป็นประกายพรึก)

การรู้จักการตั้งกำลังใจ(ให้มั่นคงในการอธิฐาน)

การรู้จักการวางอารมณ์ใจ(ให้สงบเย็น เบาสบาย สว่างงดงาม)

วิปัสนาญาณ(ที่ตั้งไว้ที่พระนิพพานจุดเดียว)

เมตตาอัปปันนาณฌาน(พร้อมด้วย ศีล และอภัยทาน)

เจริญให้คล่องเป็นปกติ เป็นธรรมชาติของจิตของใจเรา

ที่ปูพื้นฐานให้เป็น ฐานของอภิญญาใหญ่ ไปจนถึงระดับของการหลุดพ้น

 

เสาร์นี้มีติวเข้มที่สวนลุม เกาะลอย เวลา 9.30 น.ครับผม ท่านที่สนใจตามอ่านไม่ได้เป็นสมาชิกก็เรียนเชิญได้นะครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านที่ปรารถนาในความดีครับ

 

ขออนุญาตแจมด้วยจ้า

ขอขอบคุณทุกๆข้อมูลเตือนภัย ไม่ใช่ว่าเราจะประมาทแต่ในความคิดเรา
ฟังๆใว้งั้นๆไม่ควรกังวลกับอดีตที่ผ่านไปไม่ควรใส่ใจกับอนาคตที่มาไม่ถึงเพราะมันไม่เคยมีพรุ่งนี้สำหรับทุกชีวิต(พรุ่งนี้คือเดี๋ยวนี้).
สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตายมากนักคือความเกิด สิ่งที่น่ากลัวกว่าความเกิดก็คือ อกุศล จิต และอวิชชาที่สิงอยู่ทุกขณะปัจจุบัน สิ่งนี้มันน่ากลัวกว่าภัยภายนอกมากนักเพราะมันเป็น กฏการคัดเลือกโดยธรรมชาติ.

พระพุทธเจ้าสอนว่า จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด แต่เชื่อไหม นอกจากพระอริยะเจ้าแล้ว เราคิดว่ายากที่เราจะ "ถึงพร้อม" ด้วยความไม่ประมาท เราเคยถามตัวเองหากเราตายเดี๋ยวนี้ เราจะไปไหน บอกได้เลยว่า ลงที่ต่ำ เพราะจิตกอรปด้วยอกุศลมาก หากจะให้พร้อมต้องเสียบกุศลทุกขณะ ขอย้ำว่า "ทุกขณะปัจจุบัน" และนั่นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เอาง่ายๆ เมื่อเราคุย นั่นเราก็ยึดแล้วว่า ตัวเรา เป็นผู้คุย ทุกขณะมีโมหะคือความหลงตนอยู่ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่คุยเลยนะว่าเป็นความเห็นความคิดหลงทางไปอกุศลชนิดราคะ โทสะ กามหรือทางกุศลใดเป็นเชื้อ
ดังนั้นก่อนเตรียมลี้ภัยนอก คุมไฟในตนก่อนดีไหม

 

ตอนนี้ผมกลัวว่าจะเกิดภัยธรรมชาติก่อนที่จะเกิดสงครามอ่ะครับ ดูจากสถานการณ์บ้านเมืองแล้วส่อแววไปทางนั้น นี่ก้อเพิ่งเกิดพายุไซโคลที่บังคลาเทศ(ตายไป3000กว่าคนแล้วดูแล้วน่าจะมีแนวโน้มมากขึ้นกว่านี้)ไปไม่นาน ที่สำคัญคือเริ่มใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที คนที่บ้านอยู่กทม.ผมอยากให้เตรียมถังแกลลอนไว้อ่ะครับปิดฝาให้แน่น อย่างน้อยเราก้ออยู่ได้นานกว่าคนอื่นเพื่อทำสมาธิก่อนตายจะได้ไปนิพพาน สำหรับผู้ที่มีที่พักพร้อมแล้วก้อเตรียมเกลือ น้ำปลา อาหารแห้งอย่างที่กล่าวไว้ข้างบนนั่นแหละครับ หน้ากากกรองอากาศก้อจำเป็นนะครับ วิธีที่ดีที่สุดผมคิดว่าปล่อยวางดีที่สุดครับ อนุโมทนาครับ

 

เอ่อ..ผมเดาเอาว่า ปีหน้าก้อน่าจัเกิดแล้วล่ะครับ

 

คุณ VANCO บอกว่าการบริจาคร่างกาย ให้คนอื่นศึกษาเป็นผลต่อกายทิพย์ จริงเหรอครับ งั้ยผมก้แย่สิ ผมบริจาคไปแล้ว ใครช่วยยืนยันได้ไหมครับว่าเป็นความจริง ผมว่า การคืนดินน้ำลมไปให้กลับคืนเป็นของโลกเป็นเรื่องปกติ ไม่เกี่ยวกับกายทิพย์ ไม่งั้นวิญญาณคนตายก็สิงอยู่ในโลกนี้กันหมดสิครับ

 

ผมว่ากายทิพย์คุณจะสว่างมากขึ้นกว่าเดิมนะสิ เพราะคุณไม่ยึดติดในร่างกาย
ยังไงคุณก็อธิฐานว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา
ถวายเป็นพุทธบูชา ธัมบูชา สังฆบูชา แล้วก็แผ่บุญให้กับเทวดาและสิ่งศักดิ์
ที่เกี่ยวข้องกับคุณ และเจ้ากรรมนายเวรให้มาอนุโมทนาบุญ

 

เห็นด้วยกับความเห็นข้างบนนี้อีกท่านหนึ่งครับ

ทางกาชาดเองก็เคยบอกว่ามีคนเข้าใจผิดในเรื่องการบริจาคอวัยวะด้วยเช่นกัน อย่างดวงตา

เชื่อผิดๆว่า หากบริจาคดวงตา ชาติหน้าจะตาบอดซึ่ง ที่จริงนั้นไม่ใช่ หากเกิดอีกจะพลอยมีดวงตาสุขภาพดีไม่สั้น และอาจได้ ทิพยจักษุญาณด้วยซ้ำไปอีกด้วย

การบริจาคร่างกายนั้นแสดงถึงความปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายเราไปส่วนหนึ่ง
แสดงถึงพรหมวิหารสี่ที่อยากให้ความรู้เป็นทานแก่แพทย์เพื่อรักษาโรคช่วยคน


มีแต่อานิสงค์ครับ กายทิพย์ยิ่งสว่าง วิปัสนาญาณยิ่งแจ่มใส

 

คุณ อาวุโสพรรคมาร บอกว่า
ผมว่ากายทิพย์คุณจะสว่างมากขึ้นกว่าเดิมนะสิ เพราะคุณไม่ยึดติดในร่างกาย
ยังไงคุณก็อธิฐานว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา
ถวายเป็นพุทธบูชา ธัมบูชา สังฆบูชา แล้วก็แผ่บุญให้กับเทวดาและสิ่งศักดิ์
ที่เกี่ยวข้องกับคุณ และเจ้ากรรมนายเวรให้มาอนุโมทนาบุญ<!-- / message --><!-- sig -->
คุณคณานันท์บอกว่า
ทางกาชาดเองก็เคยบอกว่ามีคนเข้าใจผิดในเรื่องการบริจาคอวัยวะด้วยเช่นกัน อย่างดวงตา
เชื่อผิดๆว่า หากบริจาคดวงตา ชาติหน้าจะตาบอดซึ่ง ที่จริงนั้นไม่ใช่ หากเกิดอีกจะพลอยมีดวงตาสุขภาพดีไม่สั้น และอาจได้ ทิพยจักษุญาณด้วยซ้ำไปอีกด้วย
การบริจาคร่างกายนั้นแสดงถึงความปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายเราไปส่วนหนึ่ง
แสดงถึงพรหมวิหารสี่ที่อยากให้ความรู้เป็นทานแก่แพทย์เพื่อรักษาโรคช่วยคน
มีแต่อานิสงค์ครับ กายทิพย์ยิ่งสว่าง วิปัสนาญาณยิ่งแจ่มใส

ทั้งคุณอาวุโสพรรคมารและคุณคณานันท์กล่าวได้ถูกต้องตรงเป๊ะเลยครับนับถือนับถือ ขออนุโมทนาให้คุณ tam220t จงประสพแต่ความสว่างแห่งจิตจนดวงตาเห็นธรรมขั้นสูงครับ

<!-- / message --><!-- sig -->

 

วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ !!!

ภัยพิบัติ...
คือ ...กรรม
คือ ....ผลของการกระทำโดยรวมของมนุษย์
คือ ... ผลตอบแทนจากตัวกระทำที่เกิดขึ้นโดยรวมของมนุษย์

อยู่รอด
คือ ... พ้นจากกรรม
คือ .... พ้นจากผลตอบแทนของตัวกระทำเก่าๆ ที่ทำเอาไว้

ทางรอด
คือ ... หนทางเลี่ยง ในวันที่กรรมมาถึง
คือ .... หนทางเลี่ยง ในวันที่ตัวกระทำ ส่งผลตอบแทน
คือ ... ทางเดินใหม่ ที่สร้างไว้มั่นคง
คือ .... สัจจะ

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** ความจริง ****

ธรรมชาติ
เที่ยงแท้
สัจจธรรม

ตัวกระทำ...ตัวตนของการกระทำ
เป็นพลัง เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ เป็นอมตะ ไม่สูญสลายหายไป
แต่มองไม่เห็นด้วยตา

ตัวกระทำ....ตัวตนของการกระทำ
ส่งผลตอบแทน ปรากฏขึ้นเป็น กรรม
ผลตอบแทน ย้อนกลับมา เป็นอย่างไร เมื่อไหร่ ไม่อาจรู้ได้

สัญญาใจ...สัจจะ การกระทำ
ก่อให้เกิดตัวกระทำ ตัวตนของพลังาน สิ่งยิ่งใหญ่ติดตัวไป
ส่งผลตอบแทน ที่มิอาจประมาณค่าได้ เป็นปฏิหาริย์ในวันที่กรรมปรากฏ

ตัวกระทำการสอนสัจธรรม... ของศาสดาทุกพระองค์
เป็นสิ่งยิ่งใหญ่คู่โลก รวมเป็นพระไตรปิฎก เพื่อนำพาให้หลุดพ้น

ตัวตนของพระไตรปิฎก...คือ โลกุตตระ
นำพาให้ชีวิตผู้หนึ่งที่กำหนดไว้ กลายเป็นพระพุทธเจ้า
เพื่อประกาศสัจจะธรรม และ สัจจะหนทางหลุดพ้น

โลก...อายุยาวนาน
สิ่งมีชีวิต เวียนว่ายตายเกิด...ไม่หลุดพ้นเพราะมีนิสัยติดตัว
ศาสนศาสตร์ นำพาสัตว์ให้หลุดพ้นจากการเกิด มีหนึ่งเดียว
ความเจริญ และ ความเสื่อมสลาย ...เป็นวัฐจักรเวียนหลายรอบ
ศาสดา ผู้เคยประกาศสัจจะธรรม และ สัจจะปฏิบัติ มีมากมายเป็นแถว
ถ่ายทอดหนทางหลุดพ้น จากโลกุตตระ มาทุกยุค
ซากอารยธรรมเก่าแก่ โบราณ บนพื้นดิน และใต้ดิน คือหลักฐานที่ยิ่งใหญ่

วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ที่เรียนรู้กัน
แสนสั้นเหลือเกิน !!!!!!!

-

 

<TABLE class=tborder id=post824805 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>bnbk<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_824805", true); </SCRIPT>
สมาชิก



เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:58 PM
วันที่สมัคร: Aug 2006
ข้อความ: 323 <!-- Start Post Thank You Hack -->
ได้ให้อนุโมทนา 3,019 ครั้ง
ได้รับอนุโมทนา 6,589 ครั้ง ใน 330 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
พลังการให้คะแนน: 704


</TD><TD class=alt1 id=td_post_824805 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->หลักการในการบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นเช่นนี้พึงทราบวิธีการดังต่อไปนี้ :-

( ๑ ) วิธีใช้ทิพยอำนาจคุ้มครองผู้อื่น
ในกรณีที่ผู้อื่นไม่สามารถจะคุ้มครองตนของเขาให้ปลอดภัยได้ ถ้าเราเป็นผู้สามารถป้องกันภัยได้และเมตตากรุณาแก่เขา ก็พึงทำการคุ้มครองเขาด้วยทิพยอำนาจประการใดประการหนึ่ง เช่น

ก. ทำฤทธิ์กำหนดเขตปลอดภัยแก่เขา.
ข. ทำฤทธิ์อธิษฐานวัตถุให้เป็นเครื่องคุ้มกันภัยแก่เขา.
ค. แนะนำให้เขาระลึกถึงพระรัตนตรัย และคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย ในเวลาหวาดระแวงภัย.
ฆ. ทำฤทธิ์ด้วยเมตตาพล กรุณาพล หรือการอื่นๆ ปกคลุมไปคุ้มครองเขาในเมื่อจำเป็น.

( ๒ ) วิธีใช้ทิพยอำนาจบรรเทาภัยแก่ผู้อื่น
ในกรณีที่ผู้อื่นประสพกับอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเราเมตตากรุณาเขาอยู่ และมีสมรรถภาพพอจะช่วยได้ ก็พึงช่วยทิพยอำนาจประการใดประการหนึ่งซึ่งเหมาะสมกับกรณีนั้นๆ เช่น

ก. ทำฤทธิ์กำจัดภัย ในเมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องทำเพราะจะปฏิบัติโดยวิธีอื่นใดไม่สำเร็จ.
ข. ทำบุญอุทิศ หรืออุทิศบุญที่มีอยู่แล้ว ไปให้แก่เขาผู้กำลังตกทุกข์ได้ยากอยู่ในปรโลก ให้พ้นทุกข์ยากไป.
ค. ให้คำแนะนำสั่งสอนอันศักดิ์สิทธิ์ เหมาะสมกับภัยที่เขาผจญอยู่นั้น ให้เขาเกิดกำลังใจต่อสู้กับภัยด้วยธรรมิกอุบาย และแผ่กระแสจิตประกอบด้วยอานุภาพไปช่วยเขาตามสมควร.
ฆ. ถ้าเขาเป็นผู้มีทิพยอำนาจพอจะขจัดภัยแก่ตัวเองได้อยู่ หากแต่ไม่ฉลาดในวิธีใช้ พึงแนะอุปเทศแห่งทิพยอำนาจแก่เขาตามควร.

( ๓ ) วิธีใช้ทิพยอำนาจบำบัดอาพาธผู้อื่น
ในกรณีที่ผู้อื่นเกิดอาพาธที่พอเยียวยา หรือผ่อนบรรเทาทุกขเวทนาได้ ก็พึงช่วยเหลือตามสมควรแก่กรณี เช่น

ก. เข้าสมาธิขั้นปีติสุขภูมิ แล้วแผ่กระแสปีติสุขนั้นไปให้ หรือทำอธิษฐานฤทธิ์ก็ได้.
ข. ถ้าเป็นผู้มีกำลังใจ ได้เคยซาบซึ้งในพระธรรมอยู่แล้ว แสดงธรรมอันวิเศษให้ฟังก็บรรเทาได้.
ค. ถ้าผู้อาพาธ เป็นผู้ที่ควรสงเคราะห์โดยประการทั้งปวง พึงเพ่งให้เกิดเป็นทิพยโอสถขึ้นแล้วให้เขาใช้อาบกิน.
( ๔ ) วิธีใช้ทิพยอำนาจปลูกศรัทธาในศีลธรรมแก่ผู้อื่น
ในกรณีช่วยเหลือผู้อื่น ให้เกิดศรัทธาเชื่อมั่นในศีลธรรมนั้น นอกจากการให้คำแนะนำสั่งสอนตามธรรมดาแล้ว ในบางกรณีจะต้องอาศัยทิพยอำนาจเข้าช่วย จึงจะสำเร็จผล เพราะบางคนมีทิฏฐิมานะกล้า ถ้าไม่เห็นคุณน่าอัศจรรย์ประจักษ์ตา เขาจะไม่เชื่อถือถ้อยคำในการแนะนำสั่งสอน

แต่ถ้าเขาได้เห็นคุณน่าอัศจรรย์แล้ว เขาจะเชื่อถ้อยคำในการแนะนำสั่งสอนอย่างดียิ่ง และทำให้เขามั่นใจในศีลธรรมว่า เป็นสิ่งดีวิเศษกว่าสิ่งใดๆ เมื่อเขามั่นใจในศีลธรรมยิ่งๆ ขึ้น ในกรณีที่ต้องใช้ทิพยอำนาจนี้ต้องพิจารณาโดยรอบคอบว่า ควรใช้ทิพยอำนาจชนิดใดด้วย อย่าสักว่ามีอำนาจใช้ก็ใช้ไปทีเดียว เพราะถ้าใช้ไม่ถูกวิธี ก็อาจกลับเป็นร้ายได้ และต้องสังวรให้มาก อย่าใช้พร่ำเพรื่อ จะนำอันตรายมา

อนึ่ง นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ปีศาจ เปรตบางจำพวกมีฤทธิ์และโหดร้าย ถ้าไม่ใช้ฤทธิ์ทรมาน ก็ย่อมไม่สำเร็จอยู่ดี ในกรณีทำฤทธิ์ทรมานพวกนี้ พึงพิจารณาดูฤทธิ์ อันจะปราบเขาได้ เช่น นาค ต้องใช้ฤทธิ์สองประการทรมาน คือ ธมายิกภาพ กับปัชชลิกภาพ นอกนั้น เพียงเมตตาฌานก็อาจทรมานได้ ถ้าใช้เมตตาไม่ลง จึงค่อยใช้ฤทธิ์อื่นๆ ต่อไปตามสมควร เมื่อทรมานลงแล้ว ต้องสั่งสอนให้ดำรงอยู่ในพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ประการ เสมอไปทุกครั้ง อย่าทรมานปล่อย จะได้ประโยชน์น้อย.

ทิพยอำนาจfficeffice" /><O></O>

พระอริยคุณาธาร
เรียบเรียง<O></O>​

<!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

พระอริยคุณาธารเส็ง ท่านเป็นผู้ทรงอภิญญา และทำได้จริง ได้แต่งตำราเอาไว้เกี่ยวกับการใช้อภิญญา ชื่อหนังสือ"ทิพยอำนาจ " มีจำหน่ายที่มหามงกุฏราชวิทยาลัย บางลำพูครับ

เป็นหนังสืออ้างอิงในการปฏิบัติที่แนะนำให้อ่านเป็นอย่างยิ่ง

ผมเองซื้อแจกเขาไป สามสี่เล่มแล้ว ตอนนี้เลยไม่มีอยู่ในมือ

 

*** ขาดการพิจารณา ****

ผู้ใดนำ "สัจจะ" ไปพิจารณา
ย่อมจะพบหนทางหลุดพ้น !!!

- " หนุมาน ผู้นำสาร "