พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 เคล็ดลับความสำเร็จของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
    -http://men.sanook.com/949/6-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99/-

    [​IMG]

    วันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศอำลาการคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากทำหน้าที่ผู้จัดการทีมมายาวนานถึง 26 ปีครึ่ง

    ภายใต้การนำทีมของเซอร์อเล็กซ์ เขาทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครองแชมป์ต่างๆ ถึง 38 รายการ ในจำนวนนี้เป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ถึง 13 ครั้ง แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก 2 ครั้ง เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง และลีกคัพ 1 ครั้ง

    ด้วยความเป็นผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยมของเซอร์อเล็กซ์ ทำให้ทีมแมนยู ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี ยากจะหาใครเทียบได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ อนิต้า เอลเบิร์ส และ ทอม ดาย อาจารย์คณะบริหารธุรกิจของ ฮาร์วาร์ด บิสซิเนส สกูล (Harvard Business School) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นคณะบริหารธุรกิจอันดับ 1 ของโลก ทำการศึกษาถึงเคล็ดลับความเป็นผู้นำของเซอร์อเล็กซ์ในการบริหารทีมจนประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น

    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมกีฬาที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลกจากการประเมินตัวเลขของนิตยสาร ฟอร์บส์ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีมูลค่า 3,165 ล้านดอลลาร์หรือ 95,000 ล้านบาท เป็นรองอันดับหนึ่งคือสโมสรฟุตบอลเรียล แมดริดของสเปนเล็กน้อย ฟอร์บส์ประเมินมูลค่าเรียล แมดริด ไว้ที่ 3,300 ล้านดอลลาร์ หรือ 99,000 ล้านบาท

    อนิต้า เอลเบิร์ส และ ทอม ดาย เดินทางไปสัมภาษณ์เซอร์อเล็กซ์ ที่เมืองแมนเชสเตอร์เมื่อปีที่แล้วเพื่อหาคำตอบว่าอะไรคือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของเซอร์อเล็กซ์

    หลังจากสัมภาษณ์ เซอร์อเล็กซ์ อนิต้า เอลเบิร์ส และ ทอม ดาย ได้ร่วมกันเขียนรายงานการศึกษาชื่อ Sir Alex Ferguson : Managing Manchester United หรือ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน : การบริหารแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วเดือนธันวาคม ปี 2012 เซอร์อเล็กซ์ได้เดินทางไปฮาร์วาร์ด บิสซิเนส สกูลในฐานะอาจารย์รับเชิญ เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษาเรื่องการบริหารจัดการ


    [​IMG]

    จากรายงานการศึกษาและการเล็กเชอร์ที่เซอร์อเล็กซ์สอนนักศึกษาฮาร์วาร์ดเมื่อปีก่อนสามารถสรุปหัวใจในการบริหารทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ประสบความสำเร็จติดต่อกันยาวนานเกือบสามสิบปีได้ดังนี้

    1. ให้ความสำคัญกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทีม

    เซอร์อเล็กซ์จะไม่ยอมให้นักเตะคนหนึ่งคนใดคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์เป็นดาวเด่นของทีมเหนือกว่าเพื่อนนักเตะร่วมทีมคนอื่นๆหรือคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่กว่าแมนยู เรื่องนี้ เดวิด เบ็กแค่ม ซาบซึ้งดี คาดกันว่า เวย์น รูนี่ย์ จะเป็นคนต่อไป

    2. รู้จักชมนักเตะเมื่อทำผลงานได้ดี

    เซอร์อเล็กซ์กล่าวว่า สำหรับนักฟุตบอลและมนุษย์ทุกคน ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้มีความรู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจมากไปกว่าการได้รับคำชมว่า well done หรือทำได้ดี คำคำนี้ เป็นคำที่ดีที่สุด ไพเราะที่สุดในโลกของกีฬา

    หลังการแข่งขันแม้นักเตะจะเล่นได้ไม่ดี ผู้จัดการทีมก็ไม่ควรจะตะโกนดุด่านักเตะไปหมดทุกครั้ง เพราะการดุด่าไม่อาจใช้ได้เสมอไป ไม่มีใครอยากถูกต่อว่า

    แต่เมื่อถึงล็อกเกอร์ รูม การชี้ข้อผิดพลาดให้นักเตะเห็นเป็นสิ่งที่ต้องทำทันที อย่ารอให้ถึงวันจันทร์แล้วถึงบอก และเมื่อชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดในการเล่นนัดนั้นจบแล้วก็จบกัน ไม่เก็บเอามาว่ากล่าวซ้ำอีก ให้คิดถึงการแข่งขันนัดต่อไป เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตำหนินักเตะในเรื่องที่ผ่านมาแล้วและแก้ไขไม่ได้-ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    นอกจากนี้เซอร์อเล็กซ์บอกอีกว่าเขาไม่เคยตำหนินักเตะต่อหน้าสาธารณะ ซึ่งนักเตะทุกคนในทีมทราบดี มีอะไรไม่พอใจจะพูดคุยกันภายในทีมเท่านั้น

    3. การลงโทษ

    หากนักเตะคนไหนไม่ทำตามกฎ จะถูกปรับเงิน เป็นวิธีการควบคุมความประพฤตินักเตะที่มีเงินระดับมหาเศรษฐี และการปรับเงินของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยเปิดเผยให้คนนอกทราบ

    4. พัฒนานักเตะรุ่นใหม่

    เซอร์อเล็กซ์จะพัฒนานักเตะรุ่นใหม่ของสโมสรให้มีคุณภาพ มาตรฐานในระดับเดียวกับที่นักเตะรุ่นก่อนๆ ทำไว้ ทั้งนี้ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงตลอดไปให้กับสโมสร

    การสร้างนักเตะหน้าใหม่ให้มีฝีเท้าดีเยี่ยมจนสามารถลงเล่นเป็นตัวจริงได้ เซอร์อเล็กซ์ถือว่าเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับสโมสรสืบต่อไป

    เซอร์อเล็กซ์กล่าวว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของผู้จัดการทีมที่เพิ่งเข้ามาคุมทีมใหม่ทำก็คือซื้อนักเตะที่มีประสบการณ์ ที่เคยเล่นกับทีมที่ตัวเองเคยเป็นผู้จัดการทีมมาก่อนเข้ามาร่วมทีม เพราะต้องการให้ทีมชนะ และตัวเองจะได้คุมทีมต่อ ซึ่งไม่ใช่วิธีการของเขา

    5. การฝึกซ้อม

    สิ่งที่เซอร์อเล็กซ์อบรมสั่งสอนนักเตะทุกคนในทีมคือการขยันซ้อม มีความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับการซ้อมนั้นถือเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งเช่นกัน นักเตะในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องฝึกหนักกว่านักเตะทีมอื่นๆ หากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเป็นนักเตะทีมแมนยู เพราะตัวเขาสนใจเฉพาะนักเตะที่ฝึกซ้อมอย่างหนัก ต้องการเก่งจนผู้จัดการทีมต้องเลือกให้ลงเล่น และไม่ต้องการเป็นผู้แพ้เท่านั้น

    6. การเลิกจ้าง

    หากจะเลิกสัญญาจ้างกับนักเตะคนใดก็ตาม เซอร์อเล็กซ์จะเป็นคนบอกด้วยตัวเอง จะไม่ส่ง SMS บอกเลิกแบบผู้จัดการทีมหลายคนที่ทำกันสมัยนี้

    เซอร์อเล็กซ์บอกว่า สิ่งที่เขาพูดกับนักเตะเวลาบอกเลิกสัญญานั้นจะไม่พูดทำร้ายจิตใจให้นักเตะเสียความมั่นใจ แต่เขาจะบอกว่าที่เลิกจ้างเพราะสไตล์ของผู้เล่นคนนั้นไม่ตรงกับกลยุทธ์ในการสร้างทีม ประโยคที่เซอร์อเล็กซ์จะกล่าวออกตัวอยู่บ่อยๆ คือ "ผมอาจจะตัดสินใจผิดที่เลิกสัญญาจ้างกับคุณ แต่ผมคิดว่า ณ วันนี้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีม"



    ใครที่เป็นแฟนแมนยู และติดตามการทำงานของเซอร์อเล็กซ์มาตลอด อ่านทั้ง 6 ข้อก็จะทราบว่าเซอร์อเล็กซ์ปฏิบัติตามทั้ง 6 ข้อจริงๆ ด้วย หัวใจในการบริหารทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทั้ง 6 ข้อ ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารทุกองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี



    ขอบคุณ
    คอลัมภ์ คลุกวงใน
    โดย พิศณุ นิลกลัด

    ภาพ
    mirror.co.uk

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2013
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอเถอะ! เลิกเล่นมือถือขณะขับรถ คิดถึงเพื่อนร่วมทางบ้าง
    -http://hilight.kapook.com/view/86394-


    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ GypsumBoy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    ทุกครั้งที่เรานั่งรถเมล์ เราก็มักจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เหลือบมองพฤติกรรมของคนในรถแต่ละคันที่จอดอยู่ว่าเขาทำอะไรอยู่...กินข้าว...แต่งหน้า...คุยโทรศัพท์...อ่านหนังสือพิมพ์ ฯลฯ แล้วก็คิดอะไรสัพเพเหระ

    แต่ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้ ถ้าเราได้ลองสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่าคนในรถยนต์มักจะมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่เหมือนกันราวกับโรคติดต่อ นั่นก็คือ การเล่นโทรศัพท์มือถือ หรือเล่นแท็บเล็ตของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ขับรถอยู่ ซึ่งภาพนี้พบเห็นได้บ่อยจนกลายเป็นภาพชินตาไปแล้ว แต่น่าแปลกใจที่คนขับรถยนต์เหมือนไม่รู้ (หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้) ว่า พฤติกรรมที่คุณกำลังทำอยู่นั้นอันตรายต่อเพื่อนร่วมทาง และตัวของเขาเองมากขนาดไหน

    อย่างเช่นประสบการณ์ตรงที่ คุณ GypsumBoy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม นำมาเล่าไว้ในเว็บไซต์พันทิป และมีผู้เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก พร้อมกับช่วยกันแชร์พฤติกรรมของคนติดโทรศัพท์อีกหลายเคสให้ได้รู้กันในกระทู้นี้ ทำให้รู้สึกได้เลยว่า คนสมัยนี้ติดโทรศัพท์จนน่ากลัว และสนใจอยู่แต่เพียงการเล่นเกม เล่นแชท คุยไลน์ ถ่ายรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำเลยในขณะขับขี่ยวดยาน หรือสัญจรอยู่บนท้องถนน

    +++ ถึงคนขับรถยนต์ จากใจคนนั่งรถเมล์ +++ โดย คุณ GypsumBoy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    "ผมเป็นคนนึงที่ต้องนั่งรถเมล์ไปกลับทุกวันเช้าเย็น โดยเฉพาะเส้นลาดพร้าว ผมชอบนั่งริมหน้าต่างด้านขวาของรถเมล์ พอมองออกไปเจอรถยนต์มากมาย ในใจก็นึกอิจฉา แล้วก็แอบคิดในใจว่า สักวันเราจะมีรถยนต์แบบคนอื่น ๆ ให้ได้

    พอเริ่มสังเกตรถยนต์ที่เห็นมากขึ้นทุกวัน ผมก็เริ่มสังเกตอะไรได้บางอย่าง คือคนที่ขับรถยนต์ มักจะเล่นโทรศัพท์พวกสมาร์ทโฟนขณะขับรถอยู่ด้วย เห็นบ่อยมาก ทุกวัน วันล่ะหลายสิบคัน

    บางคนเล่นตอนรถหยุดนิ่งก็ยังพออภัยน่ะ แต่บางคนนี้พอรถเริ่มขยับก็ยังไม่หยุด ตามองโทรศัพท์มากกว่ามองทางเสียอีก ผมนั่งลุ้นทุกครั้ง กลัวเบรกไม่ทัน แล้วไปชนคันหน้า การทำแบบนี้พวกคุณรู้ไหมครับว่ามันอันตรายมาก พลาดนิดเดียวชนได้ทันทีครับ

    เรื่องจากประสบการณ์ตรง ผมกับเพื่อนขับรถยนต์ไปแถวถนนพระอาทิตย์ประมาณสองทุ่ม เพื่อนผมเป็นคนขับ ส่วนผมนั่งหลังกับเพื่อนอีกสามคน ผมนั่งด้านซ้ายก็เลยได้แต่มองร้านเหล้าข้างทาง

    สักพักเพื่อนที่เป็นคนขับรถตะโกนข้นมาว่า เฮ้ย hereไรเนี้ย แล้วก็หยุดรถ ผมก็มองไปที่เพื่อนที่เป็นคนขับ มีรถฮอนด้าแจ๊ส กำลังขับกินเลนมาเรื่อย ๆ เพื่อนผมหลบไม่ได้แล้วครับ เนื่องจากซ้ายมือคือร้านเหล้า

    แล้วก็โดนจนได้ แต่ไม่เยอะครับคล้าย ๆ เฉี่ยวมากกว่า แต่ว่าทั้งแถบตั้งแต่ด้านหน้าถึงด้านหลัง และกระจกข้าง ส่วนคนขับรถคันนั้นเหมือนพึ่งจะรู้ตัวตอนรถเลยไปแล้วประมาณสิบเมตร เขาหยุดรถ แล้วเปิดกระจกหันมาถามว่า "โดนไหมคะ"

    เพื่อนที่นั่งไปด้วยกันด้านหลังก็เปิดกระจกหันไปบอกว่า "ถ้าไม่โดนกระจกจะพับแบบนี้หรอ เล่นโทรศัพท์อยู่ใช่ไหม เล่นโทรศัพท์อยู่รึเปล่า" เขาก็เงียบ ไม่ตอบ และแน่นอนครับตอนขับมา เขาเล่นโทรศัพท์อยู่แน่นอน เนื่องจากตอนที่เฉี่ยวกันนั้น มองไปที่คนขับคันนั้น เขาเหมือนก้มหน้าอยู่ แล้วก็มีแสงไปสาดเข้าไปที่ใบหน้าของเขา แล้วก็ในระหว่างที่รอประกันมาเคลม ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เธอยังคงถ่ายรูปและเล่นโทรศัพท์ต่อไป

    อยากจะบอกกับคนขับรถทุกคนว่า ตอนขับรถไปไหนมาไหน คงใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ หยุดเล่นโทรศัพท์ขณะขับรถเถอะครับ มันอันตรายมาก อย่ามัวแต่ดูโทรศัพท์ "ถ้าไม่คึดถึงตัวเอง ก็คิดถึงผู้ร่วมทางคนอื่นบ้าง"

    ขณะที่สมาชิกท่านอื่น ๆ ก็ได้เข้ามาเล่าถึงพฤติกรรมสุดแสนจะอันตรายที่พบเห็นกันมาบนท้องถนน ดูแล้วน่ากลัวไม่แพ้กับการเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์เลย ไม่ว่าจะเป็นเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถจักรยานยนต์, ผู้หญิงคุยไลน์ขณะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ หรือแม้แต่หลายคนมัวแต่มองโทรศัพท์มือถือขณะเดินข้ามถนนก็มี ส่วนหลายคนก็บอกว่าเคยถูกรถชนเพราะโทรศัพท์เป็นต้นเหตุมาแล้ว ดังนั้น จึงอยากฝากให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนรู้จักแบ่งเวลาว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำ พร้อมกับคิดถึงเพื่อนร่วมทางบ้าง จะได้เดินทางปลอดภัยไร้อุบัติเหตุกันทุกคน

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไขรหัสสู่การเป็นองค์กรที่มีศักยภาพสูง
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤษภาคม 2556 10:43 น.
    -http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000059093-

    เฮย์กรุ๊ป เผยพนักงานทั่วโลกผูกพันต่อองค์กรแค่ 66% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มองค์กรที่มีศักยภาพสูงสุด ชี้อุปสรรคในการทำงานคือผู้บริหารไม่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร สร้างความสับสนให้พนักงาน ขณะที่การขาดแคลนอุปกรณ์ในการทำงาน ทั้งเครื่องมือ และข้อมูลเป็นปัญหาสำคัญในการทำงาน
    การสื่อสารที่ขาดประสิทธิภาพจากระดับบนสู่ระดับล่างในเรื่องเป้าหมายและผลงานของบริษัท พนักงานส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการสื่อสารจากผู้บริหารสู่ทีมไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจนทำให้พนักงานไม่แน่ใจว่าการทำงานของตัวเองสอดคล้องกับทิศทางขององค์กรหรือไม่ จึงไม่เกิดผลงานที่ดีที่สุดต่อองค์กร นอกจากนั้นการขาดแคลนทรัพยากรก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ พนักงานเห็นว่าตัวไม่ได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรในการทำงานอย่างเพียงพอ ทั้งด้านเครื่องมือ กำลังคนหรือข้อมูล ทำให้มีผลกระทบต่อผลงานและสร้างความกดดันในการทำงานให้ได้คุณภาพและทันเวลา

    ได้ศึกษาแนวโน้มของความผูกพันที่พนักงานมีต่อองค์กร (Engagement) และการส่งเสริม สนับสนุนให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงาน (Enablement) โดยศึกษาความแตกต่างระหว่างองค์กรที่มีศักยภาพสูงกับองค์กรทั่วๆ ไป และวิเคราะห์ข้อมูลจากพนักงานมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก พบว่า โดยทั่วไปพนักงานเฉลี่ยร้อยละ 66 รู้สึกผูกพันกับองค์กร ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มองค์กรที่มีศักยภาพสูงสุดของโลกอยู่มาก ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยขององค์กรที่มีศักยภาพสูงในที่นี้ ได้มาจากผลการสำรวจข้อมูลจากพนักงานในองค์กรที่เป็นผู้นำด้านผลประกอบการกว่า 40 องค์กร ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่ทำให้องค์กรที่มีศักยภาพสูงมีความผูกพันที่พนักงานมีต่อองค์กรสูงกว่าองค์กรทั่วไป มีดังนี้

    “คน” คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร

    องค์กรไม่อาจคาดหวังให้พนักงานที่ผูกพันต่อองค์กรทุ่มเทและให้ความสำคัญในเป้าหมายขององค์กร องค์กรควรตระหนักในคุณค่าและปฏิบัติต่อพนักงานโดยไม่มองพนักงานเป็นเพียงแค่ “หนึ่งในปัจจัยการผลิต” โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรในปัจจุบันถูกกดดันให้ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เท่าเดิม “ความทุ่มเท” ที่พนักงานมีต่อองค์กรจึงกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจ


    องค์กรที่ให้ความสำคัญกับพนักงานมีแนวโน้มที่จะพบว่าพนักงานมีความทุ่มเทในการทำงานอย่างเต็มที่ ยินดีที่จะทำงานมากกว่าที่ได้รับมอบหมาย และมีผลการทำงานที่ยอดเยี่ยม องค์กรที่มีศักยภาพสูงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่องค์กรให้กับพนักงาน โดยองค์กรที่มีศักยภาพสูงร้อยละ 65 มีการสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 10 และแสดงความห่วงใยในสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานร้อยละ 80 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 5 นอกจากนั้นแล้วองค์กรที่มีศักยภาพสูงร้อยละ 66 ยังคำนึงถึงผลประโยชน์ของพนักงานอย่างมากเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องต่างๆ มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 11 รวมถึงมีการแจ้งให้พนักงานทราบถึงเหตุผลการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาร้อยละ 61 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 11

    ศักยภาพในการนำพาทีม
    โดยทั่วไปสภาวะผู้นำที่ดีนั้นสามารถสร้างความแตกต่างอย่างเด่นชัดให้กับผลการปฏิบัติงานได้ และพนักงานต้องได้รับความมั่นใจว่ามีผู้นำที่มีความสามารถผลักดันการดำเนินกลยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ พนักงานตระหนักดีว่าความมั่นคงในการทำงานและการพัฒนาในสายอาชีพนั้น ขึ้นอยู่กับสถานะ ความมั่นคง และทิศทางในอนาคตขององค์กร อีกทั้งรู้ว่าตัวเองไม่อาจหวังและมอบอนาคตไว้กับนายจ้างได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมั่นใจว่าองค์กรมีการวางแนวทางที่ดีเพื่อไปสู่ความสำเร็จ ในองค์กรศักยภาพสูงพนักงานเห็นว่าผู้นำมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 85 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 13 พนักงานมีความเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวผู้นำร้อยละ 73 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 11 และมีผู้นำที่ปฏิบัติตนสอดคล้องกับคุณค่าหลักขององค์กรร้อยละ 75 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 10

    พนักงานเป็นหนึ่งเดียวกับธุรกิจ
    สภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถรู้สึกว่าตนได้มีส่วนร่วมและรับผิดชอบในเรื่องที่มีผลต่อความสำเร็จขององค์กร ไม่ใช่เพียงแค่งานตนเองเท่านั้น เป็นสิ่งที่พนักงานต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ องค์กรที่มีศักยภาพสูงช่วยให้พนักงานมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับองค์กรโดย ร้อยละ 81 สร้างความมั่นใจว่ากลยุทธ์และเป้าหมายมีการสื่อสารถึงพนักงานอย่างชัดเจน มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 11 และองค์กรที่มีศักยภาพสูงร้อยละ 73 ทำให้พนักงานมั่นใจด้วยว่าพวกเขาได้รับทราบข้อมูลแผนธุรกิจ และผลประกอบการทางธุรกิจอยู่เสมอ มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 11

    พนักงานได้รับอิสระมากกว่า
    จากการศึกษาของเฮย์กรุ๊ปทั่วโลก พบว่ามีช่องว่างระหว่างความทุ่มเทในการทำงานของพนักงานกับระดับการส่งเสริมและสนับสนุนที่องค์กรมีให้กับพนักงาน สำหรับองค์กรที่ต้องการใช้บุคลากรให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด หากศักยภาพที่มีของพนักงานไม่ได้ถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่ ถือเป็นการสูญเสียโอกาสขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง องค์กรที่มีศักยภาพสูงได้สนับสนุนให้พนักงานนำทักษะและความสามารถออกมาใช้ โดยให้พนักงานมีอิสระในการทำงานของตนอย่างเต็มที่เพื่อให้งานนั้นๆ ประสบความสำเร็จ พนักงานในองค์กรที่มีศักยภาพสูงร้อยละ 65 มีความมั่นใจว่าได้รับอำนาจในการตัดสินใจในระดับที่เหมาะสม มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 7 พนักงานเห็นว่าผู้นำทำหน้าที่ในการสนับสนุนให้พนักงานแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทรัพยากรต่างๆ ระหว่างกันได้ดีกว่าถึงร้อยละ 63 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 10 ผู้นำได้กระตุ้นพนักงานให้เสนอคำแนะนำเพื่อการพัฒนาปรับปรุงร้อยละ 75 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 6 และผู้นำมีการสร้างบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ ร้อยละ 59 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 5


    การทำงานร่วมกันเป็นทีม
    องค์กรปัจจุบันที่มีความซับซ้อน เน้นการทำงานเป็นทีม และมีการจัดองค์กรแบบเมทริกซ์ (Matrixed Organizations) เพิ่มขึ้น ทำให้การบริหารจัดการการประสานงานทั้งในระหว่างบุคคลและหน่วยงานนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด พนักงานในองค์กรที่มีศักยภาพสูงมีระดับความพึงพอใจในเรื่องการสื่อสารระหว่างแผนกร้อยละ 49 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 7 และการส่งเสริม สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดและทรัพยากรต่างๆ ภายในองค์กรนั้นร้อยละ 64 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 7 และพนักงานในองค์กรที่มีศักยภาพสูงร้อยละ 85 มั่นใจว่าเพื่อนร่วมงานของเขาสามารถพึ่งพาได้และจะพยายามทำงานอย่างเต็มความสามารถของเขา มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 13

    สิ่งสำคัญที่สุดคือการเติบโตและการพัฒนา
    พนักงานตระหนักดีว่าตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบต่อความก้าวหน้าในการงานของตัวเอง ดังนั้นปัจจัยด้านโอกาสการเติบโตและโอกาสในการพัฒนาของพนักงานจึงมีผลสูงอย่างยิ่งต่อระดับความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร พนักงานในองค์กรที่มีศักยภาพสูงร้อยละ 74 เห็นว่าพวกเขามีโอกาสที่จะพัฒนาทักษะจากงานที่ทำ มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 10 และที่สำคัญพนักงานยังมีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายในอาชีพการงานโดยการทำงานในองค์กรของเขาต่อไปอยู่ร้อยละ 61 มากกว่าองค์กรทั่วไปอยู่ร้อยละ 8

    สร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
    ตารางการทำงานของพนักงานในปัจจุบันนั้นนับวันยิ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ยิ่งองค์กรมีการทำงานกับต่างชาติมากขึ้น พนักงานยิ่งต้องเพิ่มเวลาการทำงานเพื่อให้สามารถทำงานกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานที่อยู่ต่างแดนและต่างเวลาได้ พนักงานในองค์กรที่มีศักยภาพสูงเพียงร้อยละ 73 สามารถบรรลุสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้ ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยกว่าองค์กรทั่วไปอยู่ร้อยละ 11 อย่างไรก็ตามพวกเขาเห็นว่าองค์กรมีการสนับสนุนการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานร้อยละ 64 มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 7 การให้ความสำคัญมากกว่าเพียงแค่เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นและการทำงานทางไกล (telecommuting) เพื่อช่วยพนักงานบริหารการทำงานและความรับผิดชอบส่วนตัวได้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งแนวทางที่จะส่งเสริมการสร้างสมดุลมีดังต่อไปนี้
    • กำหนดทิศทางที่ชัดเจนในเรื่องลำดับความสำคัญของงานเพื่อช่วยให้พนักงานให้ความสำคัญในงานที่มีคุณค่ามากที่สุด
    • มีการนำนโยบายและหลักปฏิบัติไปใช้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าปริมาณงานมีการแจกจ่ายอย่างเหมาะสมและยุติธรรม
    • ส่งเสริมให้พนักงานทุกระดับมีทักษะและอำนาจการตัดสินใจที่จะทำให้งานสำเร็จลุล่วง
    • ให้ทรัพยากรที่เพียงพอเพื่อสนับสนุนพนักงานให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูง

    [​IMG]

    พนักงานไม่ได้รู้สึกว่าได้รับค่าตอบแทนมากเกินไป
    จากการศึกษาของเฮย์กรุ๊ปได้แสดงให้เห็นว่า องค์กรที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดของโลก (อ้างอิงจากนิตยสารฟอร์จูน) นั้น โดยทั่วไปแล้วมีการจ่ายค่าตอบแทนพนักงานระดับกลางที่มีศักยภาพสูงอยู่น้อยกว่าองค์กรอื่น น้อยกว่าอยู่ประมาณร้อยละ 5 ของเงินเดือนสำหรับตำแหน่งระดับผู้บริหาร ทั้งนี้เพราะบริษัทเหล่านี้ศักยภาพในการพัฒนาพนักงานภายในองค์กรที่ดีกว่า การจ้างพนักงานศักยภาพสูงจากข้างนอกด้วยค่าตอบแทนที่สูงจึงมีความจำเป็นน้อยกว่า ทั้งนี้ องค์กรที่ได้รับการชื่นชมเหล่านี้มีการให้ผลตอบแทนแก่พนักงานที่สอดคล้องกับผลการปฏิบัติงานในพนักงานทุกระดับที่ดีกว่าองค์กรทั่วไป พนักงานในองค์กรที่มีศักยภาพสูงร้อยละ 54 ชี้ว่าองค์กรของเขามีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นผลงานที่มีประสิทธิภาพและมีความชัดเจนในการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน มากกว่าองค์กรทั่วไปร้อยละ 9

    โดยสรุปแล้วเราจะเห็นว่าองค์กรที่มีศักยภาพสูงมีการมอบอำนาจ สนับสนุน และพัฒนาพนักงานได้ดีกว่าองค์กรทั่วไป และเหนือสิ่งอื่นใดองค์กรที่มีศักยภาพสูงพูดจริงทำจริงในการให้ความสำคัญกับ “คน” เป็นอันดับแรก
    นางภัทรี พฤทธิธรรมกุล ที่ปรึกษา บริษัท เฮย์กรุ๊ป กล่าวว่า จากประสบการณ์ของเฮย์กรุ๊ป ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการทำงานของพนักงานที่มักพบในประเทศไทย ได้แก่ การสื่อสารที่ขาดประสิทธิภาพจากระดับบนสู่ระดับล่างในเรื่องเป้าหมายและผลงานของบริษัท พนักงานส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการสื่อสารจากผู้บริหารสู่ทีมไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจนทำให้พนักงานไม่แน่ใจว่าการทำงานของตัวเองสอดคล้องกับทิศทางขององค์กรหรือไม่ จึงไม่เกิดผลงานที่ดีที่สุดต่อองค์กร นอกจากนั้นการขาดแคลนทรัพยากรก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ พนักงานเห็นว่าตัวไม่ได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรในการทำงานอย่างเพียงพอ ทั้งด้านเครื่องมือ กำลังคนหรือข้อมูล ทำให้มีผลกระทบต่อผลงานและสร้างความกดดันในการทำงานให้ได้คุณภาพและทันเวลา
    เคล็ดลับสามประการเพื่อเพิ่มความผูกพันของพนักงาน (engagement) และการส่งเสริม สนับสนุนให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงาน (enablement) ภายในองค์กร
    • กำหนดทิศทางองค์กร โดยสร้างวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตและสร้างความเข้าใจ โดยสื่อสารทิศทางนั้นๆ และพยายามสร้างการยอมรับ
    • สนับสนุนการให้ความร่วมมือและการทำงานเป็นทีมที่เข้มแข็ง รวมถึงสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและข้อมูลความรู้กันภายในองค์กร
    • วางโครงสร้างและบริหารจัดการขั้นตอนการทำงานภายในทีมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้โครงสร้างและขั้นตอนต่างๆ นั้น ต้องส่งเสริมการทำงานเพื่อบรรลุจุดประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และสื่อสารให้พนักงานรับรู้ถึงความคาดหวังขององค์กรอย่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดอกเบี้ยนโยบาย คืออะไร ... รู้เอาไว้ก็ได้ประโยชน์
    -
    -http://hilight.kapook.com/view/86668-

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ดอกเบี้ยนโยบาย คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และ ดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน

    งัดข้อกันมานานพอสมควร ในที่สุด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ยอมถอย 1 ก้าว ด้วยการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.75% เหลือเป็น 2.50% ซึ่งถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน หลังจากก่อนหน้านี้ กนง. ถูก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทุ้งดัง ๆ ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อชะลอการไหลเข้าของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    หลายคนที่ได้ยินข่าวนี้ และไม่ได้สนใจเรื่องข่าวเศรษฐกิจมากนักอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า "ดอกเบี้ยนโยบาย" คืออะไร แล้วการลดดอกเบี้ยนโยบายลงนั้นมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร กระปุกดอทคอม ขออธิบายคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

    ดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และเป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน โดยมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปภายใต้กรอบของเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 3% และเพื่อที่จะควบคุมปริมาณเงินในระบบให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องใช้ "ดอกเบี้ยนโยบาย" ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในตลาดว่าควรอยู่ที่เท่าไร ในตามแต่ละสถานการณ์

    สำหรับประเทศไทย ใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้เพื่อควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร RP (repurchase) ซึ่งในปัจจุบันนี้ ใช้อัตราดอกเบี้ยการซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน (R/P 1 วัน) เป็นตัวแทนดอกเบี้ยนโยบาย

    อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ในกรณีที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเหลือก็จะนำเงินไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกู้ยืมเป็นระยะเวลา 1 วัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะโอนพันธบัตรภาครัฐให้กับสถาบันการ เงินเพื่อเป็นหลักประกัน โดยธนาคารประเทศไทยสัญญาว่าจะ "รับซื้อคืนพันธบัตร" ที่ใช้เป็นหลักประกัน กลับมาจากสถาบันการเงินพร้อมทั้งจ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลา 1 วันให้ โดยดอกเบี้ยนั้นก็คืออัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยนั่นเอง

    ทีนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หรือลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น สัมพันธ์ต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร?

    ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า "อัตราดอกเบี้ยนโยบาย" กับ "อัตราผลตอบแทน" อันหมายถึงดอกเบี้ยต่าง ๆ ที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้านั้น เป็นคนละตัวกัน แต่โดยปกติแล้ว เมื่อดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับ ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งก็จะปรับดอกเบี้ยทั้งเงินฝาก เงินกู้ หรือแม้แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรเป็นไปในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยนโยบายด้วย

    หากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แสดงว่า ช่วงนั้นเศรษฐกิจเติบโต ราคาสินค้าสูงขึ้น จนทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แต่กำลังซื้อของประชาชนเริ่มลดลง (คนมีเงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยชิ้นลง เพราะสินค้าแพงขึ้น) ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องพยายามลดอัตราเงินเฟ้อในประเทศให้ต่ำลง ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร เป็นการผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ไปปรับขึ้นดอกเบี้ยให้ลูกค้าด้วย

    เมื่อธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะจูงใจให้ประชาชนนำเงินมาฝากมากขึ้น ออมเงินมากขึ้น ธนาคารก็จะมีสภาพคล่องมากขึ้น และเมื่อธนาคารขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ก็ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย เพื่อรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยซึ่งเป็นกำไรของธนาคารเอาไว้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้นี้ก็จะทำให้คนกู้ยืมน้อยลงด้วย หันมาออมมากขึ้น เป็นเหตุให้การใช้จ่ายในครัวเรือนลดลง การลงทุนลดลง ช่วยชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้เงินเฟ้อลดลงได้

    ในทางกลับกัน หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย แสดงว่าช่วงนั้นเศรษฐกิจเริ่มหดตัว เงินเฟ้อต่ำลง ประชาชนไม่ค่อยใช้จ่าย ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ลง เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและภาคเอกชนถอนเงินไปใช้จ่าย และลงทุนมากขึ้น (เพราะฝากเงินไว้กับธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยนิดเดียว) เป็นการช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอีกครั้ง

    อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้น-ลงดอกเบี้ยนโยบาย เช่น เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ดุลการค้า ดุลการคลัง กระแสเงินทุนไหลเข้าออก การเมือง ฯลฯ

    ดังเช่น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพยายามให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น เป็นเพราะเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยที่สูงไปสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจนำเงินออมมาลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนของไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะสั้น และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

    นอกจากนี้ กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าไทยยังทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ส่งออกส่งสินค้าออกได้ยากขึ้น เพราะต่างประเทศจะมองว่าสินค้าของไทยมีราคาแพงขึ้นนั่นเอง ส่งผลต่อการแข่งขันทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ ที่ผลิตสินค้าแบบเดียวกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เพื่อสกัดเงินทุนไหลเข้า แม้หลายฝ่ายจะมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้เป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลอยู่กลาย ๆ



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://news.voicetv.co.th/thailand/62739.html-
    , -thaimutualfundnews.com-, -thaibma.or.th-, -fundmanagertalk.com-


    ดอกเบี้ยนโยบาย ลดดอกเบี้ยนโยบาย คืออะไร คลิก
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำง่ายๆ ในภาษาไทยที่มักใช้ผิด

    -http://webboard.sanook.com/forum/?topic=3727963-




    1. สำอาง
    แปลว่า เครื่องแป้งหอม งามสะอาด ที่ทำให้สะอาด
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า “สำอางค์” ค..การันต์(ค์) มาจากไหน?

    2. พากย์
    แปลว่า คำพูด คำกล่าวเรื่องราว ภาษา
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า “พากษ์” ที่เขียนกันผิดประจำนี่ คงติดภาพมาจากคำว่า วิพากษ์(วิจารณ์)

    3. เท่
    แปลว่า เอียงน้อยๆ โก้เก๋
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เท่ห์” …ติดมาจากคำว่า “สนเท่ห์” รึไงนะ?

    4.โล่
    แปลว่า เครื่องปิดป้องศัตราวุธ ชื่อแพรเส้นไหมโปร่ง
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า “โล่ห์” สงสัยอยู่ในกรณีเดียวกับคำว่า “เท่”

    5. ผูกพัน
    แปลว่า ติดพัน เอาใจใส่ รักใคร่
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ผูกพันธ์” ไม่ใช่คำว่า “สัมพันธ์” นะจ๊ะ

    6. ลายเซ็น
    แปลว่า ลายมือชื่อ
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ลายเซ็นต์” ติดมาจาก “เปอร์เซ็นต์” รึเปล่า?

    7. อีเมล
    แปลว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า ”อีเมล์” คำนี้ผมก็เขียนผิดบ่อยๆ -*- มันติดอ่ะ

    8. แก๊ง
    แปลว่า กลุ่มคนที่ตั้งเป็นพวก(ในทางไม่ดี)
    มักเขียนผิดเป็นคำว่า “แก๊งค์”หรือไม่ก็ “แกงค์”
    เอ่อ…มันมาจากภาษาอังกฤษคำว่า gang นะ ควายการันต์มาจากไหน?


    คำง่ายๆ ในภาษาไทยที่มักใช้ผิด

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิสัยไม่ดี ... ที่ทำให้เราไม่รวยสักที
    -http://webboard.money.sanook.com/forum/?topic=3723600-


    คนส่วนใหญ่มักคิดกันว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเรารวยหรือไม่รวยมีอยู่แค่ 3 สิ่ง คือเงินทุน ความรู้ และโอกาส แต่จริงๆ แล้วยังมีสิ่งสำคัญยิ่งกว่า นั่นก็คือ “นิสัยและรูปแบบการใช้ชีวิต” ของ คนๆ นั้น ในแวดวงการเงินพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไม่รวย ไม่มั่งคั่งล้วนเกิดจากพฤติกรรมหรือค่านิยมการใช้ชีวิตแบบผิดๆ ซึ่งจำเป็นต้องละ เลิก และปรับเปลี่ยนให้ได้เสียก่อน และนิสัยไม่ดีเหล่านี้มีอยู่ด้วยกัน 11 เรื่อง ดังนี้

    1. กลัวและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

    คนส่วนใหญ่มักคิดว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ดีอยู่แล้ว จึงชอบที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ และไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต

    2. ไม่ขยัน แถมขี้เกียจอีกต่างหาก

    ชอบใช้เวลาอย่างไม่มีคุณค่า โดยลืมนึกไปว่าเวลาในชีวิตคนเรามีจำกัดมาก เวลาทำงานก็อยากมีเวลาว่าง แต่ไม่เคยคิดที่จะใช้เวลาว่างนั้นให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตัวเองเลย

    3. หน้าใหญ่และฟุ้งเฟ้อ

    ชอบเอาเวลาไปท่องเที่ยว สันทนาการและใช้จ่ายเกินตัวแบบคนรวย จริงๆ แล้วถ้าจะทำแบบนี้ก็ไม่น่าเกียจถ้ามีเงินเหลือเฟือและทำนานๆ ครั้ง แต่ปัญหาก็คือคนที่ทำบ่อยๆ กลับไม่ใช่คนรวยซะอย่างนั้น

    4. ชอบซื้อของแพงตามแฟชั่น

    เช่น ซื้อรถยนต์ มือถือ แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊คอย่างไม่ฉลาด เช่น เลือกสเปคเวอร์ๆ เพียงเพื่ออวดหรือเกทับกัน ทั้งๆ ที่สินทรัพย์เหล่านี้ขาดทุนทันทีตั้งแต่ซื้อ และยิ่งถือนานก็จะล้าสมัยและเสื่อมค่าลง ถ้าลองเปลี่ยนค่านิยมใช้รถหรูมาเป็นรถอีโคคาร์แทน ขณะที่มือถือ แท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ค เลือกใช้ในสเปคที่เหมาะกับการใช้งานและยี่ห้อรองลงมา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนหลักล้านได้

    5. นิยมเช่าบ้านแทนที่จะซื้อ

    ถ้าเลิกเช่าและหันมาซื้อบ้านแทนยิ่งทำเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าเช่าได้แล้ว ยังสามารถนำมาให้คนเช่าต่อซึ่งสร้างรายได้ได้ด้วย ดอกเบี้ยผ่อนซื้อ สามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีปีละ 100,000 บาท ที่สำคัญที่สุดคือบ้านถือครองนานๆ ยังเพิ่มค่าได้ แถมยังเป็นการออมภาคบังคับชั้นดีที่ทำให้คนเราเงินเก็บได้ด้วย

    6. มีลูกเยอะ

    หลายคนฟังแล้วอาจไม่เชื่อว่าการมีลูกเพียงแค่ 1 คนสามารถทำให้คนจนลงได้นานถึง 20 ปี ดังนั้นหากยังไม่พร้อมจริงๆ ก็ไม่ควรคิดมีลูก และควรมีลูกแต่เพียงพอดีเท่านั้น ยกเว้นฐานะมั่นคงหรือมีเงินเหลือจริงๆ

    7.ชอบกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

    หนุ่มสาวสมัยนี้มีค่านิยมผิดๆ คือชอบกู้ยืมเงินเพื่อจับจ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือย บางคนกู้มาท่องเที่ยว ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และบั่นทอนโอกาสกู้ยืมลงด้วย

    8. ไม่ฉลาดในการจ่ายเงินซื้อของ

    ชอบซื้อของราคาเต็ม และหน้าบางไม่ชอบต่อรอง ถ้าลองเปลี่ยนมาซื้อของในห้างราคาถูก ตลาดหรือข้างถนนแทน เช่น ซื้อของตลาดนัดชิ้นละ 25 บาท หากต่อรองได้ 20 บาท เท่ากับลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 20% ถ้ารวมกันเยอะๆ ทั้งเดือนก็จะลดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างเห็นน้ำเห็นเนื้อทีเดียว

    9.ชอบถือครองทรัพย์สินที่ไม่เป็นประโยชน์

    ส่วนใหญ่เป็นของสะสมฟุ่มเฟือยราคาแพง ที่ใช้ประโยชน์ได้เพียงแค่ชื่นชมส่วนตัว สนองตอบความชอบของตัวเองเป็นสำคัญ เช่น กระเป๋า น้ำหอม และรองเท้าแบรนด์เนมราคาแพง ฯลฯ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะทำต่อเมื่อรวยแล้วเท่านั้น

    10. ไม่เคยคิดที่จะเก็บออม

    และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในหัวสมองเลย ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าถ้าไม่มีเงินออม ไม่มีความรู้ ก็จะไม่มีการลงทุนเกิดขึ้น นั่นเท่ากับเป็นการปิดโอกาสความรวยไปโดยปริยาย ทั้งนี้คนส่วนใหญ่เมื่อหาเงินมาได้สิ่งแรกที่ชอบคิดกันก็คือจะใช้เงินก้อน นั้นอย่างไร จริงๆ แล้วสิ่งที่ควรคิดก่อนคือการออมต่างหาก

    11. ชอบให้คนกู้ยืมเงิน

    ส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากการชอบคุยโวโอ้อวดว่าตัวเองมีเงิน ขอให้ตระหนักอยู่เสมอว่าเงินทองเป็นของหายาก ต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพและระมัดระวัง ทั้งนี้ตัวเองก็มีความจำเป็นต้องใช้เงินมาช่วยสร้างความมั่นคง มั่งคั่งให้กับตัวเองอยู่แล้ว จึงเป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะให้คนกู้ยืมง่ายๆ โดยไม่มีหลักประกันใดๆ

    เครดิต : ohozaa


    นิสัยไม่ดี ... ที่ทำให้เราไม่รวยสักที -_- !


    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลูกค้าแทบอ้วก...สตาร์บัคส์ในฮ่องกง ขนน้ำจากห้องส้วมมาชงกาแฟ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มิถุนายน 2556 09:29 น.
    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000065602-

    [​IMG]
    บรรยากาศร้านกาแฟ "สตาร์บัคส์" สาขาแบงค์ ออฟ ไชน่า ทาวเวอร์ ในฮ่องกง ที่กำลังตกเป็นข่าวใช้น้ำจากห้องสุขาอยู่ในขณะนี้ (ภาพเอเจนซี)
    เอเยนซี - ยักษ์ใหญ่กาแฟข้ามชาติ “สตาร์บัคส์” (Starbucks) สาขาใจกลางพาณิชย์ในฮ่องกงถูกเปิดโปง นำน้ำจากห้องสุขามาใช้ชงกาแฟจำหน่ายแก่ลูกค้าเป็นเวลานานสองปีแล้ว

    สื่อฮ่องกง แอปเปิล เดลี่ รายงานเมื่อวันพฤหัสฯ (30 พ.ค.) ว่า ร้านสาขา “สตาร์บัคส์” ที่ตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของอาคารแบงค์ ออฟ ไชน่า ทาวเวอร์ (Bank of China Tower) ใจกลางย่านธุรกิจของเกาะฮ่องกง นำน้ำจากห้องสุขาชายภายในบริเวณจอดรถของอาคาร มาใช้ชงกาแฟจำหน่ายแก่ลูกค้าทุกวัน

    โดยในแต่ละวันพนักงานของร้านจะเข็นรถขนน้ำไปยังห้องสุขาชาย เพื่อขนถ่ายน้ำมาใช้ภายในร้าน ซึ่งทางร้านได้ติดตั้งหัวจ่ายน้ำแถมติดป้าย "เฉพาะร้านสตาร์บัคส์เท่านั้น" (Starbucks only) ห่างจากโถปัสสาวะไม่กี่ฟุต

    การขนย้ายน้ำเพื่อนำมาใช้ภายในร้านเช่นนี้ ดำเนินมาตั้งแต่เปิดร้านครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2554 และในแต่ละวันจะมีการขนย้ายอย่างน้อย 5 รอบ

    ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงเหตุผลของการนำน้ำมาใช้ในลักษณะนี้ พนักงานจากสตาร์บัคส์ระบุว่า “เนื่องจากไม่มีการติดตั้งสายท่อส่งน้ำโดยตรงมาที่ร้าน ทำให้ทางร้านจำเป็นต้องขนย้ายน้ำจากหัวจ่ายที่ติดตั้งโดยเฉพาะในห้องสุขามาใช้แทน”

    ทั้งนี้ พนักงานคนเดิมยืนยันอีกว่าน้ำที่นำมาใช้นั้น ผ่านค่ามาตรฐานความปลอดภัยตามที่หน่วยงานท้องถิ่นและองค์การอนามัยโลก หรือ ฮู (WHO) กำหนดไว้

    สำนักงานอาหารและสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมในฮ่องกง (Food and Environmental Hygiene Department) บอกกับแอปเปิล เดลี่ ว่า การที่สตาร์บัคใช้น้ำจากห้องสุขาเช่นนี้ เป็นการกระทำไปที่ผิดไปจากกฎระเบียบ หลังจากที่มีการเปิดเผยฯ ทางหน่วยงานก็ได้แจ้งเตือนไปยังร้านสาขาสตาร์บัคส์นี้แล้ว

    นอกจากนี้ Ben Cowling จากวิทยาลัยสุขอนามัยสาธารณะ ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า ที่กรองน้ำอาจขจัดแบคทีเรียออกไปได้ อย่างไรก็ตาม ในน้ำอาจมีเชื้อไวรัสขนาดเล็กๆที่เครื่องกรองน้ำไม่อาจกำจัดออกได้ และการที่พนักงานเข้าไปในห้องน้ำบ่อยๆ ก็มีความเสี่ยงมากขึ้นในการจะนำเชื้อโรคอื่นๆจากห้องน้ำติดเข้ามาปนเปื้อนในบริเวณประกอบอาหาร

    อย่างไรก็ตาม หลังจากข่าวการนำน้ำจากห้องสุขามาใช้ของร้านกาแฟ “สตาร์บัคส์” แห่งนี้ได้แพร่กระจายออกไป ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบจำนวนมาก ทางร้านจึงเปลี่ยนมาใช้น้ำที่ซื้อจากแหล่งจำหน่ายภายนอก ที่มีการบรรจุและขนส่งอย่างถูกสุขอนามัยแทน

    [​IMG]
    ภาพจากสื่อฮ่องกง “แอปเปิล เดลี่” แสดงขั้นตอนที่พนักงานของร้านสาขาสตาร์บัคนำน้ำจากห้องสุขาชายมายังที่ประกอบอาหารในร้าน

    [​IMG]
    ภาพ (ซ้ายสุด) ก๊อกที่มีป้ายเขียนว่า "Starbucks Only" ที่พนักงานร้านสตาร์บัคส์ นำน้ำมาใช้ชงกาแฟในร้านฯ (ภาพ เอเจนซี)


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jtBzqVfQyOs#ws]HK Central Starbucks adding new formula in coffee: toilet water[/ame]
    HK Central Starbucks adding new formula in coffee: toilet water

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jtBzqVfQyOs#ws]HK Central Starbucks adding new formula in coffee: toilet water[/ame]
    -http://www.youtube.com/watch?v=jtBzqVfQyOs&feature=player_embedded-

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “สตาร์บัคส์” จี้ “สตาร์บัง” เปลี่ยนโลโก้ เหตุละเมิดลิขสิทธิ์
    -http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128312-
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ตุลาคม 2555 16:35 น.




    นายดำรง มัสแหละ เจ้าของร้านมอเตอร์ไซค์รถเข็น “สตาร์บัง”









    ภาพจากเว็บไซต์ Fail.in.th



    ร้านกาแฟรถเครื่อง “สตาร์บัง” เผย “สตาร์บัคส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” บริษัทกาแฟยักษ์ระดับโลก ส่งทนายความยื่นหนังสือ ขอให้เปลี่ยนเครื่องหมายการค้า อ้างละเมิดลิขสิทธิ์ หลังภาพร้านว่อนเน็ต-โซเชียลฯ ยันไม่เกี่ยวปล่อยภาพ เพราะใช้เน็ตไม่เป็น แต่ทราบลูกค้า-นักท่องเที่ยวเห็นว่าแปลก ลั่นยอมเปลี่ยนโลโก้ตามที่แจ้ง

    วันนี้ (19 ต.ค.) นายดำรง มัสแหละ เจ้าของร้านมอเตอร์ไซค์รถเข็น “สตาร์บัง” ซึ่งขายกาแฟและชาชัก รวมทั้งเครื่องดื่มและอื่นๆ จอดประจำบริเวณหน้าบ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.ที่ผ่านมา ได้มีชายสองคนนำเอกสารมาให้ตน เมื่อแกะออกปรากฏว่า เป็นหนังสือจากสำนักทนายความติสลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล แจ้งว่าร้านสตาร์บังได้ละเมิดเครื่องหมายทางการค้าของสตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชั่น เจ้าของร้านสตาร์บัคส์คอฟฟี่ (Starbucks Coffee) และแจ้งให้เปลี่ยนเครื่องหมายการค้า

    นายดำรง กล่าวว่า โลโก้สตาร์บังดังกล่าว มีลูกค้ารายหนึ่งได้เป็นคนช่วยออกแบบให้ โดยใช้มาประมาณ 4-5 เดือนแล้ว ซึ่งยอมรับว่า โลโก้นี้เป็นที่สนใจต่อผู้ที่สัญจรผ่านไปมาบริเวณถนนพระอาทิตย์ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จนได้มีการถ่ายภาพร้านรถเข็นของตนไปเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เพราะเห็นว่าร้านกาแฟของตนมีความแปลกที่ชื่อ และป้ายร้าน กระทั่งเป็นที่บอกต่อในสังคมออนไลน์ และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนแต่อย่างใด เพราะตนใช้อินเทอร์เน็ตไม่เป็น มีเพียงแค่ลูกค้าเล่าให้ฟังว่า ภาพของตนปรากฏในเฟซบุ๊ก อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะยินยอมปฏิบัติตามที่ร้องขอ โดยในเบื้องต้นจะทำการเปลี่ยนโลโก้ให้ใหม่ภายใน 2-3 วัน ก่อนที่จะประสานงานกับทางสำนักทนายความดังกล่าว เพื่อแจ้งให้ทราบตามขั้นตอนต่อไป

    สำหรับหนังสือดังกล่าวระบุเรื่อง การละเมิดเครื่องหมายการค้าของสตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชั่น ลงวันที่ 17 ต.ค.โดยมี นายสืบศิริ ทวีผล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท ติลลิกิแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยระบุว่า ทางบริษัทเป็นผู้รับมอบอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายในประเทศไทยของ สตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชั่น และเป็นเจ้าของทะเบียนเครื่องหมายการค้า “STARBUCKS COFFEE และรูปวงกลมสีเขียวซ้อนกัน” โดยเมื่อไม่นานมานี้ ได้ทราบมาว่าเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์ขายกาแฟชื่อ สตาร์บัง คอฟฟี่ ซึ่งขายกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งโลโก้และรูปวงกลมสีเขียวซ้อนกันเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีลักษณะคล้ายกับ เครื่องหมายการค้าอันมีชื่อเสียงของลูกความ ซึ่งถือเป็นการละเมิดเครื่องหมายทางการค้า

    อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นลูกความเลือกที่จะยุติข้อพิพาทนี้อย่างสันติ โดยขอความร่วมมือให้ส่งหนังสือตอบกลับมาภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือ โดยระงับและยุติการละเมิดเครื่องหมายทางการค้า และไม่หวนกลับมาใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้าดังกล่าวที่คล้าย หรือเกี่ยวข้องกับชื่อและเครื่องหมายการค้าอีก โดยให้ถอดและทำลายสินค้าที่มีอยู่ ป้าย และวัสดุโฆษณาทั้งหมดโดยทันที ทั้งที่จับต้องได้ และที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะการตกแต่งในร้านกาแฟ เมนูเครื่องดื่ม สติกเกอร์ แผ่นพับ ฉลาก ใบปลิว และวัสดุอื่นๆ ที่ใช้คำว่า STARBUNG COFFEE ในรูปวงกลมสีเขียวภายใน 7 วัน เมื่อดำเนินการแล้วให้ส่งมอบรูปถ่ายอันเป็นหลักฐานแสดงว่าท่านได้ดำเนินการ ดังกล่าวแล้วให้กับบริษัทโดยทันที และตกลงว่า จะไม่ยื่นคำขอเครื่องหมายจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า หรือชื่อบริษัทใดๆ ที่เหมือนคล้ายกับเครื่องหมายการค้าลูกความ ซึ่งได้กำหนดภายในวันที่ 26 ต.ค.นี้ หากไม่ได้รับคำตอบภายใน 7 วัน ลูกความขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎหมาย


    .

    -http://palungjit.org/threads/%E2%80%9C%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E2%80%9D-%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E2%80%9C%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E2%80%9D-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C.366068/-


    http://palungjit.org/threads/“สตาร์บัคส์”-จี้-“สตาร์บัง”-เปลี่ยนโลโก้-เหตุละเมิดลิขสิทธิ์.366068/


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนภัยออนไลน์!! จดหมายแจ้งระงับ apple id หลอกลวงเอาข้อมูลบัตรเครดิต

    -http://hitech.sanook.com/1386531/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B1%E0%B8%9A-apple-id-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95/-



    เตือนภัยออนไลน์!! จดหมายแจ้งระงับ apple id หลอกลวงเอาข้อมูลบัตรเครดิต

    Sanook! Hitech วันนี้ขอนำเสนออีกหนึ่งวิธีการของเหล่ามิจฉาชีพ ซึ่งกรณีนี้อาจจะไม่ใช่คนแรกที่โดน...โดยระบุถึง User คนหนึ่งซื้อของในเว็บบอร์ดชื่อดัง Pantip.com ที่ได้รับจดหมายแจ้งระงับ apple id หลอกลวงเอาข้อมูลบัตรเครดิต

    ทั้งนี้ผู้ใช้เว็บบอร์ดดังกล่าวได้โพสข้อความ ระบุว่า

    [​IMG]

    เช้านี้ได้รับอีแมวจากแอปเปิ้ล เนื้อจดหมาย..แจ้งว่าแอปเปิ้ลไอดีถูกระงับ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอีเมล์ ให้คลิ๊กลิ้งค์เพื่อไปยืนยันตัวตนอีกครั้ง

    [​IMG]

    หน้าที่ให้กรอก apple id ทำเนียนมาก หัวด้านบนเป็นของแอปเปิ้ลจริง แต่ตัว URL นั้นปลอม และ สามารถใส่อีเมล์/พาสเวิร์ดมั่วๆ ก็ผ่านได้

    [​IMG]

    ถ้ามาถึงตรงนี้ยังไม่รู้ตัว กรอกบัตรเครดิตพร้อม รหัส CVC หลังบัตร แล้วกด verify ก็เสร็จโจรล่ะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    หวังว่าจะช่วยเตือนภัยให้เพื่อนๆ ในพันทิปได้ทันการณ์นะขอรับ เอวัง.

    หมายเหตุ:

    Phishing mail ไม่ใช่ของใหม่ครับ ประเด็นไม่ได้จะมาจาก Apple เจอมาหมด eBay PayPal FB แม้กระทั่งจากแบงก์ไทย

    แค่คลิ๊กเข้าไปเห็น URL address ก็รู้แล้วครับ ถ้าเห็น mail ลักษณะนี้ก็ลบทิ้งไปได้เลย

    ดู ตย. ได้เลยครับมีเป็นร้อย -https://www.google.co.th/search?q=phishing+mail&tbm=isch&tbo=u&source=univ&sa=X&ei=5aOuUaDUAsPKrAfwyYCoBw&ved=0CEMQsAQ&biw=1196&bih=766-

    ขอบคุณที่มา: -www.pantip.com- ที่มาต้นฉบับ -pantip.com/topic/30568990-
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุทธาหรณ์น้องยิ้ม เป็นผู้หญิงใช้ลานลอดรถห้างอย่างไรให้ปลอดภัย

    -http://auto.sanook.com/5558/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2/-



    เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเมื่อ น.ส.พรพรรณ พรหมจารย์ อายุ 23 ปี ถูกนายทัศไนย แสงศรี อายุ 26 ปี ฆ่าเพื่อชิงทรัพย์กลางลานจอดรถของห้างดังเมื่อวันก่อน กรณีนี้กลายเป็นกรณีศึกษาที่สาวๆ หลายคนพึงระมัดระวังในการใช้บริการที่จอดรถบนห้างสรรพสินค้า

    ภัยร้ายบนลานจอดรถเราสามารถระวังโดยการป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งได้ โดย Sanook! Auto มีข้อแนะนำดีๆ เผื่อหลีกเลี่ยงการเป็นเหยื่อของภัยสังคม


    1. สังเกตุให้ทั่วๆ ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่มักจะมีเสา หรือมุม ที่โจรแอบซ่อนอยู่ได้ รวมถึงแอบซ่อนอยู่หลังรถที่จอดในลานจอดเอง เมื่อคุณออกมาถึงลานจอดรถต้องสังเกตว่ามีใครมีพฤติกรรมน่าสงสัย อยู่แถวนั้นหรือไม่ ถ้ามีควรเริ่มต้นด้วยการเลี่ยงไปทำอย่างอื่นก่อน แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจ ให้เริ่มด้วยการบอก รปภ.ถ้ามีอยู่แถวนั้น

    2.อย่าทำกิจกรรมอื่น หลายครั้งที่ผู้หญิงมักคุยโทรศัพท์ แชต ระหว่างเดินเข้าไปในลานจอดรถ ซึ่งต่างประเทศมีสถิติว่า ผู้ถูกจี้ปล้นทรัพย์ในลานจอดรถ ขณะใช้โทรศัพท์มือถือสูงมาก หลังจากนี้ต้องเลิกเสีย ให้ถึงตัวรถและล็อครถเสียให้เรียบร้อยก่อนค่อยทำกิจกรรมพวกนี้

    3.เตรียมตัวให้พร้อม การขึ้นรถนั้นประการสำคัญที่สุดคือการปลดระบบล็อคที่ติดตั้งไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ รถใหม่ๆอาจจะมีรีโมทหรือระบบ Keyless entry ที่ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน แต่สำหรับหลายคนที่ต้องใช้กุญแจ คุณควรรู้จักที่จะเตรียมพร้อมและเตรียมตัวในการเปิดรถทันที โดยมากแล้ว สาวๆชอบควานหากุญแจในกระเป๋าถือใบโตๆ ที่ข้างรถ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณตกเป็นเป้าของโจรได้อย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นเตรียมพร้อมในจุดที่คุณหยิบกุญแจสะดวกจะดีกว่า ยิ่งถ้าคุณต้องหิ้วของมาด้วยควรจัดระเบียบให้ตัวเองก่อนจะดีที่สุด

    4.ขึ้นแล้วล็อค เรื่องที่สำคัญต่อมาคือการขึ้นรถแล้วควรจะล็อคประตูทันที อย่าปล่อยให้โจรเข้ามาประชิดตัวคุณถึงในรถได้

    5.กระจกส่องอีกทีให้มั่นใจ กระจกมองหลัง ที่จริงมันไม่ได้มีไว้ใช้มองรถคันหลังอย่างเดียว แต่มันยังมีประโยชน์ในการมองผู้โดยสาร ด้วยหลายครั้งโจรมักแอบขึ้นมาบนรถแล้วค่อยจี้คุณหลังจากขับขี่ไปแล้ว ซึ่งการมองกระจกมองหลังจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง และหันไปมองอีกทีหนึ่งหลังจากล็อกรถเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น

    6.อย่านั่งแช่ในรถ เมื่อปิดประตูล็อครถเรียบร้อย อย่านั่งแช่ในรถเพื่อทำกิจอย่างอื่นก่อนที่จะออกไปจากลานจอดรถ เพราะเป็นเรื่องเสี่ยงภัย แม้เราจะล็อครถแน่นหนาแล้วก็ตาม แต่ลานจอดรถที่มีหลืบมุมมากๆก็ยังเป็นสถานที่เสี่ยงอยู่ดี ดังนั้น การหลีกเลี่ยง ด้วยการเคลื่อนรถออกจากลานจอดก่อนน่า จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

    นอกจากนี้ถ้าเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นจริง พยายามถ่วงเวลา คุยกับคนร้ายให้นานที่สุด เพื่อรอให้มีคนผ่านมาชาวยเหลือ และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีคือ "สติ" เพื่อที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากภัยร้ายให้ได้
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีเห็นผีสำหรับคนชอบลองของ

    -http://horoscope.sanook.com/1135477/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87/-



    ใครที่ลองของอยากเห็นผีไม่ต้องไปออกรายการคนอวดผีกันแล้วค่ะ เรามีวิธีมานำเสนอให้ถึงบ้านตั้ง 5 วิธี สำหรับคนที่อยากลอ


    1.ตัดเล็บสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน

    ถ้ามั่นใจว่าต่อมหวีดของคุณแข็งแรงพอให้ตัดเล็บในเวลาสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน เริ่มจากเล็บมือขวาก่อนแล้วตามด้วยมือซ้าย พอครบ 10 นิ้ว ก็ห่อด้วยผ้าดำเอาไปวางไว้ทางทิศตะวันตกของบ้าน ในคืนนั้นเวลาคุณหลับจะมีแขกไม่ได้รับเชิญแวะมาเยี่ยมคุณ

    2.ลูกคิดเรียกวิญญาณ

    ความเชื่อนี้ดีมากหาทำในคืนพระจันทร์เต็มดวง กรรมวิธีง่ายมากๆ แต่รับประกันว่าหัวโกร๋นร้อยเปอร์เซ็นต์โดยการหาลูกคิดที่มีรางยาวๆมารางหนึ่งรอจนเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ก็จับรางตั้งขึ้น ให้ลูกคิดทั้งหมดไหลมารวมกันทางตัวคุณ จากนั้นวางรางลงทำใจให้ว่างแล้วค่อยๆ ดีดลูกคิดออกจากตัว ทีละรางๆจนถึงรางสุดท้าย เสร็จแล้วก็จับรางตั้งขึ้นอีกครั้ง ให้ลูกคิดทั้งหมดไหลกลับที่เดิม จากนั้นก็มาถึงนาทีสำคัญ ให้มองลอดช่องว่างระหว่างรางลูกคิดออกไป คุณจะได้เห็นสิ่งที่ต้องการจากช่องว่างนั้น หลังจบพิธีแล้วให้ทิ้งลูกคิดรางนี้ทันที ห้ามเอากลับมาใช้อีก

    3.ใส่เสื้อกลับหัว

    พิธีกรรมนี้ไม่มีอะไรมากแต่ต้องอาศัยเทคนิคยิมนาสติกนิดหน่อย เริ่มด้วยการใส่เสื้อกลับด้านเอาข้างหลังมาไว้ข้างหน้าจากนั้นก็ขอเชิญคนอยากลองเอนกายลงนอน เอาขาพาดเตียงไว้ส่วนหัวห้อยลงมา เตรียมเสียงกรี๊ดเยอะๆ แล้วมองขึ้นไปบนเพดานได้เลย

    4.น้ำตาคือสัญญา

    เวลาไปงานศพ ถ้าอยากให้คนตายกลับมาหา ให้ร้องไห้แล้วเอาน้ำตาไปป้ายที่ตาของศพอีกไม่กี่คืนต่อมา เขาจะกลับมาทักทายกับคุณ เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ

    5.ผีขนมต้ม

    วิธีนี้จดลิขสิทธิ์แล้วว่าเป็นของไทยแท้แต่โบราณ เป็นเรื่องที่คนเฒ่าคนแก่เขายืนยันมาว่าเห็นจริง !! ในเวลาตีหนึ่งให้ผูกขนมต้มไว้รอบเอว เดินพนมมือทวนเข็มนาฬิการอบโบสถ์ 3 รอบจนไปจบที่หน้าโบสถ์พอดี จากนั้นก็เดินออกประตูวัดไปแล้วหันกลับมามอง คุณจะได้เห็นเปรตสัมภเวสียืนรอชิมขนมต้มอยู่ตรงนั้นแน่นอน

    !!ใครอยากลองก็ไม่ว่ากัน วิธีดังกล่าวนี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้ลองเลียนแบบหรืองมงายแต่อย่างใด

    ขอบคุณข้อมูลจาก Horolive
    ขอบคุณภาพประกอบจาก -Photos.com-


    วิธีเห็นผีสำหรับคนชอบลองของ
    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บทกรวดน้ำ บทกรวดน้ำหลังใส่บาตร แบบต่าง ๆ ที่ควรรู้
    -http://hilight.kapook.com/view/86939-

    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    คงมีหลาย ๆ คนที่สงสัยว่า เหตุใดเราต้องกรวดน้ำหลังใส่บาตรด้วย และ บทกรวดน้ำหลังตักบาตร ที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร และเพื่อให้ทุกคนได้หายข้องใจ กระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการกรวดน้ำ วิธีการกรวดน้ำ ตลอดจนถึง บทกรวดน้ำ ในแบบต่าง ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กันด้วยค่ะ


    ทำไมเมื่อทำบุญเสร็จเราจึงต้องกรวดน้ำด้วย

    การกรวดน้ำ คือ การตั้งใจอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้ทำไว้แล้วไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งรินน้ำให้ไหลลงไปที่พื้นดินหรือที่รองรับ แล้วเอาไปเทที่พื้นดินอีกต่อหนึ่งหรือรดที่โคนต้นไม้ก็ได้

    และสำหรับประเพณีกรวดน้ำนั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สอนให้ พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งได้มาทำบุญเลี้ยงพระ ทรงหลั่งทักษิโณทก (กรวดน้ำ) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการ "อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล" ให้แก่พระญาติที่ล่วงลับของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นมา เวลาทำบุญจึงนิยมใช้การกรวดน้ำเป็นสัญลักษณ์แทนการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล




    วิธีกรวดน้ำ ที่ควรรู้

    1. กรวดน้ำเปียก คือ ใช้น้ำเป็นสื่อ รินน้ำลงไปพร้อมกับอุทิศผลบุญกุศลไปด้วย
    2. กรวดน้ำแห้ง คือ ไม่ใช้น้ำ ใช้แต่สิบนิ้วพนมอธิษฐาน แล้วอุทิศผลบุญกุศลไปให้

    และในระหว่างที่ทำการกรวดน้ำนั้น เราควรระลึกถึงผู้ที่มีคุณ หรือมีเวรกรรมต่อกัน เพื่ออุทิศผลบุญที่ได้ทำให้แก่บุคคลเหล่านั้น


    ควรกรวดน้ำเวลาไหน

    สำหรับเราที่เราควรกรวดน้ำนั้น คือ ขณะที่พระอนุโมทนา หรือหลังทำบุญเสร็จ แต่หากไม่สะดวกจะทำตอนหลังก็ได้ แต่ทำในขณะนั้นดีกว่า ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

    - ถ้ามีเปรตญาติมารอรับส่วนบุญ ท่านก็ย่อมได้รับในทันที

    - การรอไปกรวดที่บ้านหรือกรวดภายหลัง บางครั้งก็อาจลืมไป ผู้ที่เขาตั้งใจรับก็อด ผู้ที่เราตั้งใจจะให้ก็อดไปด้วย


    บทกรวดน้ำ บทกรวดน้ำหลังใส่บาตร แบบต่าง ๆ ที่ควรรู้


    บทกรวดน้ำแบบยาว หรือ บทกรวดน้ำอิมินา

    ตั้งนะโม 3 จบ

    อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา
    ด้วยบุญนี้ อุททิศให้ อุปัชฌาย์ ผู้เลิศคุณ

    อาจะริยูปะการาจะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา
    และอาจารย์ ผู้เกื้อหนุน ทั้งพ่อแม่ และปวงญาติ

    ปิยา มะมัง สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ
    สูรย์จันทร์ และราชา ผู้ทรงคุณหรือสูงชาติ

    พรัหมะมารา จะ อินทา จะ โลกะปาลา จะ เทวะตา
    พรหม มาร และอินทราช ทั้งทวยเทพ และโลกบาล

    ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ
    ยมราช มนุษย์มิตร ผู้เป็นกลาง ผู้จองผลาญ

    สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ ปุญญานิ ปะกะตานิ เม
    ขอให้สุขศานติ์ทุกทั่วหน้า อย่าทุกข์ทน บุญผองที่ข้าทำจงอำนวยศุภผล

    สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตัง
    ให้สุขสามอย่างล้น ให้ลุถึงนิพพานพลัน

    อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อิมินา อุททิเสนะ จะ
    ด้วยบุญนี้ที่เราทำ และอุทิศให้ปวงสัตว์

    ขิปปังหัง สุละเภ เจวะ ตัณหุปาทานะเฉทะนัง
    เราพลันได้ ซึ่งการตัด ตัวตัณหา อุปาทาน

    เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง
    สิ่งชั่วในดวงใจ กว่าเราจะถึงนิพพาน

    นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว
    มลายสิ้นจากสันดาน ทุก ๆ ภพ ที่เราเกิด

    อุชุจิตตัง สะติปัญญา สัลเลโข วิริยัมหินา
    มีจิตตรง และสติปัญญาอันประเสริฐ พร้อมทั้งความเพียรเลิศเป็นเครื่องขูดกิเลสหาย

    มารา ละภันตะ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม
    โอกาส อย่าพึงมี แก่หมูมารทั้งสิ้นทั้งหลาย เป็นช่อง ประทุษร้ายทำลายล้างความเพียรจม

    พุทธาทิปะวะโร นาโถธัมโม นาโถ วะรุตตะโม
    พระพุทธผู้วรนาถ พระธรรมที่พึ่งอุดม

    นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง
    พระปัจเจกะพุทะสมทบ พระสงฆ์ ที่ผึ่งพยอง

    เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา
    ด้วยอานุภาพนั้น อย่าเปิดโอกาสให้แก่มาร ( เทอญ )

    บทกรวดน้ำแบบสั้น

    อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย

    ขอบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข สุขใจเถิดฯ

    บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร

    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ

    เมื่อได้รู้จักบทกรวดน้ำกันแล้ว หลังทำบุญทุกครั้งก็อย่าลืมอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลของเรา ไปให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของเราด้วยนะคะ เพราะนอกจากเป็นการให้แล้ว ยังเพื่อความสบายใจของเราอีกด้วย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    chababaanna.com, dhammajak.net, kaentong.com, dhamma.net
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวัง! มัลแวร์ Koobface ระบาดหนักบนเฟซบุ๊ก
    -http://fbguide.kapook.com/view64037.html-

    [​IMG]

    ระวัง! มัลแวร์ Koobface ระบาดหนักบนเฟซบุ๊ก

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Facerook

    ระวังมัลแวร์ (Malware) ชื่อ Koobface กำลังระบาดหนักบนเฟซบุ๊ก เตือนอย่าคลิกลิงก์แปลกปลอม ควรตรวจสอบลิงก์ให้ดีก่อนคลิก

    เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา McAfee บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยชื่อดังได้รายงานว่า ในขณะนี้กำลังมีมัลแวร์ระบาดบนเฟซุบุ๊กอย่างหนัก โดยมัลแวร์ดังกล่าวมีชื่อว่า Koobface ที่จะมาในรูปแบบของลิงก์ที่หลอกให้ผู้ใช้หลงคลิกเข้าไปเพื่อดูคลิปวิดีโอ และเมื่อคลิกเข้าไปแล้วจะมีการหลอกให้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์สำหรับดูวิดีโอนั้น ๆ ซึ่งหากผู้ใช้หลงกลคลิกดาวน์โหลดไปแล้ว จะทำให้มีมัลแวร์ Koobface แฝงตัวมาด้วย และมันจะทำการควบคุมโปรไฟล์เฟซบุ๊กของผู้ใช้เพื่อนำไปโพสต์ลิงก์หลอกเหยื่อรายอื่น ๆ ต่อไป

    ทั้งนี้ ทาง McAfee ได้เตือนผู้ใช้เฟซบุ๊กทุกคนว่า ไม่ควรคลิปลิงก์แปลกปลอมที่ดูไม่น่าไว้ใจ โดยก่อนจะคลิกลิงก์ใด ๆ จะต้องตรวจสอบดูให้แน่ใจก่อนว่าลิงก์ดังกล่าวเป็นลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไว้ใจได้หรือไม่ ซึ่งสามารถดูได้ด้วยการเอาเม้าส์ชี้ที่ลิงก์แล้วดูที่มุมซ้ายล่างของเว็บบราวเซอร์ แต่ถ้าหากเผลอคลิกเข้าไปแล้วก็อย่าหลงกลดาวน์โหลดไฟล์ใด ๆ เด็ดขาด รวมทั้งอย่ากรอกข้อมูลส่วนตัวลงในเว็บไซต์เหล่านั้นด้วย


    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พาทัวร์อยุธยากับ 9 สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
    -http://travel.kapook.com/view64024.html-


    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม

    วันหยุดสุดสัปดาห์นี้มีใครวางแผนไปไหนใกล้ ๆ บ้างหรือเปล่า? ถ้ายังไม่มีก็ตามกระปุกท่องเที่ยวไปทัวร์สถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ อย่าง "พระนครศรีอยุธยา" จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีวัดวาอารามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว แถมยังได้ความสบายใจและได้ความเป็นสิริมงคลกลับมาที่บ้านอีกด้วย

    [​IMG]

    โดยเราเริ่มต้นสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกในจังหวัดพระนครศรีอยุธยากันที่ เจดีย์ศรีสุริโยทัย เจดีย์สีทองสูงเด่นองค์เดียวทางด้านทิศตะวันตกของเกาะกรุงศรีอยุธยา ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ในเกาะเมืองด้านทิศตะวันตกติดกับสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 3 ถนนอู่ทอง พระเจดีย์แห่งนี้เป็นโบราณสถานที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานของวีรสตรีไทยพระองค์แรก สมเด็จพระสุริโยทัย ซึ่งสิ้นพระชนม์ในการทำสงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระเจ้าแปร และเป็นการยืนยันเกียรติแห่งสตรีไทยที่ได้รับการยกย่องจากสังคมไทยมาแต่ครั้งบรรพกาล

    [​IMG]

    ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอันดับสองที่เราควรเดินทางเข้าไปไหว้สักการะ คือ ทุ่งหันตรา หรือเรียกอีกหนึ่งชื่อว่า อนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี เป็นสวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในปี 2555 ตั้งอยู่ในตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการปรุงสภาพภูมิทัศน์ให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ด้วยการสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ขนาดความสูง 9.84 เมตร โดยพระพุทธรูปนี้เกิดขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนที่ช่วยกันสร้างให้เสร็จภายในคืนเดียว

    [​IMG]

    [​IMG]


    ไปต่อกันที่อันดับสาม พระราชวังบางประอิน อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน โดยมีหลักฐานว่าเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับการบูรณะขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งเพิ่มเติมและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ อีกดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นที่ประทับและออกว่าราชการในการเสด็จประพาสอยุธยา และใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ จนถึงในราชกาลปัจจุบันพระราชวังบางปะอินก็ยังใช้เป็นที่ประทับพระราชทานงานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ เป็นครั้งคราว

    สำหรับพระราชวังบางปะอินแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ พระราชฐานชั้นนอก สำหรับพระเจ้าอยู่หัวออกมหาสมาคมและพระราชพิธีต่าง ๆ และพระราชฐานชั้นใน ใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ โดยภายในเปิดให้เข้าชมทุกวันจันทร์ถึงอาทิตย์ เวลา 08.00-15.30 น. ซึ่งภายในพระราชวังมีอาคารและสถานที่น่าสนใจหลากหลายแห่ง ดังนี้...

    [​IMG]

    [​IMG]


    ในบริเวณเขตพระราชฐานชั้นนอก ได้แก่...

    หอเหมมณเฑียรเทวราช เป็นปรางค์ศิลายอดทรงปราสาทแบบขอม สร้างขึ้นเพื่อ อุทิศถวายแด่พระเจ้าปราสาททอง

    สภาคารราชประยูร ตึกสองชั้นริมน้ำที่สร้างเพื่อเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายหน้าและข้าราชบริพาร ซึ่งปัจจุบันเป็นอาคารสำหรับจัดนิทรรศการของพระราชวังบางประอิน พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พระที่นั่งปราสาทโถงกลางน้ำ ที่จำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมข์ปราสาท ในพระบรมหาราชวัง ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    พระที่นั่งวโรภาษพิมาน สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรปแบบคอรินเทียน ออร์เดอร์ ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกว่าราชการและจัดงานพระราชพิธีต่าง ๆ ปัจจุบันใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อเสด็จแปรพระราชฐาน โดยนั่งท่องเที่ยวสามารถเข้าชมด้านในได้

    [​IMG]

    ในเขตในบริเวณเขตพระราชฐานชั้นใน ได้แก่...

    พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร เป็นพระที่นั่งเรือนไม้สองชั้น สถาปัตยกรรมตามแบบชาเลต์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ภายในประดับตกแต่งแบบยุโรปด้วย เครื่องเรือนไม้มะฮอกกานีจัดสลับลายทองทับที่สั่งจากยุโรป รวมทั้งของราชบรรณาการอีกมากมาย

    พระที่นั่งวิฑูรทัศนา เป็นพระที่นั่งลักษณะเป็นหอคอยสูงยอดมน สูงกว่า 30 เมตร เป็นพระที่นั่ง 3 ชั้น ตกแต่งด้วยลายไม้ฉลุหรือลายขนมปังขิง

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ หรือ พระที่นั่งเก๋งจีน สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน เป็นเก๋งสองชั้นปัจจุบัน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมภายในได้บางส่วน

    [​IMG]

    [​IMG]

    อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ หรือเรียกเป็นสามัญว่า อนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเสด็จสวรรคตของพระมเหสีจากอุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่มในแม่น้ำเจ้าพระยา

    อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์ หรืออนุสาวรีย์พระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ และเจ้าฟ้าสามพระองค์ รัชกาลที่ 5 ที่ทรงโศกเศร้าพระทัยเนื่องจากสูญเสียพระอัครชายาและลูก ๆ อีกสองคน ในปีเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันได้สร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นที่ระลึกด้วยหินอ่อนแกะสลักพระรูปเหมือนไว้ใกล้กับอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี

    ต่อมาอันดับที่สี่คือ วัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของอยุธยา ตั้งอยู่นอกเกาะกรุงศรีอยุธยาฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ภายในอาณาบริเวณแผนผังรูปสี่เหลี่ยมของวัดไชยวัฒนารามมีสิ่งก่อสร้างหลายชนิด โดยศูนย์กลางอยู่ที่องค์ปรางค์ประธานขนาดใหญ่สูงถึง 35 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์บริวาร 4 องค์ประจำทิศต่าง ๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    ข้ามฝั่งไปเที่ยวอีกหนึ่งวัด นั่นก็คือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวงเทียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดารามแห่งกรุงเทพมหานคร หรือวัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัย ที่ทรงสร้างพระราชมณเฑียรเป็นที่ประทับบริเวณนี้ ภายในบริเวณวัดมีเจดีย์สรรเพชญดาญาณ ในสมัยก่อนนั้นที่นี่เป็นที่ตั้งของพระสถูปเจดีย์ใหญ่สององค์ องค์แรกทางทิศตะวันออกเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระราชบิดา และองค์ที่สองคือองค์กลางเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พระบรมเชษฐา โดยได้สร้างพระพุทธรูปไว้ภายในวิหารขนาดใหญ่และตั้งชื่อว่า เจดีย์สรรเพชญดาญาณ ส่วนเจดีย์องค์ถัดมาทางทิศตะวันตก สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 พระราชโอรสได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งเจดีย์สามองค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมการออกแบบลังกา ระหว่างเจดีย์แต่ละองค์มีมณฑปก่อคั่นไว้ และได้มีการบูรณะเจดีย์แห่งนี้จนมีสภาพที่ดีขึ้นอย่างในปัจจุบัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    วัดพระศรีสรรเพชญ์ เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชมชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท หรือสามารถซื้อบัตรรวมได้ ชาวไทย 40 บาท ชาวต่างชาติ 220 บาท อีกทั้งบัตรนี้สามารถเข้าชมวัดบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ ภายในระยะเวลา 30 วัน สอบถามรายละเอียดที่สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์ 0 3524 2284, 0 3524 2286 (หมายเหตุ : ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.30-21.00 น. จะมีการส่องไฟชมโบราณสถาน)

    [​IMG]

    จากนั้นมากันที่อันดับหก วัดภูเขาทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากพระราชวังหลวงไปประมาณ 2 กิโลเมตร โดยวัดนี้มีหลักฐานว่า พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อคราวที่ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา และได้สร้างเจดีย์ภูเขาทองใหญ่แบบมอญขึ้นไว้เป็นที่ระลึกเมื่อคราวรบชนะไทยไว้ ซึ่งมีรูปแบบของฐานเจดีย์มีลักษณะคล้ายกับแบบมอญและพม่า ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์แบบไทยไว้เหนือฐานเจดีย์ดังกล่าว ทำให้ตัวเจดีย์ในปัจจุบันมีสถาปัตยกรรมสองแบบผสมกัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    และอันดับเจ็ด ได้แก่ วัดมหาธาตุ ซึ่งถือเป็นปรางค์ที่สร้างในระยะแรกของสมัยอยุธยา ได้รับอิทธิพลจากปรางค์ขอม ชั้นล่างก่อสร้างด้วยศิลาแลงแต่ที่เสริมใหม่ตอนบนเป็นอิฐถือปูน สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงปฏิสังขรณ์พระปรางค์ใหม่ โดยเสริมให้สูงกว่าเดิม แต่ขณะนี้ยอดพังลงมาเหลือเพียงชั้นมุขเท่านั้น จึงเป็นที่น่าเสียดายเพราะมีหลักฐานว่าเป็นปรางค์ที่มีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งยังก่อสร้างอย่างวิจิตรสวยงาม ซึ่งภายหลังบริเวณนี้ได้มีกรมศิลปากรมาขุดแต่งพระปรางค์แห่งขึ้น จึงพบข้าวของโบราณหลายชิ้น ที่สำคัญคือ ผอบศิลา ภายในมีสถูปซ้อนกัน 7 ชั้น รวมทั้งได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอันมีค่าไว้ภายใน แต่ปัจจุบันพระบรมสารีริกธาตุนั้นได้นำไปประดิษฐานไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา ส่วนสิ่งที่น่าสนใจในวัดอีกอย่างคือ เศียรพระพุทธรูปหินทราย ซึ่งมีรากไม้ปกคลุมเข้าใจว่าเศียรพระพุทธรูปนี้จะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้ในสมัยเสียกรุง จนรากไม้ขึ้นปกคลุมมีความงดงามแปลกตาไปอีกแบบ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    สถานที่ท่องเที่ยวอันดับแปด วัดโลกยสุธา ตั้งอยู่ถัดจากเจดีย์ศรีสุริโยทัยเข้าไปทางด้านหลังประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในยังมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่ก่อด้วยอิฐถือปูนยาวประมาณ 42 เมตร มีซากพระวิหารเป็น 8 เหลี่ยม ขนาดใหญ่อยู่ชิดองค์พระเหลืออยู่หลายต้น ซึ่งเป็นเข้าใจว่าเป็นซากพระอุโบสถ โดยนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเดินทางเข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลได้

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    และปิดท้ายทริปนี้ด้วย วัดหน้าพระเมรุ ตั้งอยู่ริมคลองสระบัวทางทิศเหนือของคูเมือง ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง เดิมมีชื่อว่า "วัดพระเมรุราชิการาม" ที่ตั้งของที่นี่เป็นสถานที่สำหรับสร้างพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งสมัยอยุธยาตอนต้น โดยวัดนี้เป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ได้ถูกพม่าทำลายและยังคงปรากฏสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระอุโบสถมีขนาดยาว 50 เมตร กว้าง 16 เมตร เป็นแบบอยุธยาตอนต้นซึ่งมีเสาอยู่ภายใน หน้าบันเป็นไม้สักแกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเหยียบเศียรนาค และมีรูปราหูสองข้างติดกับเศียรนาค หน้าต่างเจาะเป็นช่องยาวตามแนวตั้ง เสาเหลี่ยมสองแถว ๆ ละแปดต้น มีบัวหัวเสาเป็นบัวโถแบบอยุธยา ด้านบนประดับด้วยดาวเพดานเป็นงานจำหลักไม้ลงรักปิดทอง ส่วนลายแกะสลักบานประตูพระวิหารน้อย เป็นลายแกะสลักด้วยไม้สักหนา แกะสลักจากพื้นไม้ไม่มีการนำชิ้นส่วนที่อื่นมาติดต่อเป็นลายซ้อนกันหลายชั้น

    [​IMG]

    พระประธานในอุโบสถสร้างปลายสมัยอยุธยา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทรงเครื่องแบบกษัตราธิราช มีนามว่า "พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการปฏิสังขรณ์วัดนี้โดยรักษาแบบอย่างเดิมไว้ และได้เชิญพระพุทธรูปศิลาสีเขียวหรือพระคันธารราฐประทับนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดีจากวัดมหาธาตุมาไว้ ข้างพระอุโบสถมีพระพุทธรูปศิลาแบบนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดีนี้ นับเป็น 1 ใน 5 องค์ที่มีอยู่ในประเทศไทย จึงนับเป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การเก็บรักษาไว้ ซึ่งที่นี่พระอุโบสถจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเวลา 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 20 บาท

    [​IMG]

    นี่เป็นเพียงทริปท่องเที่ยวเพื่อเสริมสิริมงคลแบบสั้น ๆ ที่เรานำมาแนะนำกัน แต่ภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยายังมี สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงร้านอาหารต่าง ๆ มากมายไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยงอย่างไม่ขาดสายเลย ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวก็อย่าลืมลองแวะเวียนไปเที่ยวกันดูด้วยจ้า...

    ทั้งนี้ สอบถามรายะเอียดต่าง ๆ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ที่ สำนักงานพระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์ 0 3524 6076 ที่ตั้ง 157 สนามกีฬากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ ททท.สำนักงานพระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์ 0 3524 6076-7 ที่ตั้ง 108/22 หมู่ 4 ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา หรือเว็บไซต์ -thai.tourismthailand.org-

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    ททท. , ayutthaya.org

    -http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2-

    -http://www.ayutthaya.org/attractions/-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กทม. ร้อนระอุ! เจอภาวะโดมความร้อนซัด เหตุแอร์ - สร้างคอนโดฯ
    -http://hilight.kapook.com/view/87061-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    กทม. เริ่มวิกฤติ เจอภาวะโดมความร้อนซัด ทำดอนเมืองร้อนเพิ่ม 4 องศา เหตุพิษความร้อนจากแอร์ในห้าง และคอนโดฯ

    วานนี้ (8 มิถุนายน 2556) นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) พร้อมด้วย นายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) ได้บรรยายสถานการณ์น้ำในปี 2556 ว่า ในปีนี้ปริมาณฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมจะมีปริมาณฝนสูงกว่าเกณฑ์ โดยฤดูฝนในปีนี้จะมาเร็วกว่าปกติ เนื่องจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ กำลังแรง และลมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางค่อนข้างแรง

    นายรอยล เผยต่อว่า ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน จะเกิดฝนที่ภาคกลาง และช่วงเวลา 19.00 น. ต่อไปจนถึง 11-13 มิถุนายน ฝนจะตกหนักอย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่ จ.สุพรรณบุรี, จ.กาญจนบุรี และ จ.ตราด ในส่วนของภาคตะวันออก ฝนจะตกพาดยาวเป็นแนวเฉียง ซึ่งฝนที่ตกในลักษณะนี้ จะส่งผลดีต่อปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลาดเชิงเขา เพราะจะเกิดน้ำไหลหลาก อาจจะทำให้ดินถล่มได้ ดังนั้นต้องเฝ้าระวังในจุดนี้ด้วย

    นอกจากนี้ นายรอยล ยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ปี 2554 ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบอุทกภัยหนัก เนื่องจากพายุ 5 ลูก ซึ่งในปีนี้ 2556 ก็ไม่ควรที่จะประมาท เพราะธรรมชาติได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งจังหวัดที่ยังเสี่ยงน้ำท่วมของประเทศไทยมีถึง 40 จังหวัด เช่น นครสวรรค์ สุโขทัย พิจิตร เป็นต้น

    เมื่อพูดถึงเรื่องความผันแปรธรรมชาติ นายรอยล ระบุว่า ในปีนี้ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่กำลังเจอภาวะ "ฮีต ไอ แลนด์" (Heat I land) หรือปรากฏการณ์โดมความร้อน ซึ่งภาวะดังกล่าวเกิดจากลมตะวันตกเฉียงใต้ พัดเอาความร้อนจากเขตเมือง เช่น ย่านราชเทวี, สีลม, สุขุมวิท ไปปะทะกับความชื้นฝั่งดอนเมือง ทำให้อุณหภูมิของดอนเมืองสูงขึ้นทันทีประมาณ 4-5 องศาเซลเซียส จากเดิมอุณหภูมิดอนเมืองคือ 37 องศาเซลเซียส ตอนนี้เพิ่มเป็น 42 องศาเซลเซียส และจะส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก ทำให้เครื่องบินลงไม่ได้หลายเที่ยวบิน ซึ่งภาวะดังกล่าว จะเกิดขึ้นถี่มากขึ้นใน กทม. เนื่องจากภาวะ "โดมความร้อน" สะสมมาตั้งแต่ปี 2554 แล้ว

    นายรอยล ยังกล่าวอีกว่า ภาวะโดมความร้อนมักจะเกิดในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ กทม. ที่เวลานี้ คอนโดฯ ผุดขึ้นเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ย่านรัชดา ลีลม สุขุมวิท และแต่ละห้องก็ติดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเครื่องเหล่านี้จะปล่อยความร้อนออกมานอกอาคารทั้งเวลากลางวันและกลางคืน เมื่อรวมกับแอร์ในห้างใหญ่ ๆ ก็ทำให้ปริมาณความร้อนพุ่งสูงขึ้น ต่างกับเขตทวีวัฒนา และพื้นที่ฝั่งธนบุรี ที่อากาศเย็นลง เนื่องจากไม่ค่อยมีการก่อสร้างคอนโดฯ สำหรับวิธีแก้ปัญหานั้นก็คือการปลูกต้นไม้ในเมืองให้มากเพื่อรักษาสมดุลธรรมชาติ

    อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ จะไม่ได้รับผลกระทบเหมือนสนามบินดอนเมือง เพราะสนามบินสุวรรณภูมิได้รับผลกระทบจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดจากอ่าวไทยเท่านั้น แต่ดอนเมืองได้รับลมจากทุกทิศ

    อนึ่ง โดมความร้อน คือ ปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิในตัวเมือง สูงกว่าบริเวณนอกตัวเมือง (2 ถึง 6 องศาเซลเซียส) ส่วนปัจจัยที่ก่อเกิดโดมความร้อนคือ กิจกรรมหลายอย่างของมนุษย์ เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดที่ถ่ายเทความร้อนสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ประเภท เหล็ก กระจก คอนกรีต ฯลฯ กระจุกอยู่ในตัวเมือง พื้นที่สีเขียวที่ลดน้อยลง



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM01EYzFNak15TXc9PQ==&subcatid=-

    เตือนภัย"โดมความร้อน" คลุมกทม. ต้นเหตุฝนถล่มกรุง พิษแอร์คอนโด-ห้าง ปีนี้น้ำมาก40จว.จม

    (ที่มา:ข่าวหน้า 1 มติชนรายวัน 9 มิ.ย.2556)


    ตะลึง กทม.เจอปรากฏการณ์ ฮีต ไอ แลนด์ หรือ โดมความร้อนรุนแรง จู่โจมครั้งแรกในประเทศ สาเหตุจากความร้อนในเขตเมืองพุ่ง ราชเทวี สีลม สุขุมวิท ฯลฯ อาคารสูง คอนโดผุดแอร์เพียบ

    เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ จ.แพร่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำ จ.แพร่ และมอบอุปกรณ์ติดตามสถานการณ์น้ำอัตโนมัติ โดยมีนายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) บรรยายสถานการณ์ ว่า สสนก.ได้พัฒนาระบบคลังข้อมูลน้ำ และภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำ และสภาพอากาศ ทั้งข้อมูลพื้นที่ สถิติ สถานการณ์น้ำปัจจุบัน การคาดการณ์ รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันให้เป็นระบบข้อมูลกลาง เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ทั้งในภาวะปกติ และภาวะวิกฤต





    นอกจากนี้ยังได้พัฒนา ศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดเพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม ทั้งยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากท้องถิ่น เข้าสู่คลังข้อมูลน้ำ และภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติงานทุกสถานการณ์ โดยขณะนี้ สสนก.ได้ทำข้อมูลระดับจังหวัดแล้ว 51 จังหวัด และจะทำให้ครบทั้ง 76 จังหวัดภายในปี 2557 ที่สำคัญ สสนก.ยังสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำระดับจังหวัด นำร่องที่ จ.แพร่ และสุโขทัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาเรื่องน้ำมาตลอด

    นายรอยลกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในปี 2556 ยังคงมีปริมาณฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม จะมีปริมาณฝนสูงกว่าเกณฑ์ปกติ โดยฤดูฝนปีนี้จะมาเร็วโดยอิทธิพลของฝนจะเกิดจากอิทธิพลท้องถิ่น คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ กำลังแรง ลมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางค่อนข้างแรง ทำให้ปริมาณฝนมีมาก ซึ่งเวลานี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเวลานี้เริ่มทำนาหว่านกันแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน จะเกิดฝนที่ภาคกลาง ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 11-13 มิถุนายน โดยจะรุนแรงที่ จ.สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และตราด ที่สำคัญในช่วงวันที่ 12-13 มิถุนายน จะเกิดฝนตกหนักพาดผ่านเป็นแนวยาว ตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคตะวันออก โดยเฉพาะที่ จ.ตราด ผ่าน จ.ลพบุรี จันทบุรี ไปจนถึง จ.ตราด ซึ่งฝนที่ตกพาดผ่านแนวเฉียงลักษณะดังกล่าว จะส่งผลดีต่อปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล ที่ จ.ตาก แต่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลาดเชิงเขาที่จะมีน้ำไหลหลาก อาจจะทำให้ดินถล่ม ดังนั้นต้องเฝ้าระวังในจุดนี้ด้วย

    "ฝนที่ตกในช่วง 11-13 มิถุนายน เป็นฝนธรรมดา แต่มีความรุนแรงมากกว่าปกติ ส่วนพายุ ขณะนี้เริ่มก่อตัวแล้ว ถ้าดูจากประเทศสหรัฐอเมริกา ปีนี้ที่กำลังเจอกับพายุเฮอริเคน ถือว่าหนักกว่าปี 2554 โดยในปีดังกล่าวอเมริกาเจอพายุเฮอริเคนมากที่สุดในรอบ 50 ปี แต่ปี 2556 สหรัฐอเมริกาจะเจอพายุเฮอริเคนหนักกว่าปี 2554 อีก ไม่ต้องพูดถึงภาวะน้ำท่วมที่หนักที่สุดในรอบ 10 ปี เพราะฉะนั้น ประเทศไทยเจออุทกภัยปี 2554 จากพายุประมาณ 5 ลูก ในปี 2556 จึงไม่ควรประมาท เพราะว่าธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมาก ขณะนี้มีจังหวัดของประเทศไทยที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมถึง 40 จังหวัด เช่น นครสวรรค์ สุโขทัย พิจิตร เป็นต้น" นายรอยลกล่าว

    นายรอยลกล่าวว่า ความผันแปรของธรรมชาติปีนี้ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่กำลังเจอภาวะ ฮีต ไอ แลนด์ (Heat I land) หรือปรากฏการณ์โดมความร้อน ภาวะดังกล่าวเกิดจากลมตะวันตกเฉียงใต้พัดเอาความร้อนจากเขตเมือง ย่านราชเทวี สีลม สุขุมวิท ไปปะทะความชื้นฝั่งดอนเมือง ทำให้อุณหภูมิของดอนเมืองสูงขึ้นทันทีประมาณ 4-5 องศาเซลเซียส จาก 37 องศาเซลเซียส เป็น 42 องศาเซลเซียส ในวันที่ 3 มิถุนายน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก และทำให้เครื่องบินลงไม่ได้หลายเที่ยวบิน ภาวะดังกล่าวนี้จะเกิดถี่มากขึ้นใน กทม.เนื่องจากภาวะโดมความร้อนที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2554





    ทั้งนี้ ภาวะโดมความร้อนมักจะเกิดในเมืองใหญ่ โดยที่ใน กทม.เวลานี้ มีการก่อสร้างอาคารชุดขนาดใหญ่ รวมทั้งคอนโดมิเนียมตั้งแต่ รัชดา ลีลม สุขุมวิท แต่ละแห่งมีหลายร้อยห้อง ทุกห้องมีเครื่องปรับอากาศทั้งหมด รวมแล้วหลายหมื่นเครื่อง โดยเครื่องปรับอากาศเหล่านี้ จะปล่อยความร้อนออกมานอกอาคารทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อรวมกับเครื่องปรับอากาศจากศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ทำให้ปริมาณความร้อนพุ่งขึ้นสูง ต่างกับเขตทวีวัฒนา และพื้นที่ฝั่งธนบุรี ที่มีอากาศเย็นลง เนื่องจากมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรือห้องชุดน้อย วิธีการแก้ไขทำได้คือ การปลูกต้นไม้ในเมืองให้มากเพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมินั้นจะไม่ได้รับผลกระทบเหมือนพื้นที่ดอนเมือง เพราะสุวรรณภูมิได้รับผลกระทบจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดจากอ่าวไทยเท่านั้น แต่ดอนเมืองรับลมจากทุกทิศ

    ด้านนายวรวัจน์กล่าวว่า จ.แพร่ เป็นพื้นที่ที่ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก การบริหารจัดการน้ำเป็นระบบจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยข้อมูลที่มีและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ปัญหา ทั้งนี้ เวลานี้ทั่วประเทศมีข้อมูลพื้นฐาน เช่น เรื่องแผนที่จังหวัดอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์สูงสุดสำหรับบริหารจัดการน้ำด้วยตัวเอง ซึ่งศูนย์บริหารจัดการน้ำจังหวัดที่ จ.แพร่นี้จะเป็นต้นแบบสำหรับให้พื้นที่จัดการน้ำด้วยตนเอง แทนที่จะให้ส่วนกลางเป็นผู้จัดการให้เหมือนที่ผ่านมา
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้เขา-รู้เรา เล่นหุ้นร้อยครั้งชนะเจ็ดสิบครั้ง
    Monday, 10 June 2013

    -http://portal.settrade.com/blog/nivate/2013/06/10/1299-





    เรื่องของการลงทุนนั้นหลายคนจะพูดว่ามันเหมือนกับการรบ ดังนั้น กลยุทธ์และปรัชญาของสงครามสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนหรือการเล่นหุ้นได้ และถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้วดูเหมือนว่ากฎแห่งการยุทธ์ที่โด่งดังที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุดก็คือ “รู้เขา-รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ของซุนหวู่ ปราชญ์แห่งสงครามชาวจีน ในฐานะที่ศึกษาเรื่องของประวัติศาสตร์และกลยุทธ์ของสงครามมาบ้างบวกกับการที่อยู่ในตลาดหุ้นและการลงทุนมานาน ผมเองคิดว่ากฎแห่งสงครามข้อนี้ใช้ได้ แต่ถ้าจะพูดให้ตรงความเป็นจริงไม่พูดโอเวอร์เพื่อเน้นหลักการผมอยากจะปรับคำเป็นว่า “รู้เขา-รู้เรา เล่นหุ้นร้อยครั้ง ชนะเจ็ดสิบครั้ง” ในกรณีของการลงทุนหรือการเล่นหุ้นซึ่งไม่มีทางที่เราจะเล่นร้อยชนะร้อย ว่าที่จริงผมคิดว่าซุนหวู่เองก็ไม่ได้คิดว่ารบร้อยครั้งต้องชนะร้อยครั้ง โลกนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามหรือหุ้น

    คำว่า “รู้เขา” นั้น ในเรื่องของหุ้นผมคิดว่ามีอยู่สองเรื่องนั่นก็คือ เขาคนแรกก็คือ Mr. Market หรือ “นายตลาด” ตามคำพูดของ เบน เกรแฮม ซึ่งก็คือนักลงทุนโดยรวมในตลาดหุ้นหรือพูดง่าย ๆ ก็คือตลาดหุ้นนั่นเอง เราจะต้องรู้ว่าตลาดหุ้นนั้นมี “พฤติกรรม” หรือ “กลยุทธ์ในการเล่นหุ้น” อย่างไร ถ้าเราเชื่อ เบน เกรแฮม ตลาดหุ้นนั้นมักจะ “คุ้มดี คุ้มร้าย” อยู่เรื่อย ๆ เอาแน่อะไรไม่ได้ บางทีในช่วงที่ “อารมณ์ดี” เป็นพิเศษ พวกเขาก็แห่กันเข้ามาซื้อหุ้นให้ราคาหุ้นสูงลิ่วเกินกว่าพื้นฐานไปมาก แต่ในบางช่วงที่เกิดอาการ “หดหู่” อย่างหนัก พวกเขาก็เทขายหุ้นจนราคาต่ำกว่าพื้นฐานไปมาก หน้าที่ของเราก็คือ เราต้องรู้และฉกฉวยประโยชน์จากพฤติกรรมของพวกเขาแทนที่จะดีใจหรือตกใจและทำตาม

    แต่ถ้าเราเชื่อนักวิชาการตลาดหุ้น พวกเขาก็จะบอกว่านักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นในตลาดนั้นต่างก็มีเหตุผล นั่นก็คือ เขาจะซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะกับพื้นฐานของมันเสมอเช่นเดียวกับคนที่ขายหุ้น แน่นอน ความเห็นหรือการวิเคราะห์ว่ามูลค่าพื้นฐานคือเท่าไรนั้นคนสองคนอาจจะมองไม่เหมือนกันและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงมีการซื้อและขายหุ้นเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้วความคิดของนักลงทุนเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นแต่ละตัวก็มักจะถูกต้องเช่นเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นที่เป็นตัวแทนของหุ้นทั้งหมดที่จะสะท้อนพื้นฐานของตลาด ส่วนการที่บางครั้งราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากหรือตกต่ำลงมากนั้นเป็นเพราะว่าพื้นฐานของกิจการหรือภาวะทางการเงินเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงทำให้นักลงทุนซื้อหรือขายหุ้นมาก ไม่ใช่เรื่องที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นอารมณ์ดีหรืออารมณ์หดหู่แต่อย่างใด

    การรู้จัก “นายตลาด” หรือ “รู้เขา” นั้น จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนหรือเล่นหุ้นได้ดีขึ้นแน่นอน ประเด็นก็คือ ถ้าเราสรุปว่าภาวะตลาดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อาจจะเนื่องจากเพราะคนในตลาดหุ้นเป็นคนที่มีอารมณ์ “แปรปรวน” ทำให้คาดเดายาก หรือคนในตลาดอาจจะมีเหตุผลเป็นนักลงทุนที่มีข้อมูลและความสามารถวิเคราะห์สูงแต่เนื่องจากภาวการณ์แวดล้อมเช่นเรื่องของเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดการเงินระหว่างประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา ดังนั้น การที่เราจะพยายามไปฉกฉวยประโยชน์จากภาวะตลาดจึงอาจจะไม่มีประโยชน์อะไร

    “เขา” อีกคนหนึ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือ บริษัทจดทะเบียนหรือหุ้น นี่คือเขาที่เราจะต้องรู้ก่อนที่จะเข้าไปลงทุน สิ่งที่จะต้องรู้ก็คือ เขาหรือบริษัทเป็นอย่างไร? ทางหนึ่งที่จะใช้ในการเรียนรู้เขาก็คือ การกำหนดหรือบอกให้ได้ว่าบริษัทอยู่ในหุ้นกลุ่มไหนใน 6 กลุ่ม ตามแนวทางของ ปีเตอร์ ลินช์ นั่นคือ บริษัทเป็นกิจการที่โตช้า โตเร็ว วัฏจักร แข็งแกร่ง ฟื้นตัว หรือมีทรัพย์สินมาก ถ้าเรารู้ การลงทุนซื้อและขายหุ้นตัวนั้นก็ทำได้ง่าย เพราะพวกเขาก็จะมีพฤติกรรมของราคาหรือการให้ผลตอบแทนที่พอจะคาดการณ์ได้ แต่การวิเคราะห์ว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะเป็นกิจการประเภทไหนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งเราก็เข้าใจผิดเนื่องจากเรายังศึกษาไม่ลึกพอ เช่น เราดูแต่ข้อมูลที่เป็นตัวเลขในระยะเวลาสั้นอาจจะเพียง 2-3 ปี แล้วก็สรุปโดยไม่ได้ดูปัจจัยทางคุณภาพซึ่งต้องใช้เหตุผลทางธุรกิจซึ่งประกอบไปด้วยการตลาด การผลิต การเงิน การแข่งขัน และอื่น ๆ อีกมาก หนทางที่จะเข้าใจหรือ “รู้เขา” ในแง่ของตัวบริษัทนั้น วิธีที่ดีก็คือ หลังจากศึกษาข้อมูลด้านคุณภาพอย่างดีแล้ว เราจะต้องศึกษาข้อมูลที่เป็นตัวเลขย้อนหลังให้ยาวที่สุดเพื่อที่จะยืนยันหรือพิสูจน์ว่าความคิดหรือการวิเคราะห์ทางด้านคุณภาพของเราถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นกิจการโตเร็ว ข้อมูลยอดขายและกำไรควรที่จะมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปีอย่างมั่นคงไม่มีปีไหนถดถอยเป็นต้น

    การ “รู้เรา” นั้น หมายความว่าต้องรู้ว่าเราเป็นคนที่มีแนวทางการลงทุนหรือเล่นหุ้นอย่างไร วิธีการนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องในแง่ของทฤษฎีและประวัติศาสตร์หรือไม่? นอกจากนั้น ในทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น เรารู้หรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไรหรือทำอย่างไรอยู่? บางคนอาจจะคิดว่าการ “รู้เรา” นั้นไม่เห็นจะยาก เราก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเราคิดหรือทำอะไรไม่ใช่หรือ? ผมเองคิดว่าไม่ใช่!

    คนจำนวนมากรวมถึงคนที่เรียกตัวเองว่า VI คิดว่าเขาเป็น “นักลงทุน” ซึ่งเน้นลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานหรือผลประกอบการระยะยาวของบริษัท แต่สิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้นก็คือการซื้อและขายหุ้นเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็วเป็นนิจสิน ในกรณีแบบนี้ เราก็ควรจะต้องรู้ตัวหรือ “รู้เรา” ว่า เราเป็น “นักเก็งกำไร” เพียงแต่เราอาศัยผลประกอบการที่อาจจะกำลังดีขึ้นมาเก็งกำไร

    การ “รู้เรา” อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ “อัตราความกล้าเสี่ยงของเรา” ว่าอยู่ในระดับไหน? นี่ก็เช่นเดียวกัน อย่าบอกหรือคิดว่าเราเป็นคน “อนุรักษ์นิยม” เป็นคนที่เน้นความปลอดภัยสูงไม่ชอบเสี่ยงถ้าพฤติกรรมตามปกติของเรานั้นมันขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น เรามักจะลงทุนในหุ้นน้อยตัวมากหุ้นเพียง 2-3 ตัวมีสัดส่วนเป็น 70-80% ของพอร์ตขึ้นไปเกือบตลอดเวลา แถมใช้มาร์จินหรือกู้เงินมาซื้อหุ้นอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แบบนี้จะบอกว่าเราเน้นความปลอดภัยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะสามารถวิเคราะห์ได้อย่างปราศจากความลำเอียงนั้นบางทีก็เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน เหตุก็เพราะคนเรามักมีความเชื่อมั่นตนเองสูง ดังนั้น เรามักไม่ยอมรับว่าพอร์ตของเรามีความเสี่ยงสูง เรามักจะคิดว่า “เรารู้ดี” เรารู้ว่าที่เราทำอยู่นั้นสำหรับคนที่ไม่รู้จริงอาจจะเสี่ยง แต่สำหรับเราแล้วเรารู้ว่าหุ้นตัวนั้นดีมากมี Margin of Safety สูง และดังนั้นมันจึงไม่เสี่ยง

    การ “รู้เรา” ประเด็นสุดท้ายก็คือ ในเรื่องสถานการณ์เฉพาะจุด นั่นก็คือ ในบางช่วงหรือบางสถานการณ์ที่ “ผิดปกติ” เราอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ “ออกนอกกรอบ” พฤติกรรมหรือแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้องกับปรัชญาหรือแนวทางของตนเอง ตัวอย่างเช่น ในยามที่หุ้นตกหนักมากและเราดูว่าหุ้นถูกและมีความปลอดภัยสูง เราอาจจะใช้มาร์จินบางส่วนมาซื้อหุ้น หรือเราอาจจะมีหุ้นบางตัวมากเกินไปในพอร์ต กรณีแบบนี้เราต้องรู้ว่ามันอาจจะอันตราย และดังนั้นในไม่ช้าเมื่อมีโอกาสเราก็ควรจะต้องปรับพอร์ตให้กับมาสู่สถานะปกติ เป็นต้น
    การ “รู้เรา” นั้น บ่อยครั้งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการ “รู้เขา” เนื่องจากการมีความ “ลำเอียง” ในเรื่องของการวิเคราะห์ตนเอง แต่ถ้าเราจะประสบความสำเร็จในระยะยาวแล้วละก็ ผมคิดว่าเราจะต้องมีสติและรู้ตัวตลอดเวลา เท็คนิคที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ในการลงทุนนั้นเราจะต้อง “ถ่อมตัว” อย่างจริงใจ เตือนตัวเองว่า เราอาจจะแพ้ได้เสมอ อย่างที่จอร์จ โซรอส พูดว่า “I am not invincible”
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอแนะนำ หมวด การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
    -http://www.tairomdham.net/index.php/board,97.0.html-

    ใต้ร่มธรรม »
    Forum »
    ประชาสัมพันธ์ »
    108 โทรโข่ง »
    การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ


    กระทู้ที่ปักหมุดพิเศษ

    รวม เตือนภัย ที่ใกล้ตัว อย่าประมาท และเป็นความรู้การป้องกันตนเอง

    เริ่มโดย sithiphong
    3 ตอบ
    4 อ่าน กระทู้ล่าสุด วันนี้ เวลา 01:36:25 PM
    โดย sithiphong

    รวม เตือนภัย และ ต่อต้าน "ยาเสพติด"

    เริ่มโดย sithiphong
    5 ตอบ
    27 อ่าน กระทู้ล่าสุด วันนี้ เวลา 11:03:50 AM
    โดย sithiphong

    อาชญากรรม ศาสนาและการเมือง ที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

    เริ่มโดย sithiphong « 1 2 »
    25 ตอบ
    31 อ่าน กระทู้ล่าสุด วันนี้ เวลา 11:00:41 AM
    โดย sithiphong

    รวม เตือนภัย "ปัญหาพระภิกษุ" เอ๊ย ไม่ใช่ ต้องเป็น "พระภิกษุที่มีปัญหา"

    เริ่มโดย sithiphong
    5 ตอบ
    31 อ่าน กระทู้ล่าสุด วันนี้ เวลา 07:27:46 AM
    โดย sithiphong

    การพนัน

    เริ่มโดย sithiphong « 1 2 »
    16 ตอบ
    1379 อ่าน กระทู้ล่าสุด เมื่อวานนี้ เวลา 10:13:39 AM
    โดย sithiphong

    เตือนใจ ให้ระมัดระวังและเป็นอุทาหรณ์ เพื่อป้องกันตนเองสำหรับผู้หญิง

    เริ่มโดย sithiphong
    4 ตอบ
    34 อ่าน กระทู้ล่าสุด เมื่อวานนี้ เวลา 09:55:57 AM
    โดย sithiphong

    ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว

    เริ่มโดย sithiphong « 1 2 3 4 5 6 »
    89 ตอบ
    13006 อ่าน กระทู้ล่าสุด มิถุนายน 10, 2013, 10:31:23 PM
    โดย sithiphong

    เตือนภัยไวรัสบนมือถือ / Warning against smartphone virus

    เริ่มโดย แก้วจ๋าหน้าร้อน
    3 ตอบ
    116 อ่าน กระทู้ล่าสุด มิถุนายน 09, 2013, 11:52:13 AM
    โดย sithiphong

    ร่วมกันต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น

    เริ่มโดย sithiphong
    6 ตอบ
    914 อ่าน กระทู้ล่าสุด มิถุนายน 09, 2013, 08:35:20 AM
    โดย sithiphong

    การประหารชีวิต

    เริ่มโดย sithiphong « 1 2 »
    20 ตอบ
    141 อ่าน กระทู้ล่าสุด มิถุนายน 08, 2013, 02:06:43 PM
    โดย sithiphong

    รวมกระทู้ทุกข์ใจ มีปัญหา โทรปรึกษาที่นี่ ,แนวทางปฏิบัติในคดีข่มขืน ,แจ้งเหตุร้าย

    เริ่มโดย sithiphong
    5 ตอบ
    32 อ่าน กระทู้ล่าสุด มิถุนายน 01, 2013, 12:04:23 PM
    โดย sithiphong

    รวบรวม การเตือนภัย "แก๊งทวงหนี้ และ หนี้นอกระบบ"

    เริ่มโดย sithiphong
    2 ตอบ
    45 อ่าน กระทู้ล่าสุด มิถุนายน 01, 2013, 11:02:58 AM
    โดย sithiphong

    วิธีดูธนบัตร ว่า ปลอมหรือไม่ (ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย)

    เริ่มโดย sithiphong
    8 ตอบ
    1879 อ่าน กระทู้ล่าสุด มกราคม 28, 2013, 06:22:04 AM
    โดย sithiphong

    บก.จร. เปิดเว็บ thaitrafficpolice โพสต์คนโดนใบเตือน

    เริ่มโดย sithiphong
    0 ตอบ
    308 อ่าน กระทู้ล่าสุด กันยายน 06, 2012, 08:40:52 PM
    โดย sithiphong

    วัตถุประสงค์ที่ตั้ง การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

    เริ่มโดย sithiphong
    0 ตอบ
    292 อ่าน กระทู้ล่าสุด สิงหาคม 11, 2012, 09:58:42 AM
    โดย sithiphong

    เปิดข้อกฎหมายช่วยเหลือ“แพะ” ที่ตำรวจจับ!!

    เริ่มโดย sithiphong
    2 ตอบ
    809 อ่าน กระทู้ล่าสุด มิถุนายน 24, 2011, 08:58:34 PM
    โดย sithiphong


    การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีป้องกันตัวจากแท๊กซี่มหาภัย

    -http://travel.sanook.com/1390632/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2/-


    หากคุณต้องเดินทางไปไหนคนเดียวในที่เปลี่ยวโดยใช้บริการรถแท็กซี่ เรามีข้อควรปฏิบัติเบื้องต้นมาฝากกัน เพื่อสร้างความอุ่นใจให้คุณได้ถึงจุดหมายด้วยความปลอดภัย ดังนี้

    1. สังเกตสี ทะเบียน และยี่ห้อของรถ เพื่อส่งข้อความ sms หรือ โทรไปบอกคนที่บ้านหรือเพื่อนสนิทเพื่อจดบันทึกเอาไว้ว่าเราขึ้นรถอะไรจากไหน ไปไหน

    2. ควรเลือกนั่งตำแหน่งเบาะหลังฝั่งคนขับ

    3. อย่าแบไต๋ให้คนขับรู้ว่าเราไม่รู้เส้นทาง ถ้าเค้าถาม ให้ตอบไปว่า"ไปทางไหนก็ได้ที่ไม่อ้อมและรถไม่ติด" ถ้าคนขับไม่รู้เส้นทาง เราต้องโทรถามใครสักคนเพื่อแสดงให้เค้าเห็นว่ามีคนรู้ว่าเราไปไหน

    4. คุยกับคนขับเฉพาะเรื่องเส้นทางเท่านั้น ห้ามคุยเรื่องส่วนตัว เพราะจะเป็นการเปิดทางให้เค้าตีสนิทกับเราจนอาจเข้าสู่เรื่องลามกได้

    5. ห้ามหลับ

    6. ดูว่าคนขับมองกระจกหลังดูเราบ่อยจนผิดสังเกตมั้ย ปรับแอร์ให้เป่ามาเอาใจเราจนเว่อร์เกินไปรึเปล่า เพราะเค้าอาจใช้สารไอระเหยใส่ไว้ในแอร์วางยาสลบเราได้

    7. ถ้าบอกให้จอดแล้วคนขับยังเฉยและเพิ่มความเร็ว ให้รีบเปิดกระจก ร้องกรี๊ดวี๊ดว้ายโวยวายให้สุดเสียงพร้อมโบกไม้โบกมือวุ่นวายขอความช่วยเหลือทันที ไม่ต้องอายไม่ว่าคุณจะเรียกใช้บริการรถแท๊กซี่ในเวลากลางวันหรือกลางคืนต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมผิดปกติของคนขับไว้ด้วยนะครับ...กันไว้ดีกว่าแก้!

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หยุดสแปม ! แล้วมาดูเทคนิคการทำตลาดผ่าน E-mail อย่างถูกวิธีดีกว่า
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มิถุนายน 2556 08:22 น.
    บทความโดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอมจำกัด
    -http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000066605-



    ตอนนี้ผมเชื่อว่าทุกคนกำลังปวดหัวกับอีเมล์ต่างๆ ที่คุณไม่ต้องการมันเลย แต่มันมาโผล่ในกล่องเมล์คุณอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน เราเรียกอีเมล์เหล่านี้ว่า สแปม (Spam)

    “สแปมเมล์” (Spam Mail) หมายถึง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ส่ง (ซึ่งมักจะไม่ปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ส่ง) ได้ส่งไปยังผู้รับอย่างต่อเนื่อง โดยส่งจำนวนครั้งละมากๆ และมิได้รับความยินยอมจากผู้รับ โดยการส่งสแปมเมล์นั้น อาจมีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์หรือไม่ก็ได้

    เมื่อก่อนสแปมเมล์ มักจะมาจากต่างประเทศ โดยมักจะเป็นเมล์ที่เกี่ยวกับการขายยาไวอากร้า กู้เงินสร้างบ้าน (Mortgage) สมัครเว็บโป๊ ฯลฯ ซึ่งการตรวจสอบและป้องกันก็สามารถทำได้ง่ายๆ คือ อันไหนภาษาอังกฤษก็ลบมันออกซะ (สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ใช้ อีเมล์ภาษาอังกฤษ)

    แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยเราก็เริ่มพัฒนาตามต่างประเทศแล้วครับ โดยคุณจะเห็นได้จากอีเมล์แปลกๆ ที่คุณไม่ต้องการ มันมาในรูปแบบภาษาไทยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ลดน้ำหนัก, ทำงานที่บ้าน, งานสัมมนา อะไรต่างๆ มากมาย ที่เริ่มจะหลั่งไหลเข้ามาในกล่องอีเมล์ของคุณซะงั้น

    หลายๆคนมักจะทึกทักเอาเองว่า การส่งอีเมล์ไปหาคนจำนวนมากๆแบบนี้ มันคือการตลาดออนไลน์แบบหนึ่งที่ทำผ่านอีเมล์ (E-Mail Marketing) แต่รู้ไหมครับว่า การทำสแปมเมล์กับการตลาดผ่านอีเมล์ มันมีความแตกต่างกันอยู่มากเลยทีเดียว

    หลักการทำการตลาดผ่านอีเมล์ที่ถูกต้อง

    1. ส่งเมล์ให้กับผู้ที่คุณรู้จักอยู่แล้ว หรือผู้รับแสดงความจำนงในการรับเมล์
    ควรส่งเมล์ให้กับคนที่รู้จักเค้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่วนตัว หรือในทางธุรกิจ หรือส่งผ่านผู้ให้บริการส่งอีเมล์ โดยที่ผู้ให้บริการเหล่านั้น ได้รับสิทธิในการส่งข่าวสารจากสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอีเมล์สแปมสวนใหญ่ จะไม่ได้รับสิทธิในการส่งจากผู้รับ

    2. มีส่วน "ยกเลิก (Unsubscribe)" การรับอีเมล์
    ภายในอีเมล์ที่ส่งจะต้องมีการยกเลิกรับอีเมล์ได้ และต้องทำการยกเลิก และไม่ทำการส่งอีเมล์กลับไปอีก และภายหลังจากแจ้งการยกเลิกรับอีเมล์ ควรจะมีอีเมล์ยืนยันการยกเลิกรับกลับไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับ แต่หลายๆ คนมักกลัวและไม่กล้ายกเลิก เพราะจะกลายเป็นการยืนยันว่าอีเมล์ที่ส่งมามีตัวตน และผู้รับจริงๆ

    3. แจ้งผู้รับเมล์ว่าคุณคือใคร
    ในอีเมล์ควรมีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ส่ง ได้แก่ ชื่อเว็บไซต์หรือชื่อบริษัท, ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้, เบอร์โทรศัพท์ เพื่อยืนยันว่าคุณมีตัวตนจริง

    4. ใช้เนื้อหาที่เป็นความจริง
    เนื้อหาที่ใช้ภายในอีเมล์ควรเป็นความจริง ไม่กล่าวอ้างเกินความจริงมากเกินไป และไม่ควรใช้ FW: หรือ RE ในหัวข้อการส่ง เพราะจะทำให้ผู้รับเข้าใจผิดได้

    5. เคารพสิทธิของผู้รับ
    ไม่ควรคุกคามหรือก้าวก่ายสิทธิของผู้รับมากจนเกินไป และในที่เก็บอีเมล์จากผู้รับควรแจ้งเจตนา และเป้าหมายในการส่งข้อมูลหาผู้รับให้ชัดเจนว่าจะส่งเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอะไรไปบ้าง

    6. อย่าไปแอบเอา (ดูด) อีเมล์มากจากที่อื่น
    ข้อนี้ชัดมาก คือ อย่าไปเอาอีเมล์มาจากที่อื่น โดยปราศจากการยินยอมจากเจ้าของอีเมล์ หลายๆคนชอบใช้โปรแกรมไปดูดอีเมล์มาจากเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งข้อนี้เองที่ ผู้ส่งสแปมเมล์หลายๆที่ใช้กัน

    ลงโทษสแปมเมอร์

    หากท่านที่ได้รับอีเมล์ที่ไม่ต้องการ ท่านสามารถหยุดและลงโทษพวกที่ส่งอีเมล์หาท่านได้หลายวิธี
    แจ้งไปยังหน่วยงานที่รับแจ้งปัญหาเรื่องการสแปม เช่น SpamCop.net - Beware of cheap imitations ซึ่งที่นี้จะรวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ที่ทำการสแปมจัดเก็บลงฐานข้อมูล และส่งต่อให้กับผู้ให้บริการอีเมล์ทั่วโลก เพื่อบล็อคหรือกันรายชื่อเว็บไซต์เหล่านั้น เข้ามาในอีเมล์ของผู้รับ (ส่งทีเดียวกันได้ทั่วโลก) หากท่านเจออีเมล์สแปมเยอะ ก็ช่วยกันเข้าไปแจ้งหน่อยครับ จะเป็นผลดีต่อส่วนรวมครับ

    หากคุณใช้ Free Email เช่น hotmail.com หรือ Yahoo.com ส่วนใหญ่ผู้ให้บริการฟรีอีเมล์ จะมีบริการให้แจ้งว่า อีเมล์ที่เข้ามามีฉบับไหนเป็นสแปมบ้าง หากมีการแจ้งไปหลายๆคนต่อไปอีเมล์สแปมจากเว็บไซต์ต่างๆนั้น ก็จะไม่สามารถส่งเข้ามาที่ผู้ให้บริการฟรีอีเมล์นั้นได้อีก

    โทรกลับไปหาเลย บางครั้งในอีเมล์ที่ส่งเข้ามาซ้ำซาก จะมีอีเมล์หรือเบอร์โทรอยู่ คุณก็สามารถโทรไปหาเค้าและแจ้งว่า ให้หยุดการกระทำดังกล่าวได้แล้ว และนำชื่อของคุณออกจากรายชื่อในการส่งอีเมล์ของเค้าด้วย (วิธีนี้ได้ผลดีมาก ผมใช้ประจำ)

    แก้เผ็ดกลับ (วิชามาร) หากเค้ายังคงส่งมาอีกเรื่อย ๆ หาวิธีแก้เผ็ด คือ นำเบอร์โทรศัพท์ของเค้าไปโพสต์ในเว็บเกย์ ให้คนโทรเข้ามาหา เค้าจะได้สำนึกเสียบ้าง (แต่อย่าใช้วิธีนี้ไปในทางที่ผิดนะครับ)

    จะเห็นได้ว่า การตลาดผ่านอีเมล์เป็นวิธีการตลาดที่มีประสิทธิภาพมาก แต่การที่คุณจะนำมาใช้หรือปฏิบัติ คุณควรจะเคารพกฎและกติกาของการทำการตลาดลักษณะนี้ด้วย เพราะมันอาจจะส่งภาพลบต่อสินค้าหรือบริการของคุณ

    และตอนนี้ทางหน่วยงานรัฐบาล กำลังร่างกฎหมายเกี่ยวกับการสแปมเมล์ ซึ่งหากคุณเป็นสแปมเมล์ ก็จะถือว่าทำผิดกฎหมาย จะมีบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งตอนนี้หลายๆ ประเทศเค้ามีกฎหมายลักษณะนี้แล้ว หยุดส่งเหอะเชื่อผม.!

    ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร SMEs PLUS ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2555
     

แชร์หน้านี้

Loading...