ผมเกิดมาชาตินี้ไม่รู้เกิดมาไม มีคำถามมากมายอยากหลุดพ้น ช่วยด้วยครับ ยาวหน่อยนะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อหิงสกะกุมาร, 31 ตุลาคม 2007.

  1. อหิงสกะกุมาร

    อหิงสกะกุมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +145
    ยาวหน่อยนะครับ แต่ถือว่าเมตตาผมหน่อยเถิด เป้นกุศล
    ผมซีเรียสกับปัญหานะครับ

    ก่อนหน้านี้ผมไม่ถูกกับศาสนาอย่างแรง ธรรมะนี่อย่าเอามาใกล้เลยครับ ไม่ชอบ ร้อน เบื่อ จะหลับ .

    แต่..........
    ช่วงนี้ผมโชคดีได้มีโอกาสได้พบกับเพื่อนใหม่คนนึง โดยเค้าเป็นคนธรรมะธรรมโมมาก ผมกับเค้าเป็นอะไรที่ตรงข้ามกันมาก ไฟกับน้ำ มารกับพระ แต่ในที่สุดเค้าก็ได้ชักชวนผมให้ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมะ และ ประวัติพระองคุลีมาลเถระนะครับ แล้วรู้สึกมันเข้าตัว เหมือนอ่านเรื่องตัวเองยังไงไม่รู้ เหมือนเกือบทุกกระเบียด ให้ตายสิ-_-"
    แต่ก็ธรรมะที่อ่านช่วยขัดเกลาจิตใจได้เยอะเลื่อมใสมากครับ หยุดกรรมผมได้มากมาย แต่ก็นะ มันก็มีปัญหาอีกมากมายเช่นกัน
    ผมรู้สึกเป้นทุกข์กับโลกมนุษย์มากเลยครับ คือ เบื่อด้วย ทุกข์ด้วยบางเวลา คือ มองเห็นภาพอะไรในหัวมากมาย เหมือนบางทีตัวเองไม่เหมือนชาวบ้าน แล้วก็บางทีมักสัมผัสกับอะไรเร้นลับด้วย(ก่อนหน้านี้ก้เรียนไสยศาสตร์มาปีนึงก่อนจะมีผุ้ใจบุญท่านนึงชี้แนะแนวทางสว่างให้เราหลุดพ้นได้ แต่หลังจากนั้นก็ไปพัวพันกับพวกเล่นของอีก แต่เค้าแกล้งผมนะ ผมไม่ได้เรียนมันอีก)







    ไม่รู้สิครับ ผมผ่านชีวิตมา จะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็น้อย
    แต่มันทำให้ทุกวันนี้ผมพยายามหาทางหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ




    *อยากจะขอคำชี้แนะจากผู้รู้ทุกท่าน หรือถ้าเป็นพระ หรือ ถ้าแนะนำพระที่ดีๆให้ผมได้ยิ่งดีครับ ปล่อยผมออกจากกรงนี่ทีเถอะ แนะนำผมด้วย.............




    ผมคงต้องขอแจกแจงตัวเองอย่างละเอียดหน่อยนะครับ ถึงสิ่งดีและเลวทั้งกาย วาจา ใจที่ผมเป็นอยู่ในชาตินี้ที่มันทั้งปกติและไม่ปกติ

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    สิ่งดีๆที่ผมทำเสมอ
    1.ช่วยชีวิตสัตว์ครับ ผมมักช่วยชีวิตสัตว์โดยเฉพาะปลาที่จะโดนฆ่าตามตลาดเสมอ ปล่อยเกือบทุกวันเลยครับ วันนึงก็เกือบร้อยชีวิต คือ จริงๆอยากจะช่วยทั้งหมดทุกวัน แต่ กำลังทรัพย์เราไม่อาจจะทำได้ครับ
    คือ ผมจะเป็นคนสุดโต่งในทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
    อย่างเช่น ทำบุญปล่อยปลาก็อยากจะทำแบบทั้งตลาด ช่วยทุกคนทุกตัวให้อยู่รอดปลอดภัยครับ
    2.มีน้ำใจ และ เมตตาช่วยผู้อื่นเสมอครับ(และก็สุดโต่งเช่นเดิม) อนาคตตั้งใจว่าถ้ารวยจะช่วยเหลือคนยากไร้เสมอๆ และ ก่อนจะสิ้นชีวิต(ผมเป็นเกย์ไม่มีบุตรแน่) ผมจะสร้างพระประธานและถวายเงินเข้าวัดกับมูลนิธิช่วยคนยากไร้ครับ
    3.คิดดีทำดีกับผู้อื่นเสมอครับ(ในสภาวะใจปกติ)
    4.ตั้งมั่นในการทำดี ทั้งกาย วาจา ใจ(จะคุมสติตัวเองไม่ให้คิดร้าย ทำร้ายเลยแม้แต่น้อยเสมอ จนบางทีก็อึดอัดครับ ก็เพราะเรายังเป็นมนุษย์)
    5.จริงใจ ใสซื่อ(จนหลายครั้งเป็นภัยกับตัวเองมากมาแล้ว) กับผู้อื่นทุกคนครับ
    6.อื่นๆอีกหลายข้อ ก็คือ ผมทำดีเยอะมากเหมือนกันครับ เคยมีทั้งพระทั้งชี ทั้งผุ้มีพลังแปลกๆหลายคนทักว่ามีบุญญาธิการสูงส่ง มีลักษณะมหาบุรุษหลายข้อมาก(เช่นตัวโต เสียงกังวาลเปล่งใส ติ่งหูใหญ่ยาวยาน หรือ อะไรหลายลักษณะแห่งมหาบุรุษที่เคยกล่าวไว้ในลักษณะพิเศษของผู้มีกรรมดีบุญดีที่พระพุทธเจ้ามี)







    ส่วนด้านร้ายก็จริงๆครับ สุดโต่งอยู่ดี
    1.เด็กๆมักจะ"ชอบ"พูดเท็จเสมอเหมือนทับถมคนอื่นด้วย แต่ก็คือเด็กน่ะนะ โตแล้วคิดได้ก้ระงับลงไปได้เกือบหมด มีพลั้งบ้างบางเวลานานๆครั้ง
    2. จากข้อหนึ่ง โตขึ้นเลิกโกหก แต่มักชอบพูดเล่นมากๆแล้วก็มาก บ่อยสนุกสนานครับ เลยรู้สึกจะออกแนวเพ้อเจ้อ เหมือนผิดศีลข้อสี่ ไม่รู้จะบาปไหมครับ
    ข้อนี้ระงับได้น้อยลง แต่ก็ยังถือว่ามีพุดอยู่ในเกณฑ์ที่มากอยู่
    3.เจ้าโทสะเหลือเกินครับ คือ ถ้าอยู่คนเดียวอารมณ์ก็ปกติ แต่พอโดนยั่วให้โกรธ ซึ่งก็ยั่วได้ง่ายมาก โทสะจะร้ายขนาดทำลายทุกอยางที่ขวางหน้าได้(ผมถึงมักเก็บกดตัวอยู่คนเดียวในห้อง ไม่อยากให้เกิดโทสะกับผู้อื่น)
    มิหนำซ้ำ ยังชอบเบียดเบียนตัวเอง โดยเป็นพวกวิตกจริต คิดด้านลบ(มีผลจากอดีตและตั้งแต่เกิดร่วมกัน) คือ สมัยเด็กๆโดนคนรอบตัวทั้งเพื่อน บุพการีแกล้ง และ บีบอัด และเราก็โดนสอนไม่ให้พูดหรือเถียงหรือบอกว่าไม่พอใจออกมา จนโตขึ้นเก็บกด ก็เลยกลายเป็นนิสัยตรงข้าม จากเรียบร้อยอ่อนโยนน่ารัก เงียบ ก็เลยมีบุคลิกใหม่เกิดมาเป็นบุคลิกก้าวร้าว รุนแรงมาก และจะระเบิดทำลายศัตรูทุกครั้งที่โดนกระทำ ไม่เก็บกดเหมือนเด็กๆอีกต่อไป

    ไม่รู้ว่า ไอ้โทสะจริต กับ วิตกจริต จะมีผลกรรมแค่ไหนกัน?

    *3. ชอบขโมยเงินพ่อใช้ครับ เงินเหรียญๆน่ะ ไม่ชอบขอ เพราะขอแล้วโดนติ มันจะหงุดหงิด
    แต่ของคนอื่น ตอนนี้ไม่เคยคิดจะทำเลยครับ

    อันนี้ระงับได้น้อยจริงๆ เหอๆ
    แต่ทำแล้ว ก็จะอนุโมทนาบุญให้พ่อนะครับ "ศรัทธา ทะนัง อนุโมทามิ" ประมาณว่าขอให้ผลบุญนี้ถึงพ่อด้วย ผมไม่ได้เอาเงินไปฆ่าหรือเบียดเบียนใครนะครับ เป็นการตัดกรรมไปส่วนนึง เพราะนี่ก็คือเงินของครอบครัวเราเอง และ พ่อก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการกระทำเรา จึงคิดว่าไม่น่าบาป(จริงๆพ่อก็รู้ว่าเราเอา แต่เค้าก็ไม่ว่า) แต่ถ้าไปเอาแล้วเค้าเดือดร้อน บาปแน่
    4.ผมไม่รู้เป็นอะไร เป็นกรรมในอดีตชาติหรือเปล่าไม่รุ้ ไม่ถูกกับพ่อแม่ตัวเองอย่างแรงครับ เมื่อก่อนเค้าก็ร้ายกับผมนะ แต่หลังๆพูดคุยกันเค้าก็ปรับตัวดีจนถึงดีมาก แต่อย่างที่บอก เหมือนเป้นกรรมเก่า ผมไม่ถูกกับท่าน บางทีสมองเรารับรู้ว่าท่านถามสารทุกข์สุขดิบเราเพราะหวังดี แต่เราจะรำคาญปนเกิดโทสะกับท่านเอามากๆ ส่วนมากผมก็จะรีบออกไปให้ไกลทันที เพราะไม่อยากก่อกรรมกับพ่อแม่ แต่ก็หลายครั้งที่ผมฟิวหลุด ด่าว่าด่าทอพ่อแม่รุนแรง เหมือนเอาคืนยังไงไม่รู้ ทั้งๆที่ใจไม่ได้อยากทำ แต่กายกับปากมันไปแล้ว
    ข้อนี้ไม่รู้เป็นกรรมเก่าหรือเปล่า มันไร้เหตุผลสุดๆ










    *****5******* ข้อนี้ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นกรรมเก่า เพราะมันสุดๆจริงๆและผิดปกติมากครับ
    ผมเป็นคนที่เกิดมาเด็กๆอ่อนโยน มีเมตตา รักสงบจริงครับ คือ ดีทุกอย่าง ว่านอนสอนง่าย(อันนี้พ่อแม่และคนรอบตัวบอก) สันโดษ เงียบขรึม น่ารัก

    แต่กระนั้นอย่างนึงที่ผมรู้ตัวว่าผมผิดปกติคือ ผมทำกิจทางเพศด้วยตัวเองเป็นตั้งแต่สามขวบหรือก่อนหน้านั้นอีก (ที่จำได้เพราะไปทำที่เนอสเซอรี่ด้วยตอนนั้นสามขวบ) แต่ที่ว่าผิดปกติไม่ใช่ทำเป็นเร็ว แต่คือ ทุกครั้งที่ทำ จะต้องนึกถึงการฆ่าทุกครั้งเลยครับ "เป็นตั้งแต่เกิด ไม่ได้โดนสื่อหรืออะไรเลยมันเป็นของมันเอง"

    เด็กๆก็เป็นความรู้สึกเล็กๆน้อยๆเบาบาง แล้วก็จะไปเกิดกับสัตว์ คือ ฆ่าดื้อๆเฉยๆ

    แต่พอโตเป็นวัยรุ่นตอนต้นๆ มันเบนเป้ามาหาคนเลย อารมณ์ทางอย่างว่าจะเกิดในลักษณะฆ่าๆเสมอ และ จะเกิดกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งมันเฉพาะเจาะจงว่าคนนี้ลักษณะนี้เลย กับ ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายก็จะปกติ
    คือ เหมือนผมเป็นคนหลายบุคลิกอะครับ ด้านดีก็คือเป็นพระได้เลยเมตตาสุดๆดีสุดๆ แต่ด้านร้ายก็เป็นแบบเนี้ย แล้วก็คือ ทรมานเพราะมันขัดแย้งตีกันเองในใจสุดๆ

    แต่เวลาอย่างว่า มันอดคิดแบบนั้นไม่ได้ และยิ่งโต มันยิ่งเพิ่มความโหดร้ายเข้าไปอีก จากเด้กๆแค่คิดเล่นๆว่าฆ่าสัตว์ๆ โตมาเป็นวัยรุ่นมันเริ่มคิดเป้นคน พอโตอีกมันไม่ฆ่าเฉยๆจะออกแนวทำยังไงก็ได้ให้ทรมานที่สุด เจ็บปวดที่สุดนานที่สุดทั้งกายใจก่อนตาย และความรู้สึกมันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยทุกวันทุกวินาที จากที่คิดฆ่า เป็นฆ่าทรมาน จากที่ฆ่าทรมานเป็นก่อนทรมานจะแกล้งเล่นไซโคก่อนฆ่า ถัดมาก็เป็นเข้มข้นในลักษณะเริ่มกึ่งๆจะอยากทำจนดูภาพหรือคลิปโหดๆแล้วเฉยๆไปเลยหรือชอบดูไปเลย จนตอนนี้ผมเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลายแล้ว ไม่รู้ต่อไปจะเป็นยังไงเนี่ย

    คือมันเหมือนเสน่ห์ของบุคคลกลุ่มนั่นอยู่ที่การฆ่า ทรมาน ความหวาดกลัว ความเจ็บปวด ความตาย ยิ่งเจ็บยิ่งมีเสน่หืยิ่งชอบ อะไรแบบนั้น

    แต่พอเสร็จ ไฟรุนแรงก็ดับวูบไปเป็นระยะใหญ่เลย กลับเป็นอีกคนไป =*=



    ความชั่วอย่างอื่น ส่วนใหญ่ผมจะนึกถึงธรรมะได้เสมอๆและระงับมันได้เกือบทั้งหมด แต่พอข้อนี้มันเป็นเสมือนบุคลิกอีกด้านอีกคนในตัวเราเลย พอถึงเวลานั้น ไอ้คนที่พิมพ์ๆอยู่เนี่ย มันหายไปไหนเกือบหมดไม่รู้ คือ อารมณ์เป้นอีกคน จะเต็มไปด้วยไฟในหัว

    ข้อนี้มันเป็นตั้งแต่เกิด เป้นไปเองจริงๆของมัน มีแรงกระตุ้นเพิ่มความรุนแรง(ที่จะบอกตอนท้าย)จากคนรอบข้าง เหมือนจุดไฟไว้ตั้งแต่เกิด แล้วมีคนรุมเอาน้ำมันราดน่ะครับ

    แม้จะเจอธรรมะยังไง ข้อนี้ ผมก็สะกดได้ดีที่สุดแค่ไม่กระทำออกมา แต่ เวลาอย่างว่าด้วยตัวเองก้จะไม่สามารถที่จะไม่คิดได้ ไม่งั้นไม่มีทางมีอารมณ์ และผมจะเป็นคนมีอารมณ์ทางเพศที่รุนแรงมากเป็นตัวขับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ทำอย่างว่า ตัวผมเองก็จะลนลานอยู่นั่นเหมือนคนโดนไฟเผาหรือลงแดงติดยาเต็มขั้น

    มันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมคิดว่า มันจะเป็น มโนกรรมไหม?
    แล้วผมจะบาปมากไหม?





    เด็กๆผมถูกเลี้ยงแบบกดขี่ บังคับในกรอบสุดๆน่ะครับ
    แล้วก็ ไม่มีเพื่อนดีๆ ไม่มีเพื่อนที่รักเรา ไม่มีคนที่รักเรา คือ โดนแกล้งจากคนรอบตัวเสมอ ไม่ว่าการกระทำหรือวาจา ทำดีแค่ไหนก็เหมือนไฟตกน้ำ มันเลยเพิ่มสิ่งร้ายที่ว่าที่มีมาแต่กำเนิด ให้แรงขึ้นด้วยความอาฆาตแค้น โกรธน่ะ โทสะที่มันเกิดตอนนี้ง่ายๆแรงๆ ก็ผลจากส่วนนี้โดยตรง ในอดีตบ่อยครั้งที่เราโดนรุมกระทำจากรอบๆตัวทั้งๆที่เราก็ทำดีอยู่ เผลอๆมากกว่าความดีที่คนแกล้งเราทำหลายเท่านัก แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ เค้าก้ยังเลวและคิดร้าย ทำร้ายเราอยู่ดี จนบางครั้ง หลายครั้งที่โดนกระทำมามากมาย ผมถึงกับสาปแช่งคนที่ทำร้ายผมเป็นเรื่องราวชนิดที่จะจองเวรไปทุกชาติทุกภพ และเป็นการสาปแช่งที่รุนแรง ชนิดที่เราเองที่เป็นคนแช่งยังร้อนในปาก ลำคอ และดวงตาเลย ที่มันเหมือนไฟประลัยกัลป์

    แต่ตอนนี้ศึกษาธรรม ก็อโหสิให้พวกเค้าให้มากที่สุด แต่ที่ไม่บอกว่าโหสิไปหมด เพราะบางทีที่ปัจจุบันเราโดนกระทำร้ายๆ ด้วยความเจ็บปวดเราก็จะเผลอดึงเอาความแค้นในอดีตทั้งหมดที่เคยโดนทำ เอามาทบทวนความแค้นและพร้อมสาปแช่งคนที่ทำร้ายเราทั้งเก่าและใหม่ซ้ำต่อไป












    ***ผมจะทำยังไงดีครับ ทุกวันนี้และที่ผ่านมา ผมพยายามควบคุมการกระทำ ทั้งกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรอบศีลธรรม เข้าวัดบ่อยมาก ทำบุญตักบาตร ปล่อยปลาบ่อยมาก(แต่ยังไม่กล้าสมาธิ สวดมนต์ กลัวร้อน เพราะเดิมทีไม่ชอบศาสนาหรือธรรมมะ)

    การกระทำ ผมไม่ค่อยจะกลัวเท่าไร ดังนั้นกรรมอันเกิดจากกระทำ ผมจึงห่วงน้อยกว่ากรรมอื่นๆ
    กรรมวาจาผมก็เผลอปากไวบางครั้ง แต่ก็ควบคุมได้มากขึ้นๆเรื่อยๆ



    แต่มโนกรรมเนี่ยสิ หลายครั้งที่ผมคิดในแง่ลบ แง่ไฟเผาผลาญทั้งตัวเองและคนอื่นที่เคยทำเราเจ็บช้ำไว้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ควบคุมยากสุดคือ มโนกรรมอันเป็นไฟประหลาดทางเรื่องกามนั่นแหละ ไม่กระทำน่ะคุมพอไหว แต่ไม่ให้คิดนี่ทำไม่ได้เลย ไม่รู้ทำไม ผมห่วงกรรมตัวนี้มากที่สุด กรรมแห่งจิตใจ หรือ มโนกรรม





    ไอ้ผมก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก ทำไมเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้
    ถ้ามีลักษณะแห่งมหาบุรุษหลาย มีกรรมดีหลาย แล้วทำไมเป็นแบบนี้ได้ T_T










    ช่วยแนะนำผมทีครับ ผมไม่อยากลงอบายภูมิ ไม่อยากทุกข์ไปกว่าเดิม ไม่อยากเลว ไม่อยากชั่วเหมือนคนหลายๆคนในยุคชาติภพปัจจุบันที่ผมเกิดมาอยู่ตอนนี้ พยายามศึกษาธรรมแล้ว และจะศึกษาต่อไปยึดมันต่อไป แต่อย่างบางข้อมันก็ยากมากจนค่อนเกินกำลังเรา เหมือนกรรมมันกำลังควบคุมจิตเรา(ไม่รู้จะเคยไปสาปแช่งเอาคืนใครเหมือนองคุลีมาลหรือเปล่า) มิหนำซ้ำ เคยไปเสี่ยงเซียมซีก็ได้ใบองคุลีมาล(ต้นร้ายปลายดี ให้อาศัยธรรมเข้าช่วย มันบอกงั้น) ไปวัดบางทีพระบอกหนูเปรียบเสมือนองคุลีมาลในยุคนี้


    คิดๆแล้วก็ อยากไปนิพพานจริงๆให้ตายสิ
    โลกมันวุ่ยวายเหลือเกิน
    มนุษย์นี่ก็น่าเบื่อ ฆ่าฟันกันเองอยู่ได้ แย่งเบียดเบียนชิงดีชิงเด่นกันไม่อายกรรมเล้ย







    เบื่อโลกครับ อยากหลุดพ้น

    ช่วยแนะนำผมทีเถอะ ผมควรจะทำยังไงกับทั้งกรรมดี และโดยเฉพาะกรรมไม่ดีทั้งห้าข้อนั้น
    ซึ่งเป็นมโนกรรมมากที่สุด และรองลงมาก็วจีกรรม โดยเฉพาะข้อสุดท้าย ตอนเวลาผมปกติ นึกถึงสิ่งที่ผมคิดอยากทำตอนเป็นอีกด้าน ผมยังกลัวตัวเองมากเลย
    "บางที(ประจำ) ก็นึกในใจเหมือนคุยกับตัวเอง ประมาณว่า ถ้ามีอีกคนอยู่ในตัวชั้น ปล่อยชั้นไปเห้อะ กุไม่ชอบเมิง กุกัวเมิงมากเลย เมิงออกไปผุดไปเกิดที่ไหนก็ได้ ส่วนกูจะไปนิพพานแล้ว ปล่อยกูไปเหอะ ได้โปรด"
    เหมอืนคนบ้าเลย T_T






    ช่วยแนะนำทีครับ
    กรรมเลวผม ตามที่บอก มันหนักมากไหม ผมจะทำยังไงดี ผมอยากหลุดพ้น อยากบรรลุโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
    แต่เป็นแบบนี้มันจะเป็นได้ยังไงเนี่ย


    แนะนำทีครับ จะทำยังไงดี ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกว่า ให้ไปบวชนะครับ จริงอยู่ช่วงนี้ผมจะบวชแต่ก็แค่ระยะสั้นๆ และผมยังไม่พร้อม อีกทั้งรู้ด้วยจิตตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา ไว้บั้นปลายก่อนคิดว่าน่าจะบวชแล้วไม่สึกเลย

    แต่ช่วงชีวิตนี้ที่เหลือ จะทำยังไง ไม่อยากบาปกรรมสะสมไปหนักกว่าที่เป็นอยู่นัก ช่วยแนะที ไม่อยากบาปอีกแล้ว หรือ อย่างน้อย ให้บาปน้อยสุด

    ผมควรจะทำยังไงครับ


    แนะนำหน่อย จะทำยังไงดี มีพระที่ไหนดีๆมีญาณพิเศษ สอนสั่งเราได้เหมือนพระพุทธเจ้าม่งเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2007
  2. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    ที่ผมอ่านตั้งแต่ตัวอักษรแรกถึงตัวอักษรสุดท้าย ทำให้ผมรับรู้ได้เลยว่า คุณมีอารมณ์ที่รุนแรงมากๆ เพราะความรู้สึกของคุณที่ส่งผ่านมาจากตัวหนังสือ ทำให้ภาวะอารมณ์ของผมบีบคั้นยิ่งนัก

    เอาล่ะ...ผมจะช่วยแนะนำให้ตามภูมิธรรมที่ผมมีนะครับ

    ตอนนี้ถือว่าคุณโชคดีล่ะ ที่ได้เจอเพื่อน เจอกัลยาณมิตรที่ดี เกาะติดเขาไว้ สนทนา แลกเปลี่ยนธรรมกันให้มากๆ คุณเป็นคนร้อน เหมือนไฟ ด้วยราคะต่างๆ แต่เพื่อนของคุณเย็น เหมือนน้ำ ด้วยธรรมะของพระพุทธองค์ ไม่ต้องห่วงว่า ไฟกับน้ำ เจอกันแล้วจะพังพินาศ น้ำที่เป็นธรรมะย่อมยิ่งใหญ่กว่าอยู่แล้ว ให้คุณดูดซึมน้ำเย็นๆ [ธรรมะ] จากเพื่อนคุณมา ถ่ายทอดสิ่งดีๆจากเพื่อนคุณมาสู่คุณ เพื่อดับความร้อนในตัวคุณ แต่...อย่าหวังจะพึ่งเพื่อนคุณอย่างเดียว คุณต้องสร้างความเย็นให้กับตัวคุณเองด้วย เพื่อดับไฟราคะนั้นๆให้จางลง อาจจะด้วยการศึกษาธรรมะจากพระไตรปิฎกบ้าง หรือหนังสือธรรมะจากที่ต่างๆ เพื่อศึกษาถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่มี...ในหนังสือธรรมะทุกเล่มมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว

    มัชฌิมปฏิปทา คือทางสายกลาง อย่าให้ตึงนัก อย่าให้หย่อนนัก อย่าสุดโต่ง ข้อนี้พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ ลองหาอ่านดูนะ

    สำหรับเรื่องการทำบุญโดยเฉพาะกับสัตว์นั้น เช่น ปลา เป็นต้น ไม่ใช่ว่าไม่ได้บุญ แต่อานิสงค์น้อยไป ถ้าเทียบกับการทำบุญกับคน

    เทียบอนิสงค์ของการทำบุญ

    *************************************************

    ข้อ 1-2....เมื่อรุ้แล้วว่าต้องควรระงับก็ระงับซะ ด้วยการมีสติอยู่กับ กาย วาจา ใจ จะได้ไม่พลั้งเผลอ พระพุทธองค์เน้นเรื่องการไม่ประมาท การมีสติมากๆ เพราะเหตุแห่งการที่เราจะทำอะไรไปผิดๆเพราะประมาท ไม่มีสตินี่แหละ
    ฉะนั้น จึงควรพูดให้น้อยลง ก่อนพูดก็คิดก่อนที่จะพูด แล้วก็พูดแต่สิ่งดีๆ จะได้ไม่บาป
    ข้อ 3 ...ก็จริงอยู่ การที่เราถูกสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ทำให้เรากดดัน ก้าวร้าว รุนแรง แต่ในเมื่อตอนนี้คุณรู้ถึงสาเหตุแล้ว ว่าเป็นเพราะอะไร ตามหลักอริยสัจ 4 ก็หาเหตุแห่งทุกข์เจอแล้ว ก็หาทางแก้ไขซะ

    การขโมยเล็กๆน้อยๆ นี่แหละ เริ่มมาจากการทำกับคนในครอบครัวก่อน จากนั้นก็ขยายไปสู่สังคม ถ้าไม่รู้จักการระงับตั้งแต่จุดเล็กๆ มันก็จะลุกลามไปใหญ่โต

    การที่ขอเงินพ่อแม่ แล้วโดนติ แต่ขโมยแล้วกลับไม่โดนติเนี่ย มันชอบกลอยู่นะ แล้วเงินที่มาจากการทุจริตน่ะ เรียกว่าของไม่บริสุทธิ์เอาไปทำบุญก็ได้บุญไม่ดีหรอก คิดใหม่ๆเสียนะ

    ใช่ครับ เพราะกรรมในอดีตชาติ ผมว่าคุณมีเจ้ากรรมนายเวรเยอะมากๆ ควรทำบุญ ทำทานแล้วอุทิศบุญให้เขาบ่อยๆ ลำพังปล่อยปลาน่ะ ได้บุญไม่เยอะหรอก ไม่พอให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย ฉะนั้น แนะนำให้รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์นะครับ แล้วอุทิศบุญให้กับเขา เมื่อเขาพอใจ ก็จะเลิกราไปเองครับ

    กรณีนี้ เคยมีเหตุการณ์ที่แม่กับลูก รักกันมากๆนะ แม่ก็ห่วงลูก ลูกก็ห่วงแม่ แต่เวลาคุยกัน ต้องทะเลาะกันทุกที อันนี้เป็นเพราะนายเวรส่งสัญญาณไม่ดีมาที่ตัวคุณ ให้คุณรู้สึกหงุดหงิด เมื่อเวลาคุยกับพ่อ แม่คุณ การที่คนเราเกิดมาใช้ชีวิตด้วยกัน เพราะกรรมในอดีตชาติ ซึ่งคุณกับพ่อ แม่ อาจจะมีกรรมไม่ดีต่อกันมาก ชาตินี้จึงต้องชดใช้ โดยการให้มาอยู่ด้วยกัน ซึ่งกรรมนั้นส่งผลให้คุณมาเกิดเป็นลูก ตกอยู่ในที่นั่งที่ลำบากกว่า คือ ถ้าคุณทำผิดต่อเขาก็จะบาปมากๆ พ่อแม่ฆ่าลูก ยังไม่เรียกอนันตริยกรรม แต่ลูกฆ่าพ่อแม่ล่ะก็อนันตริยกรรม นรกขุมสุดท้ายเลยล่ะครับ ฉะนั้น ก็อยู่ที่ตัวคุณแล้ว ที่ต้องหยุดกรรมทั้งหมดโดยการทำดีให้มากๆ ทั้งกับพ่อแม่คุณด้วย


    ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์คือ มี
    อิด (Id) = เป็นแรงขับให้เกิดความต้องการ เช่น ความหิว ความรัก เป็นต้น
    อีโก้ (Ego) = เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตัดสินใจ
    ซูเปอร์อีโก้ (Super Ego) = เป็นส่วนที่ได้รับการอบรมแล้ว รู้จักรับผิดชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึก


    ผู้ที่มี ID อยู่เหนือ Ego และ Super Ego ก็จะมีบุคลิกเป็นเด็กไม่รู้จักโต เอาแต่ใจ ก้าวร้าวรุนแรง ฯลฯ
    ผู้ที่มี Super Ego อยู่เหนือ ID และ Ego ก็จะเป็นนักคณิต เป็นพวกที่มีความสามารถมากมายแต่ก็อยู่คนเดียวเพราะเข้ากับใครไม่ได้ อยู่ในสังคมไม่ได้
    และผู้ที่มี Ego อยู่เหนือ ID และ Super Ego จะมีบุคลิกที่ดี ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม อยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข และโดยมากพวกนี้จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด


    ทางพุทธอาจจะกล่าวได้ว่า การส่งสัญญาณของมารในใจ หรือกิเลสของตัวเองนั่นเอง เมื่อกิเลสเกิดก็ระงับด้วยธรรมซะ อีกคนที่อยู่ในตัวคุณก็กิเลสของคุณนั่นแหละครับ

    โอ้ย...ยาวจริงๆ เด๋วค่อยต่อ reply ใหม่ครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2007
  3. Nefertity

    Nefertity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +634
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ประเสริฐที่สุดในมนุษย์คือรู้ทุกข์
     
  4. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    ไม่มีธรรมะข้อไหนอยากเกินไปสำหรับใครหรอกครับ เพราะไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีพระอริยบุคคลเกิดขึ้นบนโลกนี้หรอกครับ ถ้าโลกนี้จะขาดจากการมีอริยบุคคลก็เพราะว่า คนในโลกนั้นไม่ได้ใส่ใจพระธรรมเลย ไม่เคยแม้จะศึกษา นั่นแหละ

    ส่วนใครจะว่าเป็นอะไรก็ช่าง สำหรับเราเป็นเรา เราทำให้ดี ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบกับใคร องคุลีมาลยังบรรลุอรหันต์ได้ แล้วคุณล่ะ ทำไมจะทำไม่ได้ นอกจากคุณจะเอาใจออกห่างธรรมะ นั่นแหละครับ ถึงจะทำไม่ได้


    ***สรุป***

    เหนือสิ่งอื่นใด ก็อยู่ที่จิตใจของคุณเอง ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการประคองจิตใจของคุณให้ใฝ่ดี เอาธรรมดับร้อน ไม่มีไฟใดเสมอได้ด้วยไฟแห่งราคะ เอาน้ำดับไฟ เอาเย็นดับร้อน เอาธรรมะดับกิเลสครับ

    ทำบุญด้วยบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการและอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆ ความทุกข์ เดือดร้อน จะเบาบางลงครับ แล้วก็ปฏิบัติให้มากๆ ถึงจะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้

    แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น ผมแนะนำว่าตัวคุณต้องมีสติอยู่กับ กาย วาจา ใจ ก่อน และรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เจริญพรหมวิหาร 4 ให้มากๆ เพื่อความมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วความเจริญก้าวหน้าจะบังเกิดขึ้นแก่คุณครับ


    ทางน่ะมีอยู่ แต่อยู่ที่เราจะเลือกเดินทางนั้นหรือไม่


    ทางไปสวรรค์น่ะ มันรก... แต่ทางไปนรกน่ะ มันเตียน

    อยู่ที่ใครจะเลือก...


    ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐...เอวัง...๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2007
  5. อหิงสกะกุมาร

    อหิงสกะกุมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +145
    เข้ามาดูแล้วก็ขอขอบคุณครับ
     
  6. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    เดินตามแนวบารมี10
    สร้างกำลังใจให้ตั้งตรงต่อพระนิพพานจ้ะ

    ขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆ โดยเฉพาะเหล่าเชลยศึกที่เคยข่มขืนมา ถวายสังฆทานอุทิศให้ด้วย
     
  7. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    คุณอหิงสกะกุมารครับ ไม่มีใครที่จะดีไปซะทุกอย่าง และไม่มีใครที่จะเลวไปซะทั้งหมดหรอกครับ ไม่ว่าคุณหรือผม อย่างน้อยคุณก็โชคดีที่มีเพื่อนคอยชักนำให้คุณสนใจในธรรมะ

    การทำบุญให้ทานช่วยชีวิตสัตว์อย่างการปล่อยปลาก็เป็นการกระทำที่ดีผมขออนุโมทนาด้วยครับ เวลาที่คุณปล่อยปลาคุณก็บอกว่า"ขอให้เจ้าจงเป็นอิสระ และขอให้เราจงเป็นอิสระจาก.........."คุณอยากเป็นอิสระจากอะไรคุณก็อธิษฐานดูนะครับ หรือไม่ก็ลองไปบริจาคเลือดดูนะครับ เพราะการบริจาคทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย ใครๆก็บริจาคได้ แต่การจะบริจาคทรัพย์สินที่เป็นของในกายของเรานะไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน เป็นการทำบุญที่ทำยากขึ้นไปอีกหน่อย อย่างบางคนกลัวเข็ม บางคนกลัวเลือด เพื่อนผมก็เป็นคนกลัวเลือดเคยบริจาคเลือดด้วยกัน พอเห็นเลือดก็ปากซีดขาสั่น เป็นลมล้มพับไปเลย
    ถ้ามองในแง่จิตวิทยาอย่างน้อยการปล่อยปลาก็ทำให้คุณสบายใจขึ้น หรือถ้ามองในแง่ของกฏแห่งกรรมคุณทำดีไว้ กรรมดีก็ย่อมตอบแทนคุณอยู่แล้ว

    ถ้าคุณศึกษาเรื่ององคุลิมาล จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า"เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด" ถ้าคุณเข้าใจประโยคนี้ คุณก็คงต้องละซึ่งกรรมชั่วเรื่องกามอาจจะยากแต่เรื่องไซโค มันไม่มีความจำเป็นสำหรับชีวิตเลยครับละได้ก็ละ ละไม่ได้ก็อย่ารับข้อมูลเพิ่ม ถ้ามีสติก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูว่า "ชีวิตทุกชีวิตเป็นของมีค่า ทุกคนเกิดมาก็อยากมีความสุข คุณเองก็อยากมีความสุข แล้วเราจะไปทรมานเขาทำไม" จริงอยู่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นแค่กระบวนการทางด้านความคิด หากคุณอยากจะหยุด คุณก็ต้องเริ่มหยุดจากตรงนี้ก่อนนะครับ

    การทรมาน หรือการใช้ความรุนแรง ไม่ใช่การแก้ปัญหา ใครบ้างเกิดมาแล้วไม่ตาย? ก็ต้องตายกันทุกคนใช่มั้ยครับ เพราะฉะนั้นก็ปล่อยให้เขาตายกันเองเถอะครับจะตายดีหรือตายร้ายก็เป็นเรื่องของเขา คุณไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างจินตนาการหรอกครับ ลองคิดในมุมกลับดูว่าหากคุณเป็นคนที่ถูกโดนทรมานบ้าง มันคงไม่สนุกนัก" พยายามใช้เหตุผลคิดดูหลายๆด้านครับ

    อยากให้คุณถามตัวเองก่อนว่า คุณเชื่อเรื่องบาปกรรมหรือไม่ และคุณมีใจศรัทธาในพระพุทธเจ้าแค่ไหน คุณเชื่อในคำสอนของพระองค์แค่ไหน และสุดท้ายคุณศรัทธาในพระสงฆ์สาวกของพระองค์หรือไม่ สำหรับพระสงฆ์นั้นอาจมีข่าวในด้านลบออกมาทางสื่อต่างๆบ้างผมอยากให้คุณทำใจให้เป็นกลางๆไม่ว่าสังคมไหนก็ย่อมมีทั้งคนดีและคนที่ไม่ดี พระสงฆ์ที่ดีก็ยังมีอยู่อย่างหลวงพ่อฤษีลิงดำที่เคารพของชาวเว็ปพลังจิตเป็นต้น ลองอ่านประวัติของท่านดูนะครับ

    ศรัทธาเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าคุณมีความพยายามปฏิบัติตัวดี พยายามละจากความชั่ว ก็จะเกิดปัญญาขึ้นได้เอง ฟังคนโน้น คนนี้พูด ก็ไม่เท่ากับลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองนะครับ อยากให้คุณลองปฏิบัติตามศีล5ดูครับ เพราะศีล5ก็คือบันไดขั้นพื้นฐานที่จะพาคุณไปสู่พระนิพพาน แต่ถ้าทำไม่ได้ก็พยายามสำรวมตัวเองไม่พูด ไม่คิดเบียดเบียนใคร ธรรมะเป็นของเย็นหากคุณตั้งใจศึกษาก็จะช่วยให้จิตใจคุณเบาสบายขึ้นบ้างนะครับ

    อยากให้คุณไหว้พระสวดมนต์ และทำสมาธิดูครับ เพราะเรื่องพวกนี้เป็นปกติวิสัยของชาวพุทธอยู่แล้ว การนั่งสมาธิจะช่วยลดโทสะที่คุณมีอยู่ลดน้อยลงได้ครับ(bb-flower
     
  8. อหิงสกะกุมาร

    อหิงสกะกุมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +145
    หา................??????
    ทำไมคิดว่าไปข่มขืนใครมาในอดีตชาติล่ะครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอารมณ์ที่ผมมีความต้องการกระทบคนอื่น อ้อ ผมเป็นเกย์นะครับ แล้วก็มีอารมณ์แบบนั้นกับผู้ชายนะ


    มันจา เป็นแบบเนี้ย


    หาหมอก็ไม่ได้ช่วยอะไรคับ แค่ลดอารมณ์เพศด้วยยาและทำให้เราง่วงจะหลับตลอด มึนหัวทิ่มครับ
























    สังฆทานที่ถูกต้องถวายแบบไหน ใช่พระสี่รูปหรือไม่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2007
  9. อหิงสกะกุมาร

    อหิงสกะกุมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +145
    คนเราเกิดมาทุกคนก็ตาย ใช่ครับมันเป็นแง่เหตุและผล คิดในแง่เหตุและผล แต่ในจิตใต้สำนึกมันเป็นไปของมัน ง่า

    เป็ฯสองส่วนสองบุคลิกชัดเจนเลยอะครับ เวลาอย่างปกติก้ดี แต่เวลาเปลี่ยนก็ไปอีกอย่างเลย จิตน่ะ ทั้งจิตทั้งอารมณ์




    เหมือนสองชีวิตมันผูกติดด้วยกัน(รับรู้จากจิตส่วนลึก) ด้วยแรงรักที่รุนแรงกับแรงโทสะอาฆาตที่รุนแรง(ประมาณนั้นกระมัง) ด้วยอารมณ์เราอยากเราต้องการฆ่าทรมานเขา แต่ด้วยจิตส่วนลึกในบางเวลาเราก็รู้สึกว่าเรากับเค้า(ซึ่งไม่รู้ใคร) สักครั้งเค้าก็ต้องฆ่าเราเหมือนกัน มันเกิดขึ้นจากอารมณ์เพศอารมณ์รักเป็นหลักไม่ใช่เกลียดนะครับทั้งหมดน่ะ เกี่ยวข้องกับชีวิต อยากฆ่า แต่ก้เช่นกัน เราก็รัก รู้สึกตายแทนเค้าได้เช่นกัน

    แปลกประหลาดดีแท้ตู

    มันค่อนข้างอธิบายยากนะครับ มันรับรู้ แต่มันก็ยังไงอะ เราไม่ใช่อภิญญาอรหันต์เลยไม่รู้ว่ามันคืออะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2007
  10. Schmeichel

    Schmeichel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +350
    จงระลึกเสมอว่าเรานี้จะต้องตาย ความตายไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย เมื่อความตายมันสามารถเกิดกับเราได้ทุกลมหายใจเข้าออก เราตายไปแล้วเราจะสามารถเอาอะไรไปกับเราได้บ้าง สิ่งของต่างๆที่มีอยู่เอาอะไรไปได้บ้าง เราตายไปแล้ว คนที่เราโกรธ เราเกลียดเขาจะไปรู้อะไรด้วยหรือเปล่า ให้คิดตรึกตรองว่าถ้าเราตายไปในขณะนี้แล้วเราจะไปเกิดในดินแดนไหน ถ้าจิตใจเราเศร้าหมองร้อนรุ่มเราก็จะตกนรกทันที เมื่อคิดได้แบบนี้ก็จงอย่าทำให้จิตเศร้าหมองเราจะได้ไปสุขคติ ขอแนะนำให้ฝึกกสินสีต่างๆ จะเอาสีแดงสีเหลืองสีขาวอะไรก็ได้เพื่อระงับโทสะของคุณเสีย ทิฐิมานะในใจคุณมันช่างมากล้นเหลือเกิน จงคิดอยู่เสมอว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แม้กระทั่งร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เราไม่สามารถควบคุมอะไรให้เป็นไปตามใจเราได้ ขอให้พบความสุขใจในที่สุด ขอให้มีความเพียรและตั้งมั่นที่จะทำจริง อย่าทำแค่มาโพสต์กระทู้ขอความเห็นไปเรื่อยๆแล้วสุดท้ายก็ไม่ลงมือทำจริงจังเพราะจะไม่ได้อะไรเลยและเสียเวลาคนอื่นที่มาตอบด้วยความหวังดีอยากให้คุณมีความสุข เราจะเอาใจช่วยนะ
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    โปรดอ่านข้อความต่อไปนี้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นตามนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เที่ยงแท้ โปรดอ่านเพื่อสร้างกรอบความศรัทธา เจริญสัมมาสติ เจริญสัมมาทิฏฐิ เจริญโยนิโสมนัสสิการ


    การมีจิตใจใฝ่ในบุญ ย่อมเคยเป็นคนอยู่ในขอบเขตสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงมาก่อน

    การมีรูปสมบัติดี ย่อมชี้ให้เห็นว่า ได้เคยอาศัยขอบเขตของสัมมาทิฏฐิ การปฏิบัติดี การปฏิบัติชอบ การปฏิบัติตรงมากับ อริยะสงฆ์ มาไม่มากก็น้อย

    การมีรูปสมบัติเป็นชาย ย่อมชี้ให้เห็นว่า ได้อธิษฐานจิตอยากเป็นชาย อาจเพราะรูปของบุรุษเพศนั้นตราตรึงอยู่ในจิตด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เป็นได้ทั้งดีและร้าย หรือ ก็เคยมีพฤติกรรมออกแนวบุรุษจริต ตีรันฟันแทง

    การมีจิตปฏิภัทรในชายในทางกามารมณ์ ทั้งที่เป็นชายอยู่ ย่อมชี้ให้เห็นว่าแต่เดิมเคยเป็นหญิง

    การมีจิตใฝ่กามารมณ์ แต่ไม่ไปเกิดในตระกูลต่ำ เป็นสักเดรัจฉาน ย่อมชี้ว่าแม้เคยมีจิตติดตรึกกับกามารมรณ์ แต่อาจไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่เป็นฝ่ายรับ และไม่ได้ไปทำผิดลูกเมียสามีคนอื่นด้วยเจตนาของตัวเอง

    การมีจิตโกรธแค้น ใฝ่การทรมาร อาจเป็นเพราะ เคยถูกทรมารมาก่อน และถ้าการทรมารนั้นสัมพันธ์กับกิจใด ก็ย่อมเป็นการทรมารด้วยกิจอันนั้น

    แต่ไม่ว่าอย่างไร

    ด้วยเคยปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก่อน ก็ทำให้มีโอกาสดี กลับได้เห็น กริยาของจิต พิจารณาให้ดีเถิดว่า ท่านได้เห็นการผุดของจิตอกุศล และได้เห็นความคิดของตนเข้าไปเพลิน เข้าไปลองเล่น จนเผลอปรุงแต่งไปเรื่อยๆ แต่ก็เห็นกริยาของการปรุงแต่งนั้น สมยอมให้อกุศลจิตมีอำนาจเหนือสติที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นกิเลส ท่านเห็นสติเด่นชัดอยู่แล้ว จงให้โอกาส สติ นั้นได้ทำงาน

    จงใช้ให้กำลัง สติ ที่ผุดเตือนเป็นผู้กำกับดู อาการจุกอกของอกุศลจิต ที่พยายามจะผุดเกิด แม้นระงับแล้วก็พยายามจะผุดเกิด แม้นละเว้นแล้วก็ยังเกิดมโนจิตหลอกล่อให้ตายใจ จนเผลอกระทำ

    ต่อไปนี้คือสิ่งทิ้งท้าย

    ทุกอย่างที่คุณคิดว่าคุณเป็น ไม่ว่าจะที่เป็นจากที่คุณกล่าวว่าเป็น หรือ ที่เรากล่าวว่าน่าจะเป็น ทุกอย่างก็ล้วนเป็นเรื่องของการปรุงแต่ง ด้วยความคิด ที่ทางพระเรียกว่า สังขาร เป็น รูป-นาม เป็นส่วนประกอบของขันท์ 5 ซึ่งล้วนไม่ใช่สิ่งจริงแท้อะไร ไม่จำเป็นต้องไปหมายมั่นอะไร จักเห็นว่า มันไม่ได้มาย้ำอยู่ตลอดว่าคุณเป็นอย่างงั้นอย่างนี้ตลอด บางครั้งมันก็ปรุงว่าดี บางครั้งอาจปรุงว่าแย่กว่าที่กล่าวมา

    กรรมที่กระทำไปแล้ว ก็ใช่ว่ามันจะเป็นสิ่งยืนยันของความจริง ก็มันเกิดจากความคิดที่โน้มให้คุณกระทำไปอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปสัมทับว่าคุณเป็นอย่างนั้น สิ่งที่คุณต้องอยู่ต้องเป็น ก็คือ ภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คุณจะเลือกเป็นคนเก่าอย่างที่คุณคิดว่าเป็นอยู่อีก หรือ จะคิดว่าเป็นคนใหม่แล้ว เป็นคนดีแล้ว ก็จงตัดสินใจ ก็จงน้อมใจเอาเองเถิด

    กิจกรรมที่เป็นกุศลคุณก็หมั่นทำอยู่แล้ว แต่สิ่งขัดขวางที่เด่นชัดตอนนี้คงไม่ใช่รูปสมบัติ คงไม่ใช่เพสสมมติ แต่เป็นธาตุไฟที่เป็นเชื้อโทสะ ก็ลองพิจารณากาย หรือ อารมณ์ในขณะที่กระทบธาตุเย็น เช่น ระหว่างอาบน้ำ เช่นระหว่างนั่งอยู่ริมน้ำตก นั่งอยู่กลางสายลม แล้วดูอาการวูบวาบกับการเกิดความคิด เมื่อเห็ยความคิดว่าเราคิด และเมื่อได้สติระงับคิดได้ ก็ลองพิจารณากลับมาที่กาย ให้ลองนึกสลายกายนั้นด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ดู ว่าส่วนไหนมีธาตุเหล่านี้ประชุมอยู่ แล้วคุณจะเห็น ความเห็นผิด การสำคัญผิด ที่พยายามตอแย ให้คุณละการพิจารณาธาตุ 4 ซึ่งก็จะเป็นตัวเดียวกับที่คุณเห็น และพยายามบรรยาย แต่จะไม่ได้เห็นว่ามันคือตัวคุณ

    ลองดูนะ อย่างไรแล้วก็อย่ายึดมั่นว่าจะได้ค้นพบอะไร เพราะถ้าคาดหวังอะไร ก็แพ้มันตั้งแต่ยังไม่ได้ลองทำ ไม่มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิรองฐานการพิจารณาตั้งแต่ต้น ย่อมไม่ได้อะไรที่เป็นปัญญาที่ถูกต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2007
  12. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    ลองพิจารณาดู

    สวัสดีคะ

    ขออนุญาติแสดงความคิดเห็น

    1. กรรมที่คุณทำเป็นประจำ ลองเปลี่ยนมาทำกับพระพุทธศาสนาดีไหมคะ
    แทนที่คุณจะทำกับปลา คุณก็ทำควบคู่กันไปเลย คือทำกับพระศาสนา และทำกับสัตว์เล็ก เช่น ใส่บาตร หรือ ทำความสะอาดศาสนาสถาน
    ตัวอย่างที่โรงพยาบาลสงฆ์ (ได้เคยคุยกับ จนท.รพ.) พี่เล่าให้ฟังว่า พระท่านมารอที่โรงพยาบาลตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า เด็กชายคนที่จิตใจดี ก็มาช่วยเสริฟ โอวัลติน ของร้อนให้ ตั้งแต่เช้าถึงเก้าโมง ก็กลับบ้าน ตอนนี้เด็กคนนั้นไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วคะ
    หรือไม่ก็ทำความสะอาดลานวัด ที่เดินจงกรม โรงครัว ทำเป็นประจำจะเป็นวัดไหนก็ได้ จะได้มีพืชเชื่อในพระศาสนาบ้าง

    2. เรื่อง "กาม" ที่คุณว่ารู้เรื่องแต่เด็ก ๆ อายุสามขวบขอให้ข้อคิดว่า
    "ไม่ใช่เรื่องแปลก" เพราะพี่เคยคุยกับ "ผู้รู้" เป็นอาจารย์มหาลัยท่านหนึ่งคะ พอดีสนิทมาก ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ที่ต่างประเทศจะมีการอบรมเรื่องเพศ โดยเฉพาะ ซึ่งที่นั้นทุกอย่างพูดอย่างเปิดเผย (ย้อนกลับไปเกือบสี่สิบกว่าปีทีเดียว) เพราะเป็นสัณชาติณาติของมนุษย์ อาจารย์เคยบอกว่า บางคนรู้เรื่องตั้งแต่สามสี่ขวบ โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย (พี่จึงคิดว่าน้องน่าจะเป็นพวกนั้น)
    แต่ปัญหาของน้อง คือ คิด "ฆ่า" คิดทรมาน ซึ่งตรงนี้พี่เข้าใจว่าเรามันทรมานใจน้อง
    การที่น้องเป็น "เพศที่สาม" และมีอารมณ์ตรงนี้รุนแรง เพราะเป็นเศษกรรมในการผิดศีลข้อสาม
    ทางแก้ (เท่าที่ทราบมา) ต้องถือศีลแปด โบสถศีล ลองดูเฉพาะวันพระก่อน แล้วก็ขยับเป็นทุกวัน เรียกว่าตอนแรกจะฝฝืนมาหน่อย แต่เป็นการ "ฝืน ฝึก ฝน" คะ หากต้องการแก้ไข

    ส่วนทีน้องมีมโนกรรมและคิดต้องการ "ฆ่า" พี่ไม่มีอภิญญา แต่พี่ก็คิดคล้าย ๆ กับคนอืนว่า เป็นการ "ผูกโกรธ" ของน้องเอง น้องมีใจผูกโกรธ ในขณะที่มี "การ" เช่น อาจเป็นได้ทั้งผู้ถูกกระทำ หรือ ผู้กระทำ
    พี่จึงไม่แปลกใจที่เค้าบอกว่าให้น้องทำบุญให้แก้เจ้ากรรมนายเวรที่น้อง "ข่มขืนแล้วฆ่า" ตามที่มีคนอื่นบอกว่าเป็นเชลยศึกนะคะ
    เพราะผลที่น้องเผชิญอยู่ทำให้ อนุมานเอาว่า ว่า
    1. เป็นผู้กระทำ และกลายเป็นสันดาน ซึ่งน่ากลัวมาก หากน้องไม่รักษาศีล ให้หนัก ๆ วิธีรักษาศีลที่ดีอาจต้องให้ กัลยณมิตรเป็นกำลังใจให้ คอยบอก คอบเตือน หรือไม่ก็ไปเรียนธรรม เช่น พระอภิธรรมไปเลย
    2. เป็นผู้ถูกกระทำ น้องจึงผูกอาคาดแค้นไว้ อยากจะกรทำตอบแทน มันเหมือนกับ chip ที่ฝังไว้ในตัวน้อง เป็นถึงเวลา chip ตัวนี้จะทำงาน และเป็นเหตุแห่งทุกข์ คือ "อบายภูมิทั้งสี่"
    3. น้องอาจะเคยเป็นผุ้มีอำนาจ คือ ทำทั้งดีและไม่ดีมาก และกระทบกับคนอื่นมาก ดังนั้น ผลที่น้องได้ จึงมี ทั้งสองด้าน รุนแรง แต่ธรรมชาติของผุถุชน ย่อมไหลไปในทางเสื่อน ให้ระวังให้ดี

    ทั้งหมดนี้ พี่เดา จ๊ะ จาก ความรู้ที่มี แต่ไม่ใช่ ฤทธิ์ อย่างที่น้องต้องการ
    ถูกผิด ก็ต้องขอโทษดัวย

    สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็น เผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นที่อยู่อาศัย
    สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
    กรรม แปลว่า การกระทำ
    นอ้งอยากจะเป็นอย่างไร ก็ต้องกระทำ คือสร้างเหตุ
    เมื่อปรารภ พระนิพาน ก็ต้องมี
    ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการกระทำ
    โชคดีคะ
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,683
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ผลจาก หลักสัจจะธรรม ****

    การเกิด...
    คือ การชดใช้กรรมทั้งหมดที่ได้ทำ ไปเรียบร้อยแล้ว
    ตัวกระทำ ของเรา....คือ ผู้จัดสรรการเกิดให้มีรูปสังขาร อย่างที่เป็น
    - เกิดเป็นอะไร เกิดเป็นลูกใคร เกิดที่ใด เกิดเวลาใด เกิดสมบูรณ์พิกลพิการ
    - ทั้งหมดล้วนเป็นผลจาก "ตัวกระทำ" เป็นผู้จัดสรร
    แต่สิ่งที่ติดตัวมา ตั้งแต่เกิด...คือ "นิสัยสันดาน"

    นิสันสันดาน...
    คือ สิ่งที่พาให้เราเกิด "การกระทำ" ทั้ง กาย วาจา ใจ
    เมื่อ เกิดการกระทำ... จึงทำให้เกิด "ตัวกระทำ" ขึ้นมา
    พระพุทธเจ้า ค้นพบแก่นสารความจริง ใน หลักสัจจะธรรม ว่า....
    *** ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน ****

    ดังนั้น
    ตัวกระทำของท่าน...จึงติดตัวท่านไปตลอดกาล
    ตัวกระทำไม่ดีในอดีต....จึงติดตามมาหลอกหลอนตัวท่าน
    บุญ ก็ส่วนบุญ...บาป ก็ส่วนบาป
    เรื่องของบุญไม่มีปัญหา...แต่เรื่องของบาป ตัวกระทำไม่ดีในอดีตมันหลอกตัวเราเอง

    หาก ...ท่านเบื่อหน่ายในความทุกข์ที่ได้รับ และกลัวกรรมที่กำลังมาในอนาคต
    ท่านต้อง....ก้าวเดินหนีออกจากวงเวียนกรรมเดิมๆ ของตัวท่าน
    คือ ไม่ทำตามนิสัยตนเอง
    เพื่อให้เกิด "การกระทำใหม่ที่ดี"... ในชีวิตปัจจุบันนี้

    สัญญาใจ...ความตั้งใจอย่างแท้จริง....คือ "สัจจะ"
    คือ คำตอบสำหรับความพยายามค้นหา "หนทางพ้นทุกข์"
    "สัจจะ" จะเป็นผู้นำให้กับตัวของท่าน...นำพาให้เกิดสิ่งใหม่ในชีวิตทั้งความคิดและการกระทำ

    ท่านจะต้องมี "สัจจะ" คือ
    "เราไม่ควรเป็นทาสของผู้อื่นด้วยประการทั้งปวง เราจะไม่หาความสุขด้วยชีวิตของผู้อื่น"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2007
  14. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    แก้ไขปัจจุบัน

    สวัสดีคะ

    พี่ลืมที่จะแนะนำ เรื่องใกล้ ๆ อีกเรื่องหนึ่งคะ
    พี่คิดว่า สิ่งที่น้องเป็นอยู่ เรื่องการ "ฆ่า" กับเรื่อง "กาม"

    อยากให้น้งเปิดใจ แล้วเข้าไปคุยกับจิตแพทย์คะ
    เรื่องแบบนี้ หาก จูนได้ น้องอาจจะมีชีวิตรักที่มีความสุขก็ได้

    พี่คิดตามประสาง่าย ๆ ว่า
    ปุถุชน ทุกคนมีความต้องการ รวมถึงน้องด้วย
    แต่ น้องเป็นเพศที่สาม
    โอกาสทีน้องจะ "ได้" อาจจะยากกว่าคนอื่น ๆ

    เมื่อสิ่งนี้ ที่ปรารถนาไม่ได้ ปลดปล่อย ด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม
    อาจจะเป็นที่มาของการคับแค้น หรือลึก ๆ อีกอย่างคือ
    เป็นความทรมานที่อาจจะถูกคนอื่นกระทำ (อันนี้ไม่ได้พูดอดีตชาตินะคะ)
    พี่คุยปรึกษากับพี่ผู้ชายบางคน เค้าบอกว่า

    อารมณ์ตรงนี้ ถ้าไม่คลายออก หรือ
    ถูกยั่ว กระทำบ่อย ๆ เช่น อาจจะถูก พี่เลี้ยงเด็ก "เล่น" หรือกระทำ
    ตั้งแต่เรายังเล็ก ๆ
    พี่ผู้ชาย เค้าบอกพี่ว่า มันมีความ "ทรมาน" ที่ยังไม่... คือ คั้งค้างไว้
    สะสมเป็นความอาฆาตแค้น ทำร้ายจิตใจเราเองคะ
    ทางแก้ง่าย ๆ คือ ควรไปหาจิตแพทย์
    และ เรียนรู้ อาการ "ปลดปล่อย" โดยละอารมณ์ "อยากฆ่า"
    เรื่องอื่น ๆ อาจจะคุยหลังไมค์
    พี่ถาม "ผู้ชาย" ที่คิดว่าเค้า "รู้" มานะคะ


    โชคดีคะ
     
  15. ธรรมชาติพยากรณ์

    ธรรมชาติพยากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2007
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +203
    ...มีแค่นี้เอง ผู้ประเสริฐ ผู้สงสัยเอ๋ย...

    ...จุดหมายปลายทางเดียวกันหรือไม่...
    ...ว่าง วาง เบา ลอย สูง สุดแรงดึงดูดของโลกธาตุใดๆแล้ว...

    <!--emo&:16:-->[​IMG]<!--endemo--> จุดหมายปลายทางเดียวกัน...ที่จะไป คือไม่มีแรงดึงดูดของสิ่งใด พ้นจากแรงโน้มถ่วง ธาตุที่ละเอียดจนสุดประมาณหามาตราเทียบไม่ได้ คงสภาพภาวะอย่างกลาง ไม่มีอานาเขตกีดกันจำกัดได้

    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> เป็นสภาวะนิ่ง กระจาย ไปทั่ว ทะลุมวลธาตุทั้งหลาย

    <!--emo&:31:-->[​IMG]<!--endemo--> บุญ ทาน หรือสิ่งต่างๆ ที่ปฏิบัติ เป็นไปในทางดี ไม่ผูก ไม่ยึด ไม่ติด ปล่อยออกจากจิต จากตน จากกาย คือการขัดเกลาธาตุหยาบให้ละเอียดมากที่สุด เพื่อเตรียบพร้อมในการลอยตัวสู้เบื้องสูง ละเอียดมากสูงมาก ละเอียดน้อยสูงน้อย

    ละเอียดน้อย...ธาตุยังติดลอยไม่สูง วนกลับมาทำความสะอาดขัดธาตุใหม่ให้ละเอียด...คือภพ...

    ขัดมามากธาตุละเอียดถึงที่สุด...ลอยสูงสุดจะประมาณ...

    ขัดมากสุดเหลือประมาณ...ธาตุกระจายไม่สิ้นสุด ไม่ติดในธาตุหยาบใด ไม่ติดแล้ว...อนุธาตุ(ไม่มีสิ่งใดๆประมาณได้ว่าละเอียดปานใด)กระจายไปในจักรวาลสุดประมาณ...เท่ากับจักวาลน้อยๆ

    ...ตรงที่อยู่ปัจจุบัน นั้นธาตุหยาบ เกือบตกต่ำ ภูมิมนุษย์...

    แต่มีอาวุธให้รำเรียน มีแบบอย่างทำตามกัน รู้จึงได้ หลับจึงหลง วนหลายหน...

    ...รู้เหนือคน สงสารจังเห็นวัฎฎะ โสดาบัน หรหันต์ ฯลฯ ต้องช่วยเหลือเผื่อกำลัง...บุญ...ช่วยส่งธาตุ...ให้ขาดภูมิ...ละเอียดสูญ มีกำลังดับขันต์...สูญ...จากภูมิหยาบ...

    ...แต่ช่วยได้ตามที่ช่วย ไม่ติดแล้ว อิ่มแล้ว เบื่อแล้ว พอแล้ว รู้แล้ว แจ้งแล้ว ตัดแล้ว ขาดแล้ว...ไปแล้ว...

    ...แต่ที่อยู่รู้ทั้งรู้ ในตำราหามาสอบ ตอบมาชัด แต่ที่ขาดคือการปฏิบัติ จำกัดกฎ แบบทดสอบ ทำตามกฏกำหนดจิต ทำตามจิตลิขิต ขาดสติรู้ไม่ทัน เริ่มรู้ทันจิตรู้จิต จิตรู้ธาตุ ขาดกาล ไม่พอ...รอมาใหม่...

    ...เหลือเวลาอีกไม่นาน ๒๕๐๐ ปีเห็นจะได้ คำสอนสั่งของครูผู้ยิ่งใหญ่ในมหาจักวาล อนุจักวาล จะสิ้นสูญ...

    ...กลับมาใหม่...อีกนาน แสนนาน เท่าไหร่ เหลือประมาณ...พุทธะโลกธาตุ...อนันตกาล... <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->
     
  16. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    มีคนเข้ามาตอบเยอะมากๆ แสดงว่า เจ้าของกระทู้มีบุญเหมือนกันนะคะเนี่ย ^^
     
  17. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ผู้น้อยแวะผ่านมาทางนี้นะคะ อยากจะขอแสดงความเห็นส่วนตัวบ้างค่ะ...

    ทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมชาติค่ะ...การที่เราไปฆ่าใคร และทำให้ใครๆเค้าเดือดร้อน... นั่นมันเป็นเพียงเพราะว่า... สิ่งเหล่านั้น มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเราค่ะ...

    หากมีผู้ใดมาทำกับเราแบบนี้บ้าง.. เราจะรู้สึกอย่างไรคะ...
    สิ่งเหล่านี้ หากจะรอให้เกิดขึ้นกับตัวเองก่อนค่อยคิดได้ ก็คงจะยาก เพราะบางคนก็ไม่เคยทุกข์เลย มีแต่ไปทำให้เค้าทุกข์

    เพราะฉะนั้น วิธีเลิกทำบาปที่ง่ายที่สุด ก่อนจะทำอะไร ให้คิดว่า ทำสิ่งนั้นกับตัวเองก่อน... คิดดูว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรา เราจะรุ้สึกอย่างไร...
    แค่นี้แหละค่ะ... ก็จะไม่มีการทำบาปเลย..

    มนุษย์เราเห็นแก่ตัวค่ะ ไม่เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงมีความว่า "ความชั่ว" บางครั้งเราก็ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ หากไม่ได้ตั้งใจ ผู้ที่โดนกระทำก็ควรรู้จักการ "ให้อภัย" แต่เนื่องจากผู้โดนกระทำไม่ให้อภัย มันเลยการความขัดแย้ง...

    ไม่มีสิ่งไหนดี หรือ ไม่ดี
    ความชั่ว เป็นของที่มีอยู่ในธรรมชาติ ความดีก็เป็นของที่มีอยู่ในธรรมชาติ
    บางชั่วบางอย่างก็มีความสร้างสรรค์ในตัว...
    ธรรมชาติสร้างกฎแห่งกรรมมาไว้ปรับสมดุลให้กับเอกภพ

    อย่าไปคิดมากเลยค่ะ...
    อย่าคิดว่าเราชั่ว อย่าคิดว่าเราดี เด๋วคุณตาย คุณก็ลืมมันแล้วแหละพวกนี้อ่ะ

    ความทุกข์ทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะ "เรา"
    มีคนมาด่าเรา แล้วเราเจ็บ มันเป็นเพราะเรา
    จิตเราเป็นของเรา หากเราทุกข์ มันเป็นเพราะเรา

    การโทษผู้อื่น จะทำให้เราไม่สามารถหาทางออกของปัญหาได้

    สรุปนะคะ...

    คิดง่ายค่ะ... ชีวิตคือชีวิต ธรรมชาติคือธรรมชาติ ไม่ต้องไปคิดมากค่ะ...
    ใช้ชีวิตให้มีสุข ให้สบาย แต่ถ้าความสุขและสบายนั้นมันทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก็ควรจะเลิกทำซะ.. แล้วอย่าลืมว่า...

    "ความสุขมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง.. อยู่ที่คุณจะคว้ามันมาหรือไม่" ^^
     
  18. darkphoenix

    darkphoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    370
    ค่าพลัง:
    +608
    แบบเจ้าของทู้เนี่ย ถือเป็นบาปไหมฮะ
    เค้าแค่คิด แต่ไม่ได้ทำ

    สงสัยๆ
     
  19. อหิงสกะกุมาร

    อหิงสกะกุมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +145
    เข้ามาดูทุกความเห็นเลยอะ


    ผมว่าผมมีพัฒนาการเชิงลบนะเนี่ย
     
  20. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ต้องฝึกให้จิตชินกับการตั้งอย่ในอารมณ์ของกุศลนะครับ คือหางานทางด้านกุศลให้จิตทำไว้เสมอๆ จนจิตคลายจากความเคยชินเดิมที่ชอบคิดไปในทางไม่ดี มาชินกับการคิดดีๆ เท่าที่ดูจากจริต เจ้าของกระทู้เป็นแนวชอบคิด จึงอยากแนะนำให้ปฏิบัติธรรมโดยการคิดให้บ่อย แต่คิดให้อยู่ในกรอบของความดีโดย
    1. พระพุทธเจ้าท่านดีอย่างไร มีพระคุณต่อคุณอย่างไร คุณอยากตอบแทนท่านอย่างไร
    2. พระธรรมดีอย่างไร มีพระคุณต่อคุณอย่างไร คุณอยากตอบแทนท่านอย่างไร
    3. พระสงฆ์ดีอย่างไร มีพระคุณต่อคุณอย่างไร คุณอยากตอบแทนท่านอย่างไร
    4. พ่อแม่เรามีพระคุณต่อเราอย่างไร คุณอยากตอบแทนท่านอย่างไร
    5. ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่สอนให้เราเป็นคนดีมีพระคุณต่อเราอย่างไร คุณอยากตอบแทนท่านอย่างไร

    เมื่อคิดได้ครบ5 ข้อแล้ว จิตท่านจะเป็นกุศลมาก คือบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เหมาะที่จะแผ่เมตตา ให้แสดงความรักความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและเพื่อนร่วมเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย ให้หางานดีๆให้จิตทำต่อไปคือ
    1. แผ่เมตตา ความรักให้พระพุทธเจ้าท่าน ขอให้พุทธองค์มีความสุข กราบขอพรจากพระองค์ให้ธรรมใดที่พระองค์ตรัสรู้ นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ขอให้เราเข้าถึงธรรมนั้นได้โดยง่าย
    2. แผ่เมตตา ความรักให้พระธรรม ขอให้พระธรรม รุ่งเรืองไปสู่คนทั้งโลก
    3. แผ่เมตตา ความรักให้พระสงฆ์ ขอให้พระสงฆ์ทั้งหลาย มีความสุขกาย สุขใจ
    4. แผ่เมตตาให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุข และให้เทวดาที่คุ้มครองท่านได้โมทนาบุญทั้งหมดที่เราเคยทำมาตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน เพื่อให้ท่านมีความสุขและขอให้ท่านช่วยดูแล คุ้มครองคุณพ่อแม่เราด้วย ให้เจริญในทุกๆอย่าง
    5. แผ่เมตตาให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีความสุข และให้เทวดาที่คุ้มครองท่านได้โมทนาบุญทั้งหมดที่เราเคยทำมาตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน เพื่อให้ท่านมีความสุขและขอให้ท่านช่วยดูแล คุ้มครองคุณพ่อแม่เราด้วย ให้เจริญในทุกๆอย่าง
    6. แผ่เมตตาให้เทพเจ้าทั้งหลายที่คอยดูแลเรามีความสุข และให้ท่านได้โมทนาบุญทั้งหมดที่เราเคยทำมาตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน เพื่อให้ท่านมีความสุขและขอให้ท่านช่วยดูแล คุ้มครองเราด้วย ให้เจริญในทุกๆอย่าง
    7. แผ่เมตตาให้เจ้ากรรม นายเวรทั้งหลายที่มาตัดรอนความสุขในชีวิต การงาน การเงิน ครอบครัว และสุขภาพ ขอให้ท่านได้โมทนาบุญทั้งหมดที่เราเคยทำมาตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน เพื่อให้ท่านมีความสุขและขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ในสิ่งไม่ดีทุกอย่าง ที่เราเคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน เราสำนึกผิดแล้ว และขอตั้งใจทำความดีทุกอย่าง เพื่ออุทิศบุญให้ท่านเจ้ากรรมนายเวร เป็นการตอบแทน

    ระหว่างที่ทำงานคิดนี้ จิตท่านจะทรงอยู่ในอารมณ์กุศลอย่างยิ่ง ท่านจะมีความสุขมาก และท่านจะเป็นคนที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะท่านเป็นคนที่ทำให้คนอื่นๆมีความสุขไปด้วย

    ขอให้ท่านคิดแบบนี้บ่อยๆ วันหนึ่งอย่างน้อย 3 ครั้ง ผมคิดว่าไม่เกิน 1 เดือน จิตท่านจะเลิกคิดในทางอกุศล
     

แชร์หน้านี้

Loading...