พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post774788 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 11:05 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#11110 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผมมีคำถามที่จะมาถามทุกๆท่าน อยากให้แสดงความคิดเห็นกันมากๆ


    นาย ก ได้เปิดกระทู้เพื่อรับบริจาคในการทำบุญสร้างโบสถ์ 1 หลัง เปิดกระทู้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550 โดยให้ผู้ที่สนใจที่จะร่วมทำบุญให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของนาย ก(ซึ่งเพิ่งจะเปิดบัญชีในวันที่ 1 มกราคม 2550) โดยมีกำหนดการถถวายเงินที่รับบริจาคมาให้กับวัดในวันที่ 30 มิถุนายน 2550
    วันแรกมี นาย ข โอนเงินร่วมทำบุญ 100,000 บาท
    วันที่สอง มี นาย ง โอนเงินร่วมทำบุญ 10,000 บาท
    เดือนต่อมา( 14 กุมภาพันธ์ 2550) มี นาย จ โอนเงินร่วมทำบุญ 10,000 บาท
    เดือนสุดท้าย( 1 มิถุนายน 2550) มี นาย ช โอนเงินร่วมทำบุญ 500,000 บาท

    มีผู้ที่ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์หลังนี้ จำนวน 620,000 บาท

    พอวันที่ 30 มิถุนายน 2550 นาย ก ได้ถอนเงินออกจากบัญชี จำนวน 620,000 บาทแล้วนำไปถวายวัด เพื่อร่วมสร้างพระอุโบสถ ตามเจตนาที่ผู้ร่วมทำบุญมีความประสงค์ที่จะร่วมสร้างพระอุโบสถ

    ถามว่า
    1.นาย ก ได้บุญหรือไม่ อย่างไร
    2.คุณคิดอย่างไรกับดอกเบี้ยที่เกิดจากการฝากเงิน(ที่ทั้ง 4 คนร่วมทำบุญ) ไว้ในบัญชีของ นาย ก นาย ก มีสิทธิที่จะนำไปใช้ส่วนตัวได้หรือไม่ อย่างไร และดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนั้น(ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินมากหรือน้อย) ควรจะเป็นสิทธิของใคร ระหว่าง นาย ก , วัด , ผู้บริจาค

    สำหรับท่านที่ร่วมตอบปัญหานั้น ถ้ามีการนำบทความในพระไตรปิฎกมาอ้างอิง(ต้องระบุด้วยว่า จากพระสูตรไหน ,พระอภิธรรมไหน ฯลฯ) ผมจะมีพระพิมพ์มอบให้ จำนวน 1 องค์
    แต่ถ้าท่านใดที่ร่วมตอบปัญหา ไม่มีการนำบทความในพระไตรปิฎกมาอ้างอิง ขออนุญาตไม่มอบพระพิมพ์ให้นะครับ

    การอ้างอิง ต้องบอกนะครับว่า พระสูตรชื่ออะไร และได้จากที่ไหน

    ขอบคุณครับ




    สิ้นสุดรับคำตอบ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 นี้ครับ

    พระพิมพ์ที่ผมจะมอบให้นั้น ผมคัดมาให้เป็นพิเศษ แต่จะอุบไว้ก่อน น่าจะเป็นพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้า ปี 2408(รุ่นนี้มี 8 พิมพ์) จำนวน 1 องค์ ครับ

    แต่ต้องตอบโดยมีหลักฐานอ้างอิงในพระไตรปิฎกด้วยนะครับ อาจจะใช้วิธีการเทียบเคียงได้ ถ้าไม่มีการอ้างอิงโดยตรง ถ้าคัดลอกมาได้ จะมอบพระพิมพ์เพิ่มให้อีก


    โชคดีนะครับทุกๆท่าน


    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post758130 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15-10-2007, 10:07 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10842 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_758130", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต



    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 16,062 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 19,221 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 90,417 ครั้ง ใน 12,294 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10677 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_758130 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ช่วงนี้ งานผมเองค่อนข้างเยอะมาก ทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ ผมขอลาพักร้อน พักงานบุญไว้ก่อน

    หลังปีใหม่(2551)นี้ ผมจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งว่า ผมจะมอบพระพิมพ์ไหนให้กับท่านที่ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งอีกนะครับ


    ขอขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านที่ให้กำลังใจนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakkzTVRBMU1BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd055MHhNQzB5Tnc9PQ==

    วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6176 ข่าวสดรายวัน


    "สาวไทย"หนีนรก บ่อนเขมร ซ้อม-ทารุณให้ใช้หนี้

    เล่นเจ๊ง-หมดตัว จำนำ"พาสปอร์ต" โดนจับขัง-ใช้งาน วิ่งหนีข้ามแดน!



    สาวไทยหนีนรกบ่อนกาสิโนปอยเปต กระเซอะกระเซิงหนีข้ามแดนกลับเข้าไทย ทหารพรานไปเจอขณะกำลังข้ามคลองที่บ้านคลองลึก ในสภาพสะบักสะบอมไปทั้งตัว ให้การเป็นชาวยโสธรเข้าไปเสี่ยงโชคกาสิโนที่ปอยเปต มีทุนไป 2 หมื่นบาท ตอนแรกก็เล่นได้แต่ช่วงหลังเสียจนหมดตัว ตัดสินใจเอาพาสปอร์ตไปจำนำที่ร้านเฮงเฮง เป็นร้านรับจำนำในบ่อน ได้เงินมา 1,500 บาทเป็นทุนไปเล่นต่อ แต่ก็โชคร้ายเสียหมดตัวอีกครั้ง ไม่มีเงินจ่ายร้านจำนำ เลยโดนจับซ้อมจนน่วมแล้วจับไปทำงานใช้หนี้ที่ร้านอาหารนานนับเดือนเยี่ยงทาส ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงตี 3 ทุกวัน กระทั่งเมื่อเช้าแม่ครัวทะเลาะตบตีกันชุลมุนเลยฉวยโอกาสวิ่งหนีออกจากร้านอาหารเตลิดข้ามแดนกลับไทย

    เมื่อเวลา 11.20 น.วันที่ 26 ต.ค. ร.อ.สมปอง บุญชัย ผบ.กองร้อยทหารพรานที่ 1207 กองกำลังบูรพา จุดตรวจด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ. อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้จับกุมนางวิไล เสมียนกุล อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ที่ 2 บ้านซ้องแย้ ต.คำเตย อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธร ขณะกำลังข้ามคลองกั้นเขตแดนไทย-กัมพูชา เข้ามาที่ต.ท่าข้าม หมู่ที่ 1 อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จึงนำตัวนางวิไลไปสอบสวนที่กองร้อยทหารพรานที่ 1207 กองกำลังบูรพา

    นางวิไล ซึ่งอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ให้การว่า ได้เข้าไปเล่นการพนันที่บ่อนการพนันชื่อกาสิโนฮอลิเดย์พาเลซที่ปอยเปตตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยผ่านจุดผ่านแดนเข้าไปยังฝั่งปอยเปตด้วยหนังสือ เดินทาง หรือพาสปอร์ต ตอนที่เดินทางไปเสี่ยงโชคนั้นตนมีเงินติดตัวไปเล่นพนันประมาณ 20,000 บาท ช่วงแรกๆก็เล่นได้ แต่พอช่วงหลังก็เล่นพนันเสียจนหมดตัว

    "พอเล่นเสียจนหมดตัว ฉันจึงเอาพาสปอร์ตไปจำนำที่ร้านเฮงเฮง ซึ่งเปิดรับจำนำสิ่งของต่างๆของบ่อนกาสิโนฮอลิเดย์พาเลซ ทางร้านเฮงเฮงให้ราคา 1,500 บาท หักดอกทันที 150 บาท และมีข้อตกลงว่าจะต้องส่งดอกวันละ 150 บาททุกวันด้วย เมื่อได้เงินมาแล้วก็เข้าไปเล่นพนันในบ่อนต่ออีกครั้ง แต่ไม่มีโชค เล่นเสียจนหมดตัวอีกครั้ง" นางวิไลกล่าว

    นางวิไลกล่าวต่อไปว่า นอกจากเล่นเสียแล้วตนยังติดหนี้พนันบ่อนกาสิโนอีก ช่วงที่ตนยืนดูเขาเล่นพนันกันอยู่ จู่ๆก็มีชาย 2 คนบอกว่ามาจากร้านเฮงเฮงมาทวงหนี้ 1,500 บาท พอตนบอกว่ายังไม่มีจ่าย ชายทั้ง 2 คนก็เข้าลากตนออกจากบ่อนกาสิโน พาเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งข้างๆบ่อนกาสิโน พาตนเข้าในห้องมืดมีแสงสลัวๆ จากนั้นชายทั้ง 2 ก็ทุบตี เตะ ตบจนล้มกลิ้งเลือดกบปาก และบอกให้ตนติดต่อญาติพี่น้องให้หาเงินมาไถ่ตัว ตนบอกไปว่าไม่มีญาติ คนร้ายทั้ง 2 คนจึงบังคับให้ตนไปทำงานในครัวของร้านอาหารดังกล่าวเพื่อชดใช้หนี้พนัน

    "ตอนนั้นโดนซ้อมให้ทำงานในครัวใช้หนี้ ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงตี 3 ทุกวันนานนับเดือน ที่หลบหนีออกมาได้ เพราะแม่ครัวในร้านอาหารเกิดทะเลาะกัน เอะอะโวยวายกันลั่น ฉันจึงฉวยโอกาสวิ่งหลบหนีออกมาจากร้านอาหาร มุ่งหน้าเข้าเขตแดนของไทย พอข้ามคลองมาได้ก็ถูกทหารไทยจับตัวพอดี ตอนที่วิ่งหนีออกมานั้น วิ่งหนีตาย โดยไม่รู้ด้วยว่าตรงไหนฝั่งไทยหรือเขมร" นางวิไลกล่าว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารพรานจึงส่งมอบตัวนางวิไลให้ให้พ.ต.ต.เริงวิชญ์ รักชาติ พนักงานสอบสวนสภ.ต.คลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ทำการปรับข้อหาเข้าราชอาณาจักรไทยผิดช่องทางมีโทษปรับไม่เกิน 800 บาทแล้วปล่อยตัวไป
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/prachachat/pr...g=02hmc02251050&day=2007-10-25&sectionid=0220

    วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3943 (3143)​

    บุคลิกที่ดี ต้องมีหน้ากากจริงหรือ ?


    คอลัมน์ HR Corner

    โดย คม สุวรรณพิมล Komsuwanpimon@yahoo.com

    "ความสำเร็จในชีวิต ส่วนหนึ่งมาจากบุคลิกภาพ"

    คำกล่าวนี้ เรามักได้ยินกันโดยทั่วไป โดยแทบไม่มีข้อโต้แย้ง เวลาเราเห็นใครที่บุคลิกดีๆ ก็น่าคบค้าสมาคมด้วย ดูเขาช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลเสียจริง ยิ่งดู ก็ยิ่งน่าอิจฉา แต่ที่สำคัญ เรามักจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จมักมีบุคลิกภาพที่ดี คุณเคยคิดหรือไม่ว่า

    เขาคนนั้น "บุคลิกดี แล้วจึงประสบความสำเร็จ" หรือ "เขาประสบความสำเร็จแล้ว ถึงมีบุคลิกดี"

    โจทย์นี้น่าคิดนะ ว่าอะไรเกิดก่อนกันแน่ ? แต่ยังไงแล้ว โจทย์นี้ก็คงไม่ยากกว่า "ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน" แน่นอน

    ผมอยากให้คุณลองหลับตาจินตนาการ ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมที่เราเคยประสบพบเจอ

    ในงานเลี้ยงสังคมไฮโซฯ, ในงานประชุมจัดงานการกุศลของสมาคมต่างๆ, ในงานปาร์ตี้สุดหรูริมสระน้ำของโรงแรมชื่อดัง, ในงานประชุมทางวิชาการของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ระดับประเทศ, ในงานเลี้ยงวันเกิดตัวเองกับคนในครอบครัว, ในงานประชุมเล็กๆ ในแผนกหนึ่งของบริษัท, ในงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนเก่าสมัยมหาวิทยาลัย, ในงานเลี้ยงรับรองผู้จัดการคนใหม่, ในวงอาหารค่ำของทุกคนในครอบครัว, ในการประชุมเสนองานขาย, ในระหว่างการท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ ฯลฯ

    คุณพอจะนึกถึงเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นออกบ้างไหมครับ ทีนี้คุณลองคิดดูซิว่า อากัปกิริยาของคุณเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เหมือนหรือแตกต่างกัน เหตุการณ์ไหนคุณเป็นตัวของตัวเองที่สุด และเหตุการณ์ไหน คุณพยายามทำตัวเป็นคนอื่น

    ผมเชื่อแน่ว่าแต่ละเหตุการณ์คุณมีท่าทางการแสดงออกไม่เหมือนกันแน่ๆ เพียงแต่ว่า "ทำไม ?"

    ความแตกต่างในความเป็นตัวคุณ ที่แสดงออกในแต่ละงาน มาจาก "ระดับของความคุ้นเคย" โดยเริ่มต้นจาก คุ้นเคยมากๆ คือ คนในครอบครัว เรื่อยมาถึง "ไม่คุ้นเคย" เช่นงานเลี้ยงระดับประเทศที่เราไม่รู้จักใครเลย ซึ่งทำให้ "หน้า" ของเราเองเปลี่ยนไปเป็น "หน้าอื่น" ได้อย่างไม่ยากนัก "หน้ากาก" จึงเกิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้

    ทีนี้กลับมาดูซิว่าบุคลิกกับหน้ากากมันเกี่ยวกันยังไง ?

    คนบางกลุ่มตีความว่า "บุคลิกดี" ก็คือ ภาพภายนอกที่ดูดีสำหรับคนอื่นๆ ดังนั้นหลายคนจึง "พยายามทำทุกอย่างทั้งการเข้าฝึกอบรมกับสถาบันที่สอนบุคลิกภาพ หรือพยายามแต่งตัวให้ดูดี ทันสมัย ราคาแพง

    ซึ่งก็ดูดีขึ้นจริงๆ แต่ถ้า "บุคลิกจากภายใน" มันไม่ไปด้วยกันกับภาพภายนอกล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าบางคนนั้น ภายในเป็นคนขี้อิจฉา นินทาว่าร้าย พูดจาส่อเสียด คิดไม่ซื่อ ฯลฯ แล้วคุณว่าหน้ากากภายนอกที่เขาสวมอยู่มันจะปกปิดมิดหรือเปล่า ?

    และนั่นคือที่มาของความล้มเหลวทั้งหมดที่เกิดจากบุคลิกภาพ ที่เขาทำลาย "สัมพันธภาพ" ที่ดีๆ กับคนอื่น และปิด "โอกาส" ที่จะนำตัวเองสู่ความสำเร็จได้ เนื่องจากการละเลยบุคลิกภาพที่มาจากภายใน

    "หน้ากาก" มันไม่ได้หมายถึงแค่เพียงเครื่องห่อหุ้มร่างกายเท่านั้น แต่มันหมายถึงการ "เสแสร้ง" เป็นในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็น ซึ่งคนใส่หน้ากากนั้น มักจะคิดว่าคนอื่นดูไม่ออก แยกไม่ได้ระหว่าง "ของจริง" กับ "ของปลอม" ซึ่งนั่นเป็นการดูถูกสติปัญญาของคนอื่นๆ ในสังคมอย่างมาก ซึ่งเขาเหล่านั้นคิดผิด !

    กลับมาเข้าเรื่องก่อน "บุคลิกดีต้องมีหน้ากากจริงหรือ ?"

    ถ้าคนทั่วไปใครๆ ก็ดูออกว่าใครบ้างที่ใส่หน้ากาก แล้วเราจะใส่ หน้ากากกันไปทำไม ใส่แล้วใครก็รู้ สู้เปิดเผย "ตัวตน" ของตัวเองออกมาดีกว่า ซึ่งมันก็เหมือนกับเหตุการณ์ในช่วงต้น ที่เราอยู่กับคนคุ้นเคย เราไม่เคยใส่หน้ากากกับคนคุ้นเคยเลย ซึ่งสิ่งที่เราควรทำก็คือการยก "ตัวตน" ของเราไปทุกๆ เหตุการณ์ และสิ่งนี้นี่แหละ คือ "ความเป็นตัวของตัวเอง" อย่างที่หลายคนต้องการ

    และด้วยความเป็นตัวของตัวเองนี่แหละที่ทำให้เกิดบุคลิกที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จ เพียงแต่ "ตัวเอง" ที่เปิดเผยออกมานั้น มันมีดีแค่ไหน ก็มาจากภายในใจของเราเองว่าเป็นคน "คิดดี" แค่ไหน ไม่ใช่อยู่ที่เครื่องหุ้มห่อภายนอก

    คุณลองกลับไปนึกถึงคนที่ประสบความสำเร็จอีกครั้งว่า ที่เราบอกว่าเขาบุคลิกดี คุณคิดว่าบุคลิกนั้นมันมาจากภายนอกหรือว่ามาจากเขา "แสดงความเป็นตัวของตัวเอง" ออกมา

    มาถึงตรงนี้คุณลองตอบคำถามเดิมที่ว่านั้น "บุคลิกดีแล้วจึงประสบความสำเร็จ" หรือว่า "เขาประสบความสำเร็จแล้วถึงมีบุคลิกดี" คำตอบนั้นไม่ยาก เพราะเขาเป็นตัวของตัวเอง จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จ และตัวของตัวเองที่ส่งเสริมให้เขาสำเร็จนั้น

    ก็เนื่องจากเขาคนนั้นเป็น "คนดีจากภายใน" นั่นเอง !
     
  5. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    กำลังอ่านเหมือนกันครับ ตอนเช้านั่งรถมาทำงานคิดแนวทางของคำตอบที่จะอ้างอิงเอาไว้ ว่าน่าจะเกี่ยวกับมะม่วง เพราะจะมีการผลิดอกออกผล และมีการปลูกในที่ของสงฆ์ และของฆราวาส เพราะในพุทธชาดก ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับมะม่วงพอสมควร แต่พอมาเปิดเว็บดูตอนเข้าเจอคุณ nongnoo ใจตรงกันตอบไปก่อนแล้วเดี๋ยวจะลองหาคำตอบใหม่ที่ใกล้เคียงอีกรอบครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/prachachat/pr...g=02sup03251050&day=2007-10-25&sectionid=0218


    วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3943 (3143)​

    หนี้ของมหาอำนาจ "อเมริกา"


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 มีหนังสือเล่มหนึ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมา หนังสือเล่มนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก กระทั่ง "ดิ อีโคโนมิสต์" ยังยกนิ้วให้เป็น 1 ใน 10 หนังสือที่ต้องอ่าน ประจำปี 2548-2549 แต่เหนืออื่นใด สื่อบางแห่งเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า หนังสือที่น่ากลัวมากที่สุดในวอชิงตัน !

    ทำไม ?

    หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Empire of Debt : The Rise Of An Epic Financial Crisis เขียนโดย บิล บอนเนอร์ ประธานบริหารและซีอีโอ บริษัทอากอรา ค่ายสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และแอดดิสัน วิกกิน บรรณาธิการอำนวยการ หนังสือพิมพ์ The Daily Reckoning

    หนังสือหนา 370 หน้าของทั้งสองได้เสนอมุมมองอีกด้านหนึ่งของเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของโลก สวนทางกับหนังสือหลายๆ เล่มที่ออกมาก่อนและออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

    พวกเขาเตือนไปยังผู้อ่านอเมริกันชนทั้งหลายว่า สหรัฐไม่ใช่ประเทศที่มั่งคั่งดังภาพที่เห็น ภาพที่แท้จริงของประเทศนี้ได้เปลี่ยนจากเจ้าหนี้รายใหญ่สุดของโลก มาเป็นลูกหนี้ที่ก่อหนี้สินมากที่สุดในโลกไปแล้ว พวกเขาทำนายจุดจบ (อีกครั้ง) ของดอลลาร์กำลังจะมาเยือน พวกเขามองเห็นหายนะที่รอ อยู่เบื้องหน้า

    จากหนังสือเมื่อปี 2548 คำว่า Empire of Debt ได้ถูกนำมาใช้อีกหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือ ไมค์ เฮวิตต์ วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน เขาเขียนบทวิเคราะห์ตีพิมพ์ใน www.goldnews.com โดยตั้งคำถามนำว่า "สหรัฐเป็นหนี้มากน้อยแค่ไหน และเป็นหนี้ใคร"

    ปัจจุบันหนี้ของประเทศ ของสหรัฐ หรือที่เรียกกันตามศัพท์วิชาการว่า หนี้สาธารณะนั้น เป็นหนี้ที่ก่อโดยรัฐบาลกลาง บทสรุปของทุกประเทศทั่วโลก เมื่อรัฐบาลเป็นหนี้ หมายความว่า ประชาชนผู้เสียภาษีทั้งมวลต้องแบกรับภาระหนี้สินนั้นไปด้วย

    หนี้ประเภทแรกของสหรัฐจึงมาจากการก่อหนี้ของรัฐบาล ผ่านการออกตั๋วเงินและพันธบัตรรัฐบาล แล้วขายผ่านตลาดเปิด หรือขายตรงให้กับธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งนับถึง 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา หนี้ก้อนนี้มีมูลค่าประมาณ 8.887 ล้านล้านดอลลาร์

    ถัดจากหนี้รัฐบาลกลางยังมีหนี้ของรัฐบาลระดับมลรัฐ และส่วนปกครองท้องถิ่นอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งนับถึงสิ้นปี 2549 มูลค่าของหนี้ก้อนนี้อยู่ที่มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์

    ที่น่าสนใจคือ เฮวิตต์ได้พูดถึง "หนี้นอกงบประมาณ" หรือ off-balance sheet ซึ่งรัฐบาลจะต้องจ่ายในอนาคต ครอบคลุมตั้งแต่บำเหน็จบำนาญของส่วนกลาง สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล และประกันสังคม หากรวมเอาหนี้นอก งบประมาณเข้าไว้ด้วย ยอดรวมหนี้สาธารณะของสหรัฐจะเพิ่มเป็น 59.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 403% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

    หมายความว่า ชาวอเมริกัน (ที่เสียภาษี) โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนนี้ ประมาณ 516,348 ดอลลาร์ต่อครัวเรือน

    แต่ในชีวิตจริง ครัวเรือนอเมริกันมีภาระหนี้ของตัวเองอยู่แล้ว เฉลี่ยตกประมาณครัวเรือนละ 112,043 ดอลลาร์ อันเป็นหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อซื้อรถยนต์ บัตรเครดิต และหนี้ประเภทอื่นๆ

    เมื่อสหรัฐเป็นหนี้ คำถามคือ ใครบ้างที่เป็นเจ้าหนี้ในส่วนของหนี้สาธารณะ ซึ่งเฮวิตต์ได้อ้างข้อมูลจาก 2 แหล่งสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการคลัง และธนาคารกลาง โดยเป็นตัวเลขนับถึงเดือนธันวาคม 2549

    น่าสนใจว่าเจ้าหนี้ของหนี้สาธารณะสหรัฐ แบ่งเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย ธนาคารกลางสหรัฐ ถือครองหนี้ 3.779 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 44% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด หนี้ในประเทศ 32% หรือ 2.796 ล้านล้านดอลลาร์ และหนี้ต่างประเทศ 24% หรือ 2.105 ล้านล้านดอลลาร์

    มองจากกลุ่มแรกสุด คือ ธนาคารกลาง หากเป็นบ้านเราต้องเรียกพฤติกรรมก่อหนี้แบบนี้ว่า กระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวา กระบวนการกู้ยืมระหว่างรัฐบาลและธนาคารกลางนั้นทำได้ง่ายมาก ยกตัวอย่าง เมื่อรัฐบาลต้องการใช้เงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จะออกพันธบัตรมูลค่าเท่าจำนวนที่จะก่อหนี้มอบให้กับธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเท่ากับให้อำนาจธนาคารกลางสหรัฐสามารถพิมพ์เงินใหม่ออกมา 1 หมื่นล้านดอลลาร์ มาให้กับรัฐบาลอีกทีหนึ่ง ตามกฎหมายแล้วธนาคารกลางสหรัฐสามารถปล่อยกู้ให้รัฐบาลในลักษณะแบบนี้ได้ไม่เกิน 1 แสนล้านดอลลาร์

    เฮวิตต์บอกว่า การขยายตัวของสินเชื่ออันเป็นผลมาจากการปล่อยกู้ทางตรงของธนาคารกลางสหรัฐให้กับรัฐบาลวอชิงตัน จะทำให้มูลค่าเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ลดทอนลง เมื่อมูลค่าของเงินดอลลาร์ลดลง ราคาจะขยับขึ้น

    ผลกระทบที่ตกกับประชาชนคืออำนาจซื้อจะลดลง เพราะเงินดอลลาร์ในมือพวกเขาจับจ่ายสินค้าได้น้อยกว่าในช่วงที่ผ่านๆ มา

    สำหรับหนี้ในมือต่างประเทศนั้นพบว่า 64% อยู่ในการครอบครองของธนาคารกลางต่างๆ ส่วนที่เหลือเป็นของ นักลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้นับถึงสิ้นปี 2549 หนี้สหรัฐที่ก่อในรูปของการออกพันธบัตรและไปอยู่ในมือต่างชาตินั้นพบว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีสัดส่วนในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของทางการจีน 33% ขณะที่อยู่ในทุนสำรองของญี่ปุ่น คิดเป็น 68% ของทุนสำรองของทางการ

    ที่คาดไม่ถึงคือ หนี้สาธารณะของสหรัฐที่อยู่ในการถือครองของต่างชาติ มีขนาดใหญ่กว่ามูลค่าของเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบถึงเกือบ 3 เท่าตัว โดยจากสถิติของธนาคารกลางสหรัฐพบว่า ปริมาณเงิน (ดอลลาร์) ในระบบมีมูลค่าอยู่ที่ 7.55 แสนล้านดอลลาร์เท่านั้น

    นอกเหนือจากหนี้สาธารณะแล้ว สหรัฐยังมีหนี้ตัวอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบด้วยอีก 2 ตัว ได้แก่ หนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจเอกชน

    หนี้ครัวเรือนของสหรัฐได้เพิ่มเกือบ 50% นับจากปี 2544 โดยเพิ่มขึ้นจาก 7.66 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 12.82 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2549 สาเหตุหลักที่ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งทะยานลิ่วอย่างรวดเร็วมาจากหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือจากการทำสัญญาเงินกู้จำนองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย ได้เพิ่มขึ้น 83% นับจากปี 2544

    การก่อหนี้ในลักษณะเช่นนี้ถูกใช้เป็นสัญญาณเตือนโดย นักวิชาการมาโดยตลอด และมักจะพูดถึงฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ว่า มีจุดเริ่มต้นในปี 2544 ก็ด้วยเหตุผลนี้ เพราะหลายๆ กรณีพบว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ก่อส่อไปในทางเก็งกำไรมากกว่าใช้อยู่จริง แม้แต่ชาวอเมริกันระดับล่างและชนชั้นกลางก็มีส่วน

    แรงจูงใจให้ชาวอเมริกันก่อหนี้ได้ในระดับนี้มาจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำมาก ต่ำที่สุดในรอบ 40 ปี บวกกับแพ็กเกจที่บรรดาสถาบันการเงินต่างขนออกมานำเสนอสินเชื่อ อาทิ ลดต้นลดดอก อัตราดอกเบี้ยปรับได้ และไม่มีตรวจสอบประวัติสินเชื่อและส่วนลดอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจให้คนก่อหนี้ ทั้งๆ ที่ราคาที่อยู่อาศัยในช่วงเวลานั้นทะยานพุ่งอย่างรวดเร็วเกือบ 100% คนอเมริกันกลับกล้าก่อหนี้เกินตัวเพื่อนำมาซื้อบ้านที่มีราคาแพงแสนแพงให้ได้

    ตรรกะเบื้องหลังพฤติกรรมก่อหนี้ของชาวอเมริกันมาจากความคาดหวังที่ว่า ราคาบ้านจะพุ่งขึ้นไปอีก และพวกเขาจะสามารถขายบ้านที่ซื้อไว้ให้กับผู้ซื้อรายอื่นได้ (อย่างง่ายดาย) ในราคาที่สูงกว่าราคาเดิมมาก

    แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร ดอกเบี้ยเงินกู้ของสหรัฐขยับขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่ปะทุมาจากราคาน้ำมันแพงหูฉี่ เมื่อดอกเบี้ยพลิกเทรนด์เป็นขาขึ้นและไต่ระดับขึ้นไปจนใกล้ 6% ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เคยโตแบบฟู่ฟ่าก็ชะลอลงอย่างรวดเร็ว

    ทำให้ลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่สามารถแบกรับภาระหนี้งวดเงินกู้และดอกเบี้ยที่ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วได้ต่อไป

    ผลลัพธ์ที่ตามมาหลังตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟ่อลง คือ 99 บริษัทที่ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ลูกค้าเครดิตต่ำกว่ามาตรฐาน หรือมีประวัติสินเชื่อไม่ดี (subprime loan) ยื่นคุ้มครองภาวะล้มละลาย หรือไม่ก็ต้องปล่อยมือให้ธุรกิจไปอยู่ในมือเจ้าของใหม่ และปัจจุบันมีบ้านมากกว่า 1.4 ล้านหลัง อยู่ระหว่างขั้นตอนการยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด

    สถานการณ์ดังกล่าวได้ดึงเศรษฐกิจของสหรัฐให้ต้องกับวิกฤตล้มละลายในอุตสาหกรรมสินเชื่อซับไพรมอีกครั้งหนึ่ง และกำลังบานปลายเป็นวิกฤตสินเชื่อเกือบทั้งระบบ

    สถานการณ์เหล่านี้กำลังหยิบยื่นความกลัวให้กับสหรัฐอีกครั้ง หลังจากเหตุวินาศกรรมตึกแฝดของเวิรลด์เทรดเซ็นเตอร์เคยก่อความรู้สึกประมาณนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง มีความรุนแรงมากพอที่จะดึงสหรัฐให้จมดิ่งกับภาวะถดถอยไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะได้นโยบายดอกเบี้ยถูกมากระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าอีกครั้ง

    ไม่น่าแปลกใจที่โพลชิ้นหนึ่งที่เป็นการหยั่งเสียงนักเศรษฐศาสตร์ทั่วประเทศจะมีข้อสรุปออกมาว่า พวกเขาส่วนใหญ่มองว่าวิกฤตหนี้ของสหรัฐในขณะนี้เป็นภัยคุกคามต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่ง แทนที่ความวิตกกังวลในเรื่องการก่อการร้ายไปเสียแล้ว

    ความกลัวเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อผลกระทบของวิกฤตสินเชื่อกำลังกระทบต่อตลาดเงินทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ บางรายเปรียบเทียบภาวะขาดสภาพคล่องครั้งนี้ว่าอาจจะรุนแรงมากที่สุด นับจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930

    จุดเล็กๆ ของวิกฤตซับไพรมกำลังกัดกร่อนภาคเศรษฐกิจไปทีละน้อย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก ธนาคาร แม้แต่ระบบสาธารณูปโภคยังไม่อยู่ในข่ายยกเว้น เพราะเมื่อรายได้ของเศรษฐกิจส่วนหนึ่งลดลงไป เศรษฐกิจส่วนหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องย่อมได้รับผลกระทบ

    โจเซฟ แอ็กเกอร์มาน ประธานดอยช์แบงก์ ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เขาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฮานเดลบลัตต์ โดยเตือนว่า เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตสินเชื่อซับไพรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากวิกฤตสินเชื่อจะทำให้กระทบต่อการบริโภคในประเทศโดยเฉพาะของผู้บริโภคอเมริกัน

    ไม่เพียงแค่นี้ แอ็กเกอร์มานยังมองไปที่ธนาคารและนักลงทุนสถาบันซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตซับไพรม เขามองว่าหลายรายในจำนวนนั้นกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่รุนแรง เกินกว่าที่ขนาดธุรกิจและศักยภาพของพวกเขาจะแบกรับความเสี่ยงเหล่านั้นได้

    ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า บทสรุปของ Empire of Debt ทำนายไว้ว่าอย่างไร

    ผลพวงของการที่อเมริกาละเลยประเพณีปฏิบัติที่ดีของอิสรภาพทางเศรษฐกิจ เสรีภาพส่วนบุคคล และการมีวินัยทางการเงินและการคลัง ด้วยการปล่อยให้เศรษฐกิจอยู่ในมือของรัฐบาล ใช้ง่ายงบประมาณขาดทุนแบบไม่รู้จบ พึ่งพาการบริโภคมากเกินไป

    นั่นอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใน "อำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐ" ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวอเมริกันทุกคน

    บางทีเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง ชาวอเมริกันอาจไม่มีโอกาสที่จะก่อหนี้เพื่อบริโภคในแนวทางที่ทำมาโดยตลอด เป็นเรื่องยากที่พฤติกรรมเกินตัวของสหรัฐจะสามารถรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ได้ตลอด ประจักษ์พยานที่ปรากฏคือ หนี้สาธารณะ หนี้ภาคธุรกิจเอกชน และหนี้ครัวเรือน กำลังพุ่งทะยานไม่หยุด (หน้าพิเศษ)
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/prachachat/pr...g=02fin06251050&day=2007-10-25&sectionid=0206


    วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3943 (3143)​

    เขาแก้ไขอะไร... ในสิทธิประโยชน์ภาษี กรณีลงทุนในกองทุนรวม RMF


    คอลัมน์ รอบรั้วการเงิน

    โดย วรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ. บัวหลวง จำกัด

    เมื่อวันที่ 18 ก.ย.50 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการในการแก้ไขหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนรวม RMF ให้ตรงกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมในการออมเพื่อการเกษียณ โดยจะมีผลกับหน่วยลงทุนที่ผู้มีเงินได้ซื้อมาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.50 เป็นต้นไป

    หลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการลงทุนในกองทุนรวม RMF ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.50 เป็นต้นไป จะมีการแยกพิจารณาออกเป็น 2 ส่วน คือ

    1.กรณีหน่วยลงทุนที่ซื้อ ก่อนวันที่ 1 ต.ค.50

    หากผู้มีเงินได้ มีการลงทุนในกองทุนรวม RMF อย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว (นับจากวันที่ลงทุนครั้งแรกใน RMF โดยต้องมีการใส่เงินลงทุนอย่างต่อเนื่องมาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป) แม้ผู้มีเงินได้จะมีอายุยังไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์ หากมีการขายคืนหน่วยลงทุนเฉพาะส่วนที่กล่าวมานั้น จะได้รับการยกเว้นภาษี กำไรจากการลงทุน (capital gain) และไม่ต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับ

    วิธีนับให้นับว่าลงทุนวันแรก ครั้งแรกใน RMF กองแรก บลจ.แห่งแรก ตรงกับวันที่เท่าไร นับไปห้าปี วันชนวัน หากมีอายุของเงินลงทุนครั้งแรกนี้ครบห้าปีขึ้นไป (เงินที่ลงทุนตามหลังมาจะมีอายุเท่าใดไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงมีการใส่เงินลงทุนอย่างต่อเนื่องมาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป) แปลว่าเงินที่เคยลงทุนใน RMF ทุกจำนวนทุกครั้ง ทุก บลจ. ก่อน 1 ตุลาคม 2550 สามารถไถ่ถอนเมื่อใดก็ได้ ปีไหนก็ได้ จะถอนหมด หรือทยอยถอนก็ได้ไม่ถอนเลยก็ได้ โดยหากถอนไปก็จะไม่เสียภาษี capital gain และไม่ต้องคืนภาษีที่เคยได้รับประโยชน์มาในอดีตแต่ประการใด

    แต่หากถอนโดยเงินที่ลงทุนครั้งแรกมีอายุไม่ถึง 5 ปี หรือครบ 5 ปีแต่ไม่ได้มีการใส่เงินลงทุนอย่างต่อเนื่องมาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป ไม่ว่าผู้มีเงินได้จะมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วหรือไม่ก็ตาม ผู้มีเงินได้จะต้องนำกำไรจากการลงทุน ที่ได้ไปรวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีนั้น รวมทั้งต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปีให้กับกรมสรรพากรภายในเดือน มี.ค.ของปีถัดจากปีที่ขายคืนหน่วยลงทุนนั้นด้วย

    2.กรณีหน่วยลงทุนที่ซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.50 เป็นต้นไป

    กรณีนี้เงินลงทุนใน RMF ที่ใส่เข้ามาใหม่ในกองทุนใด บลจ.ใด ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป จะต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากเงินลงทุนครั้งแรก ในชีวิต ใน RMF (นับอายุการลงทุนตั้งแต่ ครั้งแรกที่ ลงทุนในข้อ 1 ได้ หากเคยลงทุนมาแล้วก่อน 1 ตุลาคม 2550) จะได้รับสิทธิ ประโยชน์ทางภาษีเหมือนเดิม แต่ตอนขาออกจากกองทุนจะต้องมีอายุตนเอง ครบ 55 ปีบริบูรณ์ และมีการลงทุนใน RMF ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี นับวันชน วัน จึงจะไม่เสียภาษีใดๆ และไม่ต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับมาในอดีต

    หากมีการขายคืนหน่วยลงทุนเฉพาะส่วนที่ลงทุนตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไปก่อนที่จะมีอายุตนเองครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนที่จะลงทุนโดยต่อเนื่องมา 5 ปี ผู้มีเงินได้จะต้องนำกำไรจากการลงทุนที่ได้ไปรวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีนั้น รวมทั้งต้องนำสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปี คืนให้กับกรมสรรพากรภายในเดือนมี.ค.ของปีถัดจากปีที่ขายคืนหน่วยลงทุนนั้น

    แต่หากมีการลงทุนโดยต่อเนื่องมา 5 ปีแล้ว แต่อายุไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์ ผู้มีเงินได้จะได้รับยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุนเท่านั้น (ยกเว้น Capital Gain Tax) แต่ยังคงต้องนำสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปี คืนให้กับกรมสรรพากรภายในเดือน มี.ค. ของปีถัดจากปีที่ขายคืนหน่วยลงทุนนั้น

    จึงสรุปได้ว่า เงินส่วนที่ลงทุนใน RMF ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป จะได้รับยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุน และไม่ต้องคืนสิทธิลดหย่อน ภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปี ก็ต่อเมื่อผู้มีเงินได้ขายคืน RMF ที่มีการลงทุนในกองทุน RMF อย่างต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 5 ปีและผู้มีเงินได้ มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วเท่านั้น หากไปขายคืน RMF เฉพาะส่วนที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาน้อยกว่า 5 ปี ไม่ว่าผู้มีเงินได้จะมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วหรือไม่ก็ตาม ผู้มีเงินได้จะต้องนำกำไรจากการลงทุนที่ได้ไปรวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีนั้น รวมทั้งต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้รับย้อนหลัง 5 ปีให้กับกรมสรรพากรภายในเดือน มี.ค.ของปีถัดจากปีที่ขายคืนหน่วยลงทุนนั้นด้วย

    จะเห็นได้ว่าให้แยกเงินที่ลงทุนใน RMF ออกเป็น 2 ช่วง โดยถือเอาวันที่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นเส้นแบ่งเป็นสำคัญ
     
  8. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    ขออนุญาตประชาสัมพันธ์หน่อยครับ อ.หนุ่ม(เหลือน้อย) ณ วังหน้า

    <CENTER>งานทอดกฐินสามัคคีวัดใหม่ปลายห้วย วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๐</CENTER>
    [​IMG]
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี เพื่อสมทบทุนสร้างอาคารเรียน บูรณะซ่อมแซมถาวรวัตถุตั้งมูลนิธิหลวงปู่ทองดี อนีโฆ

    กำหนดการงานทอดกฐินของวัดใหม่ปลายห้วย วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2550 (ตรงกับวันแรม 2 ค่ำเดือน 11) ทอด ณ วัดใหม่ปลายห้วย ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร

    8.19 น. พระสงฆ์เจริญพุทธมนต์ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร
    9.19 น. พุทธาภิเษกวัตถุมงคล
    11.00 น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ 500 รูป
    13.00 น. พิธีทอดกฐิน
    13.49 น. พิธีบวงสรวงและสมโภชหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรหน้าตัก 12 ศอก สูง 48 ศอก พร้อมบรรจุหัวใจและสมโภชหลวงพ่อเงิน พุทธโชติหน้าตัก 9 ศอก 9 นิ้ว พิธีมอบหลวงพ่อแสนสุโข หน้าตัก 19 นิ้วให้แก่วัดและหน่วยราชการ

    ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพทุกท่านจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติและให้เข้าถึงพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงโลกุตตรธรรมดับให้สิ้นเชื้อ เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันทุกท่านเทอญ....


    <CENTER>คลิ๊กที่นี่เพื่อดูรูปแผนที่วัดใหม่ปลายห้วย</CENTER>

     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01lad03271050&day=2007-10-27&sectionid=0115

    วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10822

    ครอบครองแทน


    คอลัมน์ ฎีกาชีวิต

    โดย รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช



    หากฟังว่าเป็นการครอบครองแทน

    ผู้มีสิทธิย่อมมีความเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทอยู่ดี จะอ้างว่าฟ้องคดีมรดกขาดอายุความหาได้ไม่

    ครอบครัวหนึ่งหัวหน้าครอบครัวถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว นางจำหัน ภริยาเสียชีวิตภายหลัง คู่ชีวิตช่วยกันทำมาหากินจนมีฐานะไม่น้อยหน้าใครในอำเภอลาดหลุมแก้ว มีลูกชายคนโตและลูกสาวรองลงมาอีก 2 คน

    ภายหลังผู้เป็นแม่เสียชีวิต ศาลมีคำสั่งตั้งนายเจษฎาบุตรคนโตเป็นผู้จัดการมรดก เขาจึงได้ทำการแบ่งมรดกให้แก่ตัวเองและนางจวนน้องสาวคนรอง ยกเว้นนางจรรย์ดีน้องสาวคนสุดท้องแต่งงานแยกครอบครัวไปอยู่กับสามีรับราชการต่างจังหวัด

    จรรย์ดีมาทราบภายหลังจึงฟ้องพี่ชายเป็นจำเลยที่ 1 และลูกชายของจวนเป็นจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันแบ่งแยกที่ดินมรดกโฉนดเลขที่ 891 อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี จำนวน 12 ไร่ ไม่มีชื่อเธอรวมอยู่ด้วย ที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแปลงนี้เธอมีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากันในฐานะลูกคนหนึ่งของเจ้ามรดก การกระทำเช่นนั้นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

    ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวข้างต้นตามเอกสารแผนที่ได้แสดงหลักฐานให้มีชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินตามสิทธิ หากจำเลยทั้งสองไม่ยอม ให้เอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

    จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ว่า หลังจากศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนในฐานะผู้จัดการมรดกโอนใส่ชื่อที่ดินเป็นของตนเองและจวน ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2531 จำเลยที่ 1 ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เชษฐาได้ 4 ไร่ จวนได้ 8 ไร่ จวนเสียชีวิตอีก 3 ปีต่อมา จิตรครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินต่อ

    ถือว่าได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทของเจ้ามรดกแล้วซึ่งโจทก์ทราบดีและโจทก์ไม่ได้ดำเนินการฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวร่วมกันโดยโจทก์ไม่ได้เข้ามาครอบครองหรือยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด ทั้งไม่ได้ฟ้องขอแบ่งปัน ถือว่าโจทก์ไม่ยื่นฟ้องขอแบ่งมรดกภายในกำหนด 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

    คดีถึงที่สุด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์และทายาทอื่นซึ่งมีสิทธิได้รับมรดก ได้ตกลงแบ่งปันมรดกกันแล้ว แม้มรดกส่วนที่โจทก์จะได้รับโจทก์ยังไม่เข้าครอบครองในฐานะเจ้าของ แต่โจทก์ได้ให้จวนน้องสาวครอบครองแทน ซึ่งเปรียบเสมือนโจทก์ก็ได้รับส่วนแบ่งและได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยตนเองแล้ว การแบ่งปันมรดกจึงเสร็จสิ้นแล้ว

    ตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าได้วินิจฉัยเรื่องสิทธิครอบครองเกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 บุตรของจวนเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาท อันเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ เป็นการไม่ชอบนั้น

    เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 2 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมรดกที่จวนผู้เป็นมารดาได้รับส่วนแบ่งมาจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกโดยไม่มีส่วนของโจทก์แต่อย่างใด โจทก์ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวครอบครองทำประโยชน์ เมื่อมารดาตายจำเลยที่ 2 ครอบครองทำประโยชน์ต่อ ไม่ฟ้องขอแบ่งมรดกภายใน 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ

    ดังนี้ คำให้การของจำเลยที่ 2 ไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 2 ได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์อันเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์แต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยประเด็นนี้แล้วอ้างเป็นเหตุยกฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ

    ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์และจวนมารดาจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท โดยจวนครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไว้แทน จำเลยที่ 2 ครอบครองต่อหลังจากจวนมารดาถึงแก่ความตาย ย่อมถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ด้วย

    โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทอยู่ครึ่งหนึ่งและมีสิทธิขอแบ่งที่ดินพิพาทตามฟ้อง พิพากแก้เป็นว่าจำเลยที่ 2 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 567 ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง

    ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 748/2542
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำทานที่ให้กุศลแรงและสูง (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ฯ)
    http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=309

    [​IMG]

    โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ทาน

    การทำทาน ได้แก่การสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่น โดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขด้วยความเมตตาจิตของตน ทานที่ได้ทำไปนั้น จะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่องค์ประกอบ ๓ ประการ ถ้าประกอบถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการต่อไปนี้แล้ว ทานนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญบารมีมาก กล่าวคือ

    องค์ประกอบข้อที่ ๑. "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์"
    วัตถุทานที่ให้ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของที่บริสุทธิ์ ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนเองได้แสวงหา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพ ไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดยยักยอก ทุจริต ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ

    ตัวอย่าง ๑ ได้มาโดยการเบียดเบียนชีวิตและเลือดเนื้อสัตว์ เช่นฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้นว่า ปลา โค กระบือ สุกร โดยประสงค์จะเอาเลือดเนื้อของเขามาทำอาหารถวายพระเพื่อเอาบุญ ย่อมเป็นการสร้างบาปเอามาทำบุญ วัตถุทานคือเนื้อสัตว์นั้นเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ แม้ทำบุญให้ทานไป ก็ย่อมได้บุญน้อย จนเกือบไม่ได้อะไรเลย ทั้งอาจจะได้บาปเสียอีก หากว่าทำทานด้วยจิตที่เศร้าหมอง แต่การที่จะได้เนื้อสัตว์มาโดยการซื้อหามาจากผู้อื่นที่ฆ่าสัตว์นั้น โดยที่ตนมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการฆ่าสัตว์นั้นก็ดี เนื้อสัตว์นั้นตายเองก็ดี เนื้อสัตว์นั้นย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ เมื่อนำมาทำทานย่อมได้บุญมากหากถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบข้ออื่น ๆ ด้วย

    ตัวอย่าง ๒ ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ รวมตลอดถึงการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง อันเป็นการได้ทรัพย์มาในลักษณะที่ไม่ชอบธรรม หรือโดยเจ้าของเดิมไม่เต็มใจให้ทรัพย์นั้น ย่อมเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นของร้อน แม้จะผลิดอกออกผลมาเพิ่มเติม ดอกผลนั้นก็ย่อมเป็นของไม่บริสุทธิ์ ด้วยนำเอาไปกินไปใช้ย่อมเกิดโทษ เรียกว่า "บริโภคโดยความเป็นหนี้" แม้จะนำเอาไปทำบุญ ให้ทาน สร้างโบสถ์วิหารก็ตาม ก็ไม่ทำให้ได้บุญแต่อย่างไร สมัยหนึ่งในรัชการที่ ๕ มีหัวหน้าสำนักนางโลมชื่อ "ยายแฟง" ได้เรียกเก็บเงินจากหญิงโสเภณีในสำนักของตนจากอัตราที่ได้มาครั้งหนึ่ง ๒๕ สตางค์ แกจะชักเอาไว้ ๕ สตางค์ สะสมเอาไว้เช่นนี้จนได้ประมาณ ๒,๐๐๐ บาท แล้วจึงจัดสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งด้วยเงินนั้นทั้งหมด เมื่อสร้างเสร็จแล้วแกก็ปลื้มปีติ นำไปนมัสการถามหลวงพ่อโตวัดระฆังว่าการที่แกสร้างวัดทั้งวัดด้วยเงินของแกทั้งหมดจะได้บุญบารมีอย่างไร หลวงพ่อโตตอบว่า ได้แค่ ๑ สลึง แกก็เสียใจ เหตุที่ได้บุญน้อยก็เพราะทรัพย์อันเป็นวัตถุทานที่ตนนำมาสร้างวัดอันเป็นวิหารทานนั้น เป็นของที่แสวงหาได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ เพราะว่าเบียดเบียนมาจากเจ้าของที่ไม่เต็มใจจะให้ ฉะนั้น บรรดาพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายที่ซื้อของถูก ๆ แต่มาขายแพงจนเกินส่วนนั้น ย่อมเป็นสิ่งของที่ไม่บริสุทธิ์โดยนัยเดียวกัน

    วัตถุทานที่บริสุทธิ์เพราะการแสวงหาได้มาโดยชอบธรรมดังกล่าว ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นของดีหรือเลว ไม่จำกัดว่าเป็นของมากหรือน้อย น้อยค่าหรือมีค่ามาก จะเป็นของดี เลว ประณีต มากหรือน้อยไม่สำคัญ ความสำคัญขึ้นอยู่กับเจตนาในการให้ทานนั้น ตามกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาที่ตนมีอยู่


    องค์ประกอบข้อที่ ๒. "เจตนาในการสร้างทานต้องบริสุทธิ์"
    การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่นความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตน อันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส" และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วย เมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตา พรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น

    ถ้าจะบริสุทธิ์จริงจะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ

    (๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะทานก็จะมีจิตที่โสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน

    (๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังมือให้ทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตใจโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังให้ผู้อื่น

    (๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตใจโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดีในทานนั้น ๆ
    เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตใจโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานที่ทำนั้นเป็นสำคัญ และเนื่องจากเมตตาจิต ที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นความทุกข์ และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตน นับว่าเป็นเจตนาบริสุทธิ์ในเบื้องต้น แต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมาแล้วนี้ จะทำให้ยิ่ง ๆ บริสุทธิ์มากขึ้นไปอีก หากผู้ใดให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยการวิปัสสนาปัญญา กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทานพร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งที่ชาวโลกนิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใดโดยเฉพาะ เป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมา และไม่ว่าเราจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น และได้ผ่านการเป็นเจ้าของมาแล้วหลายชั่วคน ซึ่งท่านตั้งแต่ก่อนนั้น ได้ล้มหายตายจากไปแล้วทั้งสิ้น ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลยจนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ไดยึดถือเพียงชั่วคราว แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่น ๆ ต่อ ๆ ไปเช่นนี้ แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จึงนับว่าเป็นสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องจากไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลงนับว่าเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราได้ถาวรได้ตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว ก็ต้องอยูในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเองก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็แก่เฒ่าและตายไปในที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง

    เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาแล้วด้วย เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมากหากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้ แต่ก็ยังมีข้ออันควรระวังอยู่ก็คือ "การทำทานนั้นอย่าได้เบียดเบียนตนเอง" เช่นมีน้อย แต่ฝืนทำให้มาก ๆ จนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้ เมื่อได้ทำไปแล้วตนเองและสามี ภริยา รวมทั้งบุตรต้องลำบาก ขาดแคลน เพราะว่าไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำทานที่ให้กุศลแรงและสูง (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ฯ)
    http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=309

    ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ทำทานด้วยเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ คือ

    ตัวอย่าง ๑ ทำทานเพราะอยากได้ ทำเอาหน้า ทำอวดผู้อื่น เช่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาลใส่ชื่อของตน ไปยืนถ่ายภาพลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อให้ได้รับความนิยมยกย่องนับถือ โดยที่แท้จริงแล้วตนมิได้มีเจตนาที่จะมุ่งสงเคราะห์ผู้ใด เรียกว่า "ทำทานด้วยความโลภ" ไม่ทำเพื่อขจัดความโลภ ทำทานด้วยความอยากได้ คืออยากได้หน้า ๆได้เกียรติ ได้สรรเสริญ ได้ความนิยมนับถือ

    ตัวอย่าง ๒ ทำทานด้วยความฝืนใจ ทำเพราะเสียไม่ได้ ทำด้วยความเสียหาย เช่นทีพวกพ้องมาเรี่ยไร ตนเองไม่มีศรัทธาที่จะทำ หรือมีศรัทธาอยู่บ้างแต่มีทรัพย์น้อย เมื่อมีพวกมาเรี่ยไรบอกบุญ ต้องจำใจทำทานไปเพราะความเกรงใจพวกพ้อง หรือเกรงว่าจะเสียหน้า ตนจึงได้สละทรัพย์ทำทานไปด้วยความจำใจ ย่อมเป็นการทำทานด้วยความตระหนี่หวงแหน ทำทานด้วยความเสียดาย ไม่ใช่ทำทานด้วยจิตเมตตาที่มุ่งจะสงเคราะห์ผู้อื่น ซึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย ให้ไปแล้วก็เป็นทุกข์ใจ บางครั้งก็นึกโกรธผู้ที่มาบอกบุญ เช่นนี้จิตย่อมเศร้าหมอง ได้บุญน้อย หากเสียดายมาก ๆ จนเกิดโทสะจริตกล้าแล้ว นอกจากจะไม่ได้บุญแล้ว ที่จะได้ก็คือบาป

    ตัวอย่าง ๓ ทำทานด้วยความโลภ คือทำทานเพราะว่าอยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อันเป็นการทำทานเพราะว่าหวังสิ่งตอบแทน ไม่ใช่ทำทานเพราะมุ่งหมายที่จะขจัดความโลภ ความตระหนี่หวงแหนในทรัพย์ของตน เช่น ทำทานแล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพรให้ชาติหน้าได้เป็นเทวดา นางฟ้า ขอให้รูปสวย ขอให้ทำมาค้าขึ้น ขอให้รำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ทำทาน ๑๐๐ บาท แต่ขอให้ร่ำรวยนับล้าน ขอให้ถูกสลากกินแบ่งกินรวบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสมบัติสวรรค์ หากชาติก่อนไม่เคยได้ทำบุญใส่บาตรฝากสวรรค์เอาไว้ อยู่ๆก็มาขอเบิกในชาตินี้ จะมีที่ไหนให้เบิก การทำทานด้วยความโลภเช่นนี้ย่อมไม่ได้บุญอะไรเลย สิ่งที่จะได้พอกพูนเพิ่มให้มากและหนาขึ้นก็คือ"ความโลภ"

    ผลหรืออานิสงส์ของการทำทานที่ครบองค์ประกอบ ๓ ประการนั้น ย่อมมีผลให้ได้ซึ่งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติเอง แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ล่วงหน้าก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากเหตุ เมื่อทำเหตุครบถ้วนย่อมมีผลเกิดขึ้นตามมาเอง เช่นเดียวกับปลูกต้นมะม่วง เมื่อรดน้ำพรวนดินและใส่ปุ๋ยไปตามธรรมดาเรื่อยไป แม้จะไม่อยากให้เจริญเติบโตและออกดอกออกผล ในที่สุดต้นไม้ก็จะต้องเจริญเติบโตและผลิตดอกออกผลตามมา สำหรับผลของทานนั้น หากน้อยหรือมีกำลังไม่มากนัก ย่อมน้อมนำให้เกิดในมนุษย์ชาติ หากมีกำลังแรงมากก็อาจจะน้อมนำให้ได้บังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น เมื่อได้เสวยสมบัติในเทวโลกจนสิ้นบุญแล้ว ด้วยเศษของบุญที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง ประกอบกับไม่มีอกุศลกรรมอื่นแทรกให้ผลก็อาจจะน้อมนำให้มาบังเกิดในมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ย่อมทำให้ได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่ง สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีลาภผลมาก ทำมาหากินขึ้นและร่ำรวยในภายหลัง ทรัพย์สมบัติไม่วิบัติหายนะไปเพราะวินาศภัย โจรภัย อัคคีภัย วาตภัย ฯลฯ

    แต่จะมั่งคั่งร่ำรวยในวัยใดก็ย่อมแล้วแต่ผลทานแต่ชาติก่อน ๆ จะส่งผล คือ

    ๑. ร่ำรวยตั้งแต่วัยต้น เพราะผลของทานที่ได้ตั้งเจตนาไว้บริสุทธิ์ดีตั้งแต่ก่อนจะทำทาน คือก่อนที่จะลงมือทำทานก็มีจิตเมตตาโสมนัสร่าเริง เบิกบานยินดีในทานที่ตนจะได้ทำเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น แล้วก็ได้ลงมือทำทานไปตามเจตนานั้น เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ย่อมโชคดี โดยเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย ชีวิตในวัยต้นอุดมสมบูรณ์พูนสุขไปด้วยทรัพย์ ไม่ยากจนแร้นแค้น ไม่ต้องขวนขวายหาเลี้ยงตนเองมาก แต่ถ้าเจตนานั้นไม่งามบริสุทธิ์พร้อมกันทั้ง ๓ ระยะแล้ว ผลทานนั้นก็ย่อมส่งผลให้ไม่สม่ำเสมอกัน คือแม้ว่าจะร่ำรวยตั้งแต่วัยต้นโดยเกิดมาบนกองเงินกองทองก็ตาม หากในขณะที่กำลังลงมือทำทานเกิดจิตเศร้าหมองเพราะหวนคิดเสียดายหรือหวงแหนทรัพย์ที่จะให้ทานขึ้นมา หรือเกิดหมดศรัทธาขึ้นมาเฉยๆแต่ก็ยังฝืนใจทำทานไปเพราะเสียไม่ได้หรือเพราะตามพวกพ้องไปอย่างเสียไม่ได้ เช่นนี้ผลทานย่อมหมดกำลังให้ผลระยะที่ ๒ ซึ่งตรงกับวัยกลางคน ซึ่งจะมีผลทำให้ทรัพย์สมบัติหายนะไปด้วยประการต่างๆแม้จะได้รับมรดกมาก็ไม่อาจจะรักษาไว้ได้ หากเจตนาในการทำทานนั้นเศร้าหมองในระยะที่ ๓ คือทำทานไปแล้วหวนคิดขึ้นมาทำให้เสียดายทรัพย์ ความหายนะก็มีผลต่อเนื่องมาจนบั้นปลายชีวิตด้วย คือทรัพย์สินคงวิบัติเสียหายต่อเนื่องจากวัยกลางคนตลอดไปจนถึงตลอดอายุขัยชีวิตจริงของผู้ที่เกิดบนกองเงินกองทองก็มีให้เห็น เป็นตัวอย่างที่เมื่อได้รับทรัพย์มรดกแล้วก็วิบัติเสียหายไป หรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในวัยต้นแต่ก็ต้องล้มละลายในวัยกลางคน และบั้นปลายชีวิต แต่ถ้าได้ตั้งเจตนาในการทำทานไว้บริสุทธิ์ครบถ้วนพร้อม ๓ ระยะแล้ว ผลทานนั้นย่อมส่งผลสม่ำเสมอ คือร่ำรวยตั้งแต่เกิด วัยกลางคนและจนปัจฉิมวัย

    ๒. ร่ำรวยในวัยกลางคนการที่ร่ำรวยในวัยกลางคนนั้น สืบเนื่องมาจากผลของทานที่ได้ทำเพราะเจตนางามบริสุทธิ์ในระยะที่ ๒ กล่าวคือไม่งามบริสุทธิ์ในระยะแรก เพราะก่อนที่จะลงมือทำทานก็มิได้มีจิตศรัทธามาก่อน ไม่คิดจะทำทานมาก่อนแต่ก็ได้ตัดสินใจทำทานไปเพราะเหตุบางอย่าง เช่นทำตามพวกพ้องอย่าเสียไม่ได้ แต่เมื่อได้ลงมือทำทานอยู่ก็เกิดโสมนัสรื่นเริงยินดีในทานที่กำลังกระทำอยู่นั้น ด้วยผลทานชนิดนี้ย่อมทำให้มาบังเกิดในตระกูลที่ยากจนคับแค้น ต้องต่อสู้สร้างตนเองมาในวัยต้น ครั้นเมื่อถึงวัยกลางคน กิจการหรือธุรกิจที่ทำก็ประสบความสำเร็จรุ่งเรื่อง และหากเจตนาในการทำทานได้งามบริสุทธิ์ในระยะที่ ๓ ด้วย กิจการหรือธุรกิจนั้นย่อมส่งผลรุ่งเรื่องตลอดไปจนถึงบั้นปลายชีวิต หากเจตนาในการทำทานไม่บริสุทธิ์ในระยะที่ ๓ แม้ธุรกิจหรือกิจการงานจะประสบความสำเร็จรุ่งเรืองในวัยกลางคน แต่ก็ล้มเหลวหายนะในบั้นปลาย ทั้งนี้เพราะผลทานหมดกำลังส่งผลไม่ตลอดจนถึงบั้นปลาชีวิต

    ๓. ร่ำรวยปัจฉิมวัย คือร่ำรวยในบั้นปลายชีวิตนั้น สืบเนื่องมาจากผลทานที่ผู้กระทำมีเจตนางามไม่บริสุทธิ์ในระยะแรกและระยะที่ ๒ แต่งามบริสุทธิ์เฉพาะในระยะที่ ๓ กล่าวคือ ก่อนและในขณะลงมือทำทานอยู่นั้น ก็มิได้มีจิตโสมนัสยินดีในการทำทานนั้นแต่อย่างใด แต่ได้ทำลงไปโดยบังเอิญ เช่น ทำตามๆพวกพ้องไปอย่างเสียมิได้ แต่เมื่อได้ทำไปแล้วต่อมาหวนคิดถึงผลทานนั้น ก็เกิดจิตโสมนัสร่าเริง ยินดีเบิกบาน หากผลทานชนิดนี้จะน้อมนำให้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเกิดในตระกูลที่ยากจนข้นแค้น ต้องต่อสู้ดิ้นรนศึกษาเล่าเรียนและขวนขวายสร้างตนเองมากตั้งแต่วัยต้นจนล่วงวัยกลางคนไปแล้ว กิจการงานหรือธุรกิจนั้นก็ยังไม่ประสบกับความสำเร็จ เช่นต้องล้มลุกคลุกคลานตลอดมา แต่ครั้นถึงบั้นปลายชีวิตก็ประสบช่องทางเหมาะ ทำให้กิจการนั้นเจริญรุ่งเรื่องทำมาค้าขึ้นและร่ำรวยอย่างไม่คาดหมาย ซึ่งชีวิตจริง ๆ ของคนประเภทนี้ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่มาก

    องค์ประกอบข้อที่ ๓. "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์"
    คำว่า "เนื้อนาบุญ" ในที่นี่ได้แก่บุคคลผู้รับการทำทานของผู้ทำทานนั้นเอง นับว่าเป็นองค์ประกอบข้อที่สำคัญที่สุด แม้ว่าองค์ประกอบในการทำทานข้อที่ ๑ และข้อที่ ๒ จะงามบริสุทธิ์ครบถ้วนดีแล้ว กล่าวคือวัตถุที่ทำทานนั้นเป็นของที่แสวงหาได้มาด้วยความบริสุทธิ์ เจตนาในการทำทานก็งามบริสุทธิ์พร้อมทั้งสามระยะ แต่ตัวผู้ที่ได้รับการทำทานเป็นคนที่ไม่ดี ไม่ใช่ผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญที่เลว ทานที่ทำไปนั้นก็ไม่ผลิดอกออกผล
    เปรียบเหมือนกับการหว่านเมล็ดข้าวเปลือกลงในพื้นนา ๑ กำมือ
    แม้เมล็ดข้าวนั้นจะเป็นพันธุ์ดีที่พร้อมจะงอกงาม (วัตถุทานบริสุทธิ์)
    และผู้หว่านคือกสิกรก็มีเจตนาจะหว่านเพื่อทำนาให้เกิดผลิตผลเป้นอาชีพ (เจตนาบริสุทธิ์) แต่หากที่นานั้นเป็นที่ที่ไม่สม่ำเสมอกัน เมล็ดข้าวที่หว่านลงไปก็งอกเงยไม่เสมอกัน โดยเมล็ดที่ไปตกในที่เป็นดินดี ปุ๋ยดี มีน้ำอุดมสมบูรณ์ดี ก็จะงอกเงยมีผลิตผลที่สมบูรณ์ ส่วนเมล็ดที่ไปตกบนพื้นนาที่แห้งแล้ง มีแต่กรวดกับทรายและขาดน้ำก็จะแห้งเหี่ยวหรือเฉาตายไป หรือไม่งอกเงยเสียเลย การทำทานนั้น ผลิตผลที่ผู้ทำทานจะได้รับก็คือ "บุญ" หากผู้ที่รับการให้ทานไม่เป็นเนื้อนาที่ดีสำหรับการทำบุญแล้ว ผลของทานคือบุญก็จะได้เกิดขึ้น แม้จะเกิดก็ไม่สมบูรณ์ เพราะแกร็นหรือแห้งเหี่ยวเฉาไปด้วยประการต่าง ๆ
    ฉะนั้นในการทำทาน ตัวบุคคลผู้รับของที่เราให้ทานจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด เราผู้ทำทานจะได้บุญมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับคนพวกนี้ คนที่รับการให้ทานนั้นหากเป็นผู้ที่มีศีลธรรมสูง ก็ย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่ดี ทานที่เราได้ทำไปแล้วก็เกิดผลบุญมาก หากผู้รับการให้ทานเป็นผู้ที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ผลของทานก็ไม่เกิดขึ้น คือได้บุญน้อย ฉะนั้นคติโบราณที่กล่าวว่า "ทำบุญอย่าถามพระ หรือ ตักบาตรอย่าเลือกพระ" เห็นจะใช้ไม่ได้ในสมัยนี้ เพราะว่าในสมัยนี้ไม่เหมือนกับท่านในสมัยก่อนๆที่บวชเพราะมุ่งจะหนีสงสาร โดยมุ่งจะทำมรรคผลและนิพพานให้แจ้ง ท่านจึงเป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ แต่ในสมัยนี้มีอยู่บางคนที่บวชด้วยคติ ๔ ประการ คือ "บวชเป็นประเพณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน" ธรรมวินัยใดๆท่านไม่สนใจ เพียงแต่มีผ้าเหลืองห่มกาย ท่านก็นึกว่าตนเป็นพระและเป็นเนื้อนาบุญเสียแล้ว ซึ่งป่วยการจะกล่าวไปถึงศีลปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ แม้แต่เพียงศีล ๕ ก็ยังเอาแน่ไม่ได้ว่าท่านจะมีหรือไม่ การบวชที่แท้จริงแล้วก็เพื่อจะละความโลภ ความโกรธ ความหลง ปัญหาว่า

    ทำอย่างไรจึงจะได้พบกับท่านที่เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ ข้อนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับวาสนาของเราผู้ทำทานเป็นสำคัญ หากเราได้เคยสร้างสมอบรมสร้างบารมีมาด้วยดีในอดีตชาติเป็นอันมากแล้ว บารมีนั้นก็จะเป็นพลังวาสนาน้อมนำให้ได้พบกับท่านที่เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ ทำทานครั้งใดก็มักโชคดี ได้พบกับท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปเสียทุกครั้ง หากบุญวาสนาของเราน้อยและไม่มั่นคง ก็จะได้พบกับท่านที่เป็นเนื้อนาบุญบ้าง ได้พบกับอลัชชีบ้าง คือดีและชั่วคละกันไป เช่นเดียวกับการซื้อสลากกินแบ่งสลากกินรวบ หากมีวาสนาบารมีเพราะได้เคยทำบุญให้ทานฝากกับสวรรค์ไว้ในชาติก่อน ๆ ก็ย่อมมีวาสนาให้ถูกรางวัลได้ หากไม่มีวาสนาเพราะไม่เคยทำบุญทำทานฝากสวรรค์เอาไว้เลย ก็ไม่มีสมบัติสวรรค์อะไรที่จะให้เบิกได้ อยู่ ๆ ก็จะมาขอเบิก เช่นนี้ก็ยากที่จะถูกรางวัลได้

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ

    ๑. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

    ๒. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัยแม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๓. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๔. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๕. ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ
    พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น "พระ" แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า "สมมุติสงฆ์" พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น "พระ" ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ "พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธมเจ้า" และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

    ๖. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น)

    ๗. ถวายทานแก่พระโสดาบันแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๘. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๙. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๐. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๑. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๒. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๓. การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า "การถวายวิหารทาน" แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน" อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น "โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ" ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

    ๑๔. การถวายวิหารทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง (๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "ธรรมทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ"

    ๑๕. การให้ธรรมทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ "การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู" ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ "ละโทสะกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
    อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่น ๆ ทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า "ฝ่ายศีล" เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน


    ที่มา : บัวหลวง สุขสันต์
    suksun [​IMG] [DT04386] [ วันเสาร์ ที่ 28 กรกฎาคม 2550 เวลา 00:34 น. ]
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อ่านเรื่องพระปลอมในเดลินิวส์แล้ว สะใจมาก ไอ้พวกทำพระปลอมพิมพ์นิยมมาขายกันเองในตลาด แต่กระทู้พระวังหน้านี้วุ๊ย เล่นพระพิมพ์ไม่นิยม แถมไม่ได้ทำขึ้นมาอีก สุดท้ายองค์ละ 300.- แพงโคตรเลย ก็ 500.- สิทธิพงศ์โขกผง พันวฤทธิ์ กดพิมพ์ นายสติโฆษณา คุณเพชรจัดพระตามราศี คุณโสระ กำหนดฤกษ์เสก อ.ประถมเป็นคนวิเคราะห์สูตรเนื้อฟองเต้าหู้ พี่ใหญ่เป็นคนเป่าพรวด ที่เหลือน้องหนู ตั้งจิต โอ๊ต เอ เป็นหน้าม้า ตีโล่โก๊ะ คอยสร้างข่าวอิทธิฤทธิ รวยฉิบเป๋งเลย มีคราบกรุมั๊ย ได้เลยเพิ่มกาวผสมกับทินเนอร์แล้วใส่กาวยางบางๆ ทาทองมั๊ย เดี๋ยววานเด็กไปซื้อสีแถวเยาวราช สีมาจากเมืองจีนแท้ ลงรักมั๊ย เอ้าคุณ thanyaka ฝากซื้อรักจาก อ.ฝางที่เชียงใหม่หน่อย แตกลายงามั๊ย เอ้า อ.guawn เร่งเตาหน่อย ขายมันให้เป็นกระบวนการเลย เดือนนี้ได้ 50 องค์ 15000 เองเว๊ย เฉลี่ยแล้ว หารแล้วคนละไม่ถึง 2000 เอาอีกๆ รวยเละ สู้ไอ้พวกเซียนไม่ได้ปลอมเองขายเอง เป็นแสน หรือไม่เจอเสี่ยหน้าโง่หน่อย รวยเละเทะ ไอ้ที่ปลอมน๊ะพิมพ์นิยมทั้งนั้น ปีระกา องค์ละเป็นแสนเป็นล้านน๊ะเคยเจอป่ะ หลวงปู่ทวด หลวงพ่อเงิน ทองเนื้อแปด 4-500.-ขำกลิ้งลิงกะหมาจิงจิ๊งๆ...
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    แล้วแต่วาสนาบารมี ดีทึ่สุด

    (verygood)
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    แหมพี่พันวฤทธิ์ครับ ผมเสียหุ้นทีละ 4-50000บาท ได้จากการเป็นหน้าม้าให้เดือนละ2000บาท โอโห ต้องใช้เวลาคืนทุนตั้ง 20เดือนแนะครับ ขำกลี้งจริงๆครับ กระโตกกระตากไปเดี๋ยวยอดขึ้นมาเป็น เดือนละ100องค์ ผลิตไม่ทันไม่รู้ด้วยนะครับ
    nongnooo...
     
  15. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    ได้รับพระแล้วค่ะ เป็นของที่สั่งจองแล้วแต่ยังไม่ได้จ่ายรวมส่งมาด้วยใช่มั๊ยคะ นับแล้วก็ยังเกินมาอีกค่ะ ไม่ทราบจัดผิดหรือปล่าว เดี๋ยวจะกลายเป็นบาปอีก เพราะ เห็นบอก ยุ่งทั้งงานราษฏร์ งานหลวง กลัวเบลอค่ะ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมส่งไปให้ก่อนนะครับ ส่วนที่เกินผมมอบให้ แต่ว่าต้องไปทำบุญที่ไหนก็ได้นะครับ ทำบุญแล้วแต่ศรัทธาครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลืมบอกไป พระสมเด็จที่อยู่ในมือเซียนและที่ได้เข้าประกวด ทั้งองค์สวยและองค์ไม่สวยนั้น องค์ที่แท้ๆนั้น แท้แต่เนื้อหาทรงพิมพ์ แต่ข้างในหมดแล้ว ท่านไปหมดแล้ว เป็นแท้นอก เก๊ใน

    ผมจะยกตัวอย่างพอที่จะเข้าใจกันได้ เราอยู่บ้านราคา 100 ล้าน วันดีคืนดีเชิญเราไปอยู่สถานที่ใหม่ที่นึง พอเราไปถึงที่ เป็นสลัม ถามว่าเราจะอยู่ที่ใหม่หรือเปล่า เป็นผม ผมไม่อยู่แน่นอน

    ผมรับคำท้ากับเซียนพระได้ทุกคน ไปสาบานที่วัดพระแก้วกันเลย ผมชอบ ชอบให้พวกที่ปรามาสสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และบรรพบุรุษของเรา ไปนรกกันให้เร็วกว่านี้

    ท่านผู้อ่าน ลองเลือกดูเองนะครับ แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะมีวาสนาบารมีมากน้อยเพียงไร

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2007
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post758130 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15-10-2007, 10:07 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10842 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_758130", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต



    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 16,062 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 19,221 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 90,417 ครั้ง ใน 12,294 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10677 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_758130 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ช่วงนี้ งานผมเองค่อนข้างเยอะมาก ทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ ผมขอลาพักร้อน พักงานบุญไว้ก่อน

    หลังปีใหม่(2551)นี้ ผมจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งว่า ผมจะมอบพระพิมพ์ไหนให้กับท่านที่ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งอีกนะครับ


    ขอขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านที่ให้กำลังใจนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เวลา 08:34 น.

    วิธีขับรถตอนน้ำท่วม
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=47801&NewsType=2&Template=1


    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>ถ้าจะต้องขับรถขณะน้ำท่วม แล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...
    1. ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำลึก หรือแม้จะน้ำตื้นก็ตาม เพราะ สาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำ เพราะว่า เมื่อเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน ทำให้ใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง แล้วทำให้เครื่องดับ แต่ถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุน ๆ แล้วในขณะที่ลุยน้ำนั้น ก็อาจจะมีขยะต่าง ๆ เช่น กิ่งไม้ ถุงพลาสติก เศษกระดาษ เป็นต้น ขยะพวกนี้ มีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่อง แล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหัก ซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่า จะไม่สามารถขับรถต่อไปได้อย่างแน่นอน เพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหา
    2. ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้ ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้น
    3. ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง ๆ เพราะจะทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน และสิ่งที่จะตามมาก็เหมือนกับข้อ 1 ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสีย เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสีย แล้วสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบา แรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆ ต่อให้จอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสียก็ตาม เมื่อสตาร์ทรถก็ยังติดแน่นอน สำหรับเครื่องหัวฉีด
    4. ควรลดความเร็วลง เมื่อกำลังขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมา เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา มันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้
    หลังจากลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ คือ พยายามย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำลึกมา มันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมาก ถ้าไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก สำหรับเกียร์ธรรมดา ต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรก เพราะหลังการลุยน้ำมา อาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรก และไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตาม เพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ซึ่งควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจ ก็ให้สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ มันอาจจะผุได้
    ถ้าต้องขับรถตอนน้ำท่วมอีก ก็นำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกัน จะได้รักษาสภาพรถไว้ใช้ได้นาน ๆ.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีขับรถตอนน้ำท่วม

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">นิสัยที่ทำร้ายสมอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีทำหมี่กรอบให้กรอบนาน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีแก้ผ้าที่เก็บไว้นานจนเหลือง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ปลานึ่ง-ย่าง ป้องกันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีชง
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่าน ปา-ทาน ครับสะกดผิดนิดเดียว....บุรุษ ครับ แฮ่ๆๆ เรื่องที่สอง ยอดจองเพิ่มมาเป็น 500องค์แล้วครับ ฝ่ายผลิตบอก ขอเบาๆการโปรโมตหน่อยครับ(555)
    nongnooo...
     

แชร์หน้านี้

Loading...