ขอความคิดเห็นในข้อธรรมะหน่อยครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย pandykub, 20 สิงหาคม 2013.

  1. pandykub

    pandykub Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +62
    เนื่องจากเว็บนี้มีผู้ปรารถณาพุทธภูมิแวะเวียนกันเข้ามามาก จึงใคร่อยากจะทราบความคิดเห็นว่าเมื่อท่านทั้งหลายเกิดความท้อในการบำเพ็ญบารมีไม่ว่าจะเกิดจากสิ่งใดก็ตาม จะมีธรรมข้อใดบ้างหนอที่จะสร้างกำลังใจ สร้างความฮึกเหิม เป็นเหมือนกำลังอันแรงกล้าที่จะส่งผลให้ตัวท่านทำบารมีต่อตามความปรารถณาเดิมของตน

    ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาแสดงความคิดเห็นครับ
    ปล. โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าธรรมเหล่านั้นคือธรรมที่ใช้แบ่งประเภทของพระโพธิสัตว์ นั่นคือ ปัญญา ศรัทธา วิริยะ
    แล้วทุกท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง?

    อ้อ! ลืมอีกหนึ่งอย่าง
    ข้อธรรมใดที่ใช้แยกระหว่างดวงจิตที่ปรารถณาปัจเจกภูมิกับพุทธภูมิ แล้วจักกระทำความปรารถของตนนั้นสำเร็จ พูดง่ายๆก็คือกำลังของธรรมที่สะสมอยู่ในจิตนับอเนกชาติ จนเป็นตัวบ่งบอกว่าจิตดวงนี้เหมาะแก่ปัจเจกภูมิ จิตดวงนั้นเหมาะสมแก่พุทธภูมิ

    คนกินเกลือกับคนกินเกลือย่อมคุยกันเข้าใจ ไม่ว่าเกลือจะมาจากแหล่งไหน
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  2. guuuruuu

    guuuruuu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +158
    ข้อ 1
    ------------------------------------------------------------------------
    ทาน - ทำให้เราสลัดออกได้แม้แต่นามธรรมคือความท้อถอย
    ศีล - ทำให้เราดำเนินการบำเพ็ญที่เป็นไปตามปกติ
    เนกขัมมะ - เตือนสติเราตลอดเวลาที่เบื่อและท้ออยากหลงตามโลก
    ปัญญา - ทำให้เราสามารถคิดหาอุบายให้มีความปิติฮึกเหิมได้อีกครั้ง
    วิริยะ - ทำให้ไม่หยุด จะวิ่ง จะเดิน หรือจะคลาน ก็ไม่หยุดจนกว่าจะถึง
    สัจจะ - ทำให้เราจะไม่ล้มเลิก
    อฐิษฐาน - ทำให้เรามีเป้าหมายชัดเจน มีสติกับสิ่งที่ทำและไม่หลงทาง
    เมตตา - เพราะเมตตาตัวเอง เมตตาผู้อื่นจึงรู้ว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่ต้องไปให้ถึง
    อุเบกขา - เพราะอุเบกขาทำให้วางเฉยต่อความท้อถอยได้


    ข้อ 2
    ------------------------------------------------------------------------
    ปัจเจกภูมิ หรือ สัมพุทธภูมิ บอกไม่ถูกแต่เหมือนว่าในใจรู้เอง ตอบตัวเองได้ว่าชอบอะไร
     
  3. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    เวลาที่คนเราท้อแท้นั้น เกิดจากเหตุคือ หมดพลัง บ้างก็หมดพลังใจ บ้างก็หมดกำลังกายแล้วส่งถึงหมดกำลังใจไปด้วย ถ้าในคนทั่วไปหมดแรงกายก็ต้องพักร่างกายด้วยการนอนหลับพักผ่อน
    แต่ถ้าหมดแรงใจ ก็ต้องสร้างพลังใจ พลังใจตัวนี้ หากคนมักโกรธ ก็สร้างด้วยพลังความโกรธ
    หากคนทะเยอทะยาน ก็สร้างพลังใจด้วยแรงจูงใจทางยศถาบันดาศักดิ์
    แต่ถ้าพระอริยะ ก็สร้่างพลังใจด้วย สติ คือพิจารณาว่าสมแก่เหตุแล้วจึงลงมือทำ

    แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิ คือ คิดช่วยเหลือคนอื่น ก็ต้องสร้างพลังใจคือ เมตตา
    โดยคิดพิจารณาว่า คนที่ยังรอรับความช่วยเหลือนั้นมีอีกมาก คนที่ทุกข์ใจหาที่พึ่งไม่ได้ยังมีอีกมากมาย
    เราเป็นใครจึงนั่งสุขสบาย โดยทำราวกับว่าตัวใครตัวมัน ปล่อยให้คนที่ยังขาดโอกาส ขาดที่พึ่งพิงรอไปอย่างไร้ความหวัง ตัวเมตตานี้แลจะทำให้เรามีพลังลุกขึ้นเดินต่อไปตามทางของผู้ปราถนาจะช่วยเหลือผู้อื่น
    แต่อย่าลืมเมตตาตนเองก่อนนะครับ

    พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้เอง แต่ไม่ประกาศพระศาสนา ก็น่าจะเป็นเพราะท่านมิได้นึกถึงคนอื่นก่อน
    ท่านบำเพ็ญบารมีมาแต่เฉพาะตน
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ชาติไหนๆ ก็นึกถึงแต่คนอื่นก่อนเสมอ เสียสละเสมอ
    จึงวิเคราะห์ว่า กำลังใจในส่วนของทาน ที่จะให้กับผู้อื่นแตกต่างกันครับ
     
  4. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ปราชญ์จีนโบาราณกล่าวไว้ว่า ในโลกนี้มีเรื่องยากไหม.?
    ผู้ที่ลงมือทำ...เรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย.
    ผู้ที่ไม่ลงมือทำ...เรื่องง่ายก็จะเป็นเรื่องยากอยู่วันยังค่ำ.



    ..... ขันติครับ ทนอดอดทนเก็บเล็กผสมน้อยค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ อย่าเร่งรัดตัวเอง แต่ก็อย่าหยุดสร้างความดีต่างๆ ถือคติ น้ำหยดลงโอ่งทุกวัน สักวันมันต้องเต็มโอ่งจนได้


    ..... โสรัจจะ สงบเสงี่ยมเจียมตัว คิดว่าตัวเองดีไม่พอไว้เสมอ อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว แต่พยายามทำตัวเองเหมือนน้ำค่อนแก้วเข้าไว้


    ..... การสร้างบารมีของพุทธภูมิ ก็เหมือนกับเรียนเก็บเกรดของ ม.รามคำแหงครับ ไม่ต้องไปคิดมาก บางวิชาก็สอบผ่านฉลุยในครั้งเดียว บางวิชาก็ต้องซ่อมกันเป็นหลายหนกว่าจะผ่านได้ ไม่ต้องไปคิดมากมาย ขยันอ่านขยันสอบสักวันก็ต้องจบรับปริญญาเป็นบัณฑิตกับเขาได้แน่นอน ขยันพินิจพิจารณาข้อวัตรตัวเอง ขยันทำบุญทานการกุศลแม้จะเล็กน้อยก็อย่าได้ละเว้นหรือดูถูกเป็นอันขาด อย่ากลัวความลำบากเพราะการตกระกำลำบาก เป็นมหาวิทยาลัยชั้นสูง ในการฝึกยอดคน


    ..... ทำอะไรก็ตามให้ทำตามกำลังความสามารถของตัวเอง และไม่ต้องเอาตัวเองไปวัดความสามารถหรือบารมีกับใครเขา เวลาทำบุญก็ไม่ต้องไปจำว่าทำอะไรบ้าง ทำแล้วก็ลืมๆไป การช่วยคนอื่นก็ต้องช่วยพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายแล้วจึงค่อยๆขยับกว้างออกไปเรื่อยๆ


    ..... ผมคิดว่า จิตพระโพธิสัตว์ก็ดี จิตพระปัจเจกโพธิสัตว์ก็ดี ล้วนแต่เป็นผู้ต้องการพระนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น แต่ท่านมีวิธีแสวงหาพระนิพพานที่แตกต่างกันก็แค่นั้น เหมือนถนนที่จะมากรุงเทพฯ มีหลายสายหลายทางก็จริง แต่ทุกสายล้วนมุ่งหน้ามาที่กรุงเทพมหานครฯ ต่างกันแค่ความระยะทางความใกล้ไกลของถนน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2013
  5. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    "ว่าวจะขึ้นสูงได้...ก็ต้องรับแลงลมปะทะ"

    ที่สุดแล้วจะไม่มีที่สุดอีก..อดทนอดกลั้น

    ยิ่งท้อยิ่ง..อธิฐานซ้ำ....นึกถึงสัจจะที่ตั้งไว้

    และยึดให้มั่นครับ....อนุโมทนาครับ.
     
  6. ดำฤษณา

    ดำฤษณา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +205
    เพียงอ่านข้อถามของเจ้าของกระทู้รู้ได้เลยว่า
    ทรงภูมิมาก ขอร่วมวงสนทนาศึกษาธรรมด้วยคน
    หากผมเกิดท้อถอยในการบำเพ็ญก็จะปล่อยตัวเอง
    ไปตามกระแสแล้วใช้การอธิฐานจิตพยุงตนไว้
    เมื่อพักได้ที่แล้วคำอธิฐานจะเกิดแรงส่งให้ลงมือปฏิบัติ
    อัตตาหิอัตตะโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนสร้างกำลังใจได้ดีที่สุด
    เพราะคิดว่าตนทุกข์ยากลำบากอย่างไรผู้อื่นทั้งหลายก็ทุกข์ยากเช่นเดียวกัน
    หากว่าตนพ้นทุกข์แล้วจักช่วยผู้ที่ทุกข์ให้พ้นตาม

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ
     
  7. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    "ฉันทะ" และ "วิริยารัมมะ" ความพอใจและความเพียรในการสร้างบุญบารมีเพื่อจะเอาไปทำประโยชน์ตามภูมิธรรมของตน

    ส่วนตัวเห็นว่า วิริยะ ควรจะต้องประกอบด้วย ปัญญา คอยประคับประคองเสมอ เพื่อที่ว่าจะเป็นตัวป้องกัน ทิฏฐิและมานะทั้งหลาย คือ ความถือตน อวดตน ยกตนข่มท่าน ฯลฯ ที่จะมีตามมาจากการสั่งสมบุญบารมีและศิลปะวิทยาการมาอย่างไม่ย่อหย่อน หากมีปัญญาคอยเกื้อหนุนก็จะเป็นความเพียรอันบริสุทธิ์ที่จะไม่เกิดโทษใดๆเลย.. ขอโมทนา
     
  8. pandykub

    pandykub Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +62
    ขอบพระคุณทุกๆท่านที่มาแสดงความคิดเห็นกันครับ
    ปกติผมจะเข้าเว็บนี้เพื่อมาอ่านข้อธรรม ข้อคิดต่างๆ เพื่อเลือกนำไปทบทวนพิจารณาดู ไม่ค่อยได้ตั้งกระทู้หรือแสดงความคิดเห็นเท่าไร ไม่ค่อยอยากคลุกคลีกับใครเท่าไหร่ แต่ไม่นานมานี้เกิดความวิตกเกี่ยวกับกำลังใจ ความมุ่งมั่นของเหล่าพุทธภูมิทั้งหลาย จึงอยากลองตั้งกระทู้ถามถึงอุบายในการกลับมาสร้างบารมีต่อ หากพวกท่านเกิดอาการท้อแท้

    บารมีทั้งหลายสร้างขึ้นมาได้ มีขึ้นมาได้แม้ในการดำรงชีวิตประจำวัน ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเข้าใจและทำมันขึ้นมารึเปล่า

    เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    ไม่ว่า พุทธภูมิ พระปัจเจกะภูมิ สาวกภูมิ ล้วนต้องสร้างบารมี ทั้งสิ้น แต่หนักเบา ต่างๆ กันออกไป พุทธภูมิ หนักกว่า ปัจเจกภูมิ สาวก ภูมิ เพื่อไปเป็นครูเขา ย่อมหนักกว่ามาก ต้งผ่านในทุกเรื่อง ถ้าบารมี ยังอ่อนอยู่ แพ้มากกว่าจะชนะ ถ้าบารมีอย่างกลาง แพ้บ้างชนะบ้าง ครูบาอาจารย์ ท่านบอก ปรมัต ส่วนใหญ่จะปอดมากกว่า เรียกว่า ชนะมากกว่าแพ้น่ะครับ


    ส่วนตัวของผมเอง จะแพ้มากกว่าจะชนะ เพราะเราทำอะไร คนอื่นเป็นผู้ บอก หรือครูบาอาจารย์เป็นผู้บอก ส่วนการกระทำ คือตัวเรา จะผ่านหรือไม่ผ่าน ก้อยู่ที่เรา จะทำเอง จะถ้อหรือถอย ก็ตาม สำหรับผมแล้ว ท้อก็ได้ ถอยก็ได้ ไม่ใช่ ท้อหรือถอยแล้ว เลิกทำต่อไป ไม่ใช่นะ ท้อชั่วคราว ถอยช่วคราว นักรบทั้งหลาย กว่าจะมาเป็นยอดนักรบ มันไตร่เต้า มาจาก แพ้มาก่อนท้อถอย มาก่อนทั้งสิ้น เมื่อท้อ และถอย ก็มาหาทาง แก้ไข ตั้งหลักใหม่ ต่อสู้ อบรมบ่มนิสัย หาวิธี และอุบาย ต่างๆ ว่าวิธีไหน คือ ต้นตอ วิธีอุบาย แก้ไข ต่อสู้ หาวิธีอื่นๆ เข้าไปต่อสู้ หรืออุบาย ที่จะเอาชนะให้ได้


    งานบางเรื่อง บางอย่าง บางที่มันก็มาไม่ซ้ำหน้าหรอก ถ้างานไหน เราตั้งท่า จะรบกับมันๆไม่มาหรอก มันมาแบบใหม่ ให้เราตามมันไม่ทัน ถ้าปัญาญา ของเราแหลมคมกว่ามัน มันก็ไม่มาเหมือนกัน ไอ้ตัวที่สูงๆมันมาแทน บางที เหตุ การณ์ ขอยกตัวอย่างสัก หน่อย ปลูกผัก ข้าวโพด หนอนสารพัด มากิน เราต่อสู้กับมัน ใช้ ยาปราบศัตรูพืชแบบไหน บางทีหนอบแบบนี้มากิน สัตวืแบบนี้มากิน ไม่ทัน จะชนะ มาอีกแล้ว แล้งก้เข้ามา ทำอย่างไร ตำรวจ ป่าไม้ เจ้าหน้าที่หลายหน่อยงาน มาหาวิธี กลั่นแกล้งสารพัด สู้ไหวไหม


    คนมากลั่นแกล้ง โขมยของอีก ของหาย ไหวไหม ยังไง บางที มัน ไปไม่ไหว โดนติดคุกอีก ไหวไหม มีธีแก้ไหม ช่วยตนเองไม่ทัน จำเป็นต้องติดคุก นี่ บังเอิญ เงินไม่มีอีก ห่ไม่ทัน ต้องใช้วิธีอื่น หรือขายของใช่ไหม มีคนมาหาเรื่องอีก ทั้งๆของนั้นป็นของเรา ผลที่เรา จะต้องเจ็บ ตัว มีไหม ทั้งๆเรา มีในการให้ทาน รักษาศิล แต่เมื่อโดนหนักๆ ศิลก็พังได้ เพราะเหตุการณ์ ที่เราเจอ นั้น มันสาหัสเอาการ แค่นี้ ยังน้อยนะ เพราะคนเราสั่งสม อบรมมาไม่เสมอกัน การทำความดี ใช่ว่า จะให้ทาน รักษา ศิลเจริญภาวนา เท่านั้น หรือสร้างบารมี ๑๐ แต่วิธีการ ปิกย่อย มันมี อีกมากมายนัก ถ้าเราเองไม่ประสบมา มันก้จะไม่เข้าใจหรอก บางทีทำแล้ว ก้ไม่เข้าใจเหมือนกัน โน่น ผ่านไปพอสมควร ถึงจะเข้าใจก้มี เขาเรียก ขี้ตรงล่องไงครับ ถ้าได้ขึ้นชื่อ ว่าทำ คือ ได้ทำ ถ้ายังไม่เข้าใจว่า ได้ทำ หรือทำถึง มันเข้าใจยาก


    ต่อให้คนประเภท เดียวกัน กินเกลือเหมือนกัน แต่กำลัง ต่างกัน มันก็ไม่เข้าใจ ว่ากิน เหมือนกัน นะครับ มันอยู่ที่ใส่เกลือ หนักเบา ไม่เท่ากัน แต่ก้พอ จะเข้าใจ ถ้าอธิบายให้ฟัง ถ้ายอมรับวซึ่งกันและกันครับ
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คำถามแรกรวมลงที่บารมี 10 ทัศค่ะ กำลังใจก็คือ สัจจะบารมี ที่ได้ตั้งจิตไว้ สัจจะบารมี เกิดจาก เมตตาบารมี ด้วยการเห็นทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ มีความปรารถนาช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของสรรพสัตว์ ด้วยการโปรดสัตว์ให้หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร

    และการที่จะช่วยเหลือได้สำเร็จนั้น จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ทุกข์ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก่อน (ศีลบารมี วิริยะบารมี เนกขัมมะบารมีและอุเบกขาบารมี) จึงนำมาซึ่งสัจจะบารมีและอธิษฐานบารมี

    เมื่อมาเรียนรู้ทุกข์ ก็ต้องสร้างขันติบารมีอย่างยิ่งยวด สร้างทานบารมีในระหว่างทาง ใช้ปัญญาบารมีเพื่อค้นหาอุบายวิธี อุบายธรรมมาสั่งสอนสรรพสัตว์ได้ตรงกับจริตนั้นๆ

    บารมีต่างๆ ได้ถูกเพาะบ่มจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร

    ส่วนการแยกเป็นปัญญา ศรัทธา วิริยะ นี่ ไม่ทราบค่ะ เพราะว่าไม่ได้สนใจ สนใจสร้างบารมีให้ถึงพร้อมเพียงเท่านั้น เป้าหมายหลักไม่ใช่การจะได้มีหรือได้เป็น การได้เห็นสรรพสัตว์พ้นจากความทุกข์นั้นสำคัญกว่า ขอกล่าวสั้นๆ เพียงเท่านี้นะคะ

    ความปรารถนาในพุทธภูมินั้น เป็นเรื่องภายในไม่ใช่ภายนอก ไม่อาจสัมผัสหรือแตะต้องได้ ดังนั้น จึงไม่มีตัวตนให้ค้นหาหรือพิสูจน์ทราบ

    คำว่า "พุทธภูมิ" ถึงแม้จะเป็นแค่สมมุติบัญญัติ แต่ก็มีความน่าเกรงขามในการล่วงกรรมโดยไม่รู้ตัว พึงพิจารณาด้วย

    ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2013
  11. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    ขออนุญาติออกความเห็นครับ แต่ไม่ได้ตอบคำถามนะครับ

    เมื่อคืน ได้ขึ้นไปไหว้พระ สมเด็จองค์ปฐม โปรดมาว่า

    ให้ปฎิบัติไปเรื่อยๆ อย่าไปเกร็ง

    สืบเนื่องเพราะว่า ในช่วง 3 เดือนนี้ ผมตั้งเป้าการปฎิบัติไว้ทำให้รู้สึกเครียดอยู่บ้าง

    ทำให้การปฎิบัติไม่รุดหน้าอย่างที่ควรจะเป็น

    ผมเป็นผู้ปราถนา สาวกภูมิ แต่คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อ เจ้าของกระทู้ครับ
     
  12. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    ถ้าตัวผมนะท่าน
    ผมก็คิดว่าเรื่องไม่ดีเมื่อเกิดขึ้นไม่ช้ามันต้องผ่านไป หรือสักวันมันต้องผ่านไปอยู่แล้ว
    เราก็ก้มหน้าก้มตาทำไป ถ้าไม่ลาสำเร็จแน่นอน
     
  13. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    คหสต.นั้นคิดว่า มนุษย์เราเมื่อปฏิบัติคุณธรรมเช่น จาคะ ศีล ความสำรวม ย่อมจะได้บรรลุปัจเจกโพธิญาณและพุทธภูมิ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นมีความเหมือนที่แตกต่างกัน เหมือนกันตรงที่มุ่งไปที่การหลุดพ้น แต่วิถีแห่งการเดินทางไปนั้นคือสิ่งที่แตกต่างกัน (จริตของตน)

    พระไตรปิฏก สังยุตตนิกาย มีพระสูตรที่ว่าด้วยความเหมือนและความแตกต่างกันในวิมุติหรือนิพพานไว้ โดยกล่าวว่า "ตถาคต และภิกษุ(สาวก) ผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญานี้เสมอภาคกันในเรื่องของวิมุตติ แต่ตถาคตแตกต่างและผิดแผกจากภิกษุที่หลุดพ้นจากกิเลส คือว่า ตถาคตยังทางที่ไม่เกิดให้เกิด ยังประชุมชนให้รู้จักมรรคที่ใครๆ ไม่รู้จัก บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก เป็นผู้รู้จักทาง ประกาศทางให้ปรากฏ ฉลาดในทาง แต่สาวกทั้งหลายเป็นผู้ดำเนินไปตามทาง เป็นผู้ตามมาในภายหลัง"

    การตั้งความปรารถนา มุ่งสู่ภูมิใดๆ หากคิดทางด้านจิตวิทยา ก็เหมือนการกำหนดหรือปรับความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง ว่าต้องการเป้าหมายอะไร และให้คุณค่ากับสิ่งใดมากที่สุด ซึ่งก็สามารถเห็นได้เหมือนกันค่ะว่า การตั้งจิตปรารถนา เป็นไปเพื่อดึงดูดสถานการณ์หรือเหตุปัจจัยในชีวิตของบุคคลนั้นๆ ให้ผ่านเข้ามาหล่อหลอมจิตของพวกเขา ให้เป็นไปในแนวทางที่ปรารถนาเท่านั้น เช่น หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมีอาการโดดเด่นเป็นสง่า มีความเป็นอยู่ด้วยจิตสำนึกที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่คิดเล็กคิดน้อย มีความประเสริฐสุด จึงดึงดูดผู้คนทั้งสาวกผู้ติดตามและมารผจญให้ผ่านเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ยกตัวอย่างการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่แค่การตั้งจิตปรารถนามุ่งพุทธภูมิ นึกอยากเป็นก็เป็นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่ภายใต้กฏอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน บุคคลใดจะฝืน ตถาตาวิถีไปก็ไม่สามารถทำได้ เรียกว่ากำหนดเองได้เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตถาตาจะคัดเลือก เหมือนการสร้างเรือขนาดใหญ่สำหรับขนสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เรือลำนี้จึงต้องใช้เวลาสร้างอย่าพิถีพิถันประณีต เพื่อให้มีความพร้อมในระดับสุดยอด ต้องมีการอุทิศตนและใช้เวลาหลายอสงไขยกัปเวียนว่ายตายเกิดขึ้นๆลงๆ เพื่อสั่งสมบารมี บางชาติก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บางชาติก็เกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็เกิดเป็นเทวดา แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ท่านก็ทำความเพียรเวียนไปเพื่อจะเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ถึงชาติสุดท้าย หากบุคคลใดไม่สามารถผ่านด่านนี้ได้ ก็ย่อมเหมาะกับสาวกภูมิ ต้องปล่อยวาง

    ปัจเจกภูมิคือ บุคคลที่มีจิต ที่มุ่งไปสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว ด้วยตนเอง ไม่ฝักใฝ่การเป็นสาวกใครง่ายๆ พวกเขาเชื่อในการพัฒนาตนเองมากกว่า และคิดว่าคนอื่นก็น่าจะทำเช่นเดียวกันด้วย ในช่วงแรกของชีวิต ดวงจิตแบบปัจเจกภูมินี้ อาจยังไม่ค้นพบตัวเอง หรือยังไม่เด่นชัดถึงความเป็นปัจเจกบุคคล แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของชีวิต แรงผลักดันในการแสงหาสัจธรรม ด้วยเสียงเรียกจากภายใน ก็จะทำให้เร่งค้นพบแนวทางแห่งการรู้แจ้งของตน โดยอาจค้นพบด้วยว่าสิ่งที่ตนเองค้นพบนั้นสอดคล้องกับพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่มีบารมีมากพอที่จะไปโปรดสัตว์ช่วยเหลือใครได้เท่าพระพุทธเจ้า



    แต่ไม่ว่าจะเป็นภูมิใด เช่นสาวกภูมิ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ในการปฎิบัติครั้งใด ทำความดีครั้งใด ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ ให้ทานบริจาคสิ่งของ วัสดุ อุปกรณ์ ทรัพย์สมบัติ หรือการทำศีลให้มีในตัว จงทำความรู้สึกแห่งอารมณ์ใจว่า เราปรารถนาเพื่อเป็นสาวกของพระศาสดา จะปฎิบัิติตามคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านถ่ายทอดไว้ทุกอย่างทุกประการครบถ้วน ไม่ขาดไม่เิกิน ไม่รับเอาคำสอนที่มาจากพราหมณ์ และไม่ตัดคำสอนใดออกโดยพลการ ความสำเร็จจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปรารถนาสาวกภูมิไป จนกระทั่งศีล สมาธิ ปัญญา และอินทรีย์เต็มเปี่ยมแล้ว จักเกิดผลโดยเร็วและลัดสั้นลง...

    ความขัดข้องหรือเข้าใจผิดพลาดใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการโพสนี้ มิได้เป็นอกุศลเจตนา แต่นั่นคงเป็นเพราะความอ่อนด้อยเยาว์วัยในเส้นทางแห่งธรรมของตัวข้าพเจ้าเองโดยแท้ และหากข้าพเจ้าได้สร้างอกุศลกรรมใดๆให้เกิดขึ้นภายในใจของผู้อ่านทุกท่าน ข้าพเจ้าต้องกราบขออภัยและขออโหสิกรรมผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย
     
  14. หลานศิษย์

    หลานศิษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +561
    การบำเพ็ญบารมี เป็นขั้นๆ ลำดับ ๆ
    ขึ้นชื่อว่า เป็นสัตว์โลก ย่อมมี ความวุ่นวาย
    ทำอะไร จะต้องเจออุปสรรค เป็นธรรมดา

    เราทำบารมี จะท้อ ก็ไม่เป็นไร
    เป็นธรรมดา อาจเกิดจาก เราตึงเกินไป เหนื่อยกับภาระการงานมากไป

    การทำบารมี เป็นการพัฒนาที่จิตนี่เอง ตามแนวทางบารมี ๓๐ ทัศ
    ท้อนัก ก็สวด บทบารมี ๓๐ ทัศ ระลึกถึงบารมีที่พระพุทธเจ้าได้กระทำมา

    จริง ๆ ไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ ว่า เป็นพระพุทธเจ้าประเภทใด
    อันนั้น เขาเรียกตาม ระยะเวลาในการบำเพ็ญ ย่อมให้ผลที่แตกต่างกัน
    ในความเป็นพุทธะเหมือนกัน เลิศเหมือนกัน

    ผู้ปรารถนาพระปัจเจกฯ ไม่ต้องสะสมสาวกบารมี เพราะไม่ต้องประกาศพระศาสนา
    อ่านประวัติ อดีตชาติพระโพธิสัตว์ ๑ อสงไขยสุดท้าย พบกับเหล่าสาวก วนเวียน เป็นปกติ

    ผู้ทำบารมี ไม่ควรคิดคำนึง ถึงระยะเวลา ไม่ต้องอยากรู้ว่ากระทำมามากน้อย
    ไม่ต้องเร่งรัด ไม่ควรเปรียบเทียบ ไม่ควรคิดถึงเรื่องลา หรือไม่ลา ฯ

    แต่ควรคิดว่า เมื่อมีเหตุ ปัจจัย ดีพร้อม ย่อมให้ผลที่ดี
    เปรียบเหมือน ปลูกมะม่วง เมื่อดูแลเป็น อย่างดี ย่อมออกผล เมื่อถึงเวลา
    จะไปพะวง ห่วง เร่งรัด ก็ไม่ได้
     
  15. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    *****.....พิจารณาก่อนเถิดหนอท่านผู้ปราถนาพุทธภูมิ ผู้ที่เข้าสู่ห้วงแห่งนิพานแล้วนั้นแลคือผู้ที่ได้ย่างก้าวเข้าสู่แดนพุทธภูมิแล้ว ความท้อแท้ ความร่ำไรความรำพึงรำพันใดๆย่อมไม่มีแก่ผู้ที่เสวยวิมุติสุข ผู้ที่เสวยวิมุตติสุขย่อมเป็นผู้แลเห็นความเป็นไปในทุกสรรพสิ่งในอริยสัจ หนทางแห่งความเข้าสู่วิมุตติสุขต้องเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฐิ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ มีจิตผ่องใสไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา เมื่อใดละวางด้วยอุเบกขาทั้งความทุกข์และสุขทั้งปวงได้นั่นย่อมเข้าสู่วิมุตติ วิมุตตินี้แลจะบังเกิดจิตอันผ่องใสทุกเมื่อ......ผู้ใดยังบังเกิดความท้ออยู่ บังเกิดความกลัวอยู่ นั่นก็เพราะด้วยด้วยยังเกิดความลังเลสงสัยนั่นเอง ลังเลสงสัยด้วยยังไม่บังเกิดผลแก่ตน ลังเลสงสัยด้วยความเหนื่อยความทุกข์ยาก ลังเลสงสัยด้วยความพ่ายแพ้ต่อความเพียร ลังเลสงสัยด้วยความพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยวน.
    *****.....ท่านทั้งหลายหนทางความเพียรนั้นไม่ใช่สิ่งง่ายแต่ก็ไม่ใช่สิ่งยากเย็นอันใด ประดุจเส้นผมที่บังม่านตาไว้จนบดบังความเห็นแจ้งไว้จึงทำให้จำต้องวนเวียนอยู่กับความไม่รู้ ประดุจคนที่ยังวนเวียนอยู่ในความมืดเขานั้นย่อมต้องไกวมือไปมาเพื่อเสาะหาสิ่งยึดเหนี่ยว แต่เมื่อใดที่เขานั้นเกิดแลเห็นแสงสว่างขึ้นมาเขานั้นย่อมจึงไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าสิ่งใดต่อไปด้วยเขานั้นเป็นผู้แลเห็นในทุกสิ่งแล้วนั่นเอง......***** ทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามกรรม เมื่อเวลายังมาไม่ถึงเทพเจ้าองค์ใดก็ช่วยท่านไม่ได้ต่อให้ท่านยอมละเลือดเนื้ออ่อนวอนเพียงใดก็ย่อมไม่แลเห็นผล แต่เมื่อใดที่วาระของท่านนั้นมาถึงต่อให้พญามารจะแสดงแปลงกายนับแสนหน้าแสนมือมีศาสตราวุธครบมือยกพลมาเรือนแสนเพื่อมาฉุดรั้งท่านไว้จนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถขัดขวางความเห็นแจ้งบรรลุในธรรมของท่านได้อย่างแน่นอน .
    *****.....น้ำที่หยดทีละหยดจะเต็มตุ่มได้ก็ด้วยไหลลงตุ่มทีละหยดสุดท้ายก็จะเต็มตุ่มในที่สุด ....บุคคลที่จะสำเร็จมรรคผลได้ก็ต้องด้วยความเพียรใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง....ขออนุโมทนา.*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2013
  16. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    ..ทำดี บ่มีฉิบหาย..
    ท่านทั้งหลายตั้งใจกระทำดี ทำไปเถิด
    ตั้งใจไว้แบบไหนขอให้ได้แบบนั้น
     
  17. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    ..ได้,ไม่ได้ ถึง,ไม่ถึง มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง..
    แต่ที่แน่ๆ พวกท่านได้เป็นผู้มีความตั้งใจดี มีเจตนาดี ถ้าทำดี แล้ว บ่รุ่งเรือง อย่าไปทำ
    แสดงว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น "โมฆะ" บ่เป็นจริง 55+
     
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    อืม ใช่
    ยิ่งท้อยิ่ง..อธิฐานซ้ำ....นึกถึงสัจจะที่ตั้งไว้
     
  19. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    ก็ไม่มีอะไรมาก....อาศัยว่ามีศรัทธาเข้าไว้ ท่องไว้เสมอว่า ไม่เกินมนุษย์ไปได้หรอกครับ
    เราต้องทำได้ เรายอมแค่คนเดียวเท่านั้น มีแค่เราที่เหนื่อย.. มันเหนื่อยก็จริง ถ้าเราทำได้สำเร็จ จะช่วยคนได้ อีกนับ 100 นับ1000 ชีวิต มันก็มีบางอารมณ์ที่ ไม่อยากไปต่อ ท้อถอยใช่มั้ย ???

    ลองขึ้นไป บน BTS แล้วมองเข้าไปในไปในสถานี มองเข้าไปในตัวรถ หรือมอง ลงมาที่ถนน ข้างล่าง สังเกต เวลาคนไปทำงานงาน และ ตอนเลิกงาน(มีใครที่ทำหน้าตา ดูมีความสุขบ้าง) เบียดแย่งกัน แก่งแย่งกัน คุณจะเห็นความทุกข์ของสัตว์โลกอีกมากมายเลยล่ะ... บางที ก็ เห็นคนงานก่อสร้าง ขอทานก็มี... ลำบากกว่าเราอีก แม้แต่เพื่อร่วมงาน ก็ต้องมีชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องทำงาน งาน งาน มีเงินก็จริง แต่ไม่รู้เลยว่า ชะตากรรมของเขา จะจบลงเมื่อใด

    บางคนก็รู้แค่ว่าจะทำไงก็ได้ให้ GU ถูกใจ อยากให้ทุกอย่างในโลกเป็นแบบที่ Gu อยากให้เป็น สุดท้ายตัวเอง ก็ เป็นทุกข์มากกว่าใคร ๆ เพราะเข้าใจผิดไป บางคน ก็ ทุกข์เพราะ ความรัก (ทุกข์จากกิเลสตัวเอง) บ้างก็ทุกข์ จากงานที่ต้องใช้แรงงานแทบจะเอาชีวิตไม่รอด และไม่ได้หยุดพัก รู้ว่าเกิดมาแล้วต้องทำงาน แต่นอกเหนือจากนั้นกลับไม่ได้รู้อะไรเลย และไม่รู้ว่าจะดับทุกข์นั้นได้อย่างไร สุดท้ายก็ต้องแบกรับไว้ แบบไม่มีทางเลือก กิเลสคืออะไรไม่รู้ วิมุตติ ความหลุดพ้นไม่รู้ ความดับทุกข์ได้ถาวร ความไม่เกิด คืออะไร ก็ไม่รู้ ทำได้แค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ไปวัน ๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้แค่เกิดมาเพื่อตอบสนองต่ออารมณ์แห่งตน

    ถ้ามองเห็นอย่างนี้คุณจะไม่ท้อเลยล่ะ และจะไม่โกรธ แต่กลับสงสารเมตตา พวกเขามากขึ้นอีกเยอะเลยล่ะครับ ถ้าเรายอมแค่ 1 คน จะช่วยคนที่กำลังทุกข์ยากได้อีก มากโข เห็นแค่นี้ก็อยากโปรด อยากช่วยให้เขาได้พ้นจากทุกข์ นำความโชคดีของเราไปบอกพวกเขาบ้าง ว่า...

    เฮ้ย ! ทุก ๆ คนฟังทางนี้ พวกคุณไม่จำเป็นต้องเกิดมาทำอย่างนี้ กันทุก ๆ ชาติหรอกครับ ทางออกมี วิธีการ ขจัดมัน ดับมันก็มีอยู่ อยากรู้มั้ย พวกเรา เหล่าโพธิ สหาย แห่งธรรมจะบอกให้ ชี้ทางให้ คุณทั้งหลายเหนื่อยกันมากี่ 100 ชาติแล้ว

    เห็นสภาพนี้ก็ทุกวัน บน BTS ก็สงสารจะแย่ คุณจะไม่ช่วยเขาหน่อยหรือ บารมีก็ทำมาขนาดนี้แล้ว catt23 catt23 catt23
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2013
  20. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ดูตัวอย่างครูบาอาจารย์ ท่านเดินทางไหน ท่านเดินอย่างไร

    ขออนุญาตครับ

    หลายๆท่านเข้าใจว่า ผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น จะกระโดดไปบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ กันได้เลย

    แท้ที่จริง ขึ้นอยู่กับว่า ท่านอยู่ตรงไหน ท่านสะสมมาได้มากน้อยเท่าใด

    ครูบาอาจารย์ที่ท่านบำเพ็ญมาระดับสูงๆนั้น ท่านบอกเล่าว่า

    "แค่วิชาตาทิพย์ ท่านฝึกฝนมาเป็นกัป เป็น มหากัป"

    นั่นแสดงว่า ท่านมุ่งเน้นไปที่ฝึกทางฌานเป็นหลัก

    ครูบาอาจารย์พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ ท่านบอกเล่าว่า


    "ฤทธิ์ที่ผมมีนั้น มันมีมาตั้งแต่สมัยที่ผมเกิดเป็นฤๅษี ในชาติที่มีอายุขัยเป็นหมื่นๆปี จึงมีเวลาในการฝึกฝนอย่างเต็มที่"

    จะเห็นว่า เมื่อท่านผ่านฌานชั้นสูงแล้ว ท่านก็ฝึกทางฤทธิ์ต่อ ซึ่งเป็นแนวทางของ พุทธภูมิอย่างแท้จริง

    เพราะถ้าไม่มีทั้งฌาน เพราะถ้าไม่มีทั้งฤทธิ์แล้ว จะเป็นที่พึ่ง จะเป็นผู้นำของคนหมู่มากได้อย่างไร

    เนื่องจากการเกิดของ พุทธภูมิที่บารมีสูงๆนั้น ยากเย็นแสนเข็ญเกือบพอๆกับการเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    จึงหาดู หาชมได้ยากมากๆ ผู้ที่อยากดู อยากรู้ อยากเห็น ก็เลยได้แต่หาฟัง หาอ่านเอา ก็เลยขาดไปบ้าง เกินไปบ้าง

    ท่านต้องเสียสละ ออกตามหา ออกตามไปดูด้วยตัวท่านเองเท่านั้น

    อีกอย่างก็คือ ปัญหาการติดครู ติดอาจารย์ รักองค์ไหน นับถือองค์ไหน บูชาองค์ไหน ก็ติดอยู่กับองค์นั้นๆ

    ก็เลยกลายเป็น ปิดหู ปิดตา ปิดทาง ตนเองไปอย่างน่าเสียดาย

    แทนที่จะใช้เวลาแสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ไปเรื่อยๆ
    จะได้รู้ จะได้เห็นว่า ครูบาอาจารย์ท่านใด เด่นทางไหน ครูบาอาจารย์ท่านใดมีบุญบารมีระดับใด ครูบาอาจารย์ท่านใด ทำอะไรได้บ้าง

    ก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก ศึกษาจากพระพุทธองค์นั่นละครับ
    แล้วหาครูบาอาจาร์ย์ ที่สูงส่ง ที่ใกล้เคียงกับพระพุทธองค์มากที่สุด

    หรือจะเอาอย่างผมก็ได้ เมื่อผมพิจารณาได้ว่า


    "พระพุทธองค์นั้น ทรงมีพระเมตตาออกจาริกเผยแผ่พระธรรม ไปทั่วทุกแว่นแค้วน"

    แล้วมีครูบาอาจารย์ท่านใดในปัจจุบัน ที่ได้เมตตาออกเดินทาง ไปโปรดสัตว์ กระจายไปทั่วประเทศบ้าง

    สรุปที่ผมเขียนมาก็คือ

    ๑ ท่านต้องฝึกฝนอบรมตนเองก่อน อย่างหนักหน่วง อย่างเอาเป็น อย่างเอาตาย จิตที่เข้มแข็ง กายที่เข้มเข็ง ความท้อแท้ย่อมไม่เกิดขึ้น

    ๒ ท่านต้องหาครู หาอาจารย์ ที่ดีที่สุด เป็นแบบอย่าง เป็นการสร้างกุศลผลบุญให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเสาะแสวงหามาได้

    หาไปเรื่อยๆ เปรียบเทียบไปเรื่อยๆ สร้างกุศลผลบุญตามท่านไปเรื่อยๆ ก็จะเจอได้เอง
    ต้องรู้จักรักษาระยะห่างเอาไว้ให้พอเหมาะ

    ไม่ใกล้จนเกินไป จนถอนตัวไม่ได้
    ไม่ห่างจนเกินไป จนมองจนอ่านท่านไม่ออก จนขอเมตตาจากท่านไม่ได้

    ที่เห็นส่วนมาก เห็นติดหล่มอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง จนไม่มีเวลาจะไปดู ไปรู้ ไปเห็น ไปพิจารณา ครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ อย่างน่าเสียดาย

    วันเวลาล่วงเลยไปๆ

    แค่จะหาครูบาอาจารย์ที่ท่าน เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุด ก็ยังหาไม่ได้
    แค่จะหาครูบาอาจารย์ที่ท่าน บารมีสูงที่สุด ก็ยังหาไม่ได้
    แค่จะหาครูบาอาจารย์ที่ท่าน นำพาสร้างบุญบารมีได้มากที่สุด ก็ยังหาไม่ได้

    แล้วความรู้ที่ท่านสะสมมา แล้วบุญบารมีที่ท่านสะสมมา จะเอาไว้ใช้ประโยชน์อันใดอีก

    อายุขัยของคนสมัยนี้สั้นยิ่งนัก จะทำอะไรก็รีบทำเข้า อย่าได้มัวแต่รีรอ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปๆ เสียเปล่า

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     

แชร์หน้านี้

Loading...