โลกสมมติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Revealed, 20 กรกฎาคม 2013.

  1. Revealed

    Revealed Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +92
    โปรดใช้ สติสัมปชัญญะ ในการอ่าน >_<

    ### @^_^@ ###

    1. การที่เราจะรู้เรื่อง "เวลา" ของโลกและจักรวาล มันไม่ได้ช่วยให้บรรลุธรรมเลย

    2. คนที่เคยเชื่อในวิทยาศาสตร์มาก่อน พอมาเจอพุทธประวัติก่อนการประสูติ โดยเฉพาะเรื่อง "เวลา" ก็เลยยิ่ง งง --' (ต่างจากคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องวิทย์นะ เขาจะไม่สงสัยเรื่องพวกนี้เลย)

    3. ไหนๆก็ชอบวิทย์แล้ว ก็ต้องชอบให้มากๆๆๆๆกว่านี้ เพื่อที่ คำตอบจะได้มาเจอกัน

    ----

    โลกเรา ไม่ได้เกิดเมื่อ 4 พันล้านปีก่อน อย่างที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวเอาไว้

    สมัยก่อน ตอนที่ยังไม่มีทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ คนก็ว่ากันว่า เราอยู่บนหลังเต่า และมีเต่าอีกหลายๆล้านตัวซ้อนๆๆๆกันอยู่

    แต่ก่อน เรายังไม่มีกล้องโทรทัศน์ส่องดวงดาว เราก็คิดว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็โคจรรอบโลก มีตำนานปรัมปราเกี่ยวกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มากมาย แต่พอมีกล้องดูดาว ตำนานเหล่านั้นก็ถูกย่ำยี และมีการสร้าง "ข้อเท็จจริงอันใหม่" ขึ้นมา บอกว่า จริงๆแล้ว โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ต่างหากล่ะ

    แต่ก่อน เราเคยเชื่อกันว่า จักรวาลเรามีแค่จักรวาลเดียว แต่พอมีการสืบค้นเจอหลักฐาน และการพิสูจน์มากมาย ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ไม่ได้มีจักรวาลเดียว แต่มีจักรวาลคู่ขนานอยู่ หลายๆจักรวาล (จักรวาลคู่ขนานก็ไม่ได้มีอันเดียวด้วย แต่มีหลายๆอัน)

    แต่ก่อน เรานึกว่า สิ่งต่างๆเป็นไปอย่างที่เราเข้าใจ

    แต่จากการทดลอง Double Slits ก็ทำให้ได้รู้ว่า "อิเล็คตรอน" รวมไปถึงอนุภาคเล็กๆจำพวก โปรตอนและนิวตรอน มันสามารถ อยู่ "หลายๆตำแหน่งได้ในคราวเดียวกัน" การทดลองนี้ นำไปสู่ทฤษฎี "จักรวาลคู่ขนานนั่นเอง" (เหมือนผีไหมล่ะ อยู่ทีเดียวหลายๆตำแหน่งในจักรวาล ได้ในคราวเดียวกัน)

    แต่ก่อน เราเคยคิดว่า อะตอมเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุด แต่พอหาไปหามา กลับพบว่า ยังมีสิ่งที่เล็กกว่าอะตอมอีก มิหนำซ้ำ จากการค้นหาสิ่งที่เล็กกว่า ก็นำไปสู่ทฤษฎี "สตริง" การสั่นของเส้นพลังงานในรูปแบบที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นอนุภาคที่ต่างกัน

    และ.. จากทฤษฎีสตริงนี่เอง ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีสิ่งที่ "เล็กกว่า" ซ่อนอยู่ แต่เรายังไม่สามารถตรวจสอบได้

    และจักรวาล ก็อาจจะมีอยู่ด้วยกันถึง 11 มิติ หรืออาจมากกว่า 11 มิติด้วยซ้ำ

    แต่ก่อน.. ไอแซค นิวตั้น เคยบอกไว้ว่า ที่พวกเรา apple มนุษย์ ก้อนหิน ต่างก็อยู่บนพื้นผิวโลก เพราะ "แรงดึงดูด"

    แต่หลายปีผ่านมา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กลับมารู้ทีหลังว่า.. Gravity ไม่ใช่ Force มันไม่ใช่แรง มันเป็น Something(อะไรบางอย่าง) ที่ไปบิด กาล-อวกาศ (Space-Time) ให้โค้งงอ และรูปทรงของกาล-อวกาศนั่นแหละ คือเหตุผลที่ทำให้ดวงจันทร์หมุนรอบโลก ทำให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ และทำให้พวกเราทุกๆคนอยู่บนผิวโลก

    มันไม่ใช่ Force(แรง) แต่มันเป็น Something ที่ไปบิด Space-Time ให้โค้งงอ เมื่อมองด้วยตาเปล่า เราจะมองเห็นมันเป็นเหมือน Force แต่มันไม่ใช่ Force

    ---

    สมัยก่อน Issac Newton เคยคิดว่า "เวลาเป็นสิ่งสมบูรณ์" ไม่เพียงแค่นิวตั้น มนุษย์โลกยุค 2013 เนี่ย หันไปถามชาวบ้าน พนักงาน 7-11 นักศึกษา หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ยังคิดแบบนิวตั้น ทั้งๆที่ไอน์สไตน์ล้มความคิดนี้มาตั้งนานแล้ว

    ในวงการวิทยาศาสตร์ เขารู้กันตั้งนานแล้ว ว่า.. "เวลา" ไม่ใช่สิ่งสมบูรณณ์ เวลาของแต่ละบุคคล "ไม่เท่ากัน"

    แต่ละตำแหน่งในจักรวาล "เวลาเดินไม่เท่ากัน"

    เวลาเป็นสิ่งที่ "ยืดหดได้" และขึ้นอยู่กับการสังเกตุการณ์ของคนๆนั้น

    ---

    มันมี วิทยาศาสตร์เชิงลึก ซึ่ง คนทั่วๆไป ยังไม่เข้าใจอีกหลายอย่าง เพราะมันอยู่เหนือสามัญสำนึกของคน (เอาว่า ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลายๆอย่าง ก็อยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์ แต่ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ หลายๆอย่าง ยิ่งกว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เสียอีก เพราะมันอยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์มาก จนตอนแรก พระองค์ไม่คิดจะบอกใครด้วยซ้ำ จนมีเทวดามาขอร้องให้พระองค์บอก)

    จักรวาลนี้ มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อยู่พร้อมๆกันหมดแล้ว

    มนุษย์เราจะทำข้อตกลงและนัดหมายกัน โดยยึดมาตรฐาน กาลเวลาแบบ "เส้นตรง" จากอดีตไปหาอนาคต

    แต่ในโลกความเป็นจริง จักรวาลไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่มีหลายๆจักรวาล มีโลกที่หน้าตาแบบเราๆ แต่มีเส้นทางและเหตุการณ์แตกต่างกัน อยู่หลายๆโลก และเป็นอนันต์

    อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้น" และ "มีอยู่พร้อมๆกันหมดแล้ว" ในจักรวาล

    จุดสำคัญคือ "สติสัมปชัญญะ"

    เมื่อ สติสัมปชัญญะของเรา ไปอยู่ที่เหตุการณ์ไหน เราเรียกเหตุการณ์นั้นๆว่า "ปัจจุบันขณะ"

    ตอนนี้ สติสัมปชัญญะของ จขกท. กำลังอ่านข้อความนี้ ภาพเหตุการณ์นี้ๆ คือ "ปัจจุบันขณะของ จขกท."

    นึกภาพออกไหม มันเหมือน.. ภาพยนต์ เหมือนโรงละคร จุดที่จะบอกว่า ตรงไหนคือปัจจุบันขณะของเรา คือจุดที่ สติสัมปัญญะของเรา ไปอยู่ตรงนั้น

    อย่าสงสัยเรื่อง "เวลา"

    เพราะ... ในอนาคตข้างหน้า หากนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบหลักฐานชิ้นโบราณใหม่ๆได้ และหากมีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ชิ้นใหม่ๆ เรื่องราวประวัติศาสตร์ของโลก ก็จะเปลี่ยนไป

    เราสร้างเรื่องราวในประวัติศาสตร์ จากหลักฐานที่หาเจอ ถ้าหาอะไรเจอ ก็จับๆมารวมกัน แล้วก็สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมา เราไม่ได้ไปเห็นประวัติศาสตร์ด้วยตาของเรา แต่เราสร้างมันจากหลักฐานในปัจจุบัน

    ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สักวันหนึ่ง ถ้ามีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถตรวจพบสิ่งใหม่ๆ หรือธาตุใหม่ๆ หรือสสารที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน พอถึงเวลานั้น ประวัติศาสตร์ของโลกและจักรวาล ก็จะเปลี่ยนไป

    มันเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราค้นพบ

    และอันที่จริง

    การรับรู้ การทำความเข้าใจ การมองเห็น คำนวณ ประมวลผล ทั้งหมดมันอยู่ที่ "สมองของเรา"

    ทั้งหมดอยู่ที่ "สมองของเรา"

    นั่นก็หมายความว่า "ถ้าเราไม่มีสมอง ไม่มีประสาทสัมผัส" สรรพสิ่ง ก็ไม่มี

    เมื่อ... ไม่มี"ตัวรู้" ไม่มี"การรับรู้" แล้วสรรพสิ่ง จะมีอยู่ไปเพื่ออะไร ??? ถ้าไม่มีผู้สังเกตการณ์ สรรพสิ่งก็ไม่มีความหมาย

    แล้วถ้าจะเอาให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก

    เหตุผลที่จักรวาล กว้างใหญ่ไพศาล และไร้ขอบเขต

    เหตุที่เราต้องใช้เครื่องหมาย -∞ และ +∞ แทนจำนวน Infinity ก็เพราะว่า เราหาสิ่งที่มากที่สุด และน้อยที่สุดไม่ได้

    เราหาสิ่งที่ใหญ่ที่สุด และเล็กที่สุด ไม่ได้

    ทำไมพวกเราถึงเหมือน อยู่ระหว่างกลาง ???

    ----

    ก็เพราะ สรรพสิ่ง เป็นสิ่ง "สมมติ" เป็นเรื่อง หลอกลวง มันเป็นเกมส์ของอารมณ์ เป็นเกมส์ของกิเลสตัณหา

    ที่แท้แล้ว สรรพสิ่ง ไม่ได้มีอยู่จริงเลยสักอย่าง เป็นแค่ การรวมตัวกัน ของสิ่งที่เหมือนกัน ในปริมาณที่ต่างกัน ก่อให้เกิดธาตุที่ต่างกันมารวมตัวกัน แล้วกลายเป็นสิ่งของต่างๆ แต่มันจะไม่อยู่คงทน มันจะไม่คงสภาพนั้นไปตลอด แต่มันจะเปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลา

    ถ้าพวกเรามี ลูกกะตา ที่มีความละเอียด เราก็คงจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ประกอบไปด้วยการสั่นของเส้น string

    แต่ถ้าเรามีดวงตาที่มหัศจรรย์กว่านั้น ละเอียดมากขึ้นไปอีก เราก็จะมองเห็น อิเล็คตรอน 1 อนุภาค กำลังอยู่พร้อมๆกัน หลายๆตำแหน่ง ในคราวเดียวกัน (นั่นคือ เราจะมองเห็นโลกคู่ขนานได้นั่นเอง)

    แต่ถ้าเรามีดวงตาที่ ละเอียด กว่านั้นอีก เราจะมองเห็นว่า ไม่มีอะไรมีอยู่จริงเลยสักอย่าง สุดท้ายคือความว่างเปล่า และมันเป็นแค่ สิ่งสมมติ

    คุณ จขกท. ลองนึกถึงเกมส์ 3D สิ่

    ผู้คนในเกมส์ ไม่ได้มีอยู่จริง อาณาจักรในเกมส์ เป็นแค่การเปลี่ยนตำแหน่ง จากที่หนึ่ง แล้วผลัดเปลี่ยนอีกที่หนึ่งมาโชว์ที่หน้าจอ Computer

    พวกเรานั่งอยู่หน้าคอมฯ เราไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย แต่เป็นตำแหน่งในโลก 3D ในคอมฯต่างหาก ที่ค่อยๆผลัดเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ๆ เหตุการณ์ใหม่ๆมาสู่สายตาของเรา(ผ่านจอ Monitor) และโลก 3D ในเกมส์ ก็ไม่ได้มีอยู่จริง โปรแกรมเมอร์จะเขียนโค้ดให้มันกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ได้ ก็แค่ตั้งชื่อตำแหน่งต่างๆให้มัน แล้วก็หมุนตำแหน่งนั้นๆมาหน้าจอ monitor แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอยู่จริง

    เมื่อมันไม่ได้มีอยู่จริง มันจึงไม่มีขอบเขต ไม่มี limit โลก3Dในคอมฯ ไม่มีขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด Programmer จะสร้างให้มัน กว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ได้ เพราะมันเป็นแค่ "โลกสมมติ"

    ---

    ไอน์สไตน์บอกว่า ไม่มีสิ่งไหนเร็วเกินความเร็วของแสงได้

    เมื่อเราใช้ความเร็วของเราเทียบกับความเร็วแสง เราจะเห็นแสงเร็วกว่าเราด้วยความเร็ว 3x(10^8) m/s เสมอ

    ทำไม ธรรมชาติต้องให้ "แสง" เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ??? ทำไม ความเร็วแสง ถึงไม่สัมพัทธไปตามความเร็วของผู้สังเกตการณ์ ???

    ความเร็วแสง เป็นสิ่งเดียวที่ไม่สัมพัทธไปกับความเร็วของผู้สังเกตการณ์

    ---

    แต่ถึงแม้ ไอน์สไตน์จะบอกว่า ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่เร็วกว่าแสง

    แต่.. นั่นมันเป็นคำพูดที่เทียบกับอะไรล่ะ ???

    ในมุมมองของเรา หรือในมุมมองของแสง ??????

    เมื่อเรายืนอยู่นิ่งๆ เรามองดูรถไฟกำลังวิ่งไปข้างหน้า ถ้าเรายืนอยู่ริมทางรถไฟ คนบนรถไฟ ก็จะเห็นเรากำลังเคลื่อนที่สวนทางกับเขา ด้วยความเร็วที่เท่ากับความเร็วของรถไฟ แต่อยู่ในทิศที่สวนทางกัน!

    --

    หมายความว่า...

    ถ้าแสง เป็นสิ่งมีชีวิต (สมมติ สมมติว่าแสงสามารถรับรู้ได้)

    หากเรา มนุษย์เรา สามารถ "อยู่นิ่งๆ" นิ่งที่สุด ไม่ไหวติง นั่นก็เท่ากับว่า.. ในมุมมองของแสง แสงก็กำลังเห็นเรา เคลื่อนที่สวนทางกับแสง ด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วแสง นั่นเอง!!

    ถ้าเราสามารถอยู่นิ่งๆที่สุดได้ ในมุมมองของแสง แสงก็จะเห็นเรากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับแสงนั่นเอง

    (จริงๆชาวพุทธหลายคน ชอบคิดว่า เวลานั่งสมาธิ แล้วจิตจะเร็วกว่าแสง จริงๆไม่ใช่นะ)

    จิตวิญญาณ ไม่ใช้ความเร็วเลยต่างหากล่ะ ความเร็วเป็นเรื่องของ วัตถุที่มีมวล

    จิตวิญญาณ เป็นรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่มวล ไม่ใช่สสาร ไม่ใช่พลังงาน จิตวิญญาณไม่กินเวลา ไม่กินระยะทาง "แค่คิดก็ถึง"

    จิตวิญญาณ ไม่ได้เร็วกว่าแสง แต่... จิต ไม่ได้เดินทางเลยต่างหากล่ะ >_< จิตวิญญาณไม่กินเวลา ไม่กินระยะทาง หลายๆคนอาจสงสัยว่า ทำไมนั่งสมาธิแค่ 1 ชม. แต่เหมือนน๊านนนนนน นาน หรือหลายๆคนนอนหลับแค่ 1-2 ชม. แต่ฝันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนผ่านไปหลายวัน

    นั่นเพราะ จิตวิญญาณ ไม่กินเวลา ไม่กินระยะทาง จิตวิญญาณ ไม่ใช่ธาตุ ไม่ใช่พลังงาน มันอยู่นอกเหนือมิติของ กาล-อวกาศ

    ---

    กลับมาที่เรื่องความเร็วแสง

    ขณะเดียวกัน...

    เมื่อความเร็ว คือสิ่งสัมพัทธ เราเห็นคนหนึ่งมีความเร็ว เพราะเราเอาความเร็วของเขามาเทียบกับเรา

    จริงๆแล้ว ในจักรวาลแทบไม่มีอะไรอยู่นิ่งเลย ที่ว่าเรานอนหลับนิ่งๆบนเตียง แต่จริงๆเรากำลังอยู่บนโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูงมาก และดวงอาทิตย์ก็กำลังโคจรรอบใจกลางกาแล็กซี่ด้วยความเร็วสูงมากเช่นกัน และกาแล็กซี่ของเรา ก็กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมากเช่นกัน (จากการขยายตัวของจักรวาล)

    ถ้าเราใช้ความเร็วของสิ่งต่างๆ เทียบกันเอง เราก็จะรู้ได้ว่า "ความเร็ว เป็นสิ่งที่ หาความสมบูรณ์ไม่ได้" มันจะมีค่า เมื่อเราเอามันไปเทียบกับความเร็วของวัตถุอย่างหนึ่ง แต่มันจะไม่มีค่าในตัวมันเอง

    ถ้าจักรวาลนี้ มีแต่ "แสง" ไม่มีอนุภาคอย่างอื่นเลย

    แสงก็จะไม่มีความเร็ว และในขณะเดียวกัน ก็จะไม่มีความหมาย

    ถ้าจักรวาลนี้ มีแต่ความืด และมีลูกบอลอยู่ 1 ลูก ลูกบอลลูกนั้น จะไม่มีความเร็วเลย เพราะมันไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบด้วย

    ---

    แต่ถ้าจักรวาลนี้ มี "แสง กับ ลูกบอล"

    ไม่มีอย่างอื่นเลย มีแค่สองอย่างนี้

    ลูกบอล จะเห็นแสงเคลื่อนที่เร็วกว่าลูกบอลด้วยความเร็วค่าหนึ่งเสมอ ไม่ว่าลูกบอลลูกนี้ จะพยายามเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเท่าไหร่ แต่ลูกบอลจะเห็นแสงเร็วกว่าลูกบอลด้วยความเร็วคงที่ค่าหนึ่งเสมอ

    นั่นก็หมายความว่า...

    หากจักรวาลนี้ มีแค่ลูกบอลกับแสง ลูกบอกจะรู้สึกเหมือนตัวเอง "อยู่นิ่งกับที่ตลอดเวลา" เพราะไม่ว่าจะมีความเร็วเท่าไหร่ ก็จะเห็นแสงเร็วกว่าที่ความเร็วค่าหนึ่งเสมอ มันเหมือนลูกบอลไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย เหมือนอยู่กับที่ตลอดเวลา (ลองนึกภาพสิ่ เหมือนเราวิ่งอยู่กับที่อ่ะ มันไม่ไปไหนเลย)

    ไม่ว่าลูกบอลจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับแสงแล้ว "ลูกบอลจะเหมือน อยู่กับที่ ตลอดเวลา"

    ---

    พวกเราทุกคน.. โดนมิติของกาล-อวกาศ และโดนประสาทสัมผัสทั้ง 5 หลอกเรา

    จริงๆแล้ว พวกเรา "อยู่ตำแหน่งเดิม ตลอดเวลา"

    เรา...

    สรรพสิ่ง..

    อยู่ จุดเดิม ตำแหน่งเดิม ตลอดเวลา

    แต่สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่า เราเปลี่ยนตำแหน่ง เราเดินหน้า เราถอยหลัง มันคือ "ประสาทสัมผัสทั้งห้า"

    ประสาทสัมทั้ง 5 หลอกเรา

    เรามองเห็น "แสง" ผ่านการตกกระทบของ Photon ที่ลูกกะตาของเรา จากนั้นมันเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า วิ่งผ่านไปที่แผงรับสัญญาณส่วนที่ทำหน้าที่สร้างภาพ แล้วมันก็บอกเราว่า "เรามองเห็น"

    ประสาทสัมผัสของพวกเรา มันเป็นแค่ กระแสไฟฟ้า วิ่งวนไปมาในเซลประสาทของเรา

    นึกภาพง่ายๆว่า ในหัวกระโหลกของเรา มันมืด... ทึบ! มืดสนิท แสงผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่เราก็ยังมองเห็นแสงได้

    หมายความว่าอะไร ???

    หมายความว่า ???? "พวกเรา ไม่ได้มองเห็น"

    แต่... "เรา เข้าใจ ว่าเรามองเห็น"

    สมองของเรา มันทำให้เรา "เข้าใจ" ว่าเรากำลังมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส

    แม้แต่เวลาที่เรานอนหลับ เราหลับตาของเรา นอนอยู่บนเตียง แสงผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่โลกความฝันของเรา กลับมีแสงสว่าง เราเดินไปมาในความฝันก็ได้ ทั้งๆที่เท้าของเรามันก็นอนนิ่งๆอยู่บนเตียง (ถ้าใครเคยรู้สึกตัวตอนฝันนะ ก็จะเข้าใจที่เราพูด โลกความฝันมันสมจริงมาก พวกเรากิน นอน ได้กลิ่น เดินไปเดินมา แตะ สัมผัส ทำทุกอย่างได้ในความฝัน และในความฝันก็มีแสงสว่าง ทั้งๆที่ร่างจริงๆของเรา นอนอยู่บนเตียง และดวงตาของเราก็ปิด ไม่ได้รับแสงผ่านเข้าไปเลย)

    สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นจาก การสร้างกระแสไฟฟ้า วิ่งไปวิ่งมาในเซลประสาทของเรา

    เมื่อการมองเห็น การสัมผัส การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส มารวมตัวกัน เมื่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 มารวมตัวกัน มันก็ทำให้พวกเราทั้งหมด เข้าใจว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยู่ใกล้ อยู่ไกล เรากำลังเดิน เรากำลังนอน เรากำลังวิ่ง

    ทุกอย่าง มันเป็นแค่ กระแสไฟฟ้าที่วิ่งไปวิ่งมาในสมองของเรา แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง >_<

    มันเล่นกับ "อารมณ์" ของเรา

    สิ่งต่างๆ เป็นแค่ "สิ่งสมมติ" แต่พอเรามองเห็นมัน เราก็เริ่มเกิดการยึดติดว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นของเรา เกิด "ความรู้สึก" ผูกพันธ์ และนั่น นำมาซึ่ง อารมณ์ต่างๆ สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ

    สรรพสิ่ง ไม่คงทน มันเปลี่ยนรูปตลอดเวลา มิหนำซ้ำ เนื้อแท้ของมัน เป็นแค่ "สิ่งสมมติ"

    แต่เราก็โดนมันหลอก

    มิติ กว้าง ยาว สูง

    มิติ เวลา ระยะทาง

    มิติเหล่านี้ ทำงานประสานกันกับ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรา และรวมหัวกัน หลอกให้เราเข้าใจว่า พวกเรามีตัวตนอยู่จริงๆ

    และมัน เล่นเกมส์กับ "อารมณ์ของเรา"

    ยิ่งเราคิดว่า มันมีจริง มันเป็นของเรา เราจะยิ่งทุกข์ ยิ่งเสียใจ

    ---

    มนุษย์เรา เมื่อตายไปแล้ว ไม่ได้ไปเกิดใน พ.ศ.ที่มากกว่า 2556 หรอกนะ

    เวลา เป็นสิ่งสมมติ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มีอยู่พร้อมๆกันหมดแล้วในจักรวาล

    สติสัมปชัญญะของเราไปจดจ่อที่เหตุการณ์ไหน เราเรียกเหตุการณ์นั้นว่า "ปัจจุบันขณะ"

    ---

    เพราะฉะนั้น เรื่องการกำเนิดโลก เรื่องเวลา อสงไขย (ที่ จขกท.ถาม)

    อย่าทำให้ ความสงสัยนี้ ดึงเราออกจากการศึกษาธรรมะ ถ้าสงสัยก็สงสัยได้ แต่สงสัยแล้วก็หาคำตอบต่อไป

    ประวัติของพระพุทธเจ้า อาจจะมีผิดเพี้ยนบ้างนิดหน่อยจากการเปลี่ยนแปลงของภาษาและวัฒนธรรม แต่ไม่ใช่ทั้งหมดแน่ๆ

    เรื่องที่พระองค์มีดอกบัวมารองรับ และเรื่องที่พระองค์เลือกชมพูทวีป มันคือเรื่องจริง

    เรื่องที่มนุษย์เกิดและตายมาแล้วหลายภพชาติ นั่นก็เรื่องจริง เราไม่ได้ตายแล้วไปเกิดในอนาคต แต่เราสามารถไปเกิดในช่วงเวลาใดๆก็ได้ และที่จักรวาลไหนๆก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ กงกรรมกงเกวียนของเรา ที่เราจะต้องไปเผชิญ

    เป็นห่วงโซ่ของ เหตุ และ ผล ที่จะนำเราไปสู่ภพภูมิหนึ่งๆ

    คนที่ รู้แจ้ง แล้วเท่านั้น คนที่มีสติ และ ปัญญา เท่านั้น ถึงจะออกจาก กงกรรมกงเกวียนนี้ได้

    คำว่า "ความรู้" กับ "ปัญญา" มันก็ไม่เหมือนกันนะ

    อย่างที่เราพูดๆไปข้างบน ถึงเราจะรู้อะไรมากมาย แต่เราก็ยังตัดกิเลสทางโลกไม่ได้ นั่นก็เพราะ "ปัญญามันยังไม่เกิด"

    ถึงเราจะมีความรู้มากมาย แต่ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติ มันก็ยังไม่เกิดปัญญา แล้วก็ยังต้องติดอยู่ในบ่วงแห่งทุกข์ ยังหลุดพ้นไม่ได้อยู่ดี ><

    แต่ก็เล่าให้ฟัง เพื่อคลายความสงสัย ของผู้ที่มักจะมีข้อสงสัยในวิทยาศาสตร์ แล้วเอามาผสมลงโรงกันกับศาสนา

    จริงๆแล้ว มันก็เรื่องเดียวกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้แบบภาพรวม ไปถึงต้นเหตุแห่งการมีอยู่ของวัตถุธาตุ และการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น

    แต่วิทยาศาสตร์ จะค้นหาความจริงเฉพาะเกี่ยวกับ ธาตุ และ สสาร มิได้ค้นหาไปจนถึงมิติอื่นๆ ซึ่งก็มีอยู่อีกมากมาย ที่ยังตรวจสอบไม่ได้ด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และยังไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5

    [​IMG]
     
  2. Deep Blue

    Deep Blue เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +887
    แท้จริง วิทยาศาสตร์ก็เป็นเพียงแค่ความเชื่อ
    สิ่งที่คิดว่าจริง ว่าใช่... จะถูกพิสูจน์และหักล้าง ด้วยทฤษฎีที่คิดว่า "ใช่" ที่จะเกิดขึ้นใหม่
    และสิ่งที่คิดว่า "ต้องใช่แน่ๆ" ก็จะถูกล้มล้างไป ซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า...

    "รูป" ทุบทำลายลงไปยังไง ก็ไม่มีทางแหลกละเอียดจนเป็น "นาม" ไปได้

    เอกภพ... คือนักมายากลที่ลวงได้แม้กระทั่งตัวเอง.
     
  3. octobernism

    octobernism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +150
    แสงสว่าง เสมอ ด้วย ปัญญา ไม่มี .... ถูกต้องไหมครับท่าน
     
  4. Deep Blue

    Deep Blue เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +887
    นักวิทยาศาสตร์ ต่างคาดหวังว่า คำตอบสุดท้ายของสรรพสิ่ง ควรจะมีลักษณะในเชิงเรขาคณิต
    จริงหรือ?

    ปัจจุบัน อยู่ ณ ที่ไหน...
    ถ้าเรามีกำลังสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นหนึ่งล้านครั้งในเศษหนึ่งส่วนล้านของวินาที
    เราจะมองเห็นปัจจุบันเป็นแบบไหน?
    ...ไม่เห็น เพราะไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง ทำไมจึงไม่หยุดนิ่ง เพราะไม่สามารถหาที่ตั้งที่จะยึดเอาไว้ได้
    เพราะปัจจุบันได้กลายเป็นอดีต และอนาคตที่อยู่ต่อจากปัจจุบันก็เข้ามาแทนที่ปัจจุบันที่เพิ่งกลายเป็นอดีต
    และปัจจุบันอันนั้น ก็ได้กลายเป็นอดีตลงไปในทันทีทันใด
    ในเมื่อไม่มีตัวตนแล้วไซร้ ปัจจุบัน = ไตรลักษณ์

    สรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา.
     
  5. ขอมจำแลง

    ขอมจำแลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +1,273
    เวลาไม่เท่ากัน ในแต่ละบุคคลจริง แต่เป็น 1.ความรู้สึก 2.เรื่องจริง กรณีหลังต้องมีสติจะเห็นและมองอะไร ๆ ช้าลงกว่าคนทั่วไปได้จริง
     
  6. Deep Blue

    Deep Blue เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +887
    ค่าความละเอียด ของหน้าจอที่ 640*480 ปรากฏภาพวอลเปเปอร์รูปทุ่งหญ้าที่หน้าจอคอม
    เพิ่มค่าความละเอียดเข้าไปอีกเท่าตัว เป็น 1280*960 เราก็ยังเห็นเป็นภาพทุ่งหญ้า
    เพิ่มเข้าไปอีกเป็น 640000000*480000000 ก็ยังเห็นเป็นภาพทุ่งหญ้าอยู่ดี...
    เพียงแต่ทุกอย่าง "ชัดเจนแจ่มใสขึ้น"

    กระสุนปืนถูกยิงออกจากปากกระบอก ไปสู่เป้าหมาย ใช้เวลา 0.1 วินาที
    มีผู้สังเกตการณ์ 2 คน
    คนที่หนึ่ง มีกำลังสติ + สัมปชัญญะ 1 หน่วย ต่อ 1 วินาที
    คนที่สอง มีกำลังสติ + สัมปชัญญะ 1000000 หน่วย ต่อ 1 วินาที

    ผู้สังเกตการณ์คนที่สอง ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเวลาช้าลงหรือเร็วขึ้นกว่าผู้สังเกตการณ์คนแรก
    แต่ผู้สังเกตการณ์คนที่สอง มองเห็นกระสุนวิ่งออกจากปากกระบอกปืนอย่างชัดเจน
    ไม่ต่างจากที่คนทั่วไป มองเห็นลูกโบว์ลิ่งกลิ้งไปชนเป้าหมาย
     
  7. nutni

    nutni Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +95
    อดีต ปัจจุบัน อนาคต คือจุดเดียวกัน ที่เรียกต่างกันเพราะเวลาเป็นสิ่งกำหนด
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ลึกซึ้งเกินกว่า ปัญญาที่มีอยู่จะรับรู้เเละเข้าใจ!?!?
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จุลกฐินคืออะไร?!ก็ลืมไปเเล้วครับ!?!!?!
     
  10. Deep Blue

    Deep Blue เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +887
    เราอาจคิดว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ "ต้องใช่แน่"
    ด้วยความคิดความเชื่อที่ดูสมเหตุสมผล ณ ฐานความเชื่อแห่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ที่เพิ่งจะคลานต้วมเตี้ยมออกจากถ้ำ

    เพราะผู้เชื่อ คิดว่าตัวเองรู้ และไม่น่าจะผิดอีกแน่ แต่...ใช่แน่หรือ?
    อย่าลืมว่า โลกวิสัย เป็น อจินไตย ตราบใดที่จิตของมนุษย์ ยังคงถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา
    ตราบนั้น เราก็เป็นเพียงแค่ผู้เชื่อ ในมายากลแห่งจักรวาล.
     
  11. คุณเมฆ

    คุณเมฆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +91
    ความลับของจักรวาล
     
  12. jibakunmk2

    jibakunmk2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +146
    บางคนเคยรู้สึกแน่ว่าวันหนึ่งบางทีก็ยาวกว่าวันทั่วไปเช่นวันฟังผลสอบ
    ฟังคำตัดสิน เวลาที่รอมันช่างยาวนานซะจริง
    ความคิดของเจ้าของกระทู้ ผมก็เคยคิด บางอย่างก็ทำมาแล้ว ตั้งหลาย ๆ รอบ แต่ก็ยังต้องทำต่อไป
    :cool:
     
  13. ขอมจำแลง

    ขอมจำแลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +1,273
    พูดได้ดี ครับ .. แสดงว่า คุณก็คิดว่า ความคิดเห็นคุณอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป หรือ ไม่ครอบคุมในทุก ๆ กรณี ซินะ
     
  14. sakirei

    sakirei Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2013
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +26

แชร์หน้านี้

Loading...