ทุกอย่างที่เห็นหรือรู้สึก บนโลกนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่อง สมมุติ ทั้งสิ้น

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ihappiness, 2 กรกฎาคม 2013.

  1. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    มีภาพยนต์ฝรั่งอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ปู่ได้ดูแล้วชอบมาก เป็นจินตนาการถึงโลกในอนาคต เกิดสงครามระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร มนุษย์ได้ทำลายแหล่งพลังงานของเครื่องจักร ซึ่งมาจากแสงอาทิตย์ โดยทำให้เกิดหมอกควันปกคลุมไปทั่วโลกจนมืดมิด เป็นเหตุให้โลกเย็นลง มนุษย์ต้องหนีลึกลงไปใกล้แกนโลก เพื่อให้เกิดความอบอุ่น เครื่องจักรแก้ปัญหานี้ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากตัวมนุษย์ ได้นำทารกไปเลี้ยงในหลอดแก้ว และสร้างโลกเสมือนด้วยโปรแกรมต่างๆจากคอมพิวเตอร์ ทำให้มนุษย์เติบโตและอยู่ในฝันเหมือนกับอยู่บนโลกจริงๆ

    ความฝันของมนุษย์ได้ผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนให้แก่เครื่องจักร การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป และในขณะเดียวกันมนุษย์ได้แอบเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อปลุกคนที่อยู่ในหลอดแก้วให้มาร่วมต่อสู้ด้วย จนในที่สุดพวกเขาได้พบผู้นำทางอยู่ในนั้นด้วย และด้วยความอัจฉริยะ ทำให้เขาเข้าใจโลกเสมือนจริงและเกิดการหยั่งรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ เข้าใจกฎต่างๆทำให้มีพลังเหนือมนุษย์ สามารถต่อสู้กับจารชนชุดดำ ที่ถูกสร้างโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อย่างสูสีใกล้เคียงกัน จารชนชุดดำพวกนี้มีหน้าที่สืบความลับและทำลายล้างมนุษย์

    ซึ่งต่อมาได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนครอบครองโลกในฝัน และเริ่มเป็นอันตรายต่อตัวเครื่องจักรเอง ในขณะนั้นเครื่องจักรได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าโจมตีมนุษย์ รังใต้ดินกำลังถูกทำลาย แต่ก่อนที่จะสายเกินไป ได้มีการเจรจาตกลงสงบศึกระหว่างผู้นำทางและเครื่องจักร ทำให้เกิดความร่วมมือกัน เข้าทำลายจารชนจนหมดสิ้นและทำให้เกิดสันติภาพขึ้นอีกครั้ง ส่วนผู้นำทางพระเอกของเราต้องจบชีวิตลงในการต่อสู้ครั้งนั้น

    หลังจากที่ได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้แล้ว หลายคนพูดว่าเนื้อเรื่องคล้ายๆ กับแนวความคิดในพุทธศาสนา ที่บอกว่าทุกอย่างล้วนสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น และถูกควบคุมโดยกฎของธรรมชาติ การเข้าถึงสัจธรรมทำให้เกิดการรู้แจ้ง หลุดพ้นจากพันธนาการ เราจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง ในภาพยนตร์ มีอยู่ฉากหนึ่งที่ปู่ชอบมาก เป็นฉากของภัตตาคารหรูหรา บนโต๊ะมีอาหารชั้นเลิศ มีชายสองคนนั่งรับประทานอาหาร ชายคนหนึ่งเป็นจารชนชุดดำ และอีกคนเป็นมนุษย์ที่แปรพักตร์ ชายคนนั้นใช้มีดตัดชิ้นเนื้อสเต็กป้อนเข้าปาก ค่อยๆเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นได้ดื่มไวน์ตาม ได้พูดกับจารชนชุดดำว่า

    " ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าเนื้อที่นุ่มหวานชิ้นนี้และไวน์รสเลิศแก้วนี้เป็นเพียงของปลอมไม่มีจริง เป็นเพียงการประมวลผลให้สมองของฉันบอกว่ามันอร่อย แต่ฉันก็พอใจ ฉันยินดีที่จะทำทุกอย่าง เพียงเพื่อกลับเข้าไปนอนในหลอดแก้วและนอนฝันอย่างนั้นตลอดไป แกต้องสัญญาว่าจะทำให้ฉันกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง และเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุด มีความสุขที่สุด ถ้าแกตกลงตามที่ฉันขอ ฉันจะนำพวกนั้นมาประเคนให้แก จารชนรับปาก และยิ้มอย่างพึงพอใจ "

    เนื้อความของฉากนี้ ได้สะท้อนความเป็นจริงหลายอย่างออกมาดังต่อไปนี้

    ข้อแรก เขายินดีกับความสุขเหล่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นความสุขปลอมๆ ข้อนี้คนทั่วไปเป็นอย่างนี้เหมือนกัน

    ข้อที่สอง คนๆ นั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว สามารถทรยศหักหลังทุกคน เพียงเพื่อตัวเอง

    ข้อที่สาม ในด้านชีววิทยา ที่พูดถึงระบบประสาทสัมผัส
     
  2. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    สิ่งหนึ่งที่ปู่ได้พบจากการมองเห็นร่างกายมนุษย์ ความรู้สึกร้อนเย็น หรือกระทั่งความเจ็บปวดนั้นไม่มีจริง เป็นเพียงการประมวลผลจากร่างกายไปยังสมอง และประเมินผลรวมเข้ากับข้อมูลที่มีอยู่ ทำให้เรารับรู้ถึงสิ่งต่างๆ เช่นการรับรส เมื่อเรากินสเต็กชิ้นหนึ่ง ถ้าเรารู้สึกอร่อยถูกปาก ก็หมายความว่าข้อมูลของเราบอกว่า นี้แหละคือรสชาติที่เราชอบ แต่ถ้าให้ฝรั่งกิน เขาอาจบอกเราว่าไม่ได้เรื่องเลย ตรงนี้คือความจำได้หมายรู้ที่แตกต่างกัน หรือบางคนที่ชอบกินอาหารญี่ปุ่น พอได้ไปกินของต้นตำรับก็อาจบอกว่าอร่อยสู้ที่เมืองไทยไม่ได้ เพราะรสชาตินั้นได้ถูกปรับปรุงให้ถูกลิ้นของคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว

    ส่วนความเจ็บปวดก็เช่นกัน เป็นเพียงการส่งสัญญาณการอักเสบ จากบริเวณนั้นไปยังสมองส่วนกลางเพื่อประมวลผล ถ้าอักเสบมากมันจะสั่งให้เรารู้สึกเจ็บปวดมาก กรณีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การปวดฟัน เหงือกและฟันไม่ได้ปวด เป็นเพียงอาการอักเสบ ถ้ามีเพียงเล็กน้อย เราจะรู้สึกเพียงปวดหนึบๆ นิดหน่อย อาจมีสาเหตุมาจากมีเศษอาหารติดตรงซอกฟัน เขี่ยทิ้งก็หาย

    แต่ถ้าจำเป็นต้องถึงขั้นถอนฟัน หมอก็จะฉีดยาชา เพื่อระงับความปวด เป็นการตัดการส่งข้อมูลไปยังสมอง เราจะไม่เจ็บเวลาหมอถอนฟัน จนกว่ายาชานั้นหมดฤทธิ์ การปวดจึงเป็นระบบเตือนภัยอย่างหนึ่งของร่างกาย มนุษย์ชอบตัดสัญญาณนี้ทิ้งโดยการกินยาระงับปวด นอกจากนี้ความเจ็บปวดยังขึ้นกับจิตใจของเรา ถ้ามีความวิตกกังวลมากเกินไป ความเจ็บปวดจะมีมากขึ้นและนานกว่าปกติ

    มีเรื่องสมมุติอีกหลายอย่างในชีวิตประจำวันของเรา เช่น เรื่องเงิน ที่เราใช้แลกเปลี่ยนซื้อขาย สมมุติว่าเรามีเงินและเก็บไว้มาก วันหนึ่งเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง เขายกเลิกธนบัตรชนิดที่เรามีและประกาศใช้ธนบัตรแบบใหม่ เงินของเราจะกลายเป็นเศษกระดาษทันที หรือทองคำที่ถือาว่าเป็นสินแร่ที่มีค่าหายาก

    แต่หากมาวันหนึ่งเกิดค้นพบทองจำนวนมหาศาล กลายเป็นของหาง่าย ใครๆ ก็เป็นเจ้าของได้ ค่าของทองอาจตกลงจนถูกกว่าเหล็กธรรมดาก็ได้ หรือแม้แต่เพชร สมมุติว่าอยู่มาวันหนึ่งเกิดเจอแหล่งเพชรขนาดมหึมา เพชรอาจมีค่าเหมือนก้อนกรวดก้อนหนึ่งก็ได้ เรื่องนี้บางคนบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็เป็นอย่างนั้นมาแล้ว ยาบางชนิดเช่นยาปฏิชีวนะในสมัยก่อนแพงมาก ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ เดี๋ยวนี้ซื้อที่ไหนก็ได้ แม้แต่เครื่องใช้ที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงก็ไม่ต่างกัน ตอนออกสู่ตลาดใหม่ๆราคาแพงมาก คนเบี้ยน้อยได้แต่เมียงๆมองๆ เดี๋ยวนี้กลับซื้อขายกันถูกมาก บางครั้งกลายเป็นของแถมไปก็มี
     
  3. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    ที่ปู่พูดถึงเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียด เพราะคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่เราควรรู้ ความทุกข์หลายอย่างมาจากการที่เราไม่รู้สมมุติ ไปยึดมันมากเกินไปจนเป็นทุกข์ เดินหน้าต่อไปไม่ได้ บางคนทุกข์จากความรัก การถูกทอดทิ้ง ถ้าเราคิดอีกมุมหนึ่งว่าคนๆ นั้นอาจไม่เหมาะกับเรา เลิกคบหากันอาจเป็นเรื่องดี จะได้ไม่มานั่งปวดหัว ทรมานกับสิ่งที่จะตามมาอีกมากมาย

    อาจเป็นโชคดีของเราก็ได้ เราจะได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ต่อไป หรือบางคนเสียใจที่ไม่ได้สิ่งที่ตัวเองชอบ ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง สิ่งที่เราเห็นว่าดี อาจไม่ดีสมกับที่เราหวังไว้ก็ได้ คิดอย่างนี้สบายใจกว่าเยอะเลย ในบางเรื่องเราต้องอดทนรอคอย อย่าใจร้อน เหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุก การได้มาก่อนอาจไม่อร่อยเหมือนที่มันสุกเต็มที่ ความพร้อมความพอดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ บางครั้งการใช้อารมณ์หรือเหตุผล มากเกินไป น้อยเกินไป ไม่พอดี ทำให้การมองสิ่งต่างๆผิดเพี้ยนไป การตัดสินใจอาจผิดพลาดได้

    ในทางพุทธศาสนา เราสอนกันว่าทุกอย่างล้วนสมมุติขึ้น นี้ฉัน นี้เธอ นั้นเป็นของเรา ที่เราเรียกว่าสมมติ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆไม่คงที่ บังคับไม่ได้ เช่น เรามีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง เราคิดว่าเป็นของเรา อยู่มาวันหนึ่งเราขายไป เปลี่ยนคันใหม่ รถคันนั้นเปลี่ยนสมมุติเป็นของคนอื่นไปแล้ว หรือรถบางคันไปพบกับอุบัติเหตุพังเสียหายยับเยิน สุดท้ายรถคันหรูที่แสนรักไปอยู่ร้านรับซื้อของเก่า จากนั้นอาจถูกนำไปหลอมใหม่ นำมาทำเป็นกระทะ หม้อ เครื่องใช้สอยที่เราใช้อยู่ก็ได้ แม้แต่ร่างกายของเรา เราบังคับมันไม่ได้ ห้ามมันป่วย ห้ามปวดเมื่อยก็ยังทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ร่างกายต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเข้าใจเรื่องแบบนี้ เราจะไม่ทุกข์มากนัก

    แม้แต่สมบัติพัสถาน เป็นสมบัติผลัดกันชม ไม่แน่นอน การยึดว่าเป็นของเรา เมื่อต้องเสียไปหรือหายไป ทำให้ใจหายรู้สึกเสียดาย จนใจเป็นทุกข์ หรือในเรื่องหน้าที่การงานก็เช่นกัน บางคนเคยอยู่ในตำแหน่งใหญ่โต เป็นหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ หรือผู้จัดการใหญ่ของบริษัทต่างๆในช่วงที่ยังมีอำนาจ วาสนา มีคนไปมาหาสู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเวลาเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ วันเกิด มีคนนำของขวัญของมีค่ามาให้มากมาย มีคนมายกยอเอาใจ รู้สึกดีใจ ชอบใจ

    แต่พอหากเกษียณอายุงาน หรือออกจากตำแหน่งนั้นๆ ไปแล้ว เราก็จะไม่มีใครมาหาอีก รู้สึกเสียใจ พอใกล้ถึงวันปีใหม่ หรือวันเกิด ต้องเดินทางออกไปต่างประเทศ เพราะทนรับความโดดเดี่ยวอย่างนั้นไม่ได้ อย่างนี้ทุกข์เพราะไม่รู้สมมุติ แม้แต่เรื่องในครอบครัว ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง เราไม่อาจแทรกแซงได้ บางครั้งเราอาจผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ เกิดความคับแค้น เสียใจ แต่ถ้าได้ทำหน้าที่ตามสมมุติ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ในชีวิตของเราการเข้าถึงสัจธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการู้สมมุติ และรวมถึงการรู้จักการปล่อยวาง เข้าใจความจริงแท้ของโลก ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งข้างหน้าเราก้าวพ้นความทุกข์ได้อย่างแท้จริงที่เรียกว่านิพพาน ...
     
  4. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
  5. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    ความจริงที่แท้จริง


    พวกเราต้องมีหลักยึดในการดำเนินชีวิต ต้องมีธรรมะความถูกต้องเป็นหลักยึด ถ้าเกรงใจกันจะทำให้เกิดความเสียหายได้ อย่างที่หลวงตาท่านพูดไว้ว่า ท่านเกรงธรรม ท่านไม่เกรงใจคน ถ้าเกรงใจคนธรรมก็แหลก ที่พวกเราปฏิบัติกันอยู่นี้ ก็ปฏิบัติเพื่อให้มีธรรมะเป็นหลักยึด เป็นที่พึ่งของจิตใจ ถ้าใจมีที่พึ่งใจจะสงบ ไม่วุ่นวาย เพราะธรรมะเป็นความจริง สิ่งอื่นๆไม่เป็นความจริง พวกเราอยู่ในโลกของความจริงและความไม่จริง ความไม่จริงก็คือสมมุติทั้งหลาย ไม่เป็นความจริงที่แท้จริง เป็นความจริงชั่วคราว สมมุติกันขึ้นมา ความจริงที่แท้จริงก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ประกอบด้วยธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย เป็นสิ่งของต่างๆ ล้วนมาจากธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น พอประกอบกันขึ้นมาแล้ว ก็ถูกสมมุติว่าเป็นชายเป็นหญิง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกเป็นหลาน เป็นพี่เป็นน้อง เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นกษัตริย์ เป็นประชาชน เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี เป็นส.ส. เป็นสมมุติทั้งนั้น เป็นความจริงชั่วคราว พอร่างกายหยุดทำงาน ธาตุทั้ง ๔ ก็จะแยกออกจากร่างกายไป เอาไปเผาก็เหลือแต่ขี้เถ้า ไม่มีแล้วคนๆนั้น นายคนนั้น จะเป็นใครก็ตาม เพราะความจริงที่แท้จริงก็คือ เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เท่านั้นเอง

    ถ้ารู้อยู่กับความจริงที่แท้จริง ว่าโลกนี้เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มีเกิดมีดับ มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ถ้าไปยึดติด ว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นพ่อเป็นแม่เรา เป็นลูกเรา เป็นสามีเรา เป็นภรรยาเรา เป็นครูบาอาจารย์เรา ก็จะไม่หลง จะไม่ทุกข์ ถ้าไม่รู้อยู่กับความจริงที่แท้จริง คือธรรมะ ก็จะหลงสมมุติ จะยึดติดกับสมมุติ พอสมมุติสลายตัวไป หมดสภาพไป ก็จะเกิดความทุกข์ เกิดความเศร้าโศกเสียใจขึ้นมา ขณะที่อยู่ด้วยกัน ก็ทุกข์ด้วยความวิตกกังวลห่วงใย เพราะว่าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมีปัจจัยหลากหลาย ที่จะทำลายสมมุติ พวกเราจึงควรมองไปที่ความจริงที่แท้จริง ว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่มีใครอยู่ในธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ผู้ที่มาครอบครองธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟนี้ ไม่ได้เป็นธาตุ ๔ แต่เป็นธาตุที่ ๕ เรียกว่าธาตุรู้ คือใจ ใจเป็นผู้ที่มาครอบครองร่างกาย พอร่างกายแตกดับไป ใจก็แยกจากไปเท่านั้นเอง

    จะไปไหนต่อก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของใจแต่ละดวง ก็จะไปได้ ๓ ทางคือ ๑. ไปสวรรค์ ๒.ไปนรกไปอบาย ๓. ไม่ไปไหนเลย ไม่ไปสวรรค์ ไม่ไปนรก ยุติการไป เช่นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ท่านไม่ไปสวรรค์ ไม่ไปนรก ท่านหยุดการเวียนว่ายตายเกิด หยุดการเดินทางของธาตุรู้คือใจ ไม่ไปรวมกับธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟอีกต่อไป เพราะท่านมีความรู้ที่แท้จริง ว่าการดิ้นรนแสวงหาสมมุติต่างๆนั้น ไม่มีคุณค่าอะไรเลย ไม่เป็นประโยชน์สุขกับจิตใจเลย เป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ที่มีแต่ให้ความทุกข์กับจิตใจ พอได้ร่างกายมาแล้วก็ต้องแบกหามร่างกาย ตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงวันตาย เป็นภาระหนักมาก ภาราหเว ปัญจักขันธา ใจเป็นผู้แบกภาระของร่างกาย ต้องคอยดูแลเลี้ยงดูร่างกาย พอออกจากท้องแม่มาก็ต้องหายใจ ต้องรับประทานอาหาร ดื่มนม ดื่มน้ำ ต้องรับประทานยาเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ ต้องคอยชำระร่างกาย เพราะมีสิ่งสกปรกปฏิกูล ที่ถูกขับออกมาจากร่างกายตลอดเวลา ถ้าไม่ชำระอยู่เรื่อยๆก็จะส่งกลิ่นเหม็น
     
  6. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    ที่ได้ร่างกายมาก็เพราะอำนาจของความหลง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้มาเป็นทุกข์ ไม่ได้เป็นสุข เป็นดินน้ำลมไฟ นานๆจะมีคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ความจริงนี้ มารู้ว่าใจเป็นผู้หลงแบกธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ เป็นเวลาอันยาวนาน พอเสียธาตุ ๔ ไปก็หามาใหม่ ไปเกิดใหม่ ทำอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลาอันยาวนาน ต้องทุกข์กับการแบกหามธาตุ ๔ มาอย่างโชกโชน น้ำตาที่ได้หลั่งออกมานี้ ในแต่ละภพแต่ละชาติ ถ้าเอามารวมกันแล้ว ท่านว่ามันมากกว่าน้ำในมหาสมุทร แสดงว่าร่างกายที่ใจได้มาแบกนี้ มีจำนวนมากมายมาก คิดดูสิว่าชาติหนึ่งจะหลั่งน้ำตาออกมาได้ถึงขันหนึ่งหรือไม่ แล้วต้องใช้น้ำตากี่ล้านกี่แสนล้านขัน ถึงจะได้น้ำเท่ากับน้ำในมหาสมุทร นั่นแหละคือจำนวนร่างกาย คือธาตุขันธ์ ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟที่ใจได้แบกมา และจะแบกต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่สอนใจให้ฉลาด ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตัวเราไม่ได้อยู่ในธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่ได้อยู่ในร่างกาย ร่างกายไม่ได้ให้ความสุข มีแต่จะให้ความทุกข์ มีเกิดแล้วก็ต้องมีแก่มีเจ็บมีตายตามมา

    ถ้าสอนใจอยู่เรื่อยๆก็จะปล่อยวางร่างกายได้ จะเข้าสู่ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ ที่เกิดจากการปล่อยวางร่างกายของตนและของคนอื่น ปล่อยวางสิ่งของต่างๆ ไม่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้มาให้ความสุข เพราะความสุขที่ได้กับความทุกข์ที่ได้ไม่คุ้มกัน ความสุขที่ได้นี้ได้เพียงเล็กน้อย แต่ได้ความทุกข์มากกว่าหลายร้อยเท่า ถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องคือมีปัญญา ก็จะเบื่อกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ จะไม่อยากได้ ไม่อยากมีอยากเป็น อยากได้อย่างเดียวก็คือความสงบ ที่เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งหลาย ที่สิ่งต่างๆและบุคคลต่างๆในโลกนี้จะสามารถให้ได้ ความสุขนี้ชนะความสุขทั้งปวง ความสุขนี้แหละคือรสแห่งธรรม ที่ชนะรสทั้งปวง ธรรมก็คือความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ที่พวกเราต้องคอยศึกษาอยู่เรื่อยๆ

    การศึกษาเบื้องต้นก็เกิดจากการฟังเทศน์ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรมะ เป็นสุตมยปัญญา เป็นความรู้ที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังธรรม เช่นรู้ว่าความจริงกับความไม่จริงเป็นอย่างไร ความไม่จริงก็คือสมมุติทั้งหลาย ความจริงก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ถ้าไปยึดติด พอทราบแล้วก็ต้องเอามาพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เจริญอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่พิจารณาต่อก็จะลืมได้ เวลาไปทำกิจกรรมต่างๆ จะไม่มีเวลามาคิดถึงความจริงที่แท้จริงนี้ จะไปคิดกับความจริงที่ไม่แท้จริง ไปคิดเรื่องข้าวของเงินทอง เรื่องบุคคลต่างๆ ไปตามความหลง ความยึดติดความอยากได้ อยากรักษาให้สิ่งต่างๆอยู่กับตนไปนานๆ ก็จะลืมความจริงที่แท้จริงไป การฟังเพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถทำให้ใจเห็นความจริงได้ตลอดเวลา

    ดังนั้นหลังจากได้ยินได้ฟังแล้ว ก็ต้องเอามาใคร่ครวญพิจารณาอยู่เนืองๆ ในเวลาที่ไม่ต้องคิดเรื่องภารกิจการงานต่างๆ ก็ควรคิดถึงความจริงที่แท้จริงนี้อยู่เรื่อยๆ ว่าเราอยู่ในโลกของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ ก็เป็นดินน้ำลมไฟ ผู้พิจารณานี้ไม่ได้เป็นดินน้ำลมไฟ แต่เป็นธาตุรู้ เป็นผู้รู้ ที่มีชื่อสมมุติว่าใจ เป็นผู้ที่มาครอบครองร่างกาย แล้วก็ใช้ร่างกายนี้ไปครอบครองสิ่งต่างๆ ต้องคอยสอนใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีวันสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเรา หรือร่างกายของคนอื่น จะต้องมีวันหมดสิ้นไป ต้องสลายไป ถ้าคิดอยู่เรื่อยๆ ก็จะไม่หลงยึดติด ไม่อยากได้สิ่งต่างๆ มาให้ความสุขกับเรา เพราะความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความจริงจะให้ความทุกข์กับเรา

    ได้อะไรมาแล้วใจจะทุกข์กับสิ่งนั้นทันที ทุกข์เพราะไปยึดติดว่าเป็นของเรา สิ่งที่ไม่ใช่เป็นของเรานี้เราจะไม่ทุกข์ด้วยเลย บ้านคนอื่นจมน้ำเราก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเป็นบ้านของเราจะทุกข์ขึ้นมาทันที เพราะไปยึดว่าเป็นของเรา จึงต้องคิดเสมอว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกอย่างที่มีอยู่นี้ เป็นของยืมมาใช้ชั่วคราวเท่านั้นเอง ร่างกายนี้ก็ยืมเขามา ยืมดินน้ำลมไฟมา ต่อไปธาตุ ๔ ในร่างกายก็จะต้องแยกทางกันไป สมบัติข้าวของเงินทองบริษัทบริวารบุคคลต่างๆ เราก็ต้องจากเขาไป หรือไม่เช่นนั้นเขาก็ต้องจากเราไป จึงไม่มีอะไรเป็นของเรา สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มีเกิดมีดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สัพเพ สังขารา อนิจจา สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นความทุกข์ สัพเพ สังขารา ทุกขา พอยึดว่าเป็นของเราจะเกิดความทุกข์ทันที พอเป็นพ่อเรา แม่เรา ลูกเรา สามีเรา ภรรยาเรา ก็จะทุกข์ทันที ถ้าเป็นของคนอื่นจะไม่ทุกข์
     
  7. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    ถ้าอยากจะอยู่อย่างมีความสุข ไม่มีความทุกข์ ก็ต้องไม่หลงยึดติดสิ่งต่างๆ แม้แต่ร่างกายของเรา ให้คิดเสมอว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มาจากธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น มารวมกันแล้ว ไม่นานก็แยกจากกันไป ไม่ว่าจะสร้างอะไรกันขึ้นมา ใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม เวลาจะค่อยๆทำลายไปหมด อาณาจักรต่างๆที่มีในอดีต ก็เสื่อมสลายหายไปหมด เหลือแต่ซากปรักหักพังไว้เป็นอนุสรณ์ นานๆเข้าไปก็จะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่โลกนี้ก็เช่นเดียวกัน สักวันหนึ่งก็จะต้องสูญสลายไป มีสิ่งเดียวที่ไม่ได้เสื่อมสลายไป ก็คือธาตุรู้ เป็นธาตุรู้อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าจะรู้แบบไหน รู้จริงหรือรู้หลง ถ้ารู้หลงก็จะผลิตความทุกข์ให้กับธาตุรู้ ถ้ารู้จริงก็จะไม่ผลิตความทุกข์ จะรู้เฉยๆ จะไม่ยึดติดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวเราเป็นของเรา นี่คือสิ่งที่เราต้องใคร่ครวญอยู่เรื่อยๆ

    แต่ในชีวิตของฆราวาสญาติโยมที่ต้องทำมาหากิน โอกาสที่จะคิดเรื่องเหล่านี้ แทบจะไม่มีเลย เพราะมัวแต่คิดเรื่องภารกิจการงาน การเลี้ยงดูชีวิตของตนเองและของครอบครัว การหาความสุขตามอำนาจของกิเลสตัณหา จะไม่มีเวลาคิดเรื่องความจริงที่แท้จริงนี้ได้เลย จะคิดแต่เรื่องของสมมุติอยู่เรื่อยๆ คิดถึงเรื่องของสามี ของภรรยา ของลูก ของบิดา ของมารดา ของเพื่อน ของครูบาอาจารย์ ของคนนั้น ของคนนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น ถ้าจะคิดได้บ่อยๆ จำเป็นต้องปล่อยวางภารกิจการงานที่ไม่จำเป็นลงไป ให้มีเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง ให้มีเวลามาคิดพิจารณาถึงความจริงที่แท้จริง จะได้เป็นจินตามยปัญญา แต่ก็ยังไม่พอเพียงต่อการที่จะทำให้ใจรู้ทันความหลง ทำลายความหลง ที่คอยดึงใจให้ไปหลงยึดติดกับสมมุติต่างๆได้

    ถ้าอยากจะให้ใจทำลายความหลงได้ ก็ต้องพิจารณาตลอดเวลา พิจารณาทุกลมหายใจเข้าออก ถึงจะเป็นภาวนามยปัญญา อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ ให้คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ก็คือให้พิจารณาอนิจจังของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟนี้เอง ความตายของร่างกายก็คืออนิจจัง ถ้าเห็นอนิจจังก็จะเห็นทุกขัง เห็นอนัตตา อนิจจังทุกขังอนัตตาเป็นความจริงที่เกี่ยวเนื่องกัน ถ้าเห็นว่าไม่เที่ยง ก็จะเห็นว่าเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พวกเราไม่ชอบของไม่เที่ยง ชอบแต่ของเที่ยง อยากจะให้ทุกอย่างเที่ยงแท้แน่นอน อยากจะให้เป็นเหมือนเดิม ให้เป็นสาวเป็นหนุ่มไปตลอด ไม่แก่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ตาย แต่ความจริงไม่สนใจต่อความต้องการของเรา ความจริงย่อมเป็นไปตามความจริงเสมอ ถ้าต้องการจะยุติความหลง ที่ทำให้คิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา ว่าร่างกายจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ก็ต้องคิดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกว่า ร่างกายนี้ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดา จะคิดอย่างนี้ได้ก็ต้องปล่อยวางภารกิจอื่นๆทั้งหมด จะปล่อยด้วยการออกบวชก็ได้ ถ้าไม่บวชก็ปล่อยที่บ้านก็ได้ ต้องไม่ทำภารกิจอื่น นอกจากการเดินจงกรมนั่งสมาธิเท่านั้น

    ที่ต้องนั่งสมาธิกันก็เพื่อเสริมสร้างพลังให้แก่ใจ ให้อาหารให้ความสุขแก่ใจ ถ้าใจไม่สงบจะไม่มีกำลังพิจารณาไตรลักษณ์ เหมือนการทำงาน ถ้าไม่ได้เงินเดือน จะไม่มีกำลังใจทำงาน สิ้นเดือนแล้วเงินเดือนไม่ออกนี้ คงจะไม่ไปทำทุกวัน ไปทำแล้วไม่ได้เงินเดือน ไม่รู้จะทำไปทำไม ใจก็เหมือนกัน การที่ใจจะเจริญความรู้ที่แท้จริงนี้ได้ จำเป็นต้องมีความสุขใหม่มาทดแทน ความสุขที่เคยมีอยู่ เมื่อก่อนมีความสุขกับรูปเสียงกลิ่นรส มีความสุขกับการได้ลาภยศสรรเสริญ แต่พอออกมาทำงานทางนี้ เพื่อสร้างความรู้ที่แท้จริงให้กับใจ ก็ต้องมีความสุขทดแทน คือความสงบ เวลาใจสงบจะมีความสุข ดังนั้นการจะพิจารณาความจริงที่แท้จริงนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ใจต้องมีความอิ่มมีความสุขก่อน การปฏิบัติในเบื้องต้นจึงต้องทำใจให้สงบก่อน ด้วยการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ควบคุมใจไม่ให้คิดเรื่องต่างๆ เพราะความคิดทำให้ใจไม่สงบ ถ้าสามารถควบคุมใจไม่ให้คิดเรื่องต่างๆได้ เวลานั่งทำใจให้สงบ จะสงบได้อย่างรวดเร็ว พอใจสงบแล้วก็จะมีความสุข จะเห็นแล้วว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจที่สงบ ที่ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างนั่นเอง

    ขณะที่ใจสงบนี้ ใจจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องอะไรทั้งนั้น ไม่ไปยุ่งกับสมมุติทั้งหมด ไม่ยุ่งกับร่างกาย ของตนเองก็ดี ของคนอื่นก็ดี ไม่ยุ่งกับทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ไม่ยุ่งกับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ตอนนั้นใจจะลืมไปหมด จะอยู่กับความว่าง ความนิ่ง ความสบายใจ จะทำใจให้สงบได้นี้ จะต้องเจริญสติให้มาก ตั้งแต่ตื่นจนหลับเลย พอตื่นขึ้นมาก็ต้องควบคุมความคิดเลย ไม่ปล่อยให้คิดเรื่อยเปื่อย จะให้อยู่กับร่างกายก็ได้ หรือบริกรรมพุทโธๆไปก็ได้ ถ้าอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย เวลาร่างกายทำอะไรก็ให้รู้อยู่กับการกระทำของร่างกาย ถ้าไม่สามารถดึงไว้ให้อยู่กับร่างกายได้ ยังไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ ก็ต้องใช้การบริกรรมพุทโธๆเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะทำภารกิจการงานอะไรก็ให้บริกรรมพุทโธๆไปภายในใจ บริกรรมไปเรื่อยๆ ความคิดต่างๆก็จะไม่สามารถคิดได้ พอเสร็จจากภารกิจการงาน มีเวลาว่างก็นั่งสมาธิ นั่งหลับตา จะบริกรรมพุทโธต่อก็ได้ จะหยุดบริกรรมแล้วดูลมหายใจเข้าออกก็ได้ ถ้าใจไม่ไปคิดเรื่องต่างๆ ใจก็จะสงบลงไปตามลำดับ จนสงบเต็มที่ในที่สุด แล้วก็จะพบกับความสุขที่เลิศกว่าความสุขทั้งหลายในโลกนี้
     
  8. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    พอได้ความสุขจากการนั่งสมาธิแล้ว ก็จะมีเครื่องอยู่ มีที่อาศัย จะสามารถออกทำงานทางด้านปัญญาได้ เจริญภาวนามยปัญญาได้ พิจารณาความจริงที่แท้จริงตลอดเวลา หลังจากที่ออกจากสมาธิมาแล้ว เวลาอยู่ในสมาธิอย่าไปพิจารณา เป็นเวลาพักผ่อน เป็นเวลาชาร์จแบตฯ เป็นเวลาเติมน้ำมัน รถวิ่งไม่ได้เวลาเติมน้ำมัน ต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน เติมเสร็จแล้วถึงค่อยขับรถออกไปวิ่งต่อ ในขณะที่อยู่ในสมาธิอยู่ในความสงบ เวลานั้นไม่ใช่เวลาที่จะเจริญปัญญา เวลาจะเจริญปัญญาต้องออกมาจากสมาธิแล้ว จิตถอนออกมาแล้ว จิตอิ่มตัวแล้ว อย่าไปดึงจิตออกมา ปล่อยให้จิตสงบเต็มที่ พออิ่มตัวแล้วจะถอนออกมาเอง พอถอนออกมาแล้ว เริ่มคิดปรุงแต่ง ก็ให้คิดปรุงแต่งไปตามความจริง คิดเรื่องธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่นี้เป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ที่รวมตัวกันแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องแยกจากกันไป เพราะน้ำจะต้องกลับไปหาน้ำ ดินจะต้องกลับไปหาดิน ลมจะต้องกลับไปหาลม ไฟจะต้องกลับไปหาไฟเสมอ ไม่ว่าใครจะเอาธาตุ ๔ มาผสมรวมกันอย่างไร การกลับคืนสู่ธาตุเดิม จะทำลายสิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุ ๔ เช่น ร่างกายเป็นต้น เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ที่จะแยกออกจากกันอยู่เรื่อยๆ จนร่างกายสลายหายไปหมด เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ต้นไม้ใบหญ้า วัตถุข้าวของต่างๆ ไม่ช้าก็เร็วก็จะแยกจากกันไป จะสลายไปหมด

    นี่คือการพิจารณาความจริงของโลกที่ใจยึดติดอยู่ เพื่อจะได้ยุติความหลง ที่หลอกให้หลงคิดว่าเป็นสุข เป็นนิจจัง เป็นอัตตา เป็นตัวเราของเรา ความจริงแล้วเขาเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้าพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ความหลงจะไม่สามารถหลอกให้เกิดความอยากต่างๆขึ้นมาได้ พอไม่มีความอยากแล้วใจก็จะสงบตลอดเวลา เหตุที่ใจไม่สงบก็เพราะความอยากนี่เอง เวลาเกิดความอยากแล้ว ใจจะวิตกกังวลกระสับกระส่าย พอได้มาก็ดีใจเดี๋ยวเดียว ไม่ได้ก็เสียใจทุกข์ใจ ได้มาแล้วก็ไม่พอ อยากได้สิ่งอื่นอีก ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที จะอยากได้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้มาก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ได้อนิจจังทุกขังอนัตตามา ก็จะอยากไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าอยากมากี่ภพกี่ชาติแล้ว ก็อยากกับธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟนี่เอง ไม่ได้อยากกับอะไร แต่พอมีความรู้ที่ถูกต้องอยู่ภายในใจตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ก็จะไม่อยากได้อะไร เพราะรู้ว่าเป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่มีความวิเศษวิโสตรงไหน ความวิเศษวิโสอยู่ตรงที่ใจสงบ ไม่อยากได้อะไรต่างหาก พอไม่อยากแล้วใจจะสงบ ต่อไปไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้ ตอนที่ต้องนั่งสมาธิเพราะยังไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง ที่จะรักษาใจให้สงบได้ ก็เลยต้องอาศัยอุบายของสมาธิไปก่อน ทำใจให้สงบก่อน แต่เป็นความสงบชั่วคราว พอมีความรู้ที่ถูกต้องคอยกำกับควบคุมใจอยู่ตลอดเวลา ใจก็จะไม่กระเพื่อม จะสงบตลอดเวลา ไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้

    นี่คืองานของพระศาสนา งานของพุทธบริษัท ๔ คืองานสร้างความรู้ที่แท้จริงนี้ ให้อยู่กับใจตลอดเวลา ถ้ามีอยู่ตลอดเวลาแล้ว ความหลงจะไม่สามารถมาหลอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นพี่เป็นน้อง เป็นลูกเป็นหลานได้ เพราะเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่เที่ยงแท้แน่นอนถาวร ไม่ได้ให้ความสุข ไม่มีตัวตนในธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ นี่คือการปฏิบัติของพวกเรา ส่วนใหญ่จะติดอยู่ที่ขั้นแรกกัน คือการฟังธรรม พอจากที่นี่ไป ก็กลับไปหาพ่อหาแม่ หาพี่หาน้อง หาสามีหาภรรยา แทนที่จะไปหาธาตุ ๔ อนิจจังทุกขังอนัตตา ก็กลับไปเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนี้ปฏิบัติไปทั้งชาตินี้ก็คงจะไปไม่ถึงไหน เพราะยังไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ยอมขึ้นขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ เอาแต่ขั้นที่ ๑ คือการฟังธรรมอย่างเดียว สุตมยปัญญา ไม่ก้าวสู่ขั้นจินตามยปัญญาเลย ต้องเอาไปใคร่ครวญบ้าง วันหนึ่งควรจะระลึกอย่างน้อยสัก ๓ - ๔ ครั้งก็ยังดี เหมือนกับกินข้าว พวกเรากินข้าววันละ ๓ – ๔ เวลา ทำไมไม่ให้อาหารใจวันละ ๓ – ๔ เวลาบ้าง คิดถึงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟสัก ๓ – ๔ เวลาก็ยังดี ถ้าคิดอยู่บ่อยๆก็จะทำให้เบื่อหน่ายกับการแบกธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ จะทำให้เกิดฉันทะวิริยะ ที่จะทิ้งธาตุ ๔ ไป เพื่อจะได้ไปเจริญขั้นที่ ๓ ต่อไป ก็คือขั้นภาวนามยปัญญา เพื่อเจริญความรู้ที่แท้จริงให้อยู่คู่กับใจไปตลอด ทุกลมหายใจเข้าออก ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนพระอานนท์ไว้ว่า ให้พิจารณาความตายทุกลมหายใจเข้าออก
     
  9. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    ถ้าพิจารณาได้ก็จะเป็นเหมือนพระอานนท์ ที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน พวกเราก็จะได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคขวางกั้นพวกเรา นอกจากการไม่ปฏิบัติเท่านั้นเอง หรือปฏิบัติแบบอยู่กับที่ ไม่ยอมก้าวขึ้นขั้นต่อไป ชอบอยู่แต่ขั้นที่ ๑ ไม่ยอมขึ้นขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ก็เลยเรียนไม่จบสักที เรียนไปจนวันตายก็ไม่จบ ถ้าอยากจะเรียนให้จบก็ต้องก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ไปตามลำดับ จะเรียนจบอย่างแน่นอน เพราะพระสาวกทุกรูปท่านก็เรียนแบบนี้กัน เรียนจากขั้นที่ ๑ แล้วก็ขึ้นขั้นที่ ๒ จากขั้นที่ ๒ ก็ขึ้นไปสู่ขั้นที่ ๓ พอได้ขั้นที่ ๓ ก็เรียนจบ บรรลุเป็นพระอรหันตสาวกกัน ส่วนใหญ่ก็ต้องออกบวชกันทั้งนั้น ๙๙ เปอร์เซ็นต์ที่บรรลุกันจะเป็นนักบวช จะมีเพียง ๑ เปอร์เซ็นต์ที่เป็นฆราวาส แต่พอได้บรรลุแล้ว ก็จะไม่อยากเป็นฆราวาสอีกต่อไป อยากจะบวชกัน พอได้บรรลุธรรมขณะที่เป็นฆราวาสแล้ว ก็จะขอพระพุทธเจ้าบวชทันที เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่กับธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟอีกต่อไปทำไม พวกที่ยังอยู่ก็เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ยังคิดว่าเป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่ ยังให้ความสุขกับเรา ยังเป็นของเรา จะอยู่กับเราไปนานๆ นี่คือความหลงที่ครอบงำจิตใจ ที่ทำให้ไม่สามารถออกบวชได้ ไม่สามารถออกปฏิบัติเพื่อให้มีความรู้ที่แท้จริงอยู่กับใจตลอดเวลาได้

    จึงขอให้ท่านทั้งหลายนำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ไปพิจารณา ดูว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน และควรจะทำอย่างไรต่อไป อย่าปล่อยให้อยู่ที่เดิม เพราะไม่เป็นประโยชน์ ถึงแม้ว่าธรรมขั้นที่ ๑ จะมีคุณค่ามากเพียงไร ก็เป็นเพียงบันไดเพื่อให้ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ ๒ และขั้นที่ ๓ ต่อไป เป้าหมายของพวกเราต้องอยู่ที่การสำเร็จการศึกษา สำเร็จการปฏิบัติ การปฏิบัติของแต่ละขั้นเป็นเพียงขั้นบันได ที่เราจะต้องก้าวขึ้นไปตามลำดับ เพื่อให้ได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง อย่าไปติดอยู่กับขั้นใดขั้นหนึ่ง เพราะจะไม่ได้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่เลิศที่ประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายได้ไปถึงกัน

    พวกเราต้องเปลี่ยนจากการไปงานบุญ ไปงานปลีกวิเวกกัน ชอบเหลือเกินงานบุญนี้ งานวางศิลาฤกษ์ งานวันเกิด งานหล่อพระ ไม่พิจารณากันบ้างหรือว่าได้อะไรบ้าง ไปก็ได้บุญที่เป็นเศษเงินเศษทอง เป็นเงินเหรียญ ไม่ใช่เงินแบงค์ เป็นเหรียญ ๕ เหรียญ ๑๐ เหรียญ ๑ บาท ส่วนแบงค์ ๑๐๐ แบงค์ ๕๐๐ แบงค์ ๑๐๐๐ ไม่เอากัน ไปปลีกวิเวกดูสิ จะได้แบงค์ ๕๐๐ แบงค์ ๑๐๐๐ ชอบเอาทีละบาทสองบาท แล้วเมื่อไหร่จะได้เงินล้าน พูดอย่างนี้ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่านะ ได้ผลก็ดี กลัวจะพูดให้พวกหูทวนลมฟัง พวกเข้าหูซ้ายออกหูขวา งานนี้ถ้าทำจริงๆไม่กี่ปีก็เสร็จ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า ไม่เกิน ๗ ปีเป็นอย่างมาก อันนี้เป็นความจริงรับรองได้ นี่เหลืออีก ๒ เดือน ก็จะจบหลักสูตร ๗ ปีแล้วนะ พฤษภาฯนี้ก็เดือนสุดท้ายแล้ว เหลืออีก ๒ กัณฑ์เท่านั้น ปีละ ๑๒ กัณฑ์ ๗ ปีก็ ๘๔ กัณฑ์ ต้องเรียนให้จบให้ได้นะ นี่เหลืออีกเพียง ๒ เดือน พระพุทธเจ้าทรงบอกพระอานนท์ว่า เธอเหลืออีก ๓ เดือนก็จะได้บรรลุอรหัตผลแล้ว พวกเราก็เหลือเพียง ๒ เดือน จึงต้องเร่งความเพียรกัน ไปเที่ยวไปงานบุญไม่ได้แล้วนะ ใกล้จะสอบไล่แล้ว เลิกไปให้หมด ไปหาที่สงบไปอยู่คนเดียว ไปปลีกวิเวก ไปเดินจงกรมนั่งสมาธิตลอด ๒ เดือนนี้ ได้แน่ๆ มรรคผลนิพพานอยู่แค่เอื้อมนะ เพียงแต่ไม่เอื้อมไปหยิบกัน อยู่ในวิสัยที่พวกเราจะเอื้อมหยิบมาได้ แต่ไม่หยิบกันเอง ชอบไปหยิบอย่างอื่นกัน มรรคผลนิพพานไม่เอา เอาแต่รูปเสียงกลิ่นรส

    ที่มา : http://www.kammatthana.com/D_437.htm
     
  10. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    ทุกอย่างที่เห็นหรือรู้สึก บนโลกนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่อง สมมุติ ทั้งสิ้น
    เราเห็นด้วยกับคำพูดนี้


    แต่ในรายละเอียดมุมมองของเรากับ จขกท.
    อาจมีแง่มุม มีมุมมอง ที่แตกต่างกันไป(บ้าง)

    คล้ายๆว่า
    มีจุดหมายปลายทางคือที่ๆเดียวกันนั่นแหละ
    แต่วิธีที่จะไป เส้นทางที่จะเลือกไป
    เพื่อไปให้ถึงปลายทางนั้น....
    อาจแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน

    แต่สรุปสุดท้ายว่า....
    ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน อย่างไร เลือกไปเส้นทางไหน
    ก็จะไปเจอกัน(อีกที)ที่ปลายทาง...เดียวกัน....
     
  11. พลายวาต

    พลายวาต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +369
    โดยรวมก็เห็นดีเห็นงามด้วยครับ แต่มีข้อเสนอให้คิดนิดหน่อย(จากที่ผมได้ยินได้ฟังมาบ้าง) คือ การเห็นไตรลักษณ์นั้นมีทั้งได้แบบ สามัญลักษณ์ ซึ่งเป็นการตามเห็นความจริงของสิ่งต่างๆทั่วไปว่ามีเกิดขึ้น คงสภาพอยู่ และเสื่อมสลายไป ไม่ต้องปฏิบัติธรรมอะไรก็คิดอย่างนี้ได้ถ้าช่างคิดช่างสังเกต(เช่น นักวิทยาศาสตร์) เรียกได้ว่าเห็นแบบนี้จะเป็นแบบตรรกศาสตร์ คิดเอาด้วยเหตุผล อาจนำมาใช้บรรเทาความทุกข์ได้บ้างแต่ไม่ได้หยั่งลงไปที่ต้นเหตุ นั่นคือกิเลสของตัวเราเองแล้วทำการกำจัดเสีย

    ส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นการเห็นไตรลักษณ์ในมิติของปรมัตถธรรม เรียกว่า ปัจจัตตลักษณ์ เป็นการรู้สภาวธรรมเฉพาะตน เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของกิเลสของตนเอง เรียกว่ารู้จักอ่านใจเข้าใจกิเลสของตัวเอง จับตัวมันถูกแล้วล้างมันได้จนเห็นการหมดไปสิ้นไปของตัวกิเลสนั้นๆ การเห็นในลักษณะหลังนี้เองที่เป็นการเข้าถึงตัวเหตุและนำไปสู่การกำจัดจนสิ้นทุกข์ได้จริงแท้กว่า สัมผัสเกิดตัวรู้ด้วยจิตจริงๆไม่ใช่แค่คิดเอาด้วยตรรกะเหตุผล

    ที่กล่าวมาก็เป็นเพียงที่ผมได้ยินได้ฟังมาผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยด้วยครับ แค่อยากร่วมแสดงความเห็นนิดหน่อย
     
  12. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    โลกนี้หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้
    แปรเปลี่ยนเป็นนิจ
    สิ่งที่เรายกย่องเชิดชูว่าดีวิเศษในวันนี้
    สามารถกลายเป็นอื่นในวันหน้า
    นี้เป็นธรรมดาของสิ่งที่เรียกว่าสมมติ
    ใครที่ยึดติดถือมั่นกับสมมติ
    ปักใจเชื่อว่ามันต้องดีไปตลอด
    ย่อมเป็นทุกข์เมื่อเจอความเปลี่ยนแปลง

    ที่มา http://www.visalo.org/article/sarakadee255504.htm
     
  13. After2012กว่าๆ

    After2012กว่าๆ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +5
    อืม............................................
     
  14. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    เรียนรู้อารมณ์และพัฒนาให้ถึงที่สุดแห่งอารมณ์ โลกนี้เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยแห่งจิต ใครเรียนรู้ ชอบ ชินกับอารมณ์ไหนก็ไปตรงนั้น เช่นชินกับอารมณ์สัตว์ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ ชินกับอารมณ์เทพก็ไปเกิดเป็นเทพ ชินกับอารมณ์พระก็ไปเกิดเป็นพระ เช่นเดียวกัน หากติดโลกก็ต้องวนเวียนไปมาอยู่แบบนี้ นี่แหล่ะ ผู้ที่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องอารมณ์จึงต้องเป็นทุกข์อยู่เสมอเพราะจิตเกาะเกี่ยวอารมณ์แล้วปล่อยไม่ได้ คนส่วนมากเกาะเป็นแต่ปล่อยไม่เป็น อะไรก็จริงไปหมด จริงไปซะทุกอย่าง ฝันซ้อนฝันซ้อนฝันจนลืมว่าตนเองกำลังฝัน
     
  15. หมึกย่าง

    หมึกย่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +155
    The Matrix ผมชอบมากครับเรื่องนี้ เป็นหนังอีกเรื่องที่ต้องมีเก็บไว้ ชอบแนวคิด การมองโลก และอีกหลายอย่าง
     
  16. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    ทุกอย่างที่เห็นหรือรู้สึก บนโลกนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่อง สมมุติ ทั้งสิ้น

    นั่นแหล่ะ ปัญหาใหญ่สุดของมนุษย์ ถึงรู้ว่า อะไรแท้จริง อะไรสมมุติ
    แต่มันยังยึด ยังติด หลอมเป็นสิ่งเดียว จนไม่คิดจะแยกออกจากกัน

    .
     
  17. A-KiT

    A-KiT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +610
    แล้วพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเมื่อท่านละสังขารแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ นั่นหมายความว่าอย่างไรครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ทุกอย่างที่เห็นหรือรู้สึก บนโลกนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่อง สมมุติ ทั้งสิ้น!?!!

    ดังนั้น เราควรจะเคารพ เเละปฏิบัติตามสมมุติอย่างให้เกียรติสมมุติหรือไม่เพียงไร!?!
     
  19. Revealed

    Revealed Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +92
    โลกสมมติ

    โปรดใช้ สติสัมปชัญญะ ในการอ่าน >_<

    ### @^_^@ ###

    1. การที่เราจะรู้เรื่อง "เวลา" ของโลกและจักรวาล มันไม่ได้ช่วยให้บรรลุธรรมเลย

    2. คนที่เคยเชื่อในวิทยาศาสตร์มาก่อน พอมาเจอพุทธประวัติก่อนการประสูติ โดยเฉพาะเรื่อง "เวลา" ก็เลยยิ่ง งง --' (ต่างจากคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องวิทย์นะ เขาจะไม่สงสัยเรื่องพวกนี้เลย)

    3. ไหนๆก็ชอบวิทย์แล้ว ก็ต้องชอบให้มากๆๆๆๆกว่านี้ เพื่อที่ คำตอบจะได้มาเจอกัน

    ----

    โลกเรา ไม่ได้เกิดเมื่อ 4 พันล้านปีก่อน อย่างที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวเอาไว้

    สมัยก่อน ตอนที่ยังไม่มีทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ คนก็ว่ากันว่า เราอยู่บนหลังเต่า และมีเต่าอีกหลายๆล้านตัวซ้อนๆๆๆกันอยู่

    แต่ก่อน เรายังไม่มีกล้องโทรทัศน์ส่องดวงดาว เราก็คิดว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็โคจรรอบโลก มีตำนานปรัมปราเกี่ยวกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มากมาย แต่พอมีกล้องดูดาว ตำนานเหล่านั้นก็ถูกย่ำยี และมีการสร้าง "ข้อเท็จจริงอันใหม่" ขึ้นมา บอกว่า จริงๆแล้ว โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ต่างหากล่ะ

    แต่ก่อน เราเคยเชื่อกันว่า จักรวาลเรามีแค่จักรวาลเดียว แต่พอมีการสืบค้นเจอหลักฐาน และการพิสูจน์มากมาย ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ไม่ได้มีจักรวาลเดียว แต่มีจักรวาลคู่ขนานอยู่ หลายๆจักรวาล (จักรวาลคู่ขนานก็ไม่ได้มีอันเดียวด้วย แต่มีหลายๆอัน)

    แต่ก่อน เรานึกว่า สิ่งต่างๆเป็นไปอย่างที่เราเข้าใจ

    แต่จากการทดลอง Double Slits ก็ทำให้ได้รู้ว่า "อิเล็คตรอน" รวมไปถึงอนุภาคเล็กๆจำพวก โปรตอนและนิวตรอน มันสามารถ อยู่ "หลายๆตำแหน่งได้ในคราวเดียวกัน" การทดลองนี้ นำไปสู่ทฤษฎี "จักรวาลคู่ขนานนั่นเอง" (เหมือนผีไหมล่ะ อยู่ทีเดียวหลายๆตำแหน่งในจักรวาล ได้ในคราวเดียวกัน)

    แต่ก่อน เราเคยคิดว่า อะตอมเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุด แต่พอหาไปหามา กลับพบว่า ยังมีสิ่งที่เล็กกว่าอะตอมอีก มิหนำซ้ำ จากการค้นหาสิ่งที่เล็กกว่า ก็นำไปสู่ทฤษฎี "สตริง" การสั่นของเส้นพลังงานในรูปแบบที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นอนุภาคที่ต่างกัน

    และ.. จากทฤษฎีสตริงนี่เอง ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีสิ่งที่ "เล็กกว่า" ซ่อนอยู่ แต่เรายังไม่สามารถตรวจสอบได้

    และจักรวาล ก็อาจจะมีอยู่ด้วยกันถึง 11 มิติ หรืออาจมากกว่า 11 มิติด้วยซ้ำ

    แต่ก่อน.. ไอแซค นิวตั้น เคยบอกไว้ว่า ที่พวกเรา apple มนุษย์ ก้อนหิน ต่างก็อยู่บนพื้นผิวโลก เพราะ "แรงดึงดูด"

    แต่หลายปีผ่านมา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กลับมารู้ทีหลังว่า.. Gravity ไม่ใช่ Force มันไม่ใช่แรง มันเป็น Something(อะไรบางอย่าง) ที่ไปบิด กาล-อวกาศ (Space-Time) ให้โค้งงอ และรูปทรงของกาล-อวกาศนั่นแหละ คือเหตุผลที่ทำให้ดวงจันทร์หมุนรอบโลก ทำให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ และทำให้พวกเราทุกๆคนอยู่บนผิวโลก

    มันไม่ใช่ Force(แรง) แต่มันเป็น Something ที่ไปบิด Space-Time ให้โค้งงอ เมื่อมองด้วยตาเปล่า เราจะมองเห็นมันเป็นเหมือน Force แต่มันไม่ใช่ Force

    ---

    สมัยก่อน Issac Newton เคยคิดว่า "เวลาเป็นสิ่งสมบูรณ์" ไม่เพียงแค่นิวตั้น มนุษย์โลกยุค 2013 เนี่ย หันไปถามชาวบ้าน พนักงาน 7-11 นักศึกษา หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ยังคิดแบบนิวตั้น ทั้งๆที่ไอน์สไตน์ล้มความคิดนี้มาตั้งนานแล้ว

    ในวงการวิทยาศาสตร์ เขารู้กันตั้งนานแล้ว ว่า.. "เวลา" ไม่ใช่สิ่งสมบูรณณ์ เวลาของแต่ละบุคคล "ไม่เท่ากัน"

    แต่ละตำแหน่งในจักรวาล "เวลาเดินไม่เท่ากัน"

    เวลาเป็นสิ่งที่ "ยืดหดได้" และขึ้นอยู่กับการสังเกตุการณ์ของคนๆนั้น

    ---

    มันมี วิทยาศาสตร์เชิงลึก ซึ่ง คนทั่วๆไป ยังไม่เข้าใจอีกหลายอย่าง เพราะมันอยู่เหนือสามัญสำนึกของคน (เอาว่า ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลายๆอย่าง ก็อยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์ แต่ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ หลายๆอย่าง ยิ่งกว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เสียอีก เพราะมันอยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์มาก จนตอนแรก พระองค์ไม่คิดจะบอกใครด้วยซ้ำ จนมีเทวดามาขอร้องให้พระองค์บอก)

    จักรวาลนี้ มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อยู่พร้อมๆกันหมดแล้ว

    มนุษย์เราจะทำข้อตกลงและนัดหมายกัน โดยยึดมาตรฐาน กาลเวลาแบบ "เส้นตรง" จากอดีตไปหาอนาคต

    แต่ในโลกความเป็นจริง จักรวาลไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่มีหลายๆจักรวาล มีโลกที่หน้าตาแบบเราๆ แต่มีเส้นทางและเหตุการณ์แตกต่างกัน อยู่หลายๆโลก และเป็นอนันต์

    อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้น" และ "มีอยู่พร้อมๆกันหมดแล้ว" ในจักรวาล

    จุดสำคัญคือ "สติสัมปชัญญะ"

    เมื่อ สติสัมปชัญญะของเรา ไปอยู่ที่เหตุการณ์ไหน เราเรียกเหตุการณ์นั้นๆว่า "ปัจจุบันขณะ"

    ตอนนี้ สติสัมปชัญญะของ จขกท. กำลังอ่านข้อความนี้ ภาพเหตุการณ์นี้ๆ คือ "ปัจจุบันขณะของ จขกท."

    นึกภาพออกไหม มันเหมือน.. ภาพยนต์ เหมือนโรงละคร จุดที่จะบอกว่า ตรงไหนคือปัจจุบันขณะของเรา คือจุดที่ สติสัมปัญญะของเรา ไปอยู่ตรงนั้น

    อย่าสงสัยเรื่อง "เวลา"

    เพราะ... ในอนาคตข้างหน้า หากนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบหลักฐานชิ้นโบราณใหม่ๆได้ และหากมีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ชิ้นใหม่ๆ เรื่องราวประวัติศาสตร์ของโลก ก็จะเปลี่ยนไป

    เราสร้างเรื่องราวในประวัติศาสตร์ จากหลักฐานที่หาเจอ ถ้าหาอะไรเจอ ก็จับๆมารวมกัน แล้วก็สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมา เราไม่ได้ไปเห็นประวัติศาสตร์ด้วยตาของเรา แต่เราสร้างมันจากหลักฐานในปัจจุบัน

    ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สักวันหนึ่ง ถ้ามีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถตรวจพบสิ่งใหม่ๆ หรือธาตุใหม่ๆ หรือสสารที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน พอถึงเวลานั้น ประวัติศาสตร์ของโลกและจักรวาล ก็จะเปลี่ยนไป

    มันเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราค้นพบ

    และอันที่จริง

    การรับรู้ การทำความเข้าใจ การมองเห็น คำนวณ ประมวลผล ทั้งหมดมันอยู่ที่ "สมองของเรา"

    ทั้งหมดอยู่ที่ "สมองของเรา"

    นั่นก็หมายความว่า "ถ้าเราไม่มีสมอง ไม่มีประสาทสัมผัส" สรรพสิ่ง ก็ไม่มี

    เมื่อ... ไม่มี"ตัวรู้" ไม่มี"การรับรู้" แล้วสรรพสิ่ง จะมีอยู่ไปเพื่ออะไร ??? ถ้าไม่มีผู้สังเกตการณ์ สรรพสิ่งก็ไม่มีความหมาย

    แล้วถ้าจะเอาให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก

    เหตุผลที่จักรวาล กว้างใหญ่ไพศาล และไร้ขอบเขต

    เหตุที่เราต้องใช้เครื่องหมาย -∞ และ +∞ แทนจำนวน Infinity ก็เพราะว่า เราหาสิ่งที่มากที่สุด และน้อยที่สุดไม่ได้

    เราหาสิ่งที่ใหญ่ที่สุด และเล็กที่สุด ไม่ได้

    ทำไมพวกเราถึงเหมือน อยู่ระหว่างกลาง ???

    ----

    ก็เพราะ สรรพสิ่ง เป็นสิ่ง "สมมติ" เป็นเรื่อง หลอกลวง มันเป็นเกมส์ของอารมณ์ เป็นเกมส์ของกิเลสตัณหา

    ที่แท้แล้ว สรรพสิ่ง ไม่ได้มีอยู่จริงเลยสักอย่าง เป็นแค่ การรวมตัวกัน ของสิ่งที่เหมือนกัน ในปริมาณที่ต่างกัน ก่อให้เกิดธาตุที่ต่างกันมารวมตัวกัน แล้วกลายเป็นสิ่งของต่างๆ แต่มันจะไม่อยู่คงทน มันจะไม่คงสภาพนั้นไปตลอด แต่มันจะเปลี่ยนรูปอยู่ตลอดเวลา

    ถ้าพวกเรามี ลูกกะตา ที่มีความละเอียด เราก็คงจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ประกอบไปด้วยการสั่นของเส้น string

    แต่ถ้าเรามีดวงตาที่มหัศจรรย์กว่านั้น ละเอียดมากขึ้นไปอีก เราก็จะมองเห็น อิเล็คตรอน 1 อนุภาค กำลังอยู่พร้อมๆกัน หลายๆตำแหน่ง ในคราวเดียวกัน (นั่นคือ เราจะมองเห็นโลกคู่ขนานได้นั่นเอง)

    แต่ถ้าเรามีดวงตาที่ ละเอียด กว่านั้นอีก เราจะมองเห็นว่า ไม่มีอะไรมีอยู่จริงเลยสักอย่าง สุดท้ายคือความว่างเปล่า และมันเป็นแค่ สิ่งสมมติ

    คุณ จขกท. ลองนึกถึงเกมส์ 3D สิ่

    ผู้คนในเกมส์ ไม่ได้มีอยู่จริง อาณาจักรในเกมส์ เป็นแค่การเปลี่ยนตำแหน่ง จากที่หนึ่ง แล้วผลัดเปลี่ยนอีกที่หนึ่งมาโชว์ที่หน้าจอ Computer

    พวกเรานั่งอยู่หน้าคอมฯ เราไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย แต่เป็นตำแหน่งในโลก 3D ในคอมฯต่างหาก ที่ค่อยๆผลัดเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ๆ เหตุการณ์ใหม่ๆมาสู่สายตาของเรา(ผ่านจอ Monitor) และโลก 3D ในเกมส์ ก็ไม่ได้มีอยู่จริง โปรแกรมเมอร์จะเขียนโค้ดให้มันกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ได้ ก็แค่ตั้งชื่อตำแหน่งต่างๆให้มัน แล้วก็หมุนตำแหน่งนั้นๆมาหน้าจอ monitor แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอยู่จริง

    เมื่อมันไม่ได้มีอยู่จริง มันจึงไม่มีขอบเขต ไม่มี limit โลก3Dในคอมฯ ไม่มีขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด Programmer จะสร้างให้มัน กว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ได้ เพราะมันเป็นแค่ "โลกสมมติ"

    ---

    ไอน์สไตน์บอกว่า ไม่มีสิ่งไหนเร็วเกินความเร็วของแสงได้

    เมื่อเราใช้ความเร็วของเราเทียบกับความเร็วแสง เราจะเห็นแสงเร็วกว่าเราด้วยความเร็ว 3x(10^8) m/s เสมอ

    ทำไม ธรรมชาติต้องให้ "แสง" เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ??? ทำไม ความเร็วแสง ถึงไม่สัมพัทธไปตามความเร็วของผู้สังเกตการณ์ ???

    ความเร็วแสง เป็นสิ่งเดียวที่ไม่สัมพัทธไปกับความเร็วของผู้สังเกตการณ์

    ---

    แต่ถึงแม้ ไอน์สไตน์จะบอกว่า ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่เร็วกว่าแสง

    แต่.. นั่นมันเป็นคำพูดที่เทียบกับอะไรล่ะ ???

    ในมุมมองของเรา หรือในมุมมองของแสง ??????

    เมื่อเรายืนอยู่นิ่งๆ เรามองดูรถไฟกำลังวิ่งไปข้างหน้า ถ้าเรายืนอยู่ริมทางรถไฟ คนบนรถไฟ ก็จะเห็นเรากำลังเคลื่อนที่สวนทางกับเขา ด้วยความเร็วที่เท่ากับความเร็วของรถไฟ แต่อยู่ในทิศที่สวนทางกัน!

    --

    หมายความว่า...

    ถ้าแสง เป็นสิ่งมีชีวิต (สมมติ สมมติว่าแสงสามารถรับรู้ได้)

    หากเรา มนุษย์เรา สามารถ "อยู่นิ่งๆ" นิ่งที่สุด ไม่ไหวติง นั่นก็เท่ากับว่า.. ในมุมมองของแสง แสงก็กำลังเห็นเรา เคลื่อนที่สวนทางกับแสง ด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วแสง นั่นเอง!!

    ถ้าเราสามารถอยู่นิ่งๆที่สุดได้ ในมุมมองของแสง แสงก็จะเห็นเรากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับแสงนั่นเอง

    (จริงๆชาวพุทธหลายคน ชอบคิดว่า เวลานั่งสมาธิ แล้วจิตจะเร็วกว่าแสง จริงๆไม่ใช่นะ)

    จิตวิญญาณ ไม่ใช้ความเร็วเลยต่างหากล่ะ ความเร็วเป็นเรื่องของ วัตถุที่มีมวล

    จิตวิญญาณ เป็นรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่มวล ไม่ใช่สสาร ไม่ใช่พลังงาน จิตวิญญาณไม่กินเวลา ไม่กินระยะทาง "แค่คิดก็ถึง"

    จิตวิญญาณ ไม่ได้เร็วกว่าแสง แต่... จิต ไม่ได้เดินทางเลยต่างหากล่ะ >_< จิตวิญญาณไม่กินเวลา ไม่กินระยะทาง หลายๆคนอาจสงสัยว่า ทำไมนั่งสมาธิแค่ 1 ชม. แต่เหมือนน๊านนนนนน นาน หรือหลายๆคนนอนหลับแค่ 1-2 ชม. แต่ฝันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนผ่านไปหลายวัน

    นั่นเพราะ จิตวิญญาณ ไม่กินเวลา ไม่กินระยะทาง จิตวิญญาณ ไม่ใช่ธาตุ ไม่ใช่พลังงาน มันอยู่นอกเหนือมิติของ กาล-อวกาศ

    ---

    กลับมาที่เรื่องความเร็วแสง

    ขณะเดียวกัน...

    เมื่อความเร็ว คือสิ่งสัมพัทธ เราเห็นคนหนึ่งมีความเร็ว เพราะเราเอาความเร็วของเขามาเทียบกับเรา

    จริงๆแล้ว ในจักรวาลแทบไม่มีอะไรอยู่นิ่งเลย ที่ว่าเรานอนหลับนิ่งๆบนเตียง แต่จริงๆเรากำลังอยู่บนโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูงมาก และดวงอาทิตย์ก็กำลังโคจรรอบใจกลางกาแล็กซี่ด้วยความเร็วสูงมากเช่นกัน และกาแล็กซี่ของเรา ก็กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมากเช่นกัน (จากการขยายตัวของจักรวาล)

    ถ้าเราใช้ความเร็วของสิ่งต่างๆ เทียบกันเอง เราก็จะรู้ได้ว่า "ความเร็ว เป็นสิ่งที่ หาความสมบูรณ์ไม่ได้" มันจะมีค่า เมื่อเราเอามันไปเทียบกับความเร็วของวัตถุอย่างหนึ่ง แต่มันจะไม่มีค่าในตัวมันเอง

    ถ้าจักรวาลนี้ มีแต่ "แสง" ไม่มีอนุภาคอย่างอื่นเลย

    แสงก็จะไม่มีความเร็ว และในขณะเดียวกัน ก็จะไม่มีความหมาย

    ถ้าจักรวาลนี้ มีแต่ความืด และมีลูกบอลอยู่ 1 ลูก ลูกบอลลูกนั้น จะไม่มีความเร็วเลย เพราะมันไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบด้วย

    ---

    แต่ถ้าจักรวาลนี้ มี "แสง กับ ลูกบอล"

    ไม่มีอย่างอื่นเลย มีแค่สองอย่างนี้

    ลูกบอล จะเห็นแสงเคลื่อนที่เร็วกว่าลูกบอลด้วยความเร็วค่าหนึ่งเสมอ ไม่ว่าลูกบอลลูกนี้ จะพยายามเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเท่าไหร่ แต่ลูกบอลจะเห็นแสงเร็วกว่าลูกบอลด้วยความเร็วคงที่ค่าหนึ่งเสมอ

    นั่นก็หมายความว่า...

    หากจักรวาลนี้ มีแค่ลูกบอลกับแสง ลูกบอกจะรู้สึกเหมือนตัวเอง "อยู่นิ่งกับที่ตลอดเวลา" เพราะไม่ว่าจะมีความเร็วเท่าไหร่ ก็จะเห็นแสงเร็วกว่าที่ความเร็วค่าหนึ่งเสมอ มันเหมือนลูกบอลไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย เหมือนอยู่กับที่ตลอดเวลา (ลองนึกภาพสิ่ เหมือนเราวิ่งอยู่กับที่อ่ะ มันไม่ไปไหนเลย)

    ไม่ว่าลูกบอลจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับแสงแล้ว "ลูกบอลจะเหมือน อยู่กับที่ ตลอดเวลา"

    ---

    พวกเราทุกคน.. โดนมิติของกาล-อวกาศ และโดนประสาทสัมผัสทั้ง 5 หลอกเรา

    จริงๆแล้ว พวกเรา "อยู่ตำแหน่งเดิม ตลอดเวลา"

    เรา...

    สรรพสิ่ง..

    อยู่ จุดเดิม ตำแหน่งเดิม ตลอดเวลา

    แต่สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่า เราเปลี่ยนตำแหน่ง เราเดินหน้า เราถอยหลัง มันคือ "ประสาทสัมผัสทั้งห้า"

    ประสาทสัมทั้ง 5 หลอกเรา

    เรามองเห็น "แสง" ผ่านการตกกระทบของ Photon ที่ลูกกะตาของเรา จากนั้นมันเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า วิ่งผ่านไปที่แผงรับสัญญาณส่วนที่ทำหน้าที่สร้างภาพ แล้วมันก็บอกเราว่า "เรามองเห็น"

    ประสาทสัมผัสของพวกเรา มันเป็นแค่ กระแสไฟฟ้า วิ่งวนไปมาในเซลประสาทของเรา

    นึกภาพง่ายๆว่า ในหัวกระโหลกของเรา มันมืด... ทึบ! มืดสนิท แสงผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่เราก็ยังมองเห็นแสงได้

    หมายความว่าอะไร ???

    หมายความว่า ???? "พวกเรา ไม่ได้มองเห็น"

    แต่... "เรา เข้าใจ ว่าเรามองเห็น"

    สมองของเรา มันทำให้เรา "เข้าใจ" ว่าเรากำลังมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส

    แม้แต่เวลาที่เรานอนหลับ เราหลับตาของเรา นอนอยู่บนเตียง แสงผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่โลกความฝันของเรา กลับมีแสงสว่าง เราเดินไปมาในความฝันก็ได้ ทั้งๆที่เท้าของเรามันก็นอนนิ่งๆอยู่บนเตียง (ถ้าใครเคยรู้สึกตัวตอนฝันนะ ก็จะเข้าใจที่เราพูด โลกความฝันมันสมจริงมาก พวกเรากิน นอน ได้กลิ่น เดินไปเดินมา แตะ สัมผัส ทำทุกอย่างได้ในความฝัน และในความฝันก็มีแสงสว่าง ทั้งๆที่ร่างจริงๆของเรา นอนอยู่บนเตียง และดวงตาของเราก็ปิด ไม่ได้รับแสงผ่านเข้าไปเลย)

    สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นจาก การสร้างกระแสไฟฟ้า วิ่งไปวิ่งมาในเซลประสาทของเรา

    เมื่อการมองเห็น การสัมผัส การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส มารวมตัวกัน เมื่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 มารวมตัวกัน มันก็ทำให้พวกเราทั้งหมด เข้าใจว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยู่ใกล้ อยู่ไกล เรากำลังเดิน เรากำลังนอน เรากำลังวิ่ง

    ทุกอย่าง มันเป็นแค่ กระแสไฟฟ้าที่วิ่งไปวิ่งมาในสมองของเรา แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง >_<

    มันเล่นกับ "อารมณ์" ของเรา

    สิ่งต่างๆ เป็นแค่ "สิ่งสมมติ" แต่พอเรามองเห็นมัน เราก็เริ่มเกิดการยึดติดว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นของเรา เกิด "ความรู้สึก" ผูกพันธ์ และนั่น นำมาซึ่ง อารมณ์ต่างๆ สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ

    สรรพสิ่ง ไม่คงทน มันเปลี่ยนรูปตลอดเวลา มิหนำซ้ำ เนื้อแท้ของมัน เป็นแค่ "สิ่งสมมติ"

    แต่เราก็โดนมันหลอก

    มิติ กว้าง ยาว สูง

    มิติ เวลา ระยะทาง

    มิติเหล่านี้ ทำงานประสานกันกับ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรา และรวมหัวกัน หลอกให้เราเข้าใจว่า พวกเรามีตัวตนอยู่จริงๆ

    และมัน เล่นเกมส์กับ "อารมณ์ของเรา"

    ยิ่งเราคิดว่า มันมีจริง มันเป็นของเรา เราจะยิ่งทุกข์ ยิ่งเสียใจ

    ---

    มนุษย์เรา เมื่อตายไปแล้ว ไม่ได้ไปเกิดใน พ.ศ.ที่มากกว่า 2556 หรอกนะ

    เวลา เป็นสิ่งสมมติ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มีอยู่พร้อมๆกันหมดแล้วในจักรวาล

    สติสัมปชัญญะของเราไปจดจ่อที่เหตุการณ์ไหน เราเรียกเหตุการณ์นั้นว่า "ปัจจุบันขณะ"

    ---

    เพราะฉะนั้น เรื่องการกำเนิดโลก เรื่องเวลา อสงไขย (ที่ จขกท.ถาม)

    อย่าทำให้ ความสงสัยนี้ ดึงเราออกจากการศึกษาธรรมะ ถ้าสงสัยก็สงสัยได้ แต่สงสัยแล้วก็หาคำตอบต่อไป

    ประวัติของพระพุทธเจ้า อาจจะมีผิดเพี้ยนบ้างนิดหน่อยจากการเปลี่ยนแปลงของภาษาและวัฒนธรรม แต่ไม่ใช่ทั้งหมดแน่ๆ

    เรื่องที่พระองค์มีดอกบัวมารองรับ และเรื่องที่พระองค์เลือกชมพูทวีป มันคือเรื่องจริง

    เรื่องที่มนุษย์เกิดและตายมาแล้วหลายภพชาติ นั่นก็เรื่องจริง เราไม่ได้ตายแล้วไปเกิดในอนาคต แต่เราสามารถไปเกิดในช่วงเวลาใดๆก็ได้ และที่จักรวาลไหนๆก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ กงกรรมกงเกวียนของเรา ที่เราจะต้องไปเผชิญ

    เป็นห่วงโซ่ของ เหตุ และ ผล ที่จะนำเราไปสู่ภพภูมิหนึ่งๆ

    คนที่ รู้แจ้ง แล้วเท่านั้น คนที่มีสติ และ ปัญญา เท่านั้น ถึงจะออกจาก กงกรรมกงเกวียนนี้ได้

    คำว่า "ความรู้" กับ "ปัญญา" มันก็ไม่เหมือนกันนะ

    อย่างที่เราพูดๆไปข้างบน ถึงเราจะรู้อะไรมากมาย แต่เราก็ยังตัดกิเลสทางโลกไม่ได้ นั่นก็เพราะ "ปัญญามันยังไม่เกิด"

    ถึงเราจะมีความรู้มากมาย แต่ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติ มันก็ยังไม่เกิดปัญญา แล้วก็ยังต้องติดอยู่ในบ่วงแห่งทุกข์ ยังหลุดพ้นไม่ได้อยู่ดี ><

    แต่ก็เล่าให้ฟัง เพื่อคลายความสงสัย ของผู้ที่มักจะมีข้อสงสัยในวิทยาศาสตร์ แล้วเอามาผสมลงโรงกันกับศาสนา

    จริงๆแล้ว มันก็เรื่องเดียวกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้แบบภาพรวม ไปถึงต้นเหตุแห่งการมีอยู่ของวัตถุธาตุ และการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น

    แต่วิทยาศาสตร์ จะค้นหาความจริงเฉพาะเกี่ยวกับ ธาตุ และ สสาร มิได้ค้นหาไปจนถึงมิติอื่นๆ ซึ่งก็มีอยู่อีกมากมาย ที่ยังตรวจสอบไม่ได้ด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และยังไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5
     
  20. apiraks

    apiraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +508
    สมมุติว่าผมไม่ได้เข้ามาโพสท์กระทู้นี้แล้วกัน :)

    ขอเจริญในธรรมทุกท่านนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...