จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ชีวิตนี้เป็นการปฏิบัติธรรม...การอยู่กับธรรมไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ทำชั่วคราวหรือเป็น

    สิ่งที่เรทำเป็นครั้งคราว...ต้องเป็นสิ่งที่เราทำอย่างต่อเนื่อง และให้ยอมรับว่าจิตของเราให้

    ความสำคัญกับธรรมะยกธรรมเป็นที่พึ่งจริงๆ เวลาให้ธรรมเป็นที่พึ่งจริงๆ ก็ไม่มีอะไรนอก

    จากการปฏิบัติธรรมคือเราก็ได้ให้ธรรมอยู่ในจิตใจของเราไม่ใช่การมีธรรมอยู่ในจิตใจทำให้

    เราไม่สามารถจะอยู่ในโลกโดยไม่ทุกข์จนเกินไป...ไม่ให้คนอื่นทุกข์ด้วย มันเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างมากที่สุด...เป็นส่วนที่น่าสนใจ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างที่เรา

    ปรารถนามันก็ต้องมีเหตุ...เหตุก็อยู่ที่สติ แต่ว่าสติลอยๆ มันก็ต้องมาคิดอีกทีว่าทำอย่างไร

    จะได้มีหลักการที่ตรงกับธรรม...เพื่อการปฏิบัติและการเข้าใจในธรรม...

    คัดจากหนังสือทางแก้ทุกข์...ของพระอาจารย์ ป สั น โ น วัดป่าอภัยคีรี มลรัฐแคริฟอร์เนีย

    สหรัฐอเมริกา...กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ และกราบขอบพระคุณสำหรับคำสั่งสอน

    และโยมกราบขออนุญาตินำมาเขียนลงเป็นธรรมทานด้วยเจ้าค่ะ.สาธุค่ะ สาธุ สาธุ...
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เสมือนม่านบังใจ
    เหมือนมีม่านมาบังตาบังใจ มิให้คนเข้าถึงธรรม มิให้รู้ตามความจริงของชีวิต
    ก็เพราะแค่เพียงว่า..ไม่รู้จักวิธีทำจิตตนเองให้นิ่งสงบเป็นสมาธิและทำให้ต่อเนื่องด้วย
    แต่น่าเสียดายมีนักภาวนา นักปฎิบัติส่วนใหญ่ติดกันแค่สมถภาวนา เท่านั้น
    เพราะนักภาวนาส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า สมถะหรือทำสมาธินั้น จะต้องหลับตาทำเสมอไป
    เคยเห็นกันไหม เคยทำกันไหม จิตเป็นสมาธิ จิตทรงฌานในขณะที่กำลังลืมตา
    จิตเป็นสมาธิหรือทรงฌานได้อย่างต่อเนื่อง เพราะทำจิตเกาะพระนี้(ติดต่อที่กระทู้)
    จิตเป็นสมาธิหรือทรงฌานได้ทั้งวันทั้งคืน ที่พูดมิใช่ให้พวกเรามาเชื่อหรือไม่เชื่อ
    จะบอกให้ลองมาทำกันดู แต่ถ้าทำเล่นๆไม่ต้องมา ให้ไปทำที่อื่น เพราะเสียเวลาทั้งผู้ให้และผู้รับ
    เพราะถ้าทำเล่นนอกจากไม่ได้อะไรยังเสียเวลา แต่ถ้าทำจริงย่อมได้ของจริงๆ ว่าไปตามเนื้อผ้า

    ทำไมนักภาวนาส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงวิปัสสนาคือเข้าถึงแค่สมถะ เพราะขาดความต่อเนื่องนี่เอง!
    (อันนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะผู้ปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ หรือสายเจโตวิมุตติ เท่านั้น)
    ทำไมผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ จึงมีการพัฒนาจิตกันไวนัก ก็เพราะความต่อเนื่องของสมาธิจิต
    อันเป็นเหตุจิตไม่ต้องเสียเวลาเดินมรรคนานโดยเฉพาะสมถะและก้าวข้ามไปถึงตัวปัญญาได้ไวขึ้น
    การขาดสมาธิจิตอย่างต่อเนื่องกันนี้เอง จึงเป็นเหตุทำให้จิตผู้ปฎิบัติติดๆดับๆ(บางทีรู้ บางทีก็ไม่รู้)

    ณ จุดตรงนี้ น้อยคนนักที่จะเอาใจใส่ มองข้ามกันหมดเพราะวันๆนึงมัวยุ่งอยู่กับการดำรงชีวิต
    หรือมัวแต่ทำมาหากินเลี้ยงชีพกันเพลินมากเกินไป บางครั้งจนลืมความตายของตนเอง
    อย่าลืม! พวกเรามิใช่มีแค่โลกนี้ ที่กำลังมีลมหายใจ มีคนที่เรารักหรือคนที่รักเรา มีสมบัติ มีลาภ
    มียศ มีตำแหน่ง มีหน้าที่การงาน มีแต่ก็ใช้ได้แค่บนโลกนี้เท่านั้น แต่พวกเราลืมกันไปแล้วมั้งว่า..
    พวกเรายังมีโลกหน้า โลกหลังความตาย โลกวิญญาณกันอีกนะ จงสำนึกกันให้ดี อย่าเพิ่งประมาท

    ***เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับปฎิบัติเพื่อมรรคผล โดยเฉพาะผู้ที่หวังพระนิพพานชาตินี้***
    ทำให้ดี ทำให้จริง อย่าทำเล่น เอาให้มันจริง ปฎิบัติกันจริงๆเห่อได้ผลทุกคน ขอโมทนาล่วงหน้า
    อย่ามองข้าม อย่าเห็นเป็นเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องจิตของผู้ปฎิบัติธรรมโดยตรง

    สำหรับผู้เจริญสติภาวนา มัวไปติดสมถะนานหรือติดสุขจากฌานนาน ก็เพราะขาดปัญญาต่อเนื่อง
    จิตขาดสมาธิต่อเนื่อง อันเป็นเหตุทำให้ผู้ปฎิบัติขาดปัญญาต่อเนื่องไปด้วย หรืออาการติดๆดับๆ
    และยังจะส่งผลทำให้จิตของผู้ปฎิบัติไปไม่ถึงภาวนาขั้นสูง นั่นก็คือวิปัสสนาจนถึงวิปัสสนาญาณ
    (สมถกรรมฐานเป็นการเจริญสติภาวนาขั้นต้น ส่วนวิปัสสนากรรมฐานเป็นการเจริญสติขั้นสูง)

    เพราะฉะนั้น ผู้บรรลุธรรมจะต้องเดินตามมรรคมีองค์๘นี้(ศีล สมาธิ ปัญญา)ให้ครบ เท่านั้น
    แต่ถ้าจิตอรหันต์จะต้องเจริญมรรคให้ครบ๑๐ประการ อันได้แก่มรรคข้อที่๙ คือสัมมาญาณ(รู้ชอบ)
    และมรรคข้อที่๑๐ คือสัมมาวิมุตติ(หลุดพ้นชอบ)

    ไม่ว่าพระอรหันตผลวิมุตติ ทั้งสายเจโตวิมุตติ(หลุดพ้นด้วยอำนาจจิต)คือผู้เจริญสมถะ+วิปัสสนา
    และปัญญาวิมุตติ(หลุดพ้นด้วยปัญญา)คือผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานเพียงอย่างเดียว
    ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้พระธรรม ท่านก็ทรงปฎิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤษภาคม 2013
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องหนึ่งที่อาตมาเองมีความประทับใจมากแต่

    ไหนแต่ไรมาว่าคำว่าวิเศษของคำสอนของพระพุทธเจ้าคือมี "วิธีการ" ตลอด หลายคน

    มักจะถามในฐานะที่อาตมาเป็นฝรั่งเคยนับถือศาสนาคริสต์ไหม มีความแตกต่างระหว่าง

    ศาสนาคริสต์กับศาสนาพุทธในคำสอน คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าศาสนาจะอาศัย ...

    ..."วิธีการ" มีวิธีปฏิบัติ วิธคิด วิธีวางจิตใจ วิธีตั้งทัศนะในโลก ทัศนะต่อตัวเอง คือมีวิธี

    การทั้งหมด...เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก...

    ...พระพุทธเจ้าได้ยกตัวอย่างว่ามีคนคนหนึ่งต้องการนม...เขาก็คอยศึกษา

    ค้นคว้าหาหลักว่านมจากวัว...เขาก็ไปหาวัว แล้วก็ไปกดไปบีบไปนวดที่เขาของวัว มันก็ไม่

    ได้นมสักที...มันเกือบได้เพราะถึงตัววัวแล้ว แต่ไม่ได้นมสักที มัวแต่ลูบคลำอยู่ที่เขาถ้าไป

    นวดที่นม มันก็ได้นม...นี่ก็เช่นเดียวกัน ธรรมของพระพุทธเจ้ามีไว้มีคำสอนก็ดี มีหลักการ

    ต่างๆ ก็ดี มาจากวิธการให้เอามาใช้อย่างถูกต้อง...จึงจะได้ผลที่เราปรารถนา ขอให้เราทุก

    คนมีความสนใจในวิธีการของการปฏิบัติ...วิธีการภายในตัวเราเอง เพื่อให้ได้ธรรมคำสั่ง

    สอนของพระพุทธเจ้าให้ได้ปรากฏผลในชีวิตในจิตใจของตนเอง...

    ...สำหรับวันนี้อาตมาก็ขอให้ข้อคิดในธรรมพอสมควรแก่เวลาขอยุติลงเพียงเท่านี้ เอวัง

    ผู้เขียนขอกราบน้อมรับพระธรรมคำสอนของท่าน.และกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะสาธุ สาธุๆ...

    ...คัดจากหนังสือ ทางแก้ทุกข์ พระอาจารย์ ป สั น โ น วัดป่าอภัยคีรี อเมริกา...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2013
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สัมมัตตะ 10
    สัมมัตตะ แปลว่า ภาวะที่ถูกต้อง หรือ ความเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 10 อย่าง
    1. เห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) คือเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
    2. ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) คือไม่ลุ่มหลงมัวเมากับความสุขทางกาย ไม่พยาบาทและไม่คิดทำร้ายผู้อื่น
    3. เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) คือการไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ
    4. กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) คือไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดทางกาม
    5. เลี้ยงชีวิตชอบ (สัมมาอาชีวะ)
    คือการทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่ทำกิจการในสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อคนทั่วไป

    6. พยายามชอบ (สัมมาวายามะ)
    คือความพยายามที่จะป้องกันมิให้ความชั่วเกิดขึ้น ความพยายามที่จะกำจัดความชั่วที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป
    ความพยายามที่จะสร้างความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นและความพยายามที่จะรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ตลอดไป

    7. ระลึกชอบ (สัมมาสติ) ความหลงไม่ลืม รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
    8. ตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) คือการที่สามารถตั้งจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน
    9.รู้ชอบ (สัมมาญาณ) คือผลญาณ ได้แก่ ญาณ 3 วิชชา 3, 8 วิปัสสนาญาณ 9 เป็นต้น
    ญาณ 3
    1.อตีตังสญาณ หมายถึง รู้อดีตและสาวหาเหตุปัจจัยอันต่อเนื่องมาได้
    2.อนาคตังสญาณ หมายถึง รู้อนาคต หยั่งผลที่จะเกิดสืบต่อไปได้
    3.ปัจจุปปันนังสญาณ หมายถึง รู้ปัจจุบัน กำหนดได้ถึงองค์ประกอบเละเหตุปัจจัยของเรื่องที่เป็นไปอยู่

    วิชชา 3 (ความรู้แจ้ง หรือความรู้พิเศษ)
    1.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ หมายถึง ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อนได้, ระลึกชาตได้
    2.จุตูปปาตญาณ หมายถึง กำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
    เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพพจักขุญาณ

    3.อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้ในธรรมเป็นทิ่สิ้นไปแห่งอาสวะ(กิเลส)ทั้งหลาย ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ, ความตรัสรู้อาสวักขยญาณ


    10.หลุดพ้นชอบ (สัมมาวิมุตติ) คืออรหันตผลวิมุตติ
    1.เจโตวิมุตติ(ความหลุดพ้นแห่งจิต)
    หมายถึงความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต หรือความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ
    (เป็นการเจริญทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน)
    2.ปัญญาวิมุตติ(ความหลุดพ้นด้วยปัญญา)
    หมายถึงความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, หรือความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง
    (เป็นการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤษภาคม 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แด่..ผู้ที่กำลังคลำหาประตูออกจากทุกข์
    หาประตูเข้าสู่สรวงสวรรค์ หาประตูพระนิพพาน

    ทุกคนที่หลงมาเกิด หลงมีกายหยาบ ล้วนต่างมีกรรมนำมาเกิดกันแทบทั้งสิ้น
    บางคนเกิดมาเพื่อเสวยสุขหรือเสวยทุกข์ บางคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
    แต่บางคนเกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี เพื่อบรรลุธรรม เพื่อพระนิพพาน เป็นต้น
    จุดมุ่งหมายของแต่ละบุคคลที่มาเกิดเป็นคนก็ต่างกัน ต่างวาระกรรมของตนเอง

    ทุกคนที่หลงมาเกิด ย่อมมีความรัก โลภ โกรธ หลง(กิเลส) มีตัณหา มีอุปาทานครบถ้วน
    ซึ่งมีอยู่ภายในกาย ภายในใจด้วยกันทุกคน

    แต่จะมีสักกี่คนที่พยายามหาประตูหรือทางออกจากทุกข์ พยายามตะเกียกตะกายเพื่อให้
    พ้นจากหลุมพรางมนุษย์(กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน) พยายามว่ายทวนกระแสกิเลสตัณหาฯ
    หรือพยายามหาทางออกจากการเวียนว่ายตายเกิดของตนเอง

    ในทางโลก บิดามารดาคือผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรา ครูบาอาจารย์คือผู้ให้วิชาความรู้และอาชีพเรา
    ให้สามารถอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างสุขสบาย
    แต่ยังมีอีกท่านนึงซึ่งมีความสำคัญมากทั้งในทางโลกและทางธรรม นั่นก็คือ พระพุทธเจ้าของพวกเรา
    โดยเฉพาะเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายไม่ควรลืม ควรให้ความรักเคารพ เลื่อมใสและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
    คำว่า "สัพพัญญู" คือผู้รู้สิ่งทั้งปวง ซึ่งเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ในสากลจักรวาล ทั้งหลับและเวลาตื่น ซึ่งมีทั้งญาณทัสสนะ มีทั้งวิชชา๓ เป็นต้น
    พระองค์ท่านว่ายทวนกระแสกิเลสแห่งมวลมนุษย์ เป็นผู้สอนสั่งเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
    โดยเฉพาะปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น อันได้แก่สามารถออกจากทุกข์และออกจากสงสารวัฎของตน
    ด้วยธรรมปฎิบัติด้วยปฎิบัติธรรม ตอนแรกเราจะต้องรักษาศีลให้ครบถ้วนก่อน ต่อไปค่อยทำภาวนา
    การภาวนาหรือการเจริญสติภาวนานั้น ก็ต้องทำให้ผ่านทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
    โดยเจริญรอยตามอริยมรรคหรือศีลสมาธิปัญญานั่นเอง สำหรับสมถสมาธิ ก็คือการทำให้จิตนิ่งสงบ
    ถ้าตราบใดผู้ปฎิบัติไม่สามารถทำจิตตนให้นิ่งเป็นสมาธิได้ ก็ยากที่จะเข้าใจหรือเข้าถึงพระธรรม
    หรือไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร หรือไม่มีดวงตาเห็นธรรมคือไม่เห็นความจริงกันสักที
    ถ้าจิตไม่นิ่งหรือไม่เป็นสมาธิ จิตก็ไม่มีปัญญาหรือตัวผู้รู้ ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับจิต
    ถ้าจิตไม่มีปัญญาแล้ว จิตก็จะไม่ปล่อยวางกับสิ่งสมมุติทั้งปวงได้ สุดท้ายจึงตกหนักที่ตัวเราเอง
    ถ้าจิตปล่อยวางไม่ได้ เราเองก็จะต้องทนทุกข์ต่อไป ไม่มีวันจะจบสิ้น อยู่ก็ทุกข์ ตายไปนึกว่ารอด
    ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นทุกข์ในภายหลังกันอีก ตายเกิดๆไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว นับไม่ถ้วน
    สำหรับผู้ที่ทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิหรือทรงฌานเป็นปกติ ย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญาหรือรู้เอง เข้าใจเอง
    เพราะเข้าถึงกระแสจิตและกระแสธรรมตนได้แล้ว อานิสงส์แรกสุดที่ทำจิตนิ่งเป็นสมาธิก็คือ
    ความสุข ความสงบ ความสงัด ความเยือกเย็น ความปิติภายในจิตใจ ยิ่งผู้เจริญภาวนาไปจนครบ
    ทั้งสมถะและวิปัสสนา ก็จะเป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมในเบื้องต้น หรือได้ชิมรสพระธรรมในเบื้องต้น
    เพียงเท่านั้นยังไม่พอ นั่นหมายถึงจิตแค่พระโสดาบันและตรงนี้แหล่ะจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้เข้าใกล้
    กระแสพระนิพพานในเบื้องปลาย สำหรับความทุกข์ของจิตประเภทนี้ก็ยังมีอยู่ แต่น้อยลงไปมาก
    ส่วนจะทุกข์มากหรือน้อย ขอตอบว่าขึ้นอยู่กับความละเอียดของจิต เช่น จิตพระโสดาบันกับอรหันต์
    ย่อมแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งจิตปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ย่อมเป็นจิตละเอียดมากเท่านั้น
    เขาวัดระดับจิตกันตรงนี้ ผู้ปฎิบัติตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป พอตอบตนให้คลายสงสัยได้บ้าง
    จนกว่าเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญาถึงพร้อมและต่อเนื่องได้ จิตยิ่งเข้าถึงความละเอียดมาก
    จิตละเอียดคือจิตที่สามารถละปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ เมื่อจิตปล่อยวางเกือบจะหมด
    ผู้ปฎิบัติก็ย่อมตอบกับตนและผู้อื่นได้ยิ่งมีตัวผู้รู้มากเท่าไหร่ ภูมิธรรม ภูมิปัญญาก็ยิ่งสูงตามไปด้วย

    การเดินมรรคเท่าที่ผ่านมา เห็นผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่ชอบเอาสตินำจิตหรือเอาสมองไปเรียนแทนจิต
    ผู้เขียนพยายามบอกกับพวกเราว่า ถ้าจะทำจิตเกาะพระจะต้องมีครู แต่ถ้าไม่มีก็ยากจะสำเร็จ
    ในขณะที่ปฎิบัติอยู่แต่คนเดียวนั้น มักจะมองไม่เห็นจุดอ่อนตนเอง หรือรู้แต่คนอื่นแต่ไม่รู้ตนเอง
    ขอให้ผู้ปฎิบัตินึกถึงกระจก ครูเปรียบเสมือนกระจก ในขณะผู้ปฎิบัติกำลังเดินมรรค ครูหรือผู้สอน
    จะคอยตามดูจิตให้กับผู้ปฎิบัติ เมื่อไหร่ผู้ปฎิบัติติดขัดหรือมีปัญหาก็สอบถามได้ตลอดเวลา แต่ถ้า
    ผู้ปฎิบัติเดินนอกหลู่หรือออกนอกเส้นทางหรือเชื่องช้าเกินหรือติดสุขจากฌาน ครูมีหน้้าที่คอยปรับ
    จูนหรือแก้ไขตรงนี้ให้ คอยจับเราเดินทางตรงและถูกต้อง ตามหลักมัชฌิมาปฎิปทา(สายกลาง)
    การเดินมรรคถือว่าสำคัญมาก จะบ้าบิ่นหรือจะเป็นคนดี ก็ตรงนี้แหล่ะ พอเข้าเขตกรรมฐาน
    โดยเฉพาะกรรมฐานขั้นสูง(วิปัสสนา) ผู้ปฎิบัติจะต้องหาครูหรือผู้รู้ด้านนี้โดยเฉพาะ
    ถ้าไม่อย่างนั้นไปไม่เป็น ทำไม่สำเร็จ ยกเว้นผู้นั้นเป็นสัพพัญญูดั่งพระพุทธเจ้า ขอให้ผู้ปฎิบัติ
    ดูตัวอย่างครูบาจารย์พวกเรา เช่นหลวงปู่มั่นมีพระอาจารย์เสาร์เป็นผู้ดูแลหรือคอยตรวจสอบจิตให้
    หลวงตามหาบัวมีหลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำมีหลวงปู่ปาน ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีพระฤาษีฯ
    เป็นพระอาจารย์เลย แล้วเราเป็นใคร???จะมาเดินมรรคคนเดียว สอบอารมณ์จิตคนเดียวเห่อๆนายแน่มาก
    ไม่ใช่เดี่ยวไมโครโฟนที่จะได้จับไมค์พูดคนเดียว คนละเรื่อง แต่ถ้ามีครูแต่ผู้ปฎิบัติไม่ศรัทธาในตัวครู
    ก็ทำไม่สำเร็จแน่นอน ขอให้ผู้ปฎิบัติทุกท่านได้โปรดดูพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าเป็นตัวอย่าง
    ทุกท่านทำสำเร็จมาแล้ว พวกเราไม่ต้องมาลองผิดลองถูกกันอีกทำไม เดี๋ยวก็กลับมาเกิดอีกชาติ
    แค่นี้พวกเราเป็นทุกข์ยังไม่พอกันใช่ไหม

    ผู้ปฎิบัติจะต้องมีวินัยตนเองให้มาก ถ้าอยากเดินมรรคหรืออยากเข้าถึงความละเอียดแห่งจิตตนเอง
    รีบหาครูหรือผู้รู้มาสอนคอยดูแลหรือคอยสอบจิตอย่างสม่ำเสมอ คนแอบทำกรรมฐานบ้าบอคอแตก
    เพี้ยนกันมาเยอะแล้ว นึกว่าตนเองเก่ง ไม่ยอมปฎิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของครูบาจารย์ที่ทำให้ดู
    เป็นตัวอย่างไปแล้ว นิวรณ์๕เป็นตัวกีดกั้นมิให้จิตเป็นสมาธิหรือฌาน ไม่ให้เข้าถึงความดี อันนี้ก่อน
    จะเข้าถึงความละเอียดแห่งจิต แต่ถ้าเข้าถึงหรือผ่านตัวนิวรณ์ไปได้ แต่นักภาวนาที่ติดกันมากก็คือ
    ติดสุขจากฌาน(เรื่องนี้มีครูอภิชัยเป็นผู้เชี่ยวชาญลองสอบถามท่านดูเอาเอง) พอผ่านฌานไปได้
    ไปติดที่ละเอียดกว่า ขออนุญาตเรียกว่า"ด่านอรหันต์"คือนิมิต(ตัวแสบหลอกแม้นกระทั่งผู้ปฎิบัติดี)
    อภิญญาอันนี้น่ากลัวกว่านิมิต เพราะมีตาในสามารถมองเห็นหยาบละเอียด เอาจิตไปส่องดูใครก็ได้
    ทั้งฌานหรือวิชามโนยิทธิหรืออภิญญา เป็นของสาธารณะหรือโลกียญาน ยกเว้น อภิญญา๖ หรือ
    อาสวักขยญาณ(รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป) อภิญญา๖ มีแต่เฉพาะอริยบุคคล
    แต่ถ้าผู้มีฤทธิ์เดช อภิญญา มโนยิทธิ แต่ยังมิได้นำไปตัดกิเลส(ตนเอง) แต่นำไปใช้ทางโลกีย์
    นำไปใช้ในทางที่ผิดเดี๋ยวก็เสื่อม ถือว่าคนเหล่านี้ ไม่ใช่กระทำไปเพื่อโลกุตตรธรรม(พ้นโลก)
    แต่กลับสนองกิเลสตัณหาตนมากยิ่งขึ้น ออกทะเลไปไกล ใครกู่ก็ไม่กลับ มักไม่ค่อยจะฟังใคร
    ถือตัวถือตนว่าตนแน่ รู้มากแถมมีฤทธิ์มากแล้วใครจะไปสอนได้ นอกจากสายบุญเก่าเขาจะมาสอน

    ผู้ปฎิบัติใหม่ๆ พยายามอยู่กับกายกับใจตนเองให้มาก พยายามรู้ทุกอิริยาบถของกาย รู้ลมหายใจ
    รู้ความรู้สึกนึกคิดหรือรู้ทุกธรรมารมณ์ ยิ่งนามอันละเอียด โดยเฉพาะกับตัวเจตสิกตนเอง
    ถ้าผู้ปฎิบัติมีสติมีปัญญาน้อยก็มักจะวิ่งตามความรู้สึกนึกคิดตามธรรมารมณ์ทันที รู้สึกตัวอีกทีก็สาย
    สอบตกไปเรียบร้อยแล้วไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องไปคิดฆ่าตัวตาย ให้คิดฆ่ากิเลสตนต่อไป
    ตราบจนจะละขันธ์๕ ทำไปๆผู้ที่ทำได้แล้ว แต่ก็อย่าประมาทให้หมั่นเจริญสติ ทำความรู้สึกตัว
    มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างต่อเนื่อง เพราะจะได้มีปัญญาตลอดต่อเนื่อง ญาณต่างๆก็จะไหลออกมา
    ธรรมะต่างๆก็จะไหลออกมา ความสามารถอีกประเภทแต่ไม่ค่อยอยากพูด ยิ่งเป็นเขตปัจจัตตัง
    พระธรรมเป็นอกาลิโก(ธรรมให้ผลโดยไม่อยู่ขึ้นกับกาลเวลา) ก็คือจิตรับสื่อต่างๆได้
    สำหรับผู้ปฎิบัติที่เดินมรรคครบ คือศีลสมาธิปัญญา จิตเริ่มเข้าความละเอียด ควรพึงระวัง
    อย่านำเรื่องนี้ไปพูดคุยในที่สาธารณะ ถ้าสงสัยให้ไปถามผู้รู้หรือพระอริยเจ้าจะดีกว่า
    เดี๋ยวจะโดนข้อหา ก็คือ"อวดอุตริมนุสธรรม" เช่น ปฎิบัติได้ฌานชั้นนั้นชั้นนี้ หรือสำเร็จ
    มรรคผลอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น เพราะของดีจริงคนถึงจริงหรืออรหันต์จริง บุคคลเหล่านั้น
    มักจะปิดปากเงียบ เห็นแต่คนยังไม่อรหันต์พูดกันไป

    สำหรับบุคคลที่ชอบพร่ำบอกว่าเบื่อทุกข์ ไม่อยากกลับมาเกิดแล้ว อย่าเอาแต่พร่ำบ่นไปวันๆ
    แล้วมันจะออกจากทุกข์กันได้ไหม คนเบื่อจริงก็ต้องปฎิบัติให้ได้ อย่าเอาแต่สวดอ้อนวอนพระ
    ให้ท่านช่วยแล้วพระที่ไหน๊จะช่วยเราได้ รู้กันไหมว่าทุกข์มันอยู่ที่ใด(ตอบกันได้นี่ เก่งนี่)
    ทุกท่านทราบดี สุขทุกข์อยู่ที่ใจ แต่ถามว่าเราผู้ปฎิบัติหาจิตหาใจตนเองพบเจอกันหรือยัง
    แต่ถ้าตอบว่ายัง งั้นก็ยังเป็นทุกข์กันต่อไป จนกว่าจะพบเจอจิตตนเองแล้วจึงค่อยเห็นธรรม
    อย่าลืม! คนที่ออกจากทุกข์หรือออกจากวัฎฎะตนเองได้นั้น ก็มีอยู่วิธีเดียวนั่นก็คือนำจิต(ตนเอง)
    ไปเดินมรรคและจะต้องเดินให้ถูกด้วย

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    @ภูทยานฌาน2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤษภาคม 2013
  6. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ของขวัญจากความฝัน

    อ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ต่อผู้อื่นค่อนข้างมาก จึงนำมาให้ได้อ่านกันค่ะ

    ของขวัญจากความฝัน

    ชายรูปร่างสันทัด ดูภูมิฐานผู้หนึ่ง อายุประมาณ 60 เศษ เดินตรงมาหาฉัน แล้วถามคำถามที่แปลกมาก

    ชายแปลกหน้า “คุณชื่อ.........นามสกุล...........ใช่ไหม “

    ตัวฉัน “ใช่ค่ะ”

    ชายแปลกหน้า “คุณจะต้องตายภายใน เวลา 2 ทุ่มของคืนนี้”

    ตัวฉัน “คุณพูดเป็นเล่น นี่เวลา 6 โมงเย็นเศษ แล้วนะ”

    ชายแปลกหน้า “ผมไม่ได้พูดเล่น เวลาที่เหลือคุณจะทำอะไรก็รีบทำเสียนะ”

    เมื่อชายแปลกหน้าพูดจบ พร้อมกับอมยิ้มในใบหน้า แล้วเดินจากไป ฉันเองได้แต่ยืนงง แล้วคำถามก็เกิดมีขึ้นมากมาย มันเป็นความจริงหรือ ? แล้วถ้าเป็นความจริงชายผู้นี้รู้ได้อย่างไร และทำไมต้องมบอกฉันด้วย? และข้อสำคัญชายผู้นี้เป็นใคร ?

    ฉันเลยก้มลงดูตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ และอยู่ที่ไหน ปรากฏว่า ฉันอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งเห็นไม่ถนัดนัก และกำลังสั่งให้แม่บ้านจัดเก็บเสื้อผ้าอยู่

    เมื่อได้สติจึงบอกแม่บ้านไปว่า “เสื้อผ้าทั้งหมดนี้ถ้าไม่อยู่แล้ว ให้แจกให้หมด ไม่ต้องเหลือไว้และให้บอกคุณจอยว่า....ให้เอาชุดขาวใส่ให้ และถ้าจะเอาชุดไว้เป็นที่ระลึก ก็เก็บไว้ชุดเดียว” แล้วตัวฉันก็เดินจากมาโดยคิดอยู่ในใจว่าเราพร้อมจะไปหรือยัง ยังมีห่วงอะไรอีก ตัดได้ไหม ด้วยเวลาที่เหลือเท่านี้ และแล้วความรู้สึกฉันก็ดับวูบไป ด้วยความคิดว่า นี่ 2 ทุ่มแล้วหรือ

    ฉันลืมตาขึ้น ปรากฏว่ามันเป็นเวลาตี 5.30 น ฉันนึกขึ้นมาว่า “เราฝันไปหรือนี่ แต่ทำไมมันเหมือนจริงมากเลย และถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตจริงใน เวลา 2 ทุ่มคืนนี้ ฉันจะทำอย่างไรดี”

    อย่างแรกคือ ฉันยังโชคดีที่เป็นเวลา ตี 5.30 น ไม่ใช่เวลา 18.30 น ช่วงเย็น เหมือนในความฝัน ยังมีเวลาเกือบทั้งวัน ดังนั้นฉันเลยรีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปใส่บาตร เพราะคิดว่าจะจริงหรือไม่จริง ขอใส่บาตรทำบุญไว้ก่อน ถึงอย่างไรก็ได้บุญติดตัวฉันไป

    ตลอดเวลาที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินออกไปใส่บาตร ฉันคิดว่าต้องรีบหาคำตอบให้ตัวเอง

    คำถาม “ถ้าเป็นจริงตัวฉันพร้อมที่จะไปหรือยัง”

    “ห่วงทั้งหลาย สามารถสลัดทิ้งได้หรือไม่”

    “จะต้องไปหาใคร หรือต้องขอขมาใคร ลาใครหรือเปล่า บอกใครไหม?”

    “แล้วทั้งหมดนี้จะต้องใช้เวลาเท่าใด จะต้องไปทำบุญที่ไหนอย่างไร?

    ฉันเดินไปถึง ร้านขายอาหาร เพื่อซื้ออาหารใส่บาตร ปรากฏว่า กับข้าวยังไม่เสร็จเรียบร้อย ฉันจึงยืนรอ ในขณะนั้นพระท่านเริ่มออกมาบิณฑบาต และฉันก็มองดูพระท่าน ปรากฏว่าจิตใจฉันที่กำลังว้าวุ่นมีแต่คำถามที่ต้องการคำตอบ กลับค่อยๆนิ่ง จนสงบเหมือนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ความกังวลใดๆกลับหายไปไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งๆที่รอบตัวฉันมีแต่ความวุ่นวาย ของยวดยานพาหนะ คนเดินผ่านไปมา ร้านค้าเริ่มเปิด พ่อค้าร้านอาหารที่ฉันจะซื้อใส่บาตรกำลังทยอยนำอาหารที่สำเร็จแล้วออกมาตั้ง สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกับฉันเลย ใจฉันรู้สึกเบาสบายแล้วฉันก็ได้คำตอบทันทีว่าฉันควรจะทำอะไรบ้าง ฉันรู้สึกว่าฉันยิ้มน้อยๆให้กับตัวเองในคำตอบที่ได้ ฉันไม่รู้ว่าในขณะ นั้นมีใครมองฉันอยู่หรือไม่

    เมื่อพ่อค้าจัดอาหารเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงสั่งอาหารเพื่อใส่บาตร 4 ชุด พ่อค้ามองฉันแล้วยิ้ม และบอกฉันว่า “ขอโทษครับที่ช้าไปหน่อย ผมดูคุณแล้วคุณนิ่งมาก และขอโทษนะครับ ดูหน้าตาคุณมีความสุข” ฉันได้แต่ยืนยิ้มแบบงงๆ และตอบว่า “ขอบคุณค่ะ” ฉันอธิษฐานจิตเสร็จก็ใส่บาตร แล้วนั่งลงรับพรท่าน วันนี้พระท่านให้พรค่อนข้างยาวกว่าปรกติ เมื่อเงยหน้าขึ้นพระท่านยิ้มๆและพูดว่า “โยมวันนี้ โยมดูเย็นๆ นิ่งๆ หน้าตามีความสุขนะ” ฉันได้แต่ยิ้ม (แบบงงๆ เช่นเคย) แล้วก้มกราบท่าน

    หลังจากใส่บาตรพระ 1 รูป และสามเณร 3 รูป เสร็จแล้วฉันก็เดินกลับบ้านในระหว่างทางฉันก็กรวดน้ำในใจ และแผ่เมตตาไปตลอดทาง อย่างเช่นที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำ แล้วก็นึกสงสัยว่า ทำไมใครๆถึงดูฉันแปลกไปในวันนี้ คงจะเป็นเพราะสติในปัจจุบัน ที่ฉันสามารถทำได้ (ไม่ทราบว่าฉันเข้าใจถูกหรือไม่) เมื่อกลับถึงบ้านฉันรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าห้องพระสวดมนต์ สมาทานศีล 5 เมื่อเวลา 7.30 น. เจริญภาวนาโดยนึกถึงทุกบุญที่ได้กระทำมา เริ่มจากบุญที่ทำในวันนี้ย้อนหลังไปเมื่อวานนี้ และวันถัดๆไป ปรากฏว่าภาพบุญที่ทำมา ทยอยผุดขึ้นให้เห็นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลา 9.30 น. ฉันจำเป็นต้องออกจากภาวนา ก่อนออกจากภาวนาฉันได้แผ่ส่วนบุญให้กับบิดา มารดา ญาติมิตร เจ้ากรรมนายเวร และสัพพสัตว์ทั้งหลาย เนื่องจากวันนี้ ที่บ้านมีงานสังสรรค์ต้องไปเตรียมจัดงาน ทั้งๆที่ในใจไม่อยากลุกออกไปเลย แต่ฉันก็พยายามมีสติในงานที่ทำ ปรากฏว่างานที่ต้องจัดเตรียมก็เสร็จเรียบร้อยเร็วกว่าที่ควร จึงโทรศัพท์หาพี่ยุทธ (พี่ชายที่นับถือ) เพียงบอกว่าวันนี้ และเมื่อวานนี้ ไปทำบุญอะไรมาบ้าง คุยแต่เรื่องบุญ รู้สึกได้เลยว่าใจมันปิติมีความสุขมาก เลยไม่อยากบอกอะไรพี่ชายมาก แล้วก็วางสายไป กำลังนึกว่าจะโทรไปหาแม่ดีไหม ก็พอดีพี่ที่มางานสังสรรค์ มาก่อนเวลา เลยต้องรับรอง แต่ก็พยายามให้มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา บางครั้งก็ท่องพุทโธอยู่ในใจ ในขณะที่คุยกับพี่ๆ แต่แปลกวันนี้กลับทำได้ดี วันนี้พี่ๆหลายคนทักว่า “วันนี้น้อง....ทำไมหน้าใสใส เย็นๆ นิ่งๆ ดูมีความสุข” ฉันก็ตอบแบบงงๆว่า “คงเป็นเพราะสนุกกับพี่ๆไง ไม่ได้พบกันนาน” สุดท้ายงานลี้ยงก็เลิกเวลา 18.00 น. พวกพี่ๆทยอยกันกลับบ้าน หลังจากนั้นก็ล้างเก็บของ พยายามทำทุกอย่างให้มีสติตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไร กว่าจะเสร็จงานฉันเหลือบดูเวลา ประมาณ 20.30 น. ฉันก็ยิ้มกับตัวเองแล้วก็นึกว่าฝันก็คือฝัน หลังจากนั้นฉันก็อาบน้ำ สวดมนต์เข้านอนโดยสมาทานศีล 5 ก่อนนอน แผ่เมตตาให้กับสัพสัตว์ทั้งหลาย และท่องพุทโธ แล้วยิ้ม (ตามพระอาจารย์ประสงค์ ท่านแนะนำ ) เพราะเดี๋ยวศพไม่สวย

    ก่อนนอน ฉันนึกขอบคุณความฝัน เพราะทุกครั้งที่อ่าน ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ที่ประทานต่อพุทธบริษัททั้งหลายให้ไม่ประมาทกับชีวิต ชีวิตเรามีความตายเป็นธรรมดา ฉันเองอ่านแล้วก็เข้าใจ แต่ไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งนัก เหมือนอ่านแล้ว รู้แล้ว แต่จากความฝันนั้น เป็นความเข้าใจแบบลึกซึ้ง ให้รู้ว่าเราจะประมาทไม่ได้ และให้เตรียมตัวตายไว้ตลอด ฉันได้ทดสอบเตรียมตัวตายในวันนี้ ตั้งแต่เช้าทดสอบตัวเองว่าถ้าฉันต้องตายในวันนี้ ฉันจะตัดห่วงทั้งหลายได้หรือไม่ คำตอบคือ

    1. ห่วงทรัพย์สินตัดง่ายทันที ไม่ต้องห่วงเพราะไม่ได้สะสมอะไรไว้ มากมาย คนข้างหลังจัดการได้ง่าย เพราะเคยแจงรายละเอียดไว้เรียบร้อยแล้ว

    2. ห่วงลูก ก็ตัดไม่ยากเท่าใด เพราะจากการที่เคยฝึก และปฏิบัติมาก่อนหน้านี้ ว่าทุกชีวิตมีทางของตัวเอง ฉันคิดว่าเตรียมลูกให้เป็นคนดีได้พอควร ถึงแม้ฉันอยู่ก็คงจะไปลิขิตชีวิตของเขาไม่ได้ เขาทั้ง 2 โตที่จะดูแลตัวเอง และสร้างอนาคตให้ตัวเองได้แล้วว่าจะเดินไปทางใด

    3. ห่วงแม่ ห่วงนี้กลับตัดยาก เพราะคิดว่าชีวิตนี้ฉันเองยังทดแทนคุณแม่ไม่หมด แต่นึกไปแล้วถ้าไม่มีฉันจริง น้องๆทุกคนก็รักแม่พร้อมที่จะดูแลแม่อยู่แล้ว เสียดายที่ไม่อาจนำธรรมะให้แม่แทนคุณแม่ได้

    4. ห่วงสามี ตัดได้ไม่ยาก เพราะคิดว่าชีวิตเราที่ผูกพันกันมาในชาตินี้ ฉันเองคิดว่าทำดีที่สุดที่ฉันจะทำได้ เพียงแต่เสียดายที่ไม่อาจชักชวนสามีให้เข้าหาธรรมได้อย่างถ่องแท้

    5. ความโลภ โกรธ หลง พร้อมที่จะวางได้ทันที และอโหสิกรรมได้ง่าย ไม่เหลือติดค้าง

    สรุปแล้ว ฉันให้คำตอบกับตัวเองได้ว่า ถ้าฉันต้องตายภายในวันนี้ หรือเดี๋ยวนี้ ฉันพร้อมที่จะตายโดยไม่มีห่วงใดๆ ให้ยึดเหนี่ยว เพียงแต่ ณ ลมหายใจสุดท้ายของฉัน ฉันมีสติพอที่จะเลือกภพที่จะไปได้หรือไม่ บุญฉันมีพอที่นำฉันไปในที่ดีหรือไม่ ฉันเองยังคงต้อง สร้าง ทาน ศีล ภาวนา อยู่กับปัจจุบัน และฝึกตายให้มากขึ้น ขอบคุณความฝัน ทำให้ฉันลดความประมาทลงไปได้มาก เหนือสิ่งอื่นใดฉันโชคดีที่ได้เกิดมาในร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสพบกัลยาณมิตรที่ดี ที่คอยแนะนำชี้แนะแนวทางที่ถูก มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ถึงแม้ว่ายังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็ทำให้ฉันได้เข้าใจความเป็นไปของชีวิตมากขึ้น ได้รู้ว่าภพชาติหนึ่งฉันเกิดมาทำไม ขอเพียงให้ความสำนึกรู้นี้ติดตัวฉันข้ามภพ ข้ามชาติต่อไปในวัฎฎะเพื่อที่จะศึกษา และปฏิบัติธรรมได้ต่อเนื่องอย่าได้หลงออกเส้นทางนิพพานอีกต่อไป


    บันทึกนี้ฉันเขียนขึ้นเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ประมาท ฉันถือว่าโชคดีเพราะมีเทวดามาให้บททดสอบแล้ว ด้วยอำนาจคุณพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจคุณพระธรรมเจ้า ด้วยอำนาจคุณพระสงฆเจ้า บุญกุศลใดใด ที่ฉันได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ทั้งที่ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ฉันขออุทิศบุญกุศลทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่เทวดาที่มาบอกกล่าวให้ฉันไม่ประมาท ให้ท่านมีความสุข ปราศจากความทุกข์ ถ้ามีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ถ้ามีสุขขอให้ท่านสุขยิ่งๆขึ้นไปเถิด

    ส่วนตัวฉันขอมีพระพุทธองค์ พระสัจธรรมของพระองค์ สงฆ์สาวกที่แท้จริงของพระองค์เป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิต เป็นเช่นนี้ทุกภพ ทุกชาติ จนถึงที่สุดแห่งธรรมเถิด สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ



    ที่มา FaceBook : Callmedj Doctorjoe
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2013
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    กลับมาแล้วจ้าาาา..หายไปเสียนาน..ไม่รู้มีใครในนี้จาคิดถุงเราบ้างรึเปล่า..มีใครแอบจุดธูปหาเราก็ม่ายรู้..555...

    แหม๋..ครูเกษก็ต้องมีแวะเติมน้ำมันให้เรือของตัวเองบ้างซิค่ะ..555..ไม่อย่างนั้นจะมีแรงขนคนไปได้อย่างไร..หุๆๆ ชิมิๆๆ..พี่ภู๊...555

    พอเข้ามาก็มาเห็นพี่แนทโพสต์ข้อความนี้ไว้ ศิษย์กะครูใจตรงกันเลยน่ะเนี่ย ก็จะมาขอเพิ่มเติมเล่าสู่กันฟังกับความอัศจรรย์ของการหมุนนิ้วมือค่ะ ก็แค่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หมุนวนไปมานี้แหล่ะค่ะ ก็คือเป็นวิธีการหนึ่งของการเจริญสติแบบง่ายๆ เป็นการทำความรู้สึกตัวไปได้ตลอดทั้งวัน ใครจะคุยโทรศัพย์ นั่งดูหนัง ฟังเพลง ก็หมุนนิ้วไป เพราะไม่มีใครเดินจงกรม หรือ ทำ 14 จังหวะในอิริยาบทย่อยของ ลพ.เทียนไปได้ตลอดทั้งวันหรอกน่ะค่ะ การเจริญสติ หรือ การทำความรู้สึกตัว ต้องทำให้ต่อเนื่องไปตลอดทั้งวันค่ะ ทำแค่นี้แหล่ะ มันก็จะดึงสติมาอยู่กับความรู้สึกตัว มาอยู่กับปัจจุบันกับการหมุนนิ้วมือ ทำไปค่ะ แล้วความรู้สึกตัวทั่วพร้อมมันจะลามไปทั่วร่างกายในส่วนอื่นๆ ได้เอง หันซ้าย ขวารู้ หรือเห็นมันค่ะ นั่ง ยืน เดิน นอนรู้ พลิกซ้าย พลิกขวารู้ ขนาดรู้สึกตัวตื่นกลางคืนมันยังมาหมุนนิ้วมือต่อ ขนาดลมหายใจไม่เคยจับ มันก็มีสติมาเห็นมารู้ลมหายใจเข้าออก

    คำเตือน ระวังน่ะจะไม่ฉะบาย เพราะจิตมันตื่น จิตมันไม่หลับไม่นอน...555..ธาตุขันธ์ปรับตัวไม่ทันก็เดี่ยงได้ค่ะ...

    เอ้า..แค่นี้ก่อนเน้อ..จะกลับไปเพิ่มขนาดเรือต่อ...555..:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2013
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีค่ะ คุณติ๊ก..เห็นอยู่ในกระทู้มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว..ตกลงว่า กำลังฝึกจิตเกาะพระอยู่รึเปล่าค่ะ แล้วมีครูเป็นตัวเป็นตนรึยังเอ่ย..ถ้ายังไม่มี..ครูเกษยินดีน่ะค่ะ..เรือลำนี้ยังมีที่ว่างเสมอค่ะ..คิๆๆ:cool:
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    นอกจากจะส่องแล้ว ก็ยังคอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่างค่ะ ท่านนี้..ช้าๆ ได้พร่าเล่มงามๆ ค่ะ..สู้ โว้ย น่ะ..อิๆๆ:cool::cool::cool:
     
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอกราบงามๆ และขอกล่าวอนุโมทนาสาธุกับทุกๆ ท่านจิตบุญโซนยุโรปค่ะ ท่านสวยและใจบุญกันทุกคนเลย..อิๆๆ

    ทานบารมีสำหรับจิตบุญก็คงจะไม่มีหวังผลอะไรแล้ว นอกจากทำไปเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น และเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่สืบต่อๆ ไป เท่านั้น

    ทานบารมีสำหรับใครที่เริ่มเต็มๆ แล้ว ความรู้สึกของจิตมันจะไม่พอง ไม่ฟู มันจะธรรมด๊า ธรรมดา จะเฉยๆ มากๆ คือมันจะเข้าโหมดอุเบกขา ตรงนี้เป็นความรู้สึกที่ละเอียดมากๆ ให้ระวังด้วยน่ะ ว่ามันเป็นอาการของมิจฉาทิฐฐิเข้ามาแทรกด้วยรึเปล่า (สติต้องตามดูให้ดีๆ อย่าให้ห่าง) แต่การทำบุญและทานก็ยังคงมีเหมือนเดิม แต่จะไม่เป็นการบ้าบุญเหมือนเมื่อก่อน เพราะการทำบุญและทานนั้นจะไม่ใช่เพื่อตนเองอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นเพื่อผู้อื่นและส่วนรวมเสียมากกว่า เพราะตรูจะไม่มาเกิดเพื่อใช้บุญนั้นอีกแล้วนี้ แล้วจะหวังบุญไปทำไม๊ เพราะนิพพานก็คือความว่าง แล้วจะแบกบุญไปให้หนักเป็นการถ่วงการเดินทางของจิตไปทำไม๊..จริงป่าว..:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2013
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    แว่บมาทักทาย คุณครูเกษด้วยความคิดถึงค่ะ..

    มะป๊ะกานนานเยย..มะได้จุดธูป แต่ใช้จิตส่งเอาจ้า ๆ


    และโมทนากับพี่ๆน้องๆจิตบุญทุกท่าน

    ที่ได้ตั้งโรงทาน และตั้งผ้าป่าจิตบุญ ทำบุญที่

    วัดพุทธบารมี สาขาฮอลแลนด์ ด้วยนะคะ..


    สาธุ สาธุ สาธุ...
     
  12. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    ขอบคุณครูเกษมากน่ะค่ะ (f)
    พอดีเพื่อนที่รู้จักแนะนำให้ติ๊กฝึกกับครูท่านหนึ่งในที่นี้ได้สักพักแล้วค่ะ
    แต่ก็เข้ามากระทู้นี้เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2013
  13. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โมทนาสาธุ...ค่ะครูเกษ ไม่ค่อยเห็นเล่นเฟสเลยตามมากดไลด์ให้ที่นี้เด้อ
     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    555..สวัสดีค่ะ คุณพี่พอใจ...ไม่ป่ะกันนาน..คิดถึงจังเล๊ย...({)({)({)
    แหม๋..ที่แท้ก็คุณพี่พอใจนี้เอง ที่จุดธูป..เอ๊ย..ส่งจิตไปหา..อิๆๆ..สุขสันต์วันอาทิตย์ค่ะ..ไม่มีเพลงมาฝากเหรอค่ะเนี่ย..
     
  15. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สมองรู้มาก ไม่เท่ากับจิตรู้มากน่ะค่ะ จิตจะรู้มากได้อย่างไร ตอนนี้ก็ต้องให้มีความเพียรมีสตินึกถึงพระให้ได้บ่อยๆ 5-7 ครั้ง/ชม.ไปตลอดทั้งวันน่ะค่ะ เมื่อจิตเกาะพระเป็นออโต้ได้เมื่อไรโน้นแหล่ะค่ะ สนุกแน่..

    สู้ สู้ค่ะ:cool::cool::cool:
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    555..โมทนาสาธุค่ะ คุณตรี มาไงไปไงเนี่ย ถึงมาโผล่ที่นี้ได้..อะจ๊ากกก...มีคนมาตามถึงนี้เลยง่ะ..555:boo::boo::boo:
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    เรา..บรรลุธรรมหรือทะลุธรรม

    คำว่า "บรรลุธรรม" ตามในพระไตรปิฎก หมายถึงผู้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง
    อย่างเช่น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ เป็นต้น
    แต่ผู้ที่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ก็คือผู้รู้แจ้งในอริยสัจ๔ ด้วยโลกุตตรปัญญา
    ก่อนที่โลกุตตรปัญญาจะเกิด แต่โลกียปัญญา(วิปัสสนาญาณ)จะต้องเกิดก่อน
    ผู้ที่บรรลุโลกุตตรธรรม(ธรรมเหนือ/พ้นโลก) อันได้แก่ มรรค๔ ผล๔ นิพพาน๑ เป็นต้น
    มีเพียงพระอรหันต์เท่านั้น ที่มิได้ยึดติดในธรรมารมณ์ต่างๆ จากอายตนะทั้ง๖
    ส่วนพระอริยบุคคลที่เหลือ ย่อมยึดติด(บ้าง)เป็นธรรมดา แต่จะมากน้อยไปตามระดับจิต
    พระอริยบุคคลย่อมไม่มีความสงสัยในธรรมที่ตนเองได้/เป็น(ในมรรคผลฯ)
    พระอริยบุคคลจะต้องละกิเลสด้วยปัญญา ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หมายถึง จิต
    การบรรลุธรรม มิใช่แค่อ่าน/ฟังหรือเข้าใจ แต่ต้องรู้แจ้งแทงตลอดในขันธ์๕(รูป๑นาม๔)
    ตามอริยสัจจ์ ตามวิปัสสนาญาณ๑๖ หรือ ญาณ๙

    นักภาวนาส่วนใหญ่มักเข้าใจตนเองว่า..บรรลุธรรม แท้ที่จริงแล้ว แค่..ทะลุธรรม
    คำว่า "ทะลุธรรม" หมายความว่ามองผ่านธรรม(ความจริง)ไปเฉยๆ จิตยังไม่ยอมรับความจริง
    จิตยังปล่อยวางไม่หมด/วางไม่สนิท ระวัง! นอกจากหลอกคนอื่นแล้วยังหลอกตนเองด้วย
    ลองถามตนเองกันดูสิว่า..เราปล่อยวางได้จริงหรือ? ความทุกข์ตนเองยังมีอยู่หรือไม่?

    สังเกตกันง่ายๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเอาธรรมะเข้าบ่ม มิใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนัก ไม่ควรทำ
    สิ่งที่ถูกต้องนั้นก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้จิตเรายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
    ก็ล้วนเป็นธรรมที่เกิด-ตั้งอยู่-ดับไปเป็นธรรมดา เป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ นั่นเอง
    แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง/แปรเปลี่ยนไปของธรรมชาติเหล่านี้ นั่นเอง
    ปัญหาจึงเกิด ทุกข์จึงเกิดตามมาภายหลัง ตราบใดคนเรายังมีอวิชชา คือความไม่รู้จริง
    ย่อมหาทางออกจากทุกข์ตนไม่ได้ เพราะจิตไม่มีปัญญาพอที่จะปล่อยวางกับสิ่งต่างๆได้
    เมื่อไหร่คนเรายังตามหาจิต(ดวงจิต)ตนไม่พบเจอ ตัวปัญญาก็ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีแน่นอน
    ย่อมรับทุกข์ เป็นทุกข์ รู้สึกทุกข์กันไปตลอด จนกว่าจิตเราจะมีตัวปัญญาเป็นของตนเอง

    การบรรลุธรรม นอกจากจิตจะปล่อยวางได้ด้วยปัญญาแล้ว
    จิตจะต้องยอมรับกฎธรรมชาติ กฎธรรมดา กฎแห่งกรรม เท่ากับยอมรับกฎไตรลักษณ์นั่นเอง
    เพราะฉะนั้น ธรรมทุกธรรม มิอาจหลีกหนี/ไม่พ้นกฎธรรมดาหรือกฎพระไตรลักษณ์ นั่นเอง
    เมื่อคนเราเกิดมามีร่างกายก็เท่ากับเรามีตัวทุกข์เป็นของตนเอง เพราะฉะนั้น อย่าปฎิเสธทุกข์
    เพราะฉะนั้น อย่าไปคิด..หนีทุกข์ วิ่งหาสุข
    เพราะความสุขที่แท้จริงก็อยู่ที่ภายใน(จิตตนเอง) แต่ความสุขภายนอกเป็นแค่ความสุขชั่วคราว
    ความสุขภายนอกหรือความสุขของคนทางโลก คือสุขน้อย ทุกข์มาก
    เมื่อเปรียบเทียบระหว่างความสุขภายในกับภายนอกแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับเหว
    ความสุขทางโลกมีความทุกข์เจือปนอยู่มาก แต่คนส่วนใหญ่ก็ชอบแสวงหากัน
    เพราะอวิชชาของเรายังมีอยู่จริง เพราะผู้เห็นธรรมย่อมมองเห็นความจริงทุกสิ่งทุกอย่างได้
    ยอมรับความทุกข์ของตนเองจึงเท่ากับการยอมรับกฎแห่งกรรม กฎธรรมชาติ กฎธรรมดา
    ไม่ว่าจะเป็นทุกข์กาย ทุกข์ใจก็ต้องยอมรับได้ นั่นแค่ทฤษฎี นั่นแค่เปลือกหรือกระพี้ เท่านั้น
    แต่แก่นธรรมนั้น ก็คือการปฎิบัติ/การเข้าไปให้ถึงกระแสจิตตนเอง(จิตในจิต)
    ธรรมปฎิบัติ เป็นการเจริญสติภาวนา เป็นอุบายทำให้จิตนิ่งสงบเป็นสมาธิของผู้ปฎิบัติ
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้สมาธิจิตหรือทรงฌานนั้น มิได้หมายถึงการบรรลุธรรมแต่อย่างไร
    การบรรลุธรรม คือจิตที่ได้ตัวปัญญาแล้วค่อยนำไปวิปัสสนาไปจนถึงได้วิปัสสนาญาณ
    จิตเราจึงจะปล่อยวางกับสิ่งทั้งปวงได้ ส่วนจะปล่อยวางมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวปัญญา
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติมีความขยันหมั่นเพียร/เจริญสติอยู่บ่อยๆ ทำอย่างต่อเนื่อง ก็มีตัวปัญญาต่อเนื่อง
    ตัวปัญญาที่นักภาวนากำลังตามหากันอยู่ ณเวลานี้กัน มีผลต่อการปล่อยวางของจิตโดยตรง

    (ขออนุญาต เน้นย้ำแก่นธรรมกันหลายรอบ นั่นก็คือ จิต)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2013
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ศีล อุปมาเหมือนกรงเหล็กเข้าไปครอบกิเลสเข้าไว้ เพราะกิเลสถ้าจะเปรียบ ก็เหมือนเสือร้ายหรือสิงห์ร้าย ถ้ามันติดกรงอยู่มันก็ดิ้นแต่มันกัดใครไม่ได้ แต่เราขังมันไว้ได้เราก็ชนะจุดหนึ่งแล้ว จะขังไว้ได้นานหรือไม่นานไม่สำคัญ ชื่อว่าเราขังได้ก็แล้วกัน เราขังได้ ใช้เวลาน้อยก็ตาม มากก็ตาม ถ้าขังบ่อย ๆ กิเลสมันก็เพลียเหมือนกัน

    ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    Cr: BuddhaSattha
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ศีลก็เป็นเนื้อนาบุญอันหนึ่ง สมาธิก็เป็นเนื้อนาบุญอันหนึ่ง ปัญญาก็เป็นเนื้อนา

    บุญอันหนึ่ง...ทานก็เป็นเนื้อนาบุญอันหนึ่ง ทั้งนักบวชและฆราวาสผู้ผู้บำเพ็ญตามนี้ จัดว่า

    เป็นผู้บำเพ็ญตนให้เป็นเนื้อนาบุญของตน...วันนี้บำเพ็ญ วันหน้าก็บำเพ็ญ ไม่ลดละในเนื้อ

    นาบุญของตน...จนสามารถทำศีล ทำสมาธิ ทำปัญญาให้สมบูรณ์ขึ้น แล้วก็กลายเป็นความ

    ร่มเย็นแก่ตนอย่างเต็มที่...เมื่อมีความเพียรบำเพ็ญตนให้เป็นเนื้อนาบุญของตนได้แล้วก็

    สามารถเป็นเนื้อนาบุญ คือ ให้ความร่มเย็นแก่ประชาชนได้เช่นเดียวกันแนวทางขององค์

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าและสาวกอรหันต์...ท่านได้ดำเดินมาอย่างนี้ทั้งนั้น.........

    ...ประมวลธรรม พระอรหันต์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

    ท่านได้แสดงธรรมไว้เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๐๕

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสอนขององค์ท่านและน้อมกราบองค์ท่านด้วยเศียรเกล้า.
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (รู้ให้ทัน)

    ...แกนกลาง...ของสิ่งที่จะดับทุกข์ได้คือ...

    เราเห็นการเกิดและการดับของสิ่งทั้งหลาย...เห็นร่างกายนี้ เห็นจิตใจนี้ เกิดอยู่แล้วก็ดับ

    ไปเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่เป็นของเรา...เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งนอกตัวเราไม่ว่าจะ

    เป็นบุคคลอื่นก็ดี...เป็นสิ่งของก็ดีเป็นโลกทั้งโลกก็ดี มันเป็นของไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ตั้งอยู่

    ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปไม่ใช่สิ่งที่เก็บมาเป็นอารมณ์ทับถมจิตใจ...และสร้างความทุกข์ เป็นสิ่ง

    ที่เราต้องปล่อย...แต่ปล่อยด้วยสติ ปัญญา และคุณธรรม...

    ...พระอาจารย์ ป สั น โ น วัดป่าอภัยคีรี แครฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา...

    กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ และกราบขอบพระคุณในพระธรรมคำสั่งสอนขอน้อมรับค่ะ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...