สวดมนต์แล้วพูดภาษาไรก็ไม่รู้

ใครเป็นบ้างคับสวดมนต์แล้วอยู่ก็พูดภาษาไรก็ไม่รู้คับ ขอคำแนะนำด้วยนะคับ

 

อย่าวิตกไปเลยเดี๋ยวก็ชินเป็นมา๖ปีแล้ว
แถมบางทีก็ไม่ซ้ำแถมเร็วปรื้อบางทีทำเสียงอย่างอื่นด้วยเช่นกู่หรือร้องเพลง

 

เล่ารายละเอียดหน่อยคับ

 

ไม่เป็นไรครับ เขาเรียกเป็นการแสดงสื่อ ซึ่งมี 3 ลักษณะ คือ สื่อมือ สื่อเสียง และสื่อจิต บางคนเวลานั่งสมาธิแล้วจะมีการแสดงสื่อออกในลักษณะเป็นท่าทางบ้างไม่เป็นท่าทางบ้าง หรือบางครั้งเวลาพูดหรือสวดมนต์ จะพูดภาษาแปลกๆออกมา ซึ่งสื่อเสียงส่วนใหญ่จะมีอยู่ประมาณ 6 โทนเสียง(หรือมากกว่าผมก็ไม่ทราบ) ซึ่งบางคนสามา่รถแสดงได้ทุกโทนเสียง หรือได้บางโทนเสียง ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ส่วนสื่อจิต เราจะสามารถสื่อสารหรือพูดคุยกับสิ่งที่มองไม่เห็นได้(ผู้อยู่ในภพภูมิอื่นๆ) หรือสามารถกระทำหรือเขาใจบางอย่างโดยที่ตนไม่เคยได้ศึกษาหรือรับฟังมาก่อนอย่างน่าประหลาด สิ่งสำคัญอย่าไปรับขันธ์ หรือทำพิธีกรรมใดๆเกี่ยวกับร่างทรง ให้ปฎิบัติในเรื่องของจิต โดยวางการปฎิบัติไว้ง่ายๆดังนี้
1.ให้มีศีลที่สมบูรณ์(ค่อยๆปฎิบัติไป)
2.ไม่ก่อกรรมใดๆเพิ่มขึ้น คือ ทำสิ่งใดแล้วไม่ก่อเกิดให้เรา และเขาเป็นทุกข์(สำรวมกาย วาจา ใจ)
3.ทำจิตให้บริสุทธิ์ โดยการละวาง ความโลภ ความโกรธ ความหลง(ค่อยๆทำ)
4.ฝึกสมาธิให้จิตเกิดความสงบ
5.หมั่นกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ให้ แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีพระคุณ พ่อแม่ ครูอาจารย์ จิตวิญญานทั้งหลาย และเจ้ากรรมนายเวรของเรา
ในเบื้องต้นให้ลองทำประมาณนี้ดูครับ ถ้าสงสัยเกี่ยวเรื่องเหล่านี้ลอง PM มาคุยได้ครับเป็นการแลกเปลี่ยนวิธีการปฎิบัติกันไม่ถือว่าเป็นการสอนกันครับ

 

จะเข้าข่ายมีองค์เทพหรือป่าวคับ หรือใครพอจะช่วยให้คำแนะนำก็ได้นะคับ

 

พยายามสวดให้เป็นปกติคับ พอสวดไปสวดมาก็พูดภาษาไรก็ไม่รู็็็้รู้สึกตัวคับเราก็พยามสวดใหม่แล้วก็เปนอีกเลยปล่อยให้พูดไป แต่ฟังไม่รู้เรื่องคับ

 

ยากสวดก็ให้สวดไป คุณใช้จิตตามดูภาวะที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องไปฝืน เพราะตอนคุณสวดคุณมีสติสมบูรณ์ทุกอย่างไม่ใช่หรือครับ ฉะนั้นคุณไม่ต้องกลัว ให้คำสวดพรูออกมาให้หมดทำจิตให้นิ่ง แล้วตามดูอาการทางกายที่เกิดขึ้น อย่าไปสงสัย อย่าไปหาคำถาม ให้นิ่งที่สุด พอสวดไปสักพัก กระแสจิตของคุณจะถูกปรับจิตคุณจะนิ่ง เบาสบาย สดชื่นและมีพลัง ปล่อยไปจนกว่าคำสวดนั้นจะหยุด แล้วจึงค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ นั่งนิ่งๆสักพักเพื่อให้กระแสจิตกลับมาเป็นปกติ ให้ลองสำรวจดูกายและจิตว่าเป็นปกติ แล้วจึงลุกขึ้นไปกรวดน้ำข้างนอกบ้านลงพื้น(ให้พ้นชายคาบ้านเป็นดี) แล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตปกติ ที่สำคัญพยามประคองจิตไว้ให้นิ่ง พยามปล่อยวาง และเรื่องราวความกังวลต่างๆไปเรื่อย ค่อยๆทำนะครับ ให้เป็นธรรมชาติอย่าไปเครียด สิ่งไหนเป็นบุญกุศลทำได้หมดครับ ยกเว้นการไปเข้าพิธีกรรมเกี่ยวกับร่างทรง รับขันธ์ สะเดาะเคราะห์ เสกน้ำหมาก สาดน้ำมนต์ไม่ต้องครับ ให้เน้นที่การปฎิบัติที่จิตเป็นหลักครับ ช่วงนี้คุณคงต้องเกิดการค้นหาในสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ต้องกังวลครับให้เราตั้งอยู่ในศึล และความบริสุทธิ์เป็นหลักเราจะไม่เป็นอะไรครับ

 

เข้าใจครับ...เป็นเหมือนกัน อย่าหลงนะ เราคือเรา กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ และคุณความดีของเทพพรหมเทวา (ส่วนตัวนะครับที่ทำอยู่มาหลายปีแล้ว) ทำความดีทุกรูปแบบนะ ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ จะเกิดปัญญาอย่าได้สงสัย อย่าหลงจนเป็นร่างทรง เดี๋ยวพากันไปใส่ชุดลิเกนะ เราคือเรา ท่านคือท่าน ปฏิบัติจริงพอถึงวันจริงๆ ไม่มีเรา ไม่มีท่าน ว่างเลย

 

อยากหายก็กินเจซะ อยากบ้าก็สวดแบบนั้นต่อไป พูดบ้าๆแบบนั้นต่อไป

 

ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องรับขันธ์ ทำแบบคุณ 431240 ว่านั้นก็ดีครับ บางคนพูดถึง 16 ภาษาเบื้องบน แต่บางคนก็พูดภาษาของเบื้องล่าง อย่าไปรับขันธ์เด็ดขาด ทานเจก็ไม่จำเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทานเจ ยกเว้นเป็นจริตของตัวเองทำแล้วสบายใจ เอาแบบคุณ 431240ก็ดีครับ

 

ถ้าเป็นทุกข์ก็ไม่ต้องสวด หันมาทำอย่างอื่นแทนเช่นฟังธรรม หรืออย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ ไม่อย่างนั้นก็คุ้มสติตัวเองให้ดี เดวคนมาเห็นแล้วเค้าไม่รู้เค้าจะจับส่งโรงบาลบ้า

 

ทุกคนใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ คนที่เป็นแบบนี้ก็ใช่ว่าอยากจะเป็น อยากมีความปกติเหมือนคนอื่นๆเขา การจะบังคับไม่ให้เป็นก็ทำได้ยาก จึงต้องดูที่มาที่ไปของบุคคลนั้นๆ ว่าเหตุใดจึงเกิดภาวะอย่างนี้ขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดอาการอย่างนี้ไปเพื่ออะไร แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า บางท่านมองว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะแก้ไขอย่างไรนั้นคือประเด็น ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ก็ทำให้มันเกิดประโยชน์ในการฝึกจิตขึ้นมา ให้จิตเกิดความบริสุทธิ์ เกิดพลัง เกิดปัญญา แล้วให้จิตดับรูป ดับภาวะอาการทางกาย ให้จิตเข้าถึงธรรมชั้นสูงได้เช่นกัน วิธีการอาจแตกต่างกัน แต่อาศัยอุบายในการฝึกจิตเพื่อการซักฟอกจิตแตกต่างกันไปตามภาวะที่เกิดขึ้น ผลที่ต้องการ คือ ให้มุ่งไปเพื่อจิตหลุดพ้น สุดท้ายของการปฎิบัติจิต ก็ไม่มีอะไร คือการดับภพดับภูมิที่เกิดขึ้นในจิตของเรา ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ไม่มีพรหม(ภพภูมิมีอยู่ แต่ที่ไม่มีคือจิตเราไม่สร้างขึ้นอีก) ก็จะเหลือเพียงเรื่องของจิต และพลังงาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในภพภูมิก็คือจิตและพลังงาน อันเกิดจากธรรมที่ทำให้เกิด คือจิตของผู้ปฎิบัติ ที่ได้ภาวะธรรมต่างๆ(ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น สุดท้ายก็ต้องหาวิธีการในการกลับสู่จิตเดิมแท้เพื่อกลับสู่ธาตุเดิมแท้ สลายรูปวิญญานครั้งสุดท้าย เพื่อการเกิดครั้งสุดท้าย กลับไปสู่ความบริสุทธฺ์เดิม สุดท้ายผมเองก็เป็นเพียงผู้ปฏิบัติที่มุ่งสู่สิ่งนั้นเช่นกันค่อยๆเดินไป ไม่ได้เป็นผู้สำเร็จอะไร เพียงแต่เคยผ่านภาวะอย่างนั้น และพยามฝึกจิตจนเป็นปกติได้ จึงเพียงต้องการแลกเปลี่ยนวิธีการในการปฎิบัติกันเท่านั้น สุดท้ายในเรื่องของการปฎิบัติไม่มีใครใหญ่กว่าใคร ไม่มีใครเก่งกว่าใคร มุ่งแต่เพียงทำจิตให้บริสุทธิ์ถึงที่สุดเท่านั้นครับ

 

คุณกระดาษครับ เวลาแสดงสื่อเสียง เราทำจิตให้นิ่งได้เลยครับ เพราะ ตอนนั้นเรามีสติพร้อมอยู่ การที่มีคำสวดแปลกๆเป็นเพียงวิธีการที่ศักดิ์สิทธิ์ใช้ปรับกระแสจิตของเราเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากมาย ผมอยากให้มองว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเป็นเพียงจิตของผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ได้เข้าถึงความหลุดพ้น ท่านมีเพียงจิตแต่ไม่มีร่าง การที่ให้มองอย่างนี้เพื่อให้ท่านได้ฝึกจิต ฝึกสมาธิ โดยการไม่ติดในรูป นาม เพราะภาวะนี้ไม่ใช่ภาวะของการเป็นร่างทรง หากจะอธิบายคงต้องใช้เวลา เพราะจะมีคำถามอีกมากมาย ค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆจนกว่าสื่อจะออกหมด เดียวอาการเหล่านี้จะหายไปเป็นปกติ ทำตามวิธีที่ผมแนะคุณ อาโกสา ไปก็ได้ครับ ขออย่างเดียวอย่างไปยุ่งเกี่ยวกับพิธีกรรมของร่างทรง ประเภทรับขันธ์ สะเดาะเคาะห์ เสกน้ำหมาก สาดน้ำมนต์ เดียวจะกลายเป็นร่างทรงไป ให้ฝึกที่บ้านไหว้พระสวดมนต์ รักษาศีล ละวาง ความโลภ โกรธ หลงไปเรื่อย ไม่สร้างกรรมเพิ่ม คือไม่ทำให้เขาและเราเป็นทุกข์ ฝึกสมาธิ ฝึกจิตให้บริสุทธิ์ ส่วนขั้นตอนผม ขออนุญาติส่ง PM เบอร์โทรให้เวลามีปัญหาในการปฎิบัติ เพื่อ เป็นการแลกเปลี่ยนวิธีการกัน ไม่ถือเป็นการสอนครับ

 

ใช้น้ำพระพุทธมนต์ หลั่งจากท้องสังข์ รดกระหม่อม
ไม่จำเป็นต้องเป็นสังข์ปลุกเสก108คาถาหรือมีมวลสารศักดิ์ผสมนับหมื่นนับแสนหรอกนะครับ เพราะสังข์มันมีมนต์มีพระเวทย์อยู่ในตัวเองอยู่แล้วขจัดสิ่งอัปรีย์จัญไรหรือบางอย่างที่พยายามจะเข้ามาแฝงเร้นในจิตในกายได้ชะงัดนัก ใช้สังข์ที่มาจากอินเดียเท่านั้นนะครับคือสังข์ที่มีรอยคราดนิ้วพระหัตถ์ขององค์พระนารายณ์ ให้ผู้บังเกิดเกล้า (พ่อแม่) หรือพระสงฆ์รดให้

 

คงเป็นไปไม่ได้เพราะพ่อแม่เราตายหมดแล้ว
ตายไปก่อนที่จะมีอาการต่างๆเกิดขึ้นด้วย
ขอทำตามคำแนะนำของคุณ431240ดีกว่า
เพราะอธิบายได้ชัดถึงสิ่งที่เป็นอยู่
ต้องขอบคุณเป็นอย่างมากที่ให้ความกระจ่างได้
ไม่สับสนสงสัยมาเป็นหลายปี
ตระเวณไปหลายที่แต่ยิ่งทำให้สับสน
แถมบางทีไปรับเอาสิ่งไม่ดีมาอีก
เพราะจิตเปิดแล้วอย่างว่าอย่าคิดไปเป็นร่างทรงเลย
เพราะคนที่ถูกจับเป็นร่างทรงจากวิญญานนั้นสุขภาพจะทรุดโทรม
แต่ญานแฝงไม่ทำให้โทรม
ยิ่งเราปฏิบัติดีมีศีลดีสมาธิดีปัญญาดีจะมีราศีผ่องใส​

 

ตอนนี้เข้าใจเลยว่าที่พระท่านว่าคนมีศีลดีทำให้สวยนั้นเป็นอย่างไร
เพราะว่ามันบริสุทธิ์จากข้างในนี่เองเราไม่ใช่คนสวยแต่ว่ามีราศีผ่องใส
อันนี้คนอื่นบอกนะที่สำคัญไม่ได้ใช่เครื่องสำอาง
บางคนสวยเพราะเครื่องสำอางเดี๋ยวนี้มีกินด้วย
แต่เรายึดคำพระ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจสอาดบริสุทธิ์

 

เจ้าของกระทู้เพิ่งเริ่มมีอาการที่ครูบาอาจารย์มาสื่อมาสอน
อย่าทุกข์ใจไปเลยให้เป็นธรรมชาติแล้วก็ตั้งสติไว้ให้ดี
เพราะบางทีอาจมีอาการให้คนอื่นเห็น
แล้วเขาอาจจะพากันดูพากันนินทาหรือวิจารย์
ไม่ต้องสนใจให้มั่นใจตนเองไว้ว่าตัวเรามีสติสมบูรณ์ไม่ได้บ้า
บอกได้อย่างนี้เพราะว่าเคยไปถือศีลแปดที่วัดทุกวันพระ
ตอนเข้าพรรษาเวลาพระสวดหรือเราสวดมนต์เองร่วมกับเพื่อนที่ถือศีลด้วยกัน
เราแกว่งศรีษะซะจนพระใหม่ไม่สวด
หันมาดูเราแทนเลยดีแต่ว่าเป็นคนไม่สนใจใคร
ก็มันจะแกว่งเองไม่ได้ตั้งใจทำเองนี่นา
ก็เป็นอย่างนั้นทุกวันพระยังไม่นับอาการอื่น
ก็ไม่เห็นจะเป็นบ้าเลยทุกวันนี้สติดีสมบูรณืทุกประการ
อดีตเคยเป็นโรคซึมเศร้าปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง
ที่สำคัญแม้สมบัติพัสถานจะน้อยลง
แต่มีความสุขสงบในจิตใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน​

 

ยินดีด้วยครับ การที่ได้คุยกับคุณอา โก สา นั้นได้ช่วยคลายความสงสัยให้คุณได้ ได้มีความเข้าใจในภาวะที่เกิดขึ้น และไม่กลัวในสิ่งที่เป็นแต่ได้อาศัยสิ่งนั้นมาช่วยในการปฎิบัติ ไม่ต้องกลัวสิ่งที่เป็นบุญเราสร้างได้หมดครับ แต่เราจะเข้าใจในสิ่งที่เรากระทำได้ชัดเจนขึ้น ว่าทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วเป็นยังไง ขอให้การปฎิบัติก้าวหน้าขึ้นนะครับ ถ้ามีข้อสงสัยให้โทรมาคุยกันได้ครับ

 

ไม่กำหนดสติรู้ ไงค่ะ ที่ทำให้อาการมันเลยเถิด