อยากสอบถามเรื่องนิพพานคะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย DuchessFidgette, 3 กรกฎาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อิทธิบาท 4

    คุณ DuchessFidgette มีจริตแบบ "พุทธะจริต" เป็นตัวนำสังเกตุได้จากคำถามต่าง ๆ และมี "วิริยะจริต" เป็นตัวตาม สังเกตุได้จาก "ความเพียรในการค้นคว้า" ตามโพสท์ต่าง ๆ ส่วน "ศรัทธาจริต" นั้นอยู่รั้งท้าย อะไรก็ตามที่มีหลักมาจาก "ความเชื่อ ที่ยังพิสูจน์ชัดไม่ได้" ย่อมถูก "พุทธะจริต" ปฏิเสธได้ง่าย ๆ "พุทธะจริต" จะยอมรับได้อย่าเต็มที่ก็ต่อเมื่อได้ "ประสพการณณ์ตรง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตน" เท่านั้น

    ผู้ที่มีจริตแบบนี้ สามารถแสวงหาความสิ้นสงสัยได้ด้วย "การค้นคว้า" ซึ่งไม่สามารถนำวิธีการแบบ "ศรัทธาจริต" มาแนะนำแล้วจะเกิดผลได้

    +++ วิธีการค้นคว้า สามารถแยกออกมาได้เป็น 2 ทางคือ วิธีแบบโลกียะ และ วิธีแบบโลกุตระ

    +++ วิธีแบบโลกียะ มีหลักใหญ่ ๆ คือ จากความจำ (อ่าน-พูด) สู่ความคิด หลังจากเปรียบเทียบแล้วสรุป จนเกิดความพอใจ จึงยอมรับ หากไม่พอใจก็จะ Loop แล้วสรุปใหม่ จนกว่าจะเกิดความพอใจ จึงยอมรับ แล้วความสงสัยจึงเกิดความคลายตัวลงได้ ตรงนี้เป็นการสิ้นสงสัยแบบ โลกียะ หากมีความสงสัยจากวงจรอื่น ข้ามวงโคจรของตนเข้ามาก็จะเกิดการ Loop ขึ้นทั้งสองวง (ถกเถียง) จนกว่าจะเกิดความพอใจร่วมกัน หรือมิฉะนั้นก็จะเกิดอาการ แยกออกเป็นวงใครวงมัน (แตกคอ)

    +++ วิธีแบบโลกุตระ มีหลักใหญ่ ๆ คือ สังเกตุ สู่ เข้าใจ หากผู้ใดรู้จักองค์ประกอบของคำว่า "สังเกตุ" แล้วก็ขอให้ข้ามตรงนี้ไปก่อน ส่วนผู้ที่ยังไม่ชัดเจนในคำว่า "สังเกตุ" ก็ให้ติดตามต่อไปดังนี้

    +++ การสังเกตุจะเริ่มจาก "จุดที่ทำให้เกิดการสังเกตุ" ตรงนี้อาจเรียกได้ว่า "เป้าหมาย" ภาษาบาลีใช้คำว่า "ฉันทะ" ก็ได้

    +++ กระบวนการในการ "สังเกตุ" ที่ถูกต้อง จะไม่มีอาการ "จำ-คิด" เป็นองค์ประกอบ (นิวรณ์ 5)(จิตอ่อนควรแก่การงาน) การสังเกตุจะเกิดความตั้งมั่นระหว่าง "อายตนะ-ปรากฏการณ์" "รู้-ธรรม เฉพาะหน้า" เท่านั้น เรียกได้ว่าเป็น "อัปปนาสมาธิ หรือ อยู่ในองค์ฌาน" ก็ได้ (มีตัว-ไม่มีตัว หรือ รูป-อรูป ฌานก็ได้) และหาก กระบวนการในการ "สังเกตุ" นี้มีอย่างต่อเนื่อง ก็จะตรงกับภาษาบาลีที่ใช้คำว่า "วิริยะ" พอดี

    +++ กระบวนการในการ "สังเกตุ" จะทำให้เห็นจาก "จุด สู่ จุด" หรือจาก "ปรากฏการณ์หนึ่ง สู่ อีกปรากฏการณ์หนึ่ง" จน "เห็นความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์" ตรงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็น "ธัมมะวิจัยยะ" ก็ได้ หรือจะใช้ภาษาในหมวด อิทธิบาท 4 ก็จะตรงกับคำว่า "จิตตะ" พอดี

    +++ จากการ "เห็นความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์" จนกระทั้งมาสู่ "การเห็นครบวงจร" ก็จะเกิด "การรู้แจ้ง" เช่นเรื่องของ ปฏิจจะสมุปบาท และอื่น ๆ เป็นต้น ตรงนี้จะตรงกับภาษาบาลีที่ใช้ในหมวดของ อิทธิบาท 4 ว่า "วิมังสา" พอดี

    คำถามในกระทู้นี้คือ "ดิฉันอยากทราบว่าถ้าลำพังจิตเราไม่อยากเกิดอีก ถ้าตายลงจะสามารถไปนิพพานได้ไหม"

    คำตอบคือ "ทั้งหมดขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของคุณ DuchessFidgette ว่าจะทำการสังเกตุได้ "ครบวงจร" หรือไม่"

    และเป้าหมายในการสังเกตุ หรือ ฉันทะ นั้น อยู่ในคำว่า "ตน" เพียงคำเดียวเท่านั้น

    +++ ให้สังเกตุ สภาวะที่เรียกว่า "ตน" จนเห็นองค์ประกอบที่เรียกว่า "ตน" (ขันธ์) จนเห็นความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ตน" (จะเห็นขันธ์ที่มีความสัมพันธ์กับ ภพ-ภูมิ เป็นองค์ประกอบในชั้นนี้) จนกว่าจะเห็น สภาวะของปรากฏการณ์ ที่เรียกว่า "ตน" นั้น "ครบวงจร" (จะเห็นวงจรของ ภพ-ภูมิ จบลงในชั้นนี้ไปด้วยกัน) นะครับ

    หวังว่าโพสท์นี้คงเป็นประโยชน์กับคุณ DuchessFidgette ไม่มากก็น้อย
     
  2. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555
    อ่านอันนี้ :
    ความเห็นผม

    ตามที่เข้าใจจากการศึกษาจากพระสูตร นิพพาน คือ สภาวะที่ไม่ติดในภพใดๆทั้งสิ้น เป็นสภาวะที่ไม่มีขั้วตรงข้าม
    นิพพานไม่ใช่ จิตว่าง เพราะตรงข้าม จิตว่าง คือ จิตฟุ้งซ่าน
    นิพพานไม่สูญ เพราะตรงข้ามกับ สูญ คือ มี
    นิพพานเป็นไม่ อัตตา เพราะตรงข้ามกับ อัตตา คือ อนัตตา
    เคยฟังเทศน์ลำดับญาณของเจ้าคุณโชดก(ผ่าน Youtube) ท่านกล่าวว่า นิพพานคือสภาวะตัดซึ่งกิเลส ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่เมือง
    นิพพานเป็นคำแทนสภาวะ ซึ่งผมก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นยังไง แต่เป็นสภาวะที่เป็นอิสระไม่ติดอยู่ในภพใดๆทั้งสิ้น
    ไม่ติดทั้งทุกข์ทั้งสุข ไม่ติดทั้งความพอใจ ไม่พอใจ หรือ เฉยๆ เพราะ
    ความไม่พอใจ = ทุกข์ = ทุกข์คติภูมิ
    ความพอใจ = สุข = สุขคติภูมิ
    เฉยๆ = อุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุข = พรหม

    เมื่อไม่ติดทั้ง 3 ที่ เรียก นิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2013
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    เรื่องนิพพานนี้ไม่เคยคิด แค่ถามดูเฉยๆคะ คนไทยไม่ค่อยเข้าใจ มีอัคติแบ็กอัฟว่าถามไม่ได้บ้าง หาตัวตนไม่เจอบ้าง ก็ใครละคะ ไม่ใช่คนในเวปนี้หรอกหรือ เวลาใครมานั่งพรำพรรณาถึงความทุกข์ ก็บอกว่า ไปนิพพานซิ แต่เรื่องบวชนี้สนใจ อยู่มาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าไม่บวชในศาสนาพุทธ........ ดิฉันก็จะไปลองไปเรียนศาสนาอื่นๆต่อที่ อินเดีย แล้วอะไรต่อไป ชีวิตคือความไม่แน่นอน คือการเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ยังไม่ตายก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ........ เวลาที่เจอคำตอบใหม่ๆที่ถูกต้อง....... แต่มีอย่างเดียวที่ไม่มีวันเปลี่ยนคือ ความรักความกตัญญู ต่อคนตายที่ล่วงลับ


    ดิฉันไม่แน่ใจว่า อุปทานคิดไปเองหรือเปล่า แต่เคยรู้สึกเหมือนได้สัญญาณมาดลใจใหเร่งปฏิบัติจากพระพุทธเจ้า....... ตอนที่คุณตาดิฉันเสีย คือ ท่านเลี้ยงดิฉันมาตอนเด็กๆ พอท่านเสีย ดิฉันรู้สึกเสียใจและไม่ใช่เสียใจอย่างเดียว แต่รู้สึกสงสัยด้วย ว่าคนที่พูดกับเราอยู่หยกๆทำไมหายไปเฉยๆ เราจะไม่ได้เจออีกแล้วตลอดกาล พอยิ่ตอนนอนปิดไฟมืด เปิดตาก็รู้สึกว่า เราเป็นอะไร แล้วทุกอย่างที่มันเกิดนี้มันมาจากไหน ทำไมเราจึงมาเกิดเป็นคน แล้วอีกใจมันก็นึกขึ้นมา ว่า มันไม่มีใครสร้างทั้งสิ้น ไอ้คำว่ามีนั้นมีนี้ ที่เราว่าเป็นเราเป็นคนนั้นคนนี้มัน เป็นแค่มุมมองของเราเอง ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย พอเริ่มรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ เวลามืดๆ...... และรู้สึกกลัว อยู่ๆก็มีพระท่านมอบพระบรมสารีฯให้ดิฉันมาเสียอย่างนั้น ทั้งๆที่ในหัวดิฉันตอนนั้นไม่ได้มีเรื่องศาสนาพุทธเลย

    เหมือนกับท่านท่านมาดลใจว่า ให้นึกถึงท่าน ทีนีพอได้รับพระบรมฯมา เวลาสวดให้พระบรมฯ สามวันแรกพอสวดเสร็จทุกครั้ง จะมีกลิ่นหอม มากๆ ปรากฏขึ้นแว็บนึงเป็นกลิ่นที่หอมมากๆ ถ้าให้ลองเทียบดูกับกลิ่นในธรรมชาติที่ใกล้เคียงหน้าจะเป็นกลิ่นของ ไม้จันอินเดีย เพราะดิฉันจำได้ว่าเคยมีคนเขาไปอินเดียและซื้อมาให้ และลองดมดูมันหอมประมาณนั้น........ พอหลังจากนั้น พอมีใครที่เรารักตายไปอีก ก็จะเหตุได้รับพระบรมฯเข้ามาบูชา เป็นแบบนี้ ก็น่าแปลกมากเฉพาะตอนที่หลังมีคนตาย และคนที่ให้เขาก็ไม่ได้รู้ด้วยว่าเรากำลังมีทุกข์ หรือใครตาย


    เคยไปดูหมอหลายที่แบบไม่ได้ไปเอง โดยมากญาติบอกว่าดีแล้วเชิญมาให้เจอ แต่ละเจ้า มีแต่บอกเหมือนกันหมดว่า ดิฉันดวงนักบวช ไม่ใช่ดวงคนทำงาน ถ้าเป็นนักบวชจะดีมาก
     
  4. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    โอเค ดิฉันพอนึกออกคะ นิพพานน่าจะเป็นสภาวะรู้ คือ เห็นทุกอย่าง ทั้งดี ไม่ดี เหมือนคนธรรมดา แต่ เข้าใจอย่างก้นบึ้งของหัวใจแล้วว่า มันไม่มีแก่นสาน ดี สวยงาม น่าเกลียด ต่างๆก็ ไม่ถาวร จึงไม่รู้สึกกระทบทั้งจาก รูปวัตถุ หรือ การกระทำ ใดๆ ในโลนี้ เพราะจิตเป็นสุขอยู่เสมอ ก็เป็นนิสัยอย่างนึงนั้นเองที่ปุถุชนธรรมดาทำได้ยากเพราะมี ขันธ์ ห้า คอยแบ็กอัฟ ให้ต้องทำไปตามนั้น ขอบคุณ ท่าน Thrinai ที่ตอบตรงคำถาม
     
  5. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555
    รู้ก็ไม่ใช่นะครับ...หลวงพ่อของผมว่า เมื่อปฏิบัติถึงจุดๆหนึ่งปัญญาเต็มแล้ว ปัญญาก็คือสิ่งสมมุติ ปัญญาก็คือตัวรู้ จำเป็นต้องวางลง เมื่อวางปัญญาได้ถึงจะเรียกว่า วิมุติ

    ปล.หลวงพ่อของผมเป็นพระปฏิบัติสายหลวงปู่มั่น
     
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เออ แต่รู้ในที่ที่ดิฉันไม่ได้หมายว่าความว่ารู้ด้วยญาณวิเศษนะคะ รู้ในที่นี้ดิฉัเชื่อมนุษย์ทุกคนรู้เหมือนกันหมด ว่า ถ้าเรามีกิเลสใจมันก็ทุก แต่คนส่วนใหญ่วางไม่ได้ก็เท่านั้นเองเพราะมันยงโดนควบคุมโดย ความจำเป็นทากาย เช่น ต้องกินอาหาร ต้องทำนั้นทำนี้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด เอาเป็นว่าเราก็ทำหน้าที่ของเราแต่ละคนไป ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่นเป็นพอ
     
  7. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555
    ค่อยๆศึกษาไปนะครับ เพราะ ที่คุณเข้าใจน่ะมันยังไม่ถูก และมันข้ามขั้นที่คุณจะเข้าใจแล้ว ค่อยๆฝึก ทาน ศีล ภาวนาไปเรื่อยๆก่อน เพราะสิ่งที่ผมพูดถึงมันคือวิปัสนาญาณ
    ดังนั้นก็ควรสรุปเรื่องนิพพานไว้ตรงนี้ เพราะ เราไม่สามารถอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ มันจินตนาการไม่ถูกนะ ไว้ปฏิบัติถึงแล้วรู้เอง เอาเป็นว่าเมื่อจิตเป็นอิสระ แล้วย่อมสุขเฉกเช่นคนที่พ้นจากการถูกพันธนาการด้วยโซ่ที่ล่ามไว้อย่างแน่นหนา
     
  8. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เรื่องฌาณนที่เกิดจาก นั่งสมาธินะหรือคะ ดิฉันว่านั่งพอเอาสงบดีกว่าคะ ที่จะไปนั่งเห็นผีเห็นวิญญาณ


    เอาแบบพูดคุย ในแนตำรา หรือ หนังสือหรออะไรที่ท่านเคยอ่านมาก็มาเ่าให้ฟังคะ ไม่ต้อมาย้อนว่าดิฉันจะปฏิัติหรอไม่ปฏิบัติิเพราะถ้าถามความเป็นพุทธ ดิฉันก็ม่ได้เป็นเต็มตัว ความศรัธา ยังน้อยกว่า คนไทยหลายๆคนที่ ประพฤติผิดศีล ห้า แต่ ปากบอกเคารพพระพุทธเจ้า มีเยอะมากคะพวกนี้


    edit -ดิฉันก็เชื่อพุทธ ตีความพระไตรปิฏกในแบบ ตะวันตก ส่วนพวกท่านอาจจะตีความในแบบไทย ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน แค่มาถามเพราะอยากรู้ความเห็นของคนไทยว่า มีมุมมองเรื่องนิพพานอย่างไร ส่วนหลวงปู่มั่น ดิฉันก็งงอย่างเรื่องที่ท่านบอกพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย อันนี้มันต่างมากไปจากที่เราเรียนๆกันมา แล้ว โบราณสถานที่พุทธคยา และ ในอินเดีย ละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2013
  9. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555
    ที่คุณกล่าวคือ ส่วนของ สมถภาวนา ไม่ใช่ส่วนของ วิปัสนาญาณ
    วิปัสนาญาณ คือ การปฏิบัติให้จิตเห็น ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่คิดเอาเองนะ อันนั้นเขาเรียก วิปัสสนึก

    อันนี้ใช้การฟังจาก mp3 ของ พระอาจารย์หลายท่าน + ปฏิบัติ ก็เลยเข้าใจ ผมก็เลยบอกคุณให้ปฏิบัติ เพราะคุณจะเข้าใจด้วยตัวคุณเอง

    อันนี้ก็แล้วแต่ชอบเช่นกัน แต่พระไตรปิฎกของประเทศไทย เอามาจาก มคธ เลย แปลก็แปลตรงตัว ถ้าไม่เชื่อภาษาไทยก็ไปตีความจากบาลีเอา ต่างจากพระไตรปิฎกของชาติอื่น เพราะ ตีความซ้อนๆกัน เช่น แปลจากบาลีเป็นจีน แล้วแปลจากจีนไปเป็นอังกฤษ ความเดิมย่อมสูญหาย เพราะตีความจากความเข้าใจของคนที่แปล ยกตัวอย่างเช่น คำในภาษาอังกฤษ แปลมาเป็น ภาษาไทย แล้วเอา ภาษาไทย ไปแปลเป็นภาษาจีน ความหมายย่อมผิดเพี้ยนไปแน่นอน

    เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน แต่จะว่าไปแล้ว สงครามใน ชมพูทวีปก็ไม่ใช่น้อย ชนชาติคนแถวนั้นก็ มีอพยพมาก็ไม่น่าจะแปลก และอีกอย่างภาษาไทยเองก็มีลักษณะคล้ายมคธอยู่นะ

    ปล.ผมเองก็ไม่ได้เชื่อแบบสุดโต่งมาตั้งแต่ทีแรก ผมเองก็มาจากไม่เชื่อเหมือนกัน แต่จากการปฏิบัติ + การได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ + การวิเคราะห์ +รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง แม้ของต่างศาสนาเอง (ผมอ่านหนังสือเยอะมาก โดยเฉพาะจิตวิทยา) จนตอนนี้ผมน้อมกายน้อมใจเชื่อพระพุทธเจ้า
     
  10. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    นิพพานคงไปไม่ถึง....

    ไปได้แค่เนี่ย.....

    [​IMG]
     
  11. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    แม้แต่พระอริยะก็ไม่ดูถูกผู้อื่นยิ่งคุพูดจาดูถูกคนอื่นแบบนี้ ส่อให้เห็นตัวตน แค่นี้แหละ ไม่ชอบการต่อล้อต่อเถียง เพราะนในเวปนี้เถียงเก่ง
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    DuchessFidgette ให้หาความรู้จากผู้ที่ให้ความรู้กับเราได้ อย่ามัวชักช้าเสียเวลากับเรื่องที่จะไม่ทำให้เราเกิดความรู้
     
  13. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    .........แซบ.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    วาจาส่อ สันดาน


    ขนาดคนเขาไม่ต้นรับบร็อคไปแล้วยังจะเข้ามาได้อีก เก็บเอาไปแซบทางทางบ้านคุณเถอะ ดิฉันไม่กินของลาว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2013
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าอยากพ้นทุกข์ถาวร ก็ให้เพียรเจริญสติ เพื่อให้เห็น และ กำจัดเชื้อแห่งการเกิดลงไปเรื่อยๆ

    อย่าทำตรงกันข้ามกัน เพื่อสะสมเชื้อแห่งการเกิดให้มากยิ่งขึ้นไป มันจะเวียนเกิดเวียนตายไม่หยุด
     
  16. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    น่าจะเอาไปใช้กับอภิมารมากกว่ามั้งคะประโยคนี้?......... ถามดีๆ ดันตอบกวนโอ้ย......... ตายตายๆ นี้แหละ หนาชายไทย มีชาติเดียวในโลก ถึงขนาดลดตัวมาต่อล้อต่อเถียงกะผู้หญิง
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไม่ต้องไปสนใจว่าใครเขาจะเป็นยังไง ดูที่ใจตัวเองให้ได้ตลอด
     
  18. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    โอย....ปูนนี้แล้วดัดไม่ไปหลอกครับ...ท่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    "ลูกของฉัน เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ก็อาจจะโต๋เต๋ไปบ้าง สุดท้ายลูกฉันเข้านิพพานหมด" - หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


    ตัวเราเองนั้นก็ควรพิจารณาใจอยู่เนืองๆ เช่นกัน

    กิเลสที่มันคอยชักนำให้มันเกิดความสนุกเพลิดเพลิน ในการแกล้งผู้อื่นทางวาจา มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวเรา และผู้อื่นเลย และยิ่งหากทำให้ผู้อื่นคลาดไปจากทางธรรม ก็ยิ่งเป็นโทษ

    หากละตรงนี้ได้เสีย ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สั้นๆนะครับ.ไม่ทราบว่าตอบช้าไปหรือเปล่าแต่ถ้าว่างๆให้ลองอ่านดูนะครับ
    จะตอบว่า...ไปได้ซิครับ.ถ้าจิตลำพังจิตนะครับ.ไม่อยากเกิด

    แต่เพราะเหตุเนื่องจากจิตเห็นว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ครับ..พอพ้นสภาวะนี้
    แม้แต่ตัวจิตก็จะวางตัวของเค้าเองได้..แต่ก่อนที่จะมาถึงสภาวะ
    ดังคำว่าลำพังจิตเราไม่อยากเกิด.ช่วงแรก ต้องผ่านขั้นตอนที่ตัวจิตสามารถ
    การคลายออกจากคิดที่เกิดจากจิต(คือ ความคิดที่เราสามารถปรุงแต่ง
    ให้ดีก็ได้ไม่ดีก็ได้ หรือแยกเป็นหลักๆเรียกว่า ความคิดอกุศลหรือกุศล)

    ..และจิตคลายออกจากความคิดที่เกิดจากขันธ์ ส่วนนามธรรม
    มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน บางที่เราเรียกว่า วิบากกรรมเก่า
    ถ้าพูดง่ายๆก็คือความคิดชนิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ.บังคับ
    เรื่องที่ขึ้นมาไม่ได้ และมาโดยที่ไม่มีกำหนดเวลาในการขึ้นมา.และ
    ลักษณ์เรื่อง จะหมุนวนซ้ำๆอยู่อย่างเดิม..ส่วนมากจะเป็น สัญญา
    หรือความคิดที่เป็นอดีต.บางทีก็เป็นเสียงเพลงเป็นประโยคๆ

    .ยกตัวอย่างอุปมาอุปไมย เช่น..อยู่ดีๆมีความคิดขึ้นมาประ
    โยคหนึ่งว่า "ดอกบัวเป็นสีขาว'' ก็จะเป็นประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา
    โดยที่เราจะไปเปลี่ยนประโยคในเครื่องหมายคำพูดไม่ได้เลย..
    ..พอจิตดับความคิดที่เกิดจากจิตได้.เราจะมีสติตัวหนึ่งเรียกว่าสติทางธรรม
    และสติทางธรรมตัวนี้.ต่อไปจะมาคอยควบคุมความคิดที่เกิดจากจิตและคอย
    ตามทำความเข้าใจความคิดที่เกิดจากขันธ์ส่วนนามธรรม
    ..เราเรียกว่าการเดินปัญญา..พอเดินปัญญา


    ช่วงต่อไปพอทำมาได้ระยะหนึ่งจากการที่จิตตามทำความเข้าใจความคิดที่เกิดจาก
    ขันธ์ ส่วนนามธรรมตัวนี้ได้ทุกเรื่อง.ก็จะเกิดปัญญามากพอ
    จนจิตเห็นว่าทั้ง ความคิดนี้ไร้สาระหาแก่นสารไม่ได้ จิตก็จะไม่สนใจ.และก็จะวางความคิดทั้งนี้ได้เอง...


    หลังจากนั้นก็จะยังเหลือแต่กิเลสส่วนละเอียดลึกๆที่ติดตัวเรา ฝั่งในจิตเรา
    มาตั้งแต่ชาติปางก่อน หรือ ลักษณะนิสัยร้ายๆในตัวเราที่มีเราเท่านั้นจะรู้ดี
    ที่สุดโดยที่บุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นหรือทราบได้..เราก็มาค่อยๆ
    คลายกิเลสตัวนี้ต่อ.ด้วยการค่อยๆละ..ค่อยๆคลาย..

    ด้วยการมีสัจจะในการลดกิเลส อกุศลกรรมเราไม่ทำ
    สร้างแต่กุศลกรรมและกรรมใหม่ต่างๆที่เราทำก็จะเป็นเพียงกิริยา...บุญเราก็ทำแต่ว่าอย่าไปยึด
    ที่เราเรียกว่าการเข้าสู่ช่วงอยู่เหนือบุญเหนือบาป
    ไม่งั้นพอร่างกายจะแตกดับเด่วจิตจะไปติดในกองบุญกองกุศลตัวนี้และ
    ไปเสวยกองบุญกองกุศลตัวนี้คือได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี.ก็เลย
    ยังทำให้ไม่ถึงเขตนิพพาน..ต้องไม่ยึดในกองบุญกองกุศล

    .ที่เหลือต่อมาก็จะมีเพียงแต่สติและปัญญาที่คอยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงแทนเรา..
    หลังจากนั้นด้วยปัญญาที่มากพอประกอบกับ
    ผ่านขั้นตอนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.

    จิตถึงจะเริ่มเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ได้..และจะหาวิธีการเพื่อไม่ให้ตัวจิตเอง
    ต้องกลับมาเกิด.สุดท้ายแม้ตัวสติและปัญญาก็จะวางของเค้าเอง
    เพราะจิตก็เห็นว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวน เป็นทุกข์เพราะบังคับให้เป็นดังใจไม่ได้
    คล้ายๆกับที่จิตเห็นจากการตามดู ตามทำความเข้าใจ.ความคิดที่เกิดจากขัน ๕ ส่วนนามธรรมในทุกๆเรื่องนั้นเอง..


    เลยเป็นเหตุให้ตัวจิตเห็นว่าการเกิดทั้งหลายเป็นทุกข์แม้
    แต่ตัวจิตเองก็เห็นว่าการที่ตัวเองเกิดก็เป็นทุกข์ ตัวจิตก็จะวางตัวเค้าเองได้..
    และก็จะครบองค์ประกอบที่เพียงพอเหมือนดังคำที่คุณกล่าวไว้ว่า

    ''ถ้าลำพังจิตไม่อยากเกิดเราจะสามารถไปนิพพานได้ไหมครับนั่นเอง""....
    ปล.ลองค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจดูนะคับ..​
     

แชร์หน้านี้

Loading...