เรื่องเด่น หลวงปู่ภูกุ้มข้าว(หลวงปู่ไดโนเสาร์) ตอบปัญหาธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kennek, 24 กรกฎาคม 2013.

  1. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]


    พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร)

    เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว)

    ต.โนนบุรี อ.สหัสขันธุ์ จ.กาฬสินธุ์

    พระญาณวิสาลเถร

    มีนามเดิมว่า หา เกิดในสกุล ภูบุตตะ เมื่อขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ตรงกับวัน ศุกร์ ที่ 2 เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2468 ที่บ้านนาเชือก ตำบลเวอ (ปัจจุบันเป็นตำบลนาเชือก) อ.ยางตลาด(ปัจจุบันเป็นอำเภอเมือง) จังหวัดกาฬสินธ์
    โยมบิดาชื่อ คุณปู่ สอ ภูบุตตะ โยมมารดาชื่อ คุณย่า บัวลา ภูบุตตะ
    มีพี่น้องรวมกัน 7 ท่าน

    ท่านถือกำเนิดในตระกูล คหบดี ในหมู่บ้านนาเชือก ซึ่งอพยพมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มีฝูงวัวกว่า 200 ตัว มีที่นากว่า 300 ไร่ โยมแม่เลี้ยงหม่อนกว่า 100 กระด้ง ซึ่งถือว่ารวยที่สุดในแถบนั้น
    เมื่อท่านเป็นฆาราวาส ท่านช่วยพ่อแม่ทำงาน ทุกอย่างและที่สำคัญท่านเป็นนักมวย แต่ด้วยโยมพ่อท่านไม่ชอบที่ท่านเป็นนักมวยจึงยื่นคำขาดให้ท่านเลิกเป็นนักมวย ท่านจึงเบื่อหน่ายการครองเพศฆราวาส

    ท่านบรรพชา เมื่ออายุ 19 ปี ที่วัดสุวรรณชัยศรี (ปัจจุบันนี้เป็นท่านาชาวบ้าน ในตำบลท่าเรือ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์) โดยมีหลวงปู่ลือ เป็นอุปัชฌาย์

    ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี ที่อุโบสถหลังเดิมและอุปัชฌาย์ องค์เดิม แต่เนื่องด้วย แต่ก่อนคณะธรรมยุติและคณะมหานิกาย ยังไม่แยกกันอย่างเป็นทางการและคณะสงฆ์ในสมัยนั้นยังทำสังฆกรรมร่วมกันอยู่ การอุปสมบทของท่านจึงเป็นการรวมสองนิกาย คือพระอุปัชฌาย์เป็นคณะมหานิกาย ส่วน พระกรรมวาจารย์ พระอุสาวนาจารย์เป็นธรรมยุติกนิกาย เมื่อท่านอุปสมบทแล้วจึงมีคำสั่งให้แยกคณะกันชัดเจนและแยกกันทำสังฆกรรม เป็นปัญหาที่หลวงปู่เพราะพระอาจารย์ท่าน(พระครูประสิทธิ์สมณญาณ)เป็นคณะธรรมยุติแต่พระอุปัชฌาย์ท่าน(หลวงปู่ลือ)เป็นคณะมหานิกาย ท่านจึงต้องญัติเป็นคณะธรรมยุติอีกครั้งหนึ่ง

    ท่านญัติเป็นคณะธรรมยุติ ที่พัทธสีมาวัดสุวรรณชัยศรี ตำบลเว่อ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อ วันที่ 21 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เวลา 13.00น. โดยมีพระครูประสิทธิ์สมณญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่อ่อน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่สุข เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายา ว่า สุภโร แปลว่า ผู้เลี้ยงง่าย

    เมื่อท่านยังเป็นนวกะ(ผู้บวชใหม่) ได้จำพรรษาที่วัดสุวรรณชัยศรี จนสอบไล่นักธรรมตรี โท เอกได้ และได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่วัดนรนาถสุทริการาม ได้มีโอกาสอุปฐากท่านเจ้าประคุณสมเด็จมหามุนีวงศ์(สนั่น จนฺทปชฺโชโต) ด้วยนิสัยใฝ่เรียนรู้ของท่าน ท่านจะเรียนบาลีประจำทุกวัน เมื่อเว้นว่างจากการเรียนบาลีแล้ว ท่านก็จะเดินทางด้วยเท้าเปล่า เพือ่ไปเรียนกรรมฐานจาก พระครูญาณวิริยะ วัดป่าสะแก เขตพระโขนง ปัจจุบันคือ พระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินธโร) วัดธรรมมงคล และพระสุทธิธรรมรังสี (ลี ธมฺมธโร) วัดอโศกการาม สมุทรปราการ แต่ด้วยท่านเริ่มมีอาการดีซ่าน การเรียนการสอนทั้งปริยัติและปฏิบัติจึงได้ถูกยับยั้งไว้และเมื่ออาการมากขึ้นจนต้องไปนอนพักที่โรงพยาบาลสงฆ์ ถึง 3 เดือน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ท่านจึงทอดอาลัยในชีวิต ตั้งปารถนาขอใช้ชีวิตที่เหลือรับใช้การพระศาสนาสมเป็นผู้อุทิศตนต่อชาวโลกแล้ว จึงเดินทางกลับมาที่บ้านเกิด ในขณะนั้นท่านก็ได้รับการรักษาจากหมอพื้นบ้านและการอบรมทางใจ ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานเข้าช่วยเหลือ จึงเป็นผลให้อาการของโรคทุเลาลงจนหายขาดในที่สุด เมื่อหายเป็นปกติแล้วท่านจึงออกเที่ยวปฏิบัติรุกขมูล หาความวิเวกทางกายและใจ ออกธุดงค์ไปยังภาคต่างๆในประเทศไทยและข้ามไปยังฝั่งลาว เข้ากัมพูชา จนเห็นผลทางจิตอันแน่นอนแล้วจึงกลับมาช่วยงานการพระศาสนา ในขณะที่ท่านออก ธุดงค์กรรมฐานนั้น

    ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์พอประมวลได้ดังนี้
    1.หลวงปู่พระครูประสิทธิ์สมณญาณ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณชัยศรี ศิษย์อุปฐากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สมัยท่านจำพรรษาอยู่แถบจังหวัดเชียงใหม่
    2.หลวงปู่พระสุธรรมคณาจารย์ (แดง ธมฺมรกฺขิตฺโต) ผู้ก่อตั้งวัดประชานิยม ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สมัยก่อนที่ท่านจะเดินทางไปเชียงใหม่ เป็นศิษย์ร่วมสมัยหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว
    3.หลวงปู่พระสุทธิธรรมรังสี (ลี ธมฺมธโร) วัดอโศกการาม สมุทรปราการ
    4.หลวงพ่อพระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินธโร) วัดธรรมมงคล กรุงเทพ
    5.หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
    6.หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม สกลนคร
    7.หลวงปู่ทองมา ถาวโร วัดสว่างท่าสี ร้อยเอ็ด
    8.พระอริยะเวที(เขียน ฐิตสีโล) วัดรังสิปาลิวัน

    ตำแหน่งทางการพระศาสนา
    1.เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม ชั้น เอก โท ตรี
    2.กรรมการตรวจธรรมสนามหลวงในคณะธรรมยุติภาคอีสาน
    3.รับตำแหน่งพระฐานานุกรมในพระสุธรรมคณาจารย์ที่พระสมุห์หา สุภโร
    4.รับตำแน่งเจ้าคณะอำเภอสหัสขันธ์-ท่าคันโท-กุฉินาราย์
    5.รับประทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นตรีที่พระครูวิจิตรสหัสคุณ
    6.รับตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์(ธ)
    7.รับประทานสมณะศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญวิปัสนาที่พระญาณวิสาลเถร
    8.ด้วยท่านชราภาพและมีอายุ80ปีมหาเถระสมาคมจึงยกให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธ์(ธ)

    ประวัติการสร้างวัดภูกุ้มข้าว
    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่กลับมาจำพรรษาที่จังหวัดกาฬสินธุ์อันเป็นมาตุภูมิของหลวงปู่เอง ขณะนั้นท่านก็ได้ช่วยงาน พระครูประสิทธิ์สมณะญาณผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ในการเผยแผ่พระศาสนาและคณะธรรมยุติกนิกาย สร้างวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง โดยการที่เมื่อมีวัดร้างจากพระชาวบ้านจะมาขอพระไปจำพรรษาให้เป็นการเผยแผ่คณะธรรมยุติกนิกายโดยไม่ต้องสร้างวัดใหม่โดยการที่จะส่งพระออกไปต้องมีการอบรมทางปริยัติและปฏิบัติโดยพระเดชพระคุณหลวงปู่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกอบรม ทำให้ท่านได้รู้จักกับพระสุธรรมคณาจารย์(แดง ธมฺมรกฺขิโต) ซึ่งขณะนั้นท่านกำลังสร้างวัดประชานิยม ในเมืองกาฬสินธุ์ท่านจึงเขาไปช่วยก่อสร้างและดูแลวัดแทนในขณะที่ท่านเจ้าคุณสุธรรมคณาจารย์เดินทางมาจำพรรษาที่วัดอโศการามจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อท่านเจ้าคุณเดินทางกลับจังหวัดกาฬสินธุ์ ท่านจึงเห็นความวิริยะและความซื่อสัตย์ต่อครูบาอาจารย์ที่ได้ฝากฝังวัดวาอารามไว้ได้ท่านจึงชักชวนให้พระเดชพระคุณหลวงปู่ออกรุกขมูล วิเวก ธุดงค์ หาความสงบทางจิตจากจังหวัดกาฬสินธุ์ผ่านสกลนคร เข้าหนองคายไปพักที่วัดหินหมากเป้งที่หินหมากเป้งนี้เองหลวงปู่เทศก์ เทสฺรงฺสี(พระราชนิโรธรังสี)ได้ปลูกต้นสักทองไว้มากมายท่านเจ้าคุณจึงสั่งให้หลวงปู่เก็บเอาลูกสักทองใส่ย่ามไว้จำนวนมากโดยที่ท่านให้เหตุผลว่า “เก็บไว้เถิดต่อไปจะได้ใช้ประโยชน์”พักที่หินหมากเป้งได้ระยะเวลาพอสมควรจึงเดินทางต่อไปที่ประเทศลาวเที่ยวธุดงค์อยู่จนใกล้พรรษากาลจึงเดินทางกลับจังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อใกล้เข้าพรรษาไม่กี่วันได้รับการอาราธนาให้ไปสร้างวัดใหม่ที่บ้านคำคาอ.สหัสขันธ์ ซึ่งขณะนั้นมักเรียกกันว่าอำเภอใหม่ และให้ชื่อวัดใหม่โดยถือเอานิมิตลูกสักทองที่เก็บใส่ย่ามมาตั้งแต่วัดหินหมากเป้ง มาปลูก แล้วตั้งชื่อวัดว่า“วัดป่าสักกะวัน”

    ประมาณ ปี๒๕๐๑ทางราชการได้มีโครงการกั้นแม่น้ำลำปาวทำเขื่อน เพื่อผลิตไฟฟ้าและใช้ประโยชน์จากน้ำจึงได้มีการประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ อำเภอเมืองและชาวอำเภอสหัสขันธ์ซึ่งเป็นเขตเขื่อนที่น้ำจะท่วมถึง ได้อพยพขึ้นบนที่สูงจะจับจองพื้นที่ใหม่ซึ่งวัดป่าสักกะวันก็อยู่ในเขตน้ำท่วมนั้นด้วยจึงได้ย้ายวัดไปตามที่ทางนิคมสร้างตนเองลำปาว จัดสรรให้ แต่ปรากฏพื้นที่ที่ทางราชการจัดสรรให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าและเป็นที่ใกล้ชุมชนในอนาคตอันใกล้ทางจึงขอเปลี่ยนที่ใหม่เพราะพื้นที่ดังกล่าวไม่สัปปายะ เป็นที่พลุกพล่านของผู้คน ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรมนายอำเภอสหัสขันธ์ในสมัยนั้นจึงนิมนต์ให้หลวงปู่ขึ้นรถส่วนของท่านเพื่อหาเลือกสถานที่เพื่อสร้างวัด เมื่อนั่งรถผ่านภูกุ้มข้าวท่านจึงขอลงสำรวจพื้นที่และตกลงเลือกสถานที่นี้เพื่อสร้างวัดทั้งๆที่ภูกุ้มข้าวไม่มีสายน้ำหรือตาน้ำเพื่อใช้สอยเลย อีกทั้งเป็นสถานที่กันดารลำบาก(ในสมัยก่อนคนกาฬสินธุ์เรียกอำเภอสหัสขันธ์ว่าอำเภอสาหัสสากัน) ไม่มีต้นไม้ใหญ่มีเพียงต้นไผ่ขนาดเล็กที่ชื่อว่า “ต้นเพ็ก”เท่านั้นเอง แต่หลวงปู่ท่านก็เลือกสถานที่แห่งนี้ โดยให้เหตุผลว่าห่างไกลผู้คนนายอำเภอจึงได้อนุโมทนาที่หลวงปู่จะพัฒนาสถานที่นี้และกล่าวคำถวายสถานที่ให้หลวงปู่ดูแลทั้งลูกภูเขาหลวงปู่ก็รับไว้ด้วยความยินดีเมื่อท่านได้มาพัฒนาที่ภูกุ้มข้าวท่านก็เริ่มปลูกต้นไม้เจาะน้ำและขุดสระสร้างเสนาสนะ มีศาลาการเปรียญและอุโบสถ์เป็นต้น


    [​IMG]

    ประวัติการอัญเชิญหลวงพ่อบันดาลฤทธิ์ผล
    ในปีนั้นเองได้มีข่าวว่าหลวงพ่อบ้านด่านพระพุทธรูปนั่งดินข้างบึงโดนมีความประสงค์ที่จะอยู่ภูกุ้มข้าว(อ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้ชมเอ้ยท่านผู้อ่านคงแปลกใจว่า พระพุทธรูปจะพูดได้อย่างไร ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะเรื่องนี้เป็นจริงมาแล้ว โดยที่ฐานล่างของพระพุทธรูปองค์นี้ มีรูปพระองค์ขนาดย่อมอยู่เป็นรูปลักษณ์พระสาวกศรีษะโล้น ไม่มีเกศเหมือนพระพุทธรูปทั่วไป ชาวบ้านจะเรียกว่าเณรอุปฐากของหลวงพ่อบ้านด่านเมื่อชาวบ้านมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใคร่จะหาทางออกต้องไปถามกับหลวงพ่อการถามกับหลวงพ่อนั้นต้องยกเณรองค์นี้เสี่ยงทาย (ปัจจุบันเณรองค์นี้ก็ได้รับการอัญเชิญให้มาอุปฐากหลวงพ่อที่วัดภูกุ้มข้าวด้วย)

    พระพุทธรูปองค์นี้มีประวัติเล่าสืบๆกันมาว่าในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ได้เสด็จเข้าพระนิพพาน นานได้ ๘ พระวัสสาการพระมหากัสสะปะมหาเถราจารย์ ได้ปริวิตกในดวงมาล ว่าเมื่อครั้งพระพิชิตมารได้รับสั่ง ให้เอาพระอุรังคะธาตุคือกระดูกหัวอกแห่งพระองค์ไปประดิษฐานไว้ที่กัปปะคีรี ภูกำพร้าในดินแดนสุวรรณภูมิ พระองค์ผู้ทรงธุดงควัตรเป็นอาจิณจึงได้เรียกประชุมพระอริยะสงฆ์ได้ ๕๐๐รูป เดินทางผ่านฟ้าโดยนภากาศมาลงหยุดพักที่เมืองหนองหาน พระยาหนองหารกับนางเวงผู้เป็นเหสีเอกจึงได้ต้อนรับอุปฐากตามฐานานุรูป และมีการก่อพระธาตุเจดีย์เพื่อรับบรรจุพระธาตุนั้นแต่พระคุณท่านมิได้โปรดตามพระประสงค์เพราะไม่ใช่พระพุทธประสงค์จึงใหพระไปเอาพระอังคารธาตุ จากเมือกุสินารา มาบรรจุไว้แทน ได้นามว่าพระธาตุนาราย์เจงเวงและพระธาตุภูเพ็กมาจวบจนทุกวันนั้นท่านจึงเดินทางต่อไปที่เนินพระอรหันต์เริ่มสถาปนาภูกำพร้าให้เป็นพระธาตุเพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุไว้ในการนั้นได้มีท้าวนางเจ้าพญาทั้ง ๕ ได้ร่วมบุญกิจด้วยได้แก่ พญาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหานหลวง พญาคำแดง เจ้าเมืองหนองหานน้อย พญาจุลณีพรหมทัต เจ้าเมืองจุลนีพรหมทัต พญาอินทรปัตถ์ เจ้าเมืองอินทปัตถนคร และพญานันทเสน เจ้านครศรีโคตรบูรณ์

    ข่าวการมงคลนี้ได้ขจรขจายออกไปสู่บ้านน้อยเมืองใหญ่ แต่ละแห่งแต่ละที่เมื่อได้รับข่าวนี้ก็ล้วนแต่เกิดปีติมงคลในจิตใจจึงได้รวบรวม ข้าวของเงิน เพชรนิลจินดาเพื่อมาร่วมก่อร่วมสร้าง พระธาตุองค์นั้นให้สำเร็จ ในจำนวนนั้นมีคณะจากแผ่นดินทวาราวดีได้เดินทางมาเพื่อร่วมสร้างพระธาตุครั้งนี้ และได้เดินทางมาพักที่ข้างบึงโดน เมื่อตื่นเช้าก็ รับประทานอาหารเก็บสัมภาระเพื่อจะเดินทางต่อขณะจะเดินทางต่อนั้นก็ได้มีคณะเดินทางอีกคณะเดินทางสวนมาจึงได้ไตร่ถามถึงที่ไปที่มาจึงทราบการบอกเล่าว่า“พวกท่านอย่าได้ไปต่อเลยหนทางแสนธุระกันดาร ข้ามภูเขาสูงทั้งไข้ป่า อสรพิษและสัตว์ร้ายนาๆชนิด พวกผมเดินทางไปล้มตายกันก็มาก ขากลับมาก็ล้มตายมากมายที่สำคัญพวกผมร่วมกันสร้างพระมหาธาตุเจดีย์พระธาตุพนมสำเร็จแล้วทำพิธีเฉลิมฉลองแล้วจึงเดินทางกลับมา” ความโศกเศร้าโศกาอาดูรได้หลั่งไหลมาสู่คณะเดินทาง ความเสียอกเสียใจเสียความตั้งใจ ที่จะมาสร้างบุญใหญ่ได้ล่มสลายแล้ว

    เมื่อสร่างจากอาการเศร้าโศกแล้ว จึงได้ตกลงกันว่าจะไม่เอาสมบัติใดๆกลับบ้านเมืองจะถวายเป็นพุทธบูชาแต่ในที่ไกลจึงได้หาศิลาแลงมาทำเป็นแผ่น ขุดหลุมลงเป็นทรงลูกบาศก์ เอาหินปิดทุกด้านไว้แล้วเอาศิลามาแกะเป็นพระพุทธปฏิมานั่งดินไว้ ฝากกับพระแม่ธรณีไว้ว่าขอฝากพระพุทธรูปและสมบัติเหล่านี้ไว้เป็นสมบัติของพระศาสนา หากมีผู้มีใจคดเลี้ยวไม่มีจิตใจเพื่อพระศาสนาขาดบุญญาบารมี อย่าได้ให้มาเอาไปได้ กาลเบื้องหน้าหากมีผู้ใดเป็นผู้มากด้วยบุญญาธิการ เป็นผู้อุทิศตนต่อพระศาสนาแล้วไซร้ขออุทิศสมบัติและพระปฏิมาองค์นี้บูชาแก่ท่านผู้นั้นให้นำไปค้ำชาติค้ำพระศาสนาขจัดเพศภัยให้แก่ผู้คนทั้งหลาย เมื่อฝากฝังกับพระนางธรณีแล้วจึงเดินทางกลับบ้านเมืองของตน

    ทุกปีเมื่อถึงฤดูปีใหม่สงกรานต์ชาวบ้านจะมาสรงน้ำและจุดบั้งไฟ ถวายเป็นพุทธบูชาเมื่อใครเดือดเนื้อร้อนใจก็ได้พึ่งพาหลวงพ่อ ให้ขจัดปัดเป่าให้เป็นปกติสุข โดยเฉพาะเรื่องทหารหลวงพ่อท่านโปรดเป็นที่สุดกาลครั้งก่อนเมื่อมีคนประสงค์จะเป็นทหารจะมาขอพรหลวงพ่อ เพื่อจับใบดำใบแดงไม่เคยพลาดเลยสักรายหรือมีคนเดินทางไปเกณฑ์ทหารแค่ผ่านอาณาเขตบึงโดนก็จับฉลากได้เป็นทหารฉะนั้นผู้ไม่ประสงค์จะเป็นทหารจะเดินทางหลีกบึงโดน ไกลแค่ไหนก็ต้องเดินทางอ้อมไปเพราะกลัวในฤทธิ์หลวงพ่อนั้นเอง

    เมื่อทางราชการจะกั้นแม่น้ำทำเขื่อนชาวบ้านจึงกลัวหลวงพ่อจะจมน้ำจึงพากันไปเสี่ยงทายถามสถานที่ที่หลวงพ่อมีประสงค์จะอยู่โดยมีการเสี่ยงทายถามตามทิศ ได้ทิศแล้วก็ถามตามเมือง ได้เมืองแล้วก็ถามหาหมู่บ้านได้หมู่บ้านก็ถามหาวัด ซึ่งเป็นผลว่าหลวงพ่อมีประสงค์จะมาอยู่ภูกุ้มข้าวถึง ๓ครั้ง ๓ ครา เมื่อมีข่าวดังนั้น ชาวบ้านจึงมานิมนต์หลวงปู่ให้ไปรับหลวงพ่อมาแต่หลวงปู่ยังไม่ว่าอย่างใด ในขณะนั้นได้มีอดีตนายตำรวจมาอุปสมบทอยู่กับหลวงปู่ท่านจึงขอให้หลวงปู่ไปรับหลวงพ่อมาก่อนที่น้ำจะท่วม องค์พระแต่ขอให้ท่านขออนุญาตทางบ้านเมืองให้เป็นลายลักษณ์อักษร ท่านจึงทำหนังสือขออนุญาต นายอำเภอและเจ้าคณะอำเภอมหานิกายเพราะองค์พระได้รับการดูแลโดยคณะสงฆ์มหานิกายเมื่อได้รับอนุญาตเป็นลาบลักษณ์อักษรแล้วท่านพร้อมด้วยคณะญาติโยม

    ศิษยานุศิษย์พากันไปอัญเชิญหลวงพ่อบ้านด่านที่บึงโดน แต่พอไปถึงปรากฏว่าน้ำกำลังท่วมอีกทั้งคลื่นลมแรงไม่มีเรือลำใดกล้าพาคณะอัญเชิญพระไปเลยบังเอิญว่ามีศิษย์ที่เคยบวชกับท่านไปรับจ้างขับเรือหางยาวอยู่แถวนั้น เมื่อได้ฟังประสงค์ของหลวงปู่แล้วจึงปวารณาว่าหาอาจารย์เอาหลวงพ่อมาได้ กระผมจะไม่ขอคิดค่าแรงค่าใดๆเลย คณะจึงได้เดินทางไปรับหลวงพ่อบ้านด่านขณะนั้นน้ำกำลังเอ่อท่วมในที่ต่างๆ มีเศษขยะใบไม้ลอยเต็มไปหมดมวลหมู่อสรพิษจับอยู่ตาม ต้นไม้ ยอดไม้และโขดหิน เมื่อเดินทางไปถึงปรากฏว่าน้ำได้ท่วมหมดทุกที่เว้นแต่ที่ๆหลวงพ่ออยู่เท่านั้นที่ยังไม่ท่วมเหมือนท่านกำลังรออะไรอยู่เมื่อคณะฯเดินทางไปถึงก็ให้หมอผี (อีสานเรียกหมอธรรม) ได้ทำพิธีขออนุญาตแต่ขณะกำลังทำพิธีอยู่นั้น หมอธรรมก็ตกใจสุดขีด ทิ้งเครื่องเซ่นบูชาวิ่งขึ้นไปนั่งบนเรือ ตัวสั่นงันงก อุทานได้แค่ว่างูๆๆๆ งูตัวสีทองใหญ่เท่าลำตาลพันรอองค์พระ

    องค์หลวงปู่เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงประกาศว่า“ข้าพเจ้าเป็นพุทธบุตร ที่มาที่นี้วันนี้ก็เพียงมีประสงค์มารับสมเด็จพ่อกลัวว่า น้ำจะท่วมองค์ท่าน ท่านผู้ที่พิทักษ์รักษาอยู่ที่แห่งนี้จงรับรู้ไว้ว่าข้าพเจ้ามิได้ต้องการทรัพย์สินสมบัติใดๆที่อยู่ที่นี่หากแต่ประสงค์องค์พ่อกับสามเณรของท่านเพื่อหนีน้ำที่กำลังจะท่วมนี้พวกท่านจะให้หรือไม่ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าจะเอาพระนี้ไปอารักขาเอง” จบคำประกาศท่านจึงให้คนใช้เลื้อยตรงฐาน หลวงพ่อเมื่อขาดแล้วก็ให้ ผู้ชายกำลังดีอยู่ในวัยฉะกรรณ ยก ๔ คนแต่ปรากฏว่าไม่อาจขยับได้ ท่านจึงอธิษฐานขอต่อเทพเทวาผู้รักษาและยกเอาองค์พระขึ้นเรือมา นำมารักษาไว้ที่วัดสักกะวันจวบจนปัจจุบัน


    [​IMG]


    ประวัติการพบวิญญาณไดโนเสาร์ด้วยวิถีญาณสมาธิ

    ในขณะที่ท่านกำลังดำเนินการก่อสร้างวัดสั่งสอนผู้คนพุทธศาสนิกชน สอนปริยัติธรรมแก่พระภิกษุ-สามเณรบริหารการปกครองคณะสงฆ์อยู่นั้นท่านก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติในทางการอบรมจิตทำสมาธิภาวนา เมื่อมีเวลาว่างท่านจะขึ้นบนยอดภูกุ้มข้าวกางกลดนั่งสมาธิครั้งละ ๑๕ วัน โดยไม่ฉันอาหารไม่เข้าห้องน้ำ อบรมจิตใจตนเองอย่างนี้โดยวิธีนี้เรียกว่าการเข้า “ปฏิสลี”มีเพียงบางวันที่สามเณรจะเอายาต้มไปส่งแต่ถ้าเห็นหลังปู่ไม่เปิดกลดก็จะกลับลงมาโดยไม่ได้ถวายยาต้มนั้นในบางปีท่านฉันภัตตาหารเพียงวันเข้าพรรษาและวันออกพรรษาเท่านั้น

    ประมาณปี๒๕๓๔ท่านได้พบนิมิตโอภาส คือพบแสงสว่างที่ใสมากเป็นแสงที่ท่านไม่เคยพบในโลกนี้สว่างไปทั่วโลกธาตุ สว่างทั้งจักรวาล มองทะลุภูเขา มองทะลุต้นไม้มองเห็นทุกอย่างอยากเห็นสิ่งใดก็เห็นไปหมด แล้วก็ปรากฏสัตว์ชนิดหนึ่ง คอยาว ตัวใหญ่กว่าช้างเท้าใหญ่เท่ากระบุง เดินไปเดินมาในบริเวณภูกุ้มข้าว กินยอดไม้ เล่นน้ำ และล้มลงตายขณะที่เห็นมีลักษณะเป็นเหมือนฟีมล์หนังกลางแปลงในสมัยก่อนพอสัตว์นั้นตายลงก็หมดม้วนพอดี เป็นอย่างนี้อยู่ ๒-๓ครั้ง ในปี๒๕๓๖และปี๒๕๓๗ก็มีลักษณะเดียวกัน ครั้งสุดท้าย พอเห็นจบแล้วก็มีเสียงมาบอกว่า จะมาขออยู่ด้วยเตรียมตัวไว้พรุ่งนี้จะมีฝนมาจากทิศอุดรห่าใหญ่ผมจะมากับฝน ครั้งล่าสุดท่านเข้าปฏิสลีได้เพียง ๓ วันเท่านั้น ท่านจึงเก็บบาตรและกลดลงจากยอดเขาสั่งให้พระเณรเก็บสิ่งของไปไว้บนกุฏิเวลาประมาณเที่ยงวันฝนก็เริ่มตั้งเคาและตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาหลวงปู่ท่านได้กางร่มเดินออกมาตรวจบริเวณวัดขณะฝนตก ร่มที่กางโดนลมพัดจนหักและปลิวไปกับลมเหลือเพียงด้ามร่มเท่านั้น บริเวณทั้งหมดมืดไปหมดมองสิ่งใดไม่เห็นท่านจึงนั่งลงตรงที่เห็นสัตว์นั้นตายในนิมิต ฝนตกกว่า ๓ ชั่วโมงจึงเริ่มซาและหายไปในที่สุด

    จากฟ้าที่มืดก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นมาแผ่นดินที่เคยสูงโดนน้ำเซาะจนเห็นเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ หลายสิบชิ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณที่ท่านนั่ง ท่านก็สั่งให้คนเก็บกระดูกนั้นไว้และส่งข่าวไปยังนายอำเภอเพื่อมาตรวจสอบ ทางอำเภอจึงส่งข่าวไปยังศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เจ้าหน้าที่ก็ได้มาตรวจสอบปรากฏว่าเป็นไดโนเสาร์พันธ์กินพืชที่ใหญ่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมา (ภายหลังให้ชื่อว่า อีสานโนซอรัสสิรินธรเน่)

    ต่อมามีการแจ้งว่าจะมีการจะขอทำการขุดค้นเพิ่มเติมจึงกราบเรียนถามองค์หลวงปู่เพื่อชี้จุดที่เห็นในนิมิตเพิ่มเติมท่านจึงได้ชี้ใต้ต้นไม้ทางทิศเหนือของวัดก็พบฟอสซิลไดโนเสาร์อีกหลายตัว(ปัจจุบันคือ“อาคารหลุมขุดค้นไดโนเสาร์พระญาณวิสาลเถร” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ค้นพบครั้งแรก)อีกทั้งยังมีการรวบรวมฟอสซิลไดโนเสาร์จากทั่วสาระทิศมารวมที่วัดสักกะวันและก่อสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสัตว์โลกล้านปีได้รับพระราชทานนามว่า“พิพิธภัณฑ์สิรินธร”

    คณะศิษย์ยานุศิษย์ ลูกหลาน จึงถวายฉายานามหลวงปู่ว่า“หลวงปู่ไดโนเสาร์” (แต่เดิมท่านชื่อพระหา ภายหลังได้รับถวายตำแหน่งพระฐานานุกรมในตำแหน่งพระสมุห์ชาวบ้านจึงให้ชื่อว่าพระอาจารย์สมุห์หาภายหลังเมื่อมีการถวายสัญญาบัตรพัดยศเป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูวิจิตรสหัสคุณชาวบ้านก็เรียกหลวงตาวิจิตร เมื่อท่านค้นพบไดโนเสาร์ชาวบ้านจึงนิยมเรียกท่านว่าหลวงตาวัดไดโนเสาร์ เมื่อเรียกบ่อยๆจึงเหลือแต่หลวงตากับไดโนเสาร์ แต่คณะศิษย์ในภายหลังไม่อาจเรียกท่านว่าหลวงตาได้(เพราะคำว่าหลวงตาคือคนที่มีครอบครัวแล้วมาอุปสมบท)จึงเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์จวบจนปัจจุบัน)


    *ธรรมะขององค์หลวงปู่ทั้งหมดในกระทู้นี้ ที่มาจาก : https://www.facebook.com/pages/หลวงปู่ไดโนเสาร์/383172221728079
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2013
  2. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    วิธีการบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด

    [​IMG]


    วิธีการบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด

    โยม ; หลวงปู่ครับผมทำอย่างไรจะบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด

    หลวงปู่ ; ก็ละความอยากบรรลุธรรมของคุณสิ ได้เร็วที่สุด คุณละได้เร็วเท่าไหร่คุณก็จะบรรลุธรรมได้เร็วเท่านั้น

    โยม ; ไม่ใช่ครับผมหลวงปู่ ผมหมายถึงว่า ในการปฏิบัติธรรม วิธีการปฏิบัติของสายใดเป็นวิธีลัดให้เราบรรลุธรรมได้ง่ายๆและเร็วที่สุด

    หลวงปู่ ; เออ ก็อย่างนั้น แล้วคุณจะรีบไปไหนหล่ะ หรือทุกวันนี้คุณรีบไม่พอ เดินทางก็รีบ ทำมาหากินก็รีบ รีบไปหมด การปฏิบัติธรรมก็รีบ คุณดูนี่ (แล้วท่านก็ยกมือข้างซ้ายท่านขึ้นมา กางนิ้วมือทั้ง ห้าน้ิวออก แล้วก็เริ่มโบกเร็วๆ) คุณว่าตอนนี้มีกี่นิ้ว

    โยม ; เห็นไม่ชัดครับผม หลวงปู่ต้องโบกข้าๆครับผม ผมถึงจะเห็น

    หลวงปู่ ; นั้นๆ นี่ไงหล่ะ ขนาดคุณยังอยากให้หลวงปู่โบกมือช้าๆเลย โบกมือเร็วๆไม่เห็นนิ้วมือใช่ไหม โบกช้าๆมันจึงจะเห็นชัด การปฏิบัติธรรมหน่ะคุณเอ้ย มันไม่มีอะไรเร็วได้ดอก รีบทำ รีบทำ มันไม่เห็นปัญญานะ ถึงเห็นมันก็ไม่แจ้ง ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่อย่าหยุด เดินทุกวัน ทำทุกวัน ภาวนาทุกวัน ขี้เกียจขี้คร้านก็ทำ ขยันหมั่นเพียรก็ต้องทำ อย่าหยุด ค่อยเป็นค่อยไป พวกคุณใช้ชีวิตแบบเร่งๆรีบๆจนเคยตัว เลยคิดว่าการพ้นทุกข์นั้นก็รีบได้ ยิ่งพวกคุณอยาก พวกคุณรีบ ยิ่งพวกคุณปฏิบัติสุกเอาเผากิน ธรรมมะก็ยิ่งจะหนีห่างพวกคุณออกไปไกลเรื่อยๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ สังเกตุไปทุกระยะ ตั้งสติอย่าขาด อย่าวาดอนาคต อย่าผูกอดีต อย่าอยาก การปฏิบัติธรรมให้เหมือนการเอามือกำนกตัวน้อยๆ กำแรงนกก็ตาย กำเบานกก็บินหนี กำให้มันพอดี อย่าเบาอย่าแรง อย่าเร่งอย่ารีบ อย่าอยากมุงหลังคาทั้งๆที่ยังไม่ตั้งเสายังไม่เทพื้นเทคาน ทานเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างหยาบมีศีลเป็นผล ศีลเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างกลางมีสมาธิเป็นผล สมาธิเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างละเอียดมีปัญญาเป็นผล ปัญญาเป็นเหตุรู้รอบในกองสังขารทั้งปวงมีวิมุติความหลุดพ้นเป็นผล ทำไปตามขั้นตามตอน อย่าอยากอย่าเร่งอย่ารีบ ถ้ามันบ่มให้สุกได้อย่างกล้วย อย่างมะม่วง มันก็ดีหน่ะสิแต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ไม่มีใครลัดได้ดอก ดูความยากของการปฏิบัตินะ มันจะได้ละอยาก ละความห่วงในโลก อันนั้นหล่ะคุณจะได้ไวไว เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  3. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    อยากแต่หน้าเข้าสังคม

    [​IMG]


    อยากแต่หน้าเข้าสังคม


    โยม ; หลวงปู่เจ้าขา ในพรรษานี้ลูกอยากมาถือศีลแปดทุกวันพระ ติดที่ว่าลูกต้องไปทำงานทุกวัน มาถือศีลไม่ได้เจ้าค่ะควรทำอย่างไรเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; ศีลของคุณอยู่ไหนหล่ะ ถ้าคุณถือศีลที่วัดคุณก็ไม่ต้องมา ถ้าคุณถือศีลที่ใจปฏิบัติส่วนตัวเองคุณก็มาถือสิ

    โยม ; ศีลโยมถือที่ใจเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เออ คุณถือที่ใจ ใครๆก็ถือที่ใจ ถ้าคุณถือศีลที่วัดคุณก็ต้องอยู่วัด ถ้าคุณถือศีลที่ใจจะไปไหนๆคุณก็ไม่ต้องห่วงจะไม่มีศีล มันเป็นเรื่องของใครของมัน เป็นกิจภายในเราจะต้องห่วงอะไร คุณก็เอาศีลไปทำงานด้วยสิ

    โยม ; แต่ถ้าโยมถือศีลแปดแล้วไปทำงานโยมก็แต่งตัว ทาแป้ง ทาลิปไม่ได้นี่สิเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; บ่ะ ไหนคุณว่าคุณถือศีลที่ใจเด้ คุณเอ้ย ศีล๕ ศีล๘ ศีล ๒๗๗ ศีล๓๑๑ ศีลแปดโกฏิสี่กือ ไม่มีดอก ศีลมีข้อเดียว คือข้อใจข้อเจตนา ศาสนานี้เอาเจตนาเป็นใหญ่ ส่วนจำนวนพวกนั้นเป็นชื่อของความเลว เป็นชื่อของความชั่ว พระพุทธเจ้าเอาเจตนาเป็นใหญ่ ถ้าเจตนาอย่างไรผลก็ไปตามนั้น เจตนาเป็นตัวชี้กรรมชี้วิบาก คุณเอ้ยคนมีธรรมคือคนเข้าใจธรรมชาติ คนที่ผิดธรรมชาติ กระทำผิดธรรมชาติอันนั้นไม่เรียกว่าธรรม ทาโลดทาลิป ทาแป้งนั้นทาโลด คุณทาเพื่อเข้าสังคมทำตัวให้เป็นปกติในสังคม วันดีคืนดี มาเข้าวัดจำศีลไปทำงาน หน้าดำปากขาว ปานผีหลอก คนเห็นเข้าจะว่าคุณบ้า เขาจะว่าผีหลอก เขาจะตำหนิว่าคนเข้าวัดบ้าๆบอๆ ให้ฉลาดนะ คนปฏิบัติธรรมให้ฉลาดนะ เราแต่งหน้าถือศีลแปด เรารู้ว่าเราแต่งตัวเพื่อไม่แปลกสังคม ไม่ได้ทาเพื่อยึดเพื่อติด เพื่อสวยเพื่องาม เอาใจเอาเจตนาเป็นสำคัญนะ ทำใจแบบนี้คุณจะถือศีลแปดไปทำงานได้หรือไม่หล่ะ

    โยม ; รักษาศีลแปดก็ไปทำงานได้เจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; เออ คนมีธรรมอย่าโง่นะ อย่าแปลกสังคมธรรมมะคืออยู่กับสังคมไม่แปลกสังคม เขาใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  4. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    การแลกบุญด้วยเงิน

    การแลกบุญด้วยเงิน

    โยม ; หลวงปู่เจ้าขา ทำไมศาสนาพุทธถึงมีแต่ให้ทาน เดี๋ยวก็ถวาย เดี๋ยวก็ถวาย นี่อย่างวันนี้ก็ถวายเทียน ถวายผ้าอาบน้ำ ถวายผ้าป่า กฐิน มีแต่ถวายเต็มไปหมดแสดงว่าจะได้บุญมาต้องเสียเงินเสียทองสิเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; อือ บุญเป็นชื่อของความสุข ทำแล้วทุกข์อย่าทำ

    โยม ; โยมก็ไม่ได้ทุกข์ แค่สงสัยว่าทำไม ศาสนามีแต่การให้ทาน

    หลวงปู่ ; การทำบุญในพระศาสนาหน่ะมีหลายแบบ มีหลายระดับ ระดับทาน ระดับศีล ระดับภาวนา คนใจยังไม่สูงก็มัววุ่นอยู่กับทานอย่างเดียว คนใจสูงมาอีกหน่อยก็ทำบุญเรื่องศีล เมื่อใจถึงระดับแล้วเขาจะทำบุญด้วยการภาวนา เพราะทานกำจัดกิเลสอย่างหยาบ ศีลกำจัดกิเลสอย่างกลาง ภาวนากำจัดกิเลสอย่างละเอียด บางคนทำบุญแล้วไม่รู้เรื่องบุญก็มัวแต่หาว่ามีแต่ทานแต่ทาน คนบ้าทานก็ทำทานเอาหน้า ทำทานเอาตรา ทำทานเพื่อโฆษณา แท้จริงแล้วจุดประสงค์เพื่อละตัวเรา เพื่อละของเรา อาศัยสิ่งของเพื่อละความเห็นแก่ตัว ละความถือตัวถือตน บางคนทำบุญทำทานไม่เป็นให้แล้วยังถือว่าเป็นเราเป็นของเรา บางคนทานแล้วประสงค์นั่น อธิษฐานนี่ วุ่นวายไปหมด อันนี้ให้ทานเอาตัณหา ให้ทานเอาโลก ให้ทานเอากิเลส ทานที่แท้จริงต้องทานเพื่อละเพื่อทิ้ง เอาของมาทานให้หลวงปู่แล้วมาให้หลวงปู่เสกนั้นเป่านี่ อธิษฐานเอานั้นเอานี่ เหมือนหลวงปู่จะบันดาลให้ได้ คนที่เอาเอาข้าวให้หมากินเขายังได้อานิสงค์มากว่าคนพวกนี้ เพราะเขาให้ทานเพื่อละ ให้ทานเพื่ออนุเคราะห์สัตว์ตกยาก เขาให้ทานโดยไม่ความเป็นตัวเป็นตน ไม่อธิฐานเอานั้นเอานี่จากหมา ไม่ต้องบอกหมาว่า ต้องฉันของโยม ของหนู ของฉัน นั้นคนพวกนั้นเขาทานเพื่อละเพื่อวาง คนที่วางตัววางตน ก็ไม่มีตัวไม่มีตน คนไม่มีตัวไม่มีตนมันจะทุกข์มาจากไหน เพราะมีตัว อะไรก็ของตัว ได้ตัวก็ได้ เสียตัวก็เสีย กระทบอะไรตัวก็กระทบ มันจึงทุกข์จึงยาก แต่ละตัวละตนเสียแล้วจะทุกข์กับอะไร ถ้าคุณเข้าใจอย่างนี้หลวงปู่เรียกคนเหล่านั้นว่าเขาทำทานเพื่อพึ่งพา ให้ทานเพื่อละ เพื่อวาง เขาจะไม่ทุกข์กับการให้ทาน เขาเป็นนักทานที่แท้จริง เข้าใจนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  5. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2013
  6. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    ปัญหาเกี่ยวกับพุทโธ

    [​IMG]


    ปัญหาเกี่ยวกับพุทโธ


    โยม : หลวงปู่ครับผมได้ยิน พระบางรูปหรืออาจารย์บางท่าน สอนว่าพุทโธพาเราไปได้แค่พรหมไม่สามารถพาเราไปนิพพานได้นี่ถูกต้องไหมครับ

    หลวงปู่ : คุณดูนั้น (ท่านชี้มือไปที่ต้นสะเดาข้างอุโบสถ) คุณว่าต้นมะขามที่ขึ้นอยู่ข้างต้นสะเดา มันจะกลายเป็นต้นสะเดาได้ไหมหล่ะ

    โยม : ไม่ได้ครับหลวงปู่

    หลวงปู่ : หือ ไม่ได้หรอ เอาใหม่นะ ถ้าต้นมะขามออกใบ ออกดอก ออกผล แล้วร่วงหล่นลงมาที่โคนของต้นสะเดา ย่อยสลายกลายเป็นธาตุอาหารในดิน รากของต้นสะเดาก็ดูดเอา ปุ๋ยนั้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น ออกเป็นใบสะเดา ดอกสะเดา ผลสะเดา ผลสะเดาก็ตกลงมาเป็นต้นสะเดาเล็กๆ หลวงปู่ถามคุณอีกครั้งว่า มะขามกลายเป็นสะเดาได้ไหม

    โยม : ได้ครับผมหลวงปู่

    หลวงปู่ : เออ พุทโธ ที่คุณว่า ไม่พาคุณไปนิพพานหรอ แต่คุณต้องอาศัยพุทโธพาคุณไปนิพพาน นิพพานหน่ะประตูไม่กว้างนะและก็ไม่แคบ พอดีตัวคุณเลยหล่ะ คุณจะเอาอย่างอื่นเข้าไปด้วยไม่ได้ บุญก็เข้าไม่ได้ บาปก็เข้าไม่ได้ ศีลก็เข้าไม่ได้ ธรรมก็เข้าไม่ได้ พุทโธก็เข้าไม่ได้ คุณต้องทิ้งหมด ทั้งดีทั้งชั่ว เข้าไปแค่ตัวคุณคนเดียว พุทโธ เป็นบาทเป็นฐาน เป็นสมถะที่เข้าสู่วิปัสสนา วิปัสสนาตัวปัญญานั้นถึงจะพาคุณตัดกิเลสได้ แต่วิปัสนาของคุณต้องอาศัยพุทโธ อาศัยสมถะ วิปัสนาเป็นรถ สมถะเป็นน้ำมัน รถที่ขาดน้ำมัน มันจะวิ่งไหมหล่ะ พองหนอ ยุบหนอก็ดี นะ มะ พะ ธะ ก็ดี สัมมาอรหังก็ดี ล้วนแต่เป็นปุ๋ยให้พระนิพพานเหมือนกันหมด เหมือนต้นมะขามที่กลายเป็นสะเดานั้นไง เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  7. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    พาลูกชายมาขอพรหลวงปู่จะไปสอบหมอ

    [​IMG]


    พาลูกชายมาขอพรหลวงปู่จะไปสอบหมอ


    โยม ; หลวงปู่เจ้าขา พาวันพาลูกชายมาขอพรหลวงปู่เขาจะไปสอบหมอ

    หลวงปู่ ; ดี

    โยม ; เขาจะสอบได้ไหมเจ้าค่ะหลวงปู่

    หลวงปู่ ; ได้ แต่แม่มันสิจะไม่ได้

    โยม ; ไม่ได้ยังไงเจ้าค่ะหลวงปู่ หรือโยมจะไม่สมหวัง

    หลวงปู่ ; นั้นหล่ะอันจะไม่ได้ เมื่อคุณหวังความทุกข์ก็เกิดกับคุณ หวังมากคุณก็ทุกข์มาก หวังน้อยคุณก็ทุกข์น้อย

    โยม ; แสดงว่าจะไม่ให้โยมหวังเลยหรอเจ้าค่ะ ก็ชีวิตอยู่ได้เพราะความหวังนี่เจ้าค่ะ ไม่ให้โยมหวังโยมจะมีกำลังใจอยู่ต่อหรอเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ ; หวังได้ แต่เมื่อคุณหวังแล้วคุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วย พร้อมทั้งสมหวังพร้อมทั้งผิดหวัง พร้อมทั้งหวานพร้อมทั้งขม สมหวังมันหวาน ผิดหวังมันขม สมหวังดีใจเกินพอดีมันก็บ้า ผิดหวังเสียใจเกินพอดีมันก็บ้า ชีวิตหน่ะมันก็ต้องหวังแต่เมื่อหวังก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งสมหวังทั้งผิดหวัง สมหวังหรือผิดหวังมันเป็นธรรมดาโลก คุณแข่งขันอะไรสักอย่างมันไม่แพ้ก้ชนะแต่ต้องเตรียมใจให้พร้อมทั้งแพ้ทั้งชนะ หวังหน่ะหวังเถอะ แต่หวังให้มันพอดี เตรียมตัวให้พร้อม เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  8. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    เรื่องกรณีคุณมิตซูโอะ

    เรื่องกรณีคุณมิตซูโอะ

    หลวงปู่ไดโนเสาร์ : ครูบา อาจารย์มิตซูโอะเป็นใคร

    ครูบาอุปฐาก : เป็นหยังครับผม องค์พ่อแม่ถามทำไมครับผม

    หลวงปู่ไดโนเสาร์
    : ก็เมื่อเช้าเห็นโยมในศาลามาเล่าให้ฟัง ผมก็อือๆ นอไปกับเขา แต่ผมไม่รู้เรื่องนี้

    ครูบาอุปฐาก : โอ๋ ขอโอกาสกราบเรียนองค์พ่อแม่ ท่านอาจารย์มิตซูโอะ ท่านเป็นคนญี่ปุ่นที่มาเรียกกรรมฐานในสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง บวชมา ๓๐ กว่าปีแล้วท่านก็สึกกลับบ้านท่านที่ญี่ปุ่น เมื่อเช้าแม่ออกมาบอกว่าท่านสึกไปมีเมีย ที่ญี่ปุ่นครับผม

    หลวงปู่ไดโนเสาร์ : โอ๋ มันก็ดีแล้วนี่ แล้วเอามาเล่ากันทำไม

    ครูบาอุปฐาก : ขอโอกาสองค์พ่อแม่ ดียังไงครับผม พระกรรมฐานบวชมา ๓๐ กว่าปีแล้วมาสึกไปมีเมีย

    หลวงปู่ไดโนเสาร์ : โอ้ย ญาท่านสีทนศาลาพันห้องนั้น สึกตอนอายุ ๙๒ ไปเอาเมียอายุ ๑๖ นี่ผมก็ยังไม่ถึง ๙๒ เด้อ (พูดแล้วท่านก็หัวเราะ)

    คนบวชคนสึกมันเป็นธรรมดาโลก บางคนบวชมานานกว่าท่านอาจารย์มิตซูโอะก็ยังสึก ท่านอาจารย์หนูใหญ่ศิษย์หลวงปู่มั่น นั่งภาวนาได้ฌาณได้ญาณเห็นนู้นเห็นนี่ ท่านก็ยังสึก พระอริยคุณาธาร ขอนแก่นท่านก็สึก ในวงพระกรรมฐานเราก็มีให้เห็นอยู่ ไม่แปลกดอก ถ้าเรายังไม่แน่นอนในพระสัทธรรมมันก็มีโอกาสสึกกันทุกคน เพิ่นสึกออกไปหน่ะดีแล้ว ถ้าวิบากกรรมที่แก้เป็นพระไม่ได้ มันต้องสึกออกไปแก้ก็ต้องตามไปแก้มัน คุณเอ้ย คนสึกก็ใช่ว่าจะเสียหาย ใช่ว่าจะเลวไปซะหมด คนอยู่ก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์ ใช่ว่าจะดีไปเสียหมด หยังกำลังว่าสู้ไม่ไหวก็สึกออกไปนั้นถึงจะเป็นการที่น่ายกย่อง มาสู้ทนหลอกชาวบ้านเป็นมหาโจรอยู่มันก็ตกนรกนั้นแหล่ว คนที่ทำกรรมฐานมาตั้ง ๓๐ ปี เพิ่นบ่ได้ปึกได้โง่เด้อ เพิ่นคิดเพิ่นตัดสินใจแสดงว่ากำลังของกรรมฐานที่สั่งสมมาประคับประคองอยู่ การที่เพิ่นตัดสินใจถือว่าคิดดีแล้วในแนวของเพิ่น ที่เอามาว่ามานินทากันนั้นเพราะมันขัดใจเรา มันเข้ากิเลสเรา ว่ากันคะนองปาก คุณเอ้ย เล่นกันพระเหมือนเล่นกับไฟ ว่าเพิ่นชั่ว ถ้าเพิ่นชั่วเราไม่ได้บุญนะ เราเท่าตัว ว่าเพิ่นชั่ว เพิ่นบ่ได้ชั่วเราเป็นบาปเราขาดทุน ว่าเพิ่นแล้วมีแต่เท่าทุนกับขาดทุน หากำไรไม่ได้ ลงทุนแบบนี้ไม่งอกไม่เงยนะ เอาใจไปคิดเรื่องคนอื่นมันก็ทุกข์เรื่องคนอื่น แต่เอาใจมาไว้กับสติมาไว้กับเรานี้มันบ่ทุกข์มันมีแต่กำไร เพิ่นไปดีแล้วก็แล้วกันไป คุณเอ้ย ทุกคนหันหน้าเดินไปหาพระนิพพานกันหมดนั้นหล่ะ ถึงช้าถึงเร็วขึ้นอยู่กับเราเดินกับเราลงทุนดอก มาพบพระพุทธเจ้า พบพระธรรมคำสั่งสอน พบครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์แล้ว อย่าให้ขาดทุนเด้อให้เอากำไรจากเพิ่นเด้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  9. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    บทเรียนราคาแพง

    [​IMG]


    บทเรียนราคาแพง

    โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมผมยิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์เหลือเกินครับ ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน ไม่รู้อะไรประดังประเดเข้ามาตลอดครับผมหลวงปู่

    หลวงปู่ : เวลาคุณทำบุญ เวลาคุณปฏิบัติ มันกระทบกับเงินทองหรือเวลาปกติของคุณหรือเปล่า

    โยม : เปล่าครับผม เวลาผมทำบุญผมก็ไม่ได้ลำบาก เงินทองก็เป็นส่วนเหลือจากการเก็บการดูแลครอบครัวแล้ว การปฏิบัติของผมก็กระทำโดยไม่กระทบกระเทือนใคร พ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมียก็อนุโมทนา แต่มันก็มีปัญหาเรื่องอื่นๆเข้ามาไม่ขาด

    หลวงปู่ : คุณ เวลาคุณปฏิบัติคุณก็ต้องการพระนิพพานใช่หรือเปล่า นิพพานก็ต้องหนีโลก ต้องเบื่อโลก ถ้ามันไม่มีปัญหาเข้ามาคุณจะหนีโลกได้อย่างไร ถ้าคุณยังหวังสุขในโลกนี้ นิพพานของคุณก็เป็นนิพพานหลอกตัวเองหล่ะสิ โลกเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดปัญหาที่เข้ามาคือบทเรียน มารทั้งหลายคือครูของเรา เมื่อคุณปฏิบัติสูงๆขึ้นไป ปัญหามันก็จะสูงขึ้นไปด้วย ปัญญาคุณแค่อนุบาลปัญหามันก็อนุบาล บทเรียนก็อนุบาล ครูก็ครูสอนอนุบาล แต่เมื่อคุณเรียนปริญญา ปัญญาระดับปริญญา ปัญหามันก็ต้องปริญญา บทเรียนก็บทเรียนปริญญา ครูก็ครูสอนปริญญา คุณเรียนปริญาจะเอาข้อสอบเด็กน้อยอนุบาลมาสอบคุณมันจะสมกับภูมิปัญญาคุณหรือปฏิบัติเพื่อแสวงหาปัญญา เมื่อปัญญาเราสูงขึ้น ปัญหามันก็สูงขึ้น บทเรียนมันก็ยากขึ้น มารมันก็เก่งขึ้น คุณสอบตกจะหาว่าครูออกข้อสอบยากหรือ หรือจะโทษว่าตนเองเตรียมตัวสอบไม่ดี คุณเอ้ยโลกมันสอนเรา บางทีก็สนุกสำราญ บางทีก็เศร้าโศก บางทีก็ทารุณโหดร้าย คุณต้องได้เรียนทุกบท คุณจะบอกว่าไม่ชอบวิชานี้ไม่เรียนมันไม่ได้ เราชอบสุขเราเกลียดทุกข์ แต่เราก็ต้องเรียนทั้งสองอย่าง เมื่อคุณผ่านการสอบหนึ่งครั้ง คุณก็จะพัฒนาไปอีกขั้นบทเรียนบางบทมันอาจจะแพงไปสักหน่อยต้องแลกมาด้วยเงินทอง อวัยวะหรือแม้แต่ชีวิต แต่คุณอย่าลืมนะวิชาดีราคามันต้องแพง โลกสอนให้คุณรู้จักโลกในทุกรูปแบบทุกรสชาติ คุณจะได้เบื่อโลกหน่ายโลกอย่างแท้จริง นิพพานของคุณก็จะเป็นนิพพานจริงๆ อย่าพึ่งลาออกจากโรงเรียนกลางคันก็แล้วกัน คุณเชื่อเถอะว่าถนนเส้นนี้ผู้ปฏิบัติล้วนผ่านมาแล้วทุกคน ท่านเหล่านั้นก็เคยทุกข์อย่างคุณท่านยังผ่านไปได้ ให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอนและพระอริยะสงฆ์ที่ท่านผ่านไปก่อน ให้เชื่อว่าท่านเหล่านั้นไม่หลอกเราแน่ เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  10. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    คำถามจากเพจ

    [​IMG]


    คำถามจากเพจ

    ครูบาอุปฐาก
    ; กราบขอโอกาสองค์พ่อแม่ครับผม พอดีมีผู้มาฝากครับผม "ขออนุญาตกราบเรียนถามหลวงปู่ครับ คือผมไม่ถือศีลเลยสักข้อ แต่ผมพยายามจะละเว้นจากความชั่ว พยายามจะกระทำแต่กรรมที่ดี ทั้งทำจิตใจตนเองให้ผ่องใส และทั้งหมดนี้ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างตามเหตุการณ์สภาวะต่างๆที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่ใจเรารับรู้ตลอดทั้งชั่วและดีแค่นี้เพียงพอไหมครับ"

    หลวงปู่ ; คุณ พ่อออกสี พ่อออกมี บ้านเรานี้แก่จบป.๔ แก่รู้จักกฏหมายหรือเปล่า

    ครูบาอุปฐาก ; ขอโอกาสครับผม หนังสือแกยังอ่านไม่ออก อย่าว่าแต่กฏหมายเลยครับผม

    หลวงปู่ ; แล้วแกเคยถูกตำรวจจับหรือเปล่า

    ครูบาอุปฐาก
    ; ขอโอกาส ไม่เคยครับผม

    หลวงปู่
    ; เออกะนั้นหล่ะ พวกพ่ออกสี พ่อออกมี แกไม่รู้กฏหมายทำไมตำรวจไม่จับ ก็เพราะแกไม่ไปทำผิดกฏหมาย แกไม่ได้ไปทำชั่วทำเลวที่ไหน อย่างที่ผมเคยบอกเคยสอน เจตนานั้นสำคัญกว่าการกระทำ การกระทำที่ไม่ประกอบด้วยเจตนาเรียกว่ากริยา กริยามีผลคือปฏิกริยา ปฏิกริยามีผลในโลกนี้แต่ไม่มีผลในนรกนะ แต่การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาเรียกว่ากรรม กรรมมีผลคือวิบากกรรม วิบากกรรมมีผลในนรก มีผลข้ามภพข้ามชาติ คนเราถ้ารู้ว่ามันเลวมันชั่วมันขัดกับความรู้สึกสำนึกที่ดีในใจ แล้วทำอันนี้หล่ะเจตนา อันนั้นหล่ะผิดศีล ศีลคือปกติ ก็มันผิดปกติในใจ ผิดปกติในคนดีเขาทำกัน มันก็ผิดศีล คนที่ดีอยู่แล้วเป็นปกติ มั่นใจว่าตนเองดีแล้ว คนอย่างนี้ไม่มีศีลก็ได้ ศีลเป็นประเภทของความชั่ว เป็นชื่อของความชั่ว เอาไว้เป็นแบบเป็นแนวสำหรับคนอ่อนด้อย สำหรับคนที่ไม่มีตัวชี้ตัววัดความดีในใจ แต่ถ้าคุณมั่นใจแล้วว่าตัวเองดี ตัวเองไม่ชั่วไม่เลวไม่มีศีลก็ไม่เป็นอะไร คนทำดีหน่ะมันทำง่าย แต่คนที่ละความชั่วนั้นหายาก ยิ่งคนทำจิตทำใจให้พ้นจากความชั่วและความดีหายากยิ่งกว่า คนที่ไม่มีศีลแต่ไม่ไปทำชั่วทำเลวที่ไหน ไม่จำเป็นต้องมีศีล ก็เหมือนคนไม่รู้กฎหมายแต่ไม่ทำผิดกฏหมายนั้นหล่ะ เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  11. Noinea

    Noinea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +1,902
    สาธุๆๆ อนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ

    ดีมากๆเลย catt10
     
  12. data44

    data44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +158
    ธรรมะที่สุดยอดมากอยากมีดอกาสไปกราบหลวงปู่จั่ง
     
  13. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    ต้นฉบับอยู่ใน เฟสบุ๊ค ครับ ผมเป็นเพียงแต่ผู้นำมาบอกต่อครับ :cool:
     
  14. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    หลวงปู่ท่านมาวัดธรรมมงคล บ่อยครับ ท่านจะอยู่กุฏิกลางน้ำ แต่ช่วงนี้เข้าพรรษา ท่านน่าจะอยู่ที่วัดท่าน จ.กาฬสิน ครับ
     
  15. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    เณรรุ่นใหม่หัวใจว้าวุ่น

    [​IMG]
    รูปภาพ: หลวงปู่หา(หลวงปู่ไดโนเสาร์) และ หลวงพ่อวิริยัง


    เณรรุ่นใหม่หัวใจว้าวุ่น

    หลวงปู่ ; ครูบา บอกครูบาเณรเอากลดไปกางภาวนาที่ยอดภูเด้อเย็นนี้

    ครูบาอุปฐาก ; ครับผมหลวงปู่ (แล้วชั่วโมงต่อมา ครูบาเณรก็ทำตาละห้อยมาหาหลวงปู่)

    สามเณร ; ขอโอกาสพ่อแม่ครับผม ครูบาไปบอกผมว่าคืนนี้ พ่อแม่จะให้ผมไปจำวัดยอดภู หรอครับผม

    หลวงปู่
    ; อือ เจ้าพูดมากคุยมาก ไปเที่ยวหาครูบากุฏินี้ ไปเที่ยวหาครูบากุฏินั้น กลางค่ำกลางคืน ไม่หลับไม่นอน บางคืนก็ขอนอนกับครูบาที่กุฏิเลย ไม่เดินจงกรม ไม่ภาวนา

    สามเณร ; ขอโอกาสครับผม ก็กระผมกลัวผี ให้กระผมอยู่กุฏิ ข้างเจดีย์ ผมก็ไม่อยู่หล่ะครับผม กะยังว่าคนย้านเนาะ( ก็คนมันกลัวนี่ครับผม จะให้ทำอย่างไร )

    หลวงปู่ ; เออ นั้นหล่ะ ไปเลย ไปกางกลด จำวัดบนยอดภูเลย ไม่เช้าไม่ต้องลงมา ไปกลัวมันทำไมผีหน่ะ ในตัวคุณมีผีมากกว่าอยู่บนภูอีก ผีวัว ผีควาย ผีหมู ผีปลา อยู่ในท้องคุณนั้น มันก็มีวิญญาณเหมือนกันกับคน ตายไปมันก็เป็นผี ไปกลัวผีข้างนอก ทำไมไม่กลัวผีข้างใน

    สามเณร ; ขอโอกาสครับผม กะยังว่าผมย้าน สิเฮ็ดจั้งได๋ ผมบ่ได้ย้านเด้อผีปลา ผีหมู ผมย้านผีคน ( จะให้ผมทำยังไง ก็ผมกลัว ผมไม่ได้กลัวผีหมู ผีปลา ที่ผมกลัวคือคนที่ตายไปแล้วครับผม )

    หลวงปู่
    ; ฮ้วย ( อันนี้ผมแปลไม่ได้ แอดมิน ) คนตายมันก็ผี หมาตายมันก็ผี หมูตายมันก็ผี ทำไมไม่กลัวทำไมไม่กลัวคนเป็น ผีมันไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร ผีมันไม่ไปกวนครูบาพระเจ้าพระสงฆ์เวลาหลับเวลานอน
    ผีมันไม่ได้ไปเที่ยวคุยกับพระกุฏินั้น กุฏินี้ มีแต่คนต่างหากที่ทำให้มันยุ่ง ใช่ไหม

    สามเณร
    ; ( ทำหน้าละห้อย ) ขอโอกาส ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่มีคาถากันผีรึเปล่าครับผม

    หลวงปู่ ; เหอะๆ มี เวลามันกลัวผี ให้ถามเจ้าของว่า "ผีอยู่ไหน" ดูมันให้แจ้งดูว่าผีมันอยู่ไหน อย่ากลัวผี ให้คุณกลัวความกลัวที่เกิดในใจคุณ ดูความกลัวมันให้แจ้ง ดูตั้งแต่มันเริ่มกลัวจนมันหายกลัว คุณจะรู้ว่าความกลัวมันมาได้มันก็ไปได้ คุณดูความกลัวได้ ความดีใจ เสียใจ ความโกรธ ความริษยา พยาบาท มันก็มีค่าเท่ากัน ดูอารมณ์ ดูอนิจจัง ดูทุกขัง ดูอนัตตา ดูมันเกิด มันเปลี่ยน มันทุกข์ ไม่บังคับไม่ได้ ดูให้มันออก ดูอารมณ์เดียวออก ทุกอารมณ์มันก็ยี่ห้อเดียวกันนั้นหล่ะ เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ขออนุโมทนาครับ หลวงปู่สอนได้ดีมากๆครับ เป็นผู้รู้โลกและธรรมอย่างแจ่มแจ้งแล้วครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  17. num_hardcore

    num_hardcore Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +90
    อนุโมทนากับผู้เอามาลงด้วยครับ หลวงปู่ท่านตอบปัญหาได้อย่างทะลุแจ้งเลยครับ ขอบคุณมากครับ
     
  18. thongchat

    thongchat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +2,195
    สังฆัง นะมามิ

    กราบ กราบ กราบ
     
  19. อริยะ ชน

    อริยะ ชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,042
    กราบหลวงปู่ด้วยใจที่เคารพครับ ...ปิติมากครับเพียงได้อ่านเนื้อธรรมะที่หลวงปู่ท่านสอน
    อนุโมทนาอย่างยิ่งที่นำมาเผยแผ่เป็นธรรมทานครับ

    ได้ฟังธรรมอย่างนี้...เป็นบุญนัก
     
  20. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    เมียบ่นผัว

    [​IMG]
    รูปภาพ: หลวงปู่หา(หลวงปู่ไดโนเสาร์)คือ รูปที่นั่งเก้าอี้ชมพู ....ส่วนที่นั่งเทศน์คือหลวงพ่อวิริยังค์


    เมียบ่นผัว

    วันนี้ช่วงบ่ายๆ ขณะที่องค์หลวงปู่กำลังควบคุมการก่อสร้างศาลาที่พักผู้ปฏิบัติธรรมที่ศาลาใหญ่อยู่นั้น มีสุภาพสตรีกลุ่มใหญ่เข้ามานมัสการถวายของ ถวายน้ำปานะแก้วใหญ่และถวายปานะมัตถ์แล้วก็กราบเรียนปรึกษาหลายๆเรื่อง

    โยม ๑ : หลวงปู่เจ้าขา ผัวโยมไม่ได้ดังใจเลย ทำมาหากินไม่ร่ำไม่รวยซะที ไม่รู้เมื่อไหร่จะรวยกับเค้าบ้าง

    โยม ๒ : ส่วนผัวอีชั้นนะค่ะ ไปมีเมียน้อยไปทำงานที่นั้นก็มีที่นั้น ไปทำงานที่นี่ก็มีที่นี่ อิชั้นจะอกแตกตายอยู่แล้ว

    โยม ๓ : ผัวโยมก็กลับบ้่านดึกๆดื่นๆ บางวันก็กลับเช้า บางวันก็ไม่กลับก็มี สงสัยจะไปมีอีหนูที่ไหนก็ไม่รู้เจ้าค่ะ

    ขณะที่หลวงปู่นั่งฟังโยมสาธยายสรรพคุณของสามีอยู่นั้น "ไอ้บุญฮอง" สุนัขที่หลวงปู่เลี้ยงไว้ ก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงที่หลวงปู่นั่งอยู่ แล้วก็เริ่มเลียกินน้ำในแก้วขององค์หลวงปู่จนอิ่มแล้วก็กระโดดลงจากเตียงไป

    โยม ๑ : ว้าย หลวงปู่เจ้าขาไม่เห็นหรอหมามันกินน้ำในแก้วหลวงปู่แล้วหลวงปู่หยิบมาฉันทำไมเจ้าค่ะ สกปรกออก

    หลวงปู่ : ไม่สกปรกดอก ปากหมามันสะอาด

    โยม : มันสะอาดยังไงเจ้าค่ะ ไปกินอะไรมาก็ไม่รู้

    หลวงปู่ : นั้นสิไปกินอะไรมาก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆหมามันไม่เคยนินทาผัวให้หลวงปู่ฟัง

    โยม : ..................................

    หลวงปู่ : คนทำงานหาเงินมันต้องได้เงิน คนไปหาเห็ดมันต้องได้เห็ด คนไปจับกบจับเขียดมันต้องได้กบได้เขียด คนที่จับผิดแต่คนอื่นมันก็จะได้แต่ความผิด คนที่คอยจับถูกคนอื่นมันก็จะได้แต่ความถูก ไปมัวแต่มองความผิดเขา มันแต่มองส่วนไม่ดีเขา แล้วเคยมองส่วนไม่ดีตัวเองหรือไม่ เคยจับผิดตัวเองรึเปล่า เคยพิจารณาตนเองบ้างหรือเปล่า ว่าที่เขาไปมีเล็กมีน้อยนั้นส่วนหนึ่งเป็นความผิดเราหรือเปล่า การที่อยู่ด้วยกันไม่มีความสุขเป็นเพราะเรารึเปล่า หรือมัวแต่ไปจับผิดเขา หาผิดมันก็ได้แต่ความผิดนั้นหล่ะ ผัวกันเมียกัน มีอะไรก็คุยกันปรึกษากัน แต่อย่าปรึกษาดังปรึกษาให้มันได้ยินกันสองคน เดี๋ยวชาวบ้านเขารู้ ปัญหาทุกอย่างมันแก้ได้ อยู่ที่ว่าจะแก้หรือไม่ หรือทิ้งไปเสีย หัดเป็นคนจับผิดคนอื่นน้อยๆ จับผิดตัวเองมากๆ จับถูกคนอื่นมากๆ แล้วจับผิดคนอื่นน้อยๆ ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่มีข้อเสีย แม้แต่พวกคุณเองยังมีข้อเสีย แก้ไขข้อเสียจากตัวเรานี้ไป ถ้าทุกคนทำหน้าที่ตนเองคือแก้ไขข้อเสียของตน มันจะมีปัญหาหรือไม่ "คนเราถ้าพูดดีจะมีทั้งฟันมีทั้งเหงือก แต่ถ้าพูดไม่เลือกจะเหลือแต่เหงือกฟันไม่มี" เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...