ใครด่าพระเกษมบ้าง ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 29 มีนาคม 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002

    "อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น"


    -พระวักกลิยินดีในรูปพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงห้ามพระวักกลิ ไม่ให้มีความยินดีในรูป
    ทรงบอกรูปน่าเกลียด ทั้งที่เป็นรูปของพระองค์เอง ผู้ที่เห็นธรรมคือผู้เห็นพระพุทธเจ้า
    แล้วที่บอกว่าเป็นพุทธานุสติ ลองอ่านพระสูตรนี้ครับ

    "สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธารามใกล้กรุงกบิลพัสดุ์
    แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะ พระนามว่ามหานามะได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม
    ชนิดไหนเป็นส่วนมาก พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุ
    ผลทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก คือ อริยสาวกในพระศาสนา
    นี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
    เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
    เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคต
    เนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุมไม่ถูกโมหะ
    กลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภพระตถาคต
    ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรมย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
    เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุข
    จิตย่อมตั้งมั่น ดูกรมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
    ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท
    เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญพุทธานุสสติฯ"


    -ไม่มีข้อความใดๆ จากพระโอษฐ์ที่ทรงให้บูชาพระพุทธรูปหรือสิ่งใดๆ แทนพระองค์ว่าเป็น "พุทธานุสสติ"
     
  2. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    โง่ไม่เลิก พระองค์ท่านหมายถึงสังขาร อันเน่าเปื่อย (แต่พระพุทธรูปเป็นเครืองระลึก)



    อนุสติ หรือกรรมฐาน10 มี พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ เป็นต้นฯลฯ..

    มีเช่น พุทธานุสติ นี่ระลึกนึกพระพุทธเจ้า แค่นึกถึงท่าน


    ไม่ต้องนึกอะไรทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตายแล้วไปสวรรค์ นับไม่ถ้วน


    ธรรมานุสติ นี่ คือ ระลึกนึกถึง ธรรม หรือ พระธรรม ที่ทรงแสดง ทรงสั้งสอน


    แยกไห้อามาเหมารวมกัน
     
  3. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    คุณจะเชื่อใครเลือกเอา ระหว่าง ธรรมะ กับมาร

    หลวงปู่แหวน กระดูกกลายเป็นพระธาตุ ท่านบอกว่า ทุบ ทำลาย

    พระพุทธรูป ตายไปต้องเกิดเป็นเปรต เสวยกรรมชั่ว


    ส่วนโล้นเกษม บอกอย่าไปกราบมัน แล้วก็ขึ้นเหยียบฐานพระพุทธรูป

    การแสดงออกก็คือ เหยียบหย่ำ ขยี้ น้ำใจคนไทย

    คนไทยทั้งประเทศ เค้ากราบ เค้าไหว้ สักการะ บูชา พระพุทธรูป

    ด้วยเหตุผลต่างๆกันไป ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคนไป


    พระคือผู้ให้ ผู้สร้างกำลังใจ ของปวงชน

    แต่โล้นเกษม อยากดังอยากเด่น !! เอามือตบหน้า เหยียบฐานพระพุทธรูป


    โชว์หน้ากล้อง ว่าข้านี่แน่ ลงยูทุป ลงสื่อต่างๆมากมาย


    โล้นเกษม ชอบเหยีบยหย่ำน้ำใจคนไทย
     
  4. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    [​IMG]

    เกษม" แถลงต้องสู้ถึงฎีกา-ศาลสั่งจำคุก 2 ปีเท้าเหยียบพระพุทธรูป

    พระเกษม อาจิณณฺสีโล เจ้าสำนักสงฆ์ป่าสามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ เป็นพระดังที่มากด้วยสีสัน

    โดยมีกระบวนวิธีการตีความพระไตรปิฎก รวมถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า แตกต่างจากคณะสงฆ์ผู้ปกครอง และพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ประชาชนคนไทย เห็นพฤติกรรมแผลงๆ ของพระเกษมอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งเจ้าสำนักสงฆ์ป่าสามแยกยังอัดวิดีโอเอาไว้เผยแพร่ใน "ยูทูบ" อีกด้วย

    ในที่สุดวานนี้ (13 มี.ค. 55) พระเกษมก็ได้คำตอบในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากพฤติกรรมใช้เท้าเหยียบฐานพระพุทธชินราชจำลอง แล้วก็ยังใช้ฝ่ามือด้านขวาตบไปที่พระพักตร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2551 ณ ที่ศาลาสำนักสงฆ์วัดป่าสามแยกนั่นเอง

    จากกรณีอื้อฉาวดังกล่าว สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เข้าร้องทุกข์แจ้งความให้ดำเนินคดีกับพระเกษม ในข้อหาดูหมิ่นพระพุทธศาสนา และต่อมาศาลชั้นต้นได้ทำการพิพากษายกฟ้องในคดีดังกล่าว วันที่ 17 มีนาคม 2552

    อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ตัดสินพิพากษาให้พระเกษม อาจิณณฺสีโล มีความผิดเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระศาสนา ตามมาตรา 91 และมาตรา 206 จึงลงโทษให้จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท

    ส่วนโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี เนื่องจากไม่เคยก่อความผิดมาก่อน

    ขณะเดียวกัน พระเกษมยืนยันว่าจะสู้ต่อไปจนถึงชั้น "ฎีกา" เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเกี่ยวเนื่องกับการไม่ให้ยึดติดกับรูปเคารพ

    พระเกษม แถลงถึงสาเหตุการต่อสู้ถึง "ฎีกา" เอาไว้ในคลิปต่อไปนี้
     
  5. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    คุณจะเชื่อใครเลือกเอา ระหว่าง ธรรมะ กับมาร

    หลวงปู่แหวน กระดูกกลายเป็นพระธาตุ ท่านบอกว่า ทุบ ทำลายพระพุทธรูป

    ตายไปต้องเกิดเป็นเปรต เสวยกรรมชั่ว


    ส่วนโล้นเกษม บอกอย่าไปกราบมัน แล้วก็ขึ้นเหยียบฐานพระพุทธรูป

    การแสดงออกก็คือ เหยียบหย่ำ ขยี้ น้ำใจคนไทย

    คนไทยทั้งประเทศ เค้ากราบ เค้าไหว้ สักการะ บูชา พระพุทธรูป


    ด้วยเหตุผลต่างๆกันไป ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคนไป


    พระคือผู้ให้ ผู้สร้างกำลังใจ ของปวงชน

    แต่โล้นเกษม อยากดังอยากเด่น !! เอามือตบหน้า เหยียบฐานพระพุทธรูป


    โชว์หน้ากล้อง ว่าข้านี่แน่ ลงยูทุป ลงสื่อต่างๆมากมาย


    โล้นเกษม ชอบเหยีบยหย่ำน้ำใจคนไทย


    [​IMG]

    ฆ้อนปร์อนเตรียมทุบ ทำลาย

    [​IMG]

    (เป็นอาชีพที่ทำรายได้งาม ที่สำคัญคือไร้คู่แข่ง

    [​IMG]

    เทเข้าเบ้าหลอม


    [​IMG]

    เป็นแท่งพร้อมนำไปขาย หารายได้
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติฐานะ ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน คือ
    พุทธานุสสติ ๑ ธรรมานุสสติ ๑ สังฆานุสสติ ๑ สีลานุสสติ ๑ จาคานุสสติ ๑ เทวตานุสสติ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติฐานะ ๖ ประการนี้แล ฯ"


    -คนไม่มีศีลธรรมมีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน
    เจ้าของบ้านเขารู้ เขาก็ฟันเอาจนบาดเจ็บ
    จิตคิดแก้แค้น พยาบาท ไม่ไปหาหมอรักษา เขาจึงต้องตาย
    ตายไปก็ไปเกิดเป็นเปรตเพราะความแค้นเจ้าของบ้าน
    เป็นเปรตเพราะทำอกุศลธรรม
    เป็นเปรตตั้งแต่ไปลักขโมยไปปล้นเขากินแล้วครับ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เจาพอเจาแม่ เทพเจ้า พระพุทธปฏิมาไม่ใช่ที่พึ่ง

    ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ 14 พระพุทธองคทรงแสดงไววา
    “มนุษยเป็นอันมาก เมื่อถูกภัยคุกคามแลว ยอมยึดเอาภูเขา ป่าไม้ อาราม
    และรุกขเจดีย วาเป็นสรณะสรณะนั่นไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม
    เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแลว ยอมไม่พนจากทุกขทั้งปวงได้
    สวนบุคคลใดยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆวาเป็นสรณะ
    คือการเห็นอริยสัจ 4 ไดแก ทุกข เหตุใหเกิดทุกข์(สมุทัย) ความดับทุกข(นิโรธ)
    และมรรคมองคแปดอันประเสริฐ ซึ่งยังสัตวใหถึงความพนทุกข ดวยปญญาอันถูกตอง
    สรณะนั่นแลเกษม สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแลว
    ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได”


    ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต ความไม่รู้ ก็ยังครอบงําสรรพสัตวอยูอยางไม่สรางซา
    เพราะความไม่รู และไม่พยายามแสวงหาทางที่จะใหมีความรูเกิดขึ้น มนุษยจึงหวังพึ่งพิง
    สิ่งภายนอกอยูอยางไม่รูเลิก เมื่อมีความสุขตามอัตภาพ ไม่มีใครคิด จะแสวงหาที่พึ่งทางใจ
    ไม่สนใจแมกระทั่งศาสนาที่ตนนับถือ เพราะคิดวาฉันรู้แลว ฉันฉลาดแลว ฉันเกงแลว
    ไม่มีศาสนาฉันก็อยูได้อยางเป็นสุข พากันแยงชิง ไขวควาแสวงหาวัตถุภายนอกอยางไม่หยุดหยอน
    แตพอสังขารรางกายนี้เริ่มเสื่อมโทรมไปตามสภาพ หรือประสบกับภัยธรรมชาติและทุกข์เวทนาตางๆ
    ไอที่ไม่เชื่อก็ชักจะเริ่มเชื่อ ที่ไม่ศรัทธาก็ชักจะศรัทธาขึ้นมา หนักๆ เขาเลยกลายเป็นความงมงายไป
    ดังพุทธดํารัสที่วา

    “…มนุษยเป็นอันมากเมื่อถูกภัย
    คุกคามแลว ยอมยึดเอาภูเขา ป่าไม่ อาราม
    และรุกขเจดีย วาเป็นสรณะ…”

    เมื่ออานพุทธพจนขางตน จะเห็นไดวาคนเมื่อสองสามพันปีก่อนเป็นอยางไร คนในปัจจุบันก็ “ยังโงอยูเทาเดิม”
    ไม่ไดแตกตางกันเทาไรนัก การแสวงหาสิ่งภายนอกวาเป็นที่พึ่ง ไม่วาจะเป็นเจาพอ เจาแม เทพเจา การทรงเจา
    เขาผี พระเถรเณรชีทั้งหลายที่กําลังฮิตเรื่องแกกรรม สแกนกรรม หรือแมกระทั่งพระพุทธปฏิมาอันศักดิ์สิทธิ์ดวยคิดวาจะเป็นที่พึ่ง
    ที่ระลึก แกทุกขได จึงลวนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสวา


    “สรณะนั่นไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่นแลว ยอมไม่พนจากทุกขทั้งปวงได”

    เพราะอะไร ก็เพราะการพึ่งพิงสิ่ง ภายนอกเหลานั้น แมบางอยางจะพึ่งไดก็เพียงชั่วคราว ไม่ใชที่พึ่งถาวร
    และจะทําให้จิตใจออนแอ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขัดแยงกับพุทธพจนที่วา “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน”
    ดุจยืมจมูกคนอื่นหายใจ ถาหากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหลานั้นเกิดไม่ว่าง หรืออารมณเสียขึ้นมาไม่ยอมใหพึ่ง
    เรามิพากันแยหรือ

    พระพุทธเจาจึงสอนใหพึ่งพิงสิ่งที่เป็นที่พึ่งถาวร ซึ่งมีอยูแลว ในกายในใจของทุกคน ก็คือพระรัตนตรัย
    พออานมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจตกใจวา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ มาสถิตอยู่ในกาย ในใจของเราตั้งแตเมื่อไหร
    ไม่เห็นรู้ตัวเลย หากจะกล่าวโดยยกธรรมเป็นที่ตั้งแลว(ธรรมาธิษฐาน) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
    คือภาวะแหงความเป็นผูรู ผูตื่น ผู้เบิกบาน อันมีอยู่แลวในกาย ในใจของเรานี่เอง เพียงแตวาเราเคยคิดจะคนหา
    ศึกษา เรียนรู สิ่งอันประเสริฐนี้หรือไม่ หรืออาจแคลงใจวา พระพุทธเจาตรัสเขาขางตนเองหรือเปลา
    ประเภทเชื่ออยางอื่นผิดหมด ถาเชื่อกูละถูกแน่ แตถ้าเราอานพุทธพจนซ้ำอีกครั้ง จะเขาใจงายขึ้น

    “…สวนบุคคลใดยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆวาเป็นสรณะ
    คือการเห็นอริยสัจ 4…”

    แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งวา การเขาถึงพระรัตนตรัยอยางถูกตอง ก็คือ การเห็น การเขาใจ การแจงชัดในอริยสัจ
    พอเขียนอยางนี้ ชาวพุทธหลายคนอาจสะเทือนใจวา ฉันกราบพระ สวดมนต ใหทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
    มาตั้งครึ่งคอนชีวิตแลว ยังไม่เขาถึงพระรัตนตรัยอีกหรือนี่ ?

    แนนอน ถาคุณยังไม่แจงชัดในอริยสัจ คุณก็มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะไดแคผิวๆ เทานั้น ยังหางไกลแกนอีกหลายลี้
    วิธีการคนหาพระรัตนตรัยในใจของเรา พระบรมครูก็ทรงชี้ทางไวใหแลววา “คือการเห็นอริยสัจ 4”
    ซึ่งผู้เขียนขอแปลเพื่อใหเห็นสภาวะจริงๆ วา

    1. ทุกข คือความไรสุข
    2. สมุทัย คือการดิ้นรนหาความสุข
    3. นิโรธ คือบรมสุข
    4. มรรค คือวิถีแหงความสุข

    สมัยหนึ่ง พระควัมปติเถระ ไดกลาวกับหมูสงฆ ณ เมืองสหชนิยะ แควนเจดีย ซึ่ง
    ปรากฏในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ผู้เขียนขอยอความใหกระชับวา…

    “ดูกรผูมีอายุทั้งหลาย ผมได้ฟังมา
    …ในที่เฉพาะพระพักตรพระพุทธองควา
    ผู้ใดเห็นทุกข ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็น สมุทัย นิโรธ มรรค
    ผูใดเห็นสมุทัย ผูนั้นชื่อวา ยอมเห็นทุกข นิโรธ มรรค
    ผูใดเห็นนิโรธ ผูนั้นชื่อวา ยอมเห็นทุกข สมุทัย มรรค
    ผูใดเห็นมรรค ผูนั้นชื่อวา ยอมเห็นทุกข สมุทัย นิโรธ”…

    พูดงายๆ ก็คือ ใครรูทุกข ก็เทากับละสมุทัย แจงนิโรธ เจริญมรรคในขณะจิตนั้น
    ใครละสมุทย ก็เทากับ รู้ทกข แจงนิโรธเจริญมรรคในขณะจิตนั้น
    ใครแจงนิโรธ ก็เทากับรูทุกข ละสมุทัย เจริญมรรคในขณะจิตนั้น
    ใครเจริญมรรค ก็เทากับรู้ทุกข์ละสมุทัย แจงนิโรธ ในขณะจิตนั้น
    วิธีการเขาถึงพระรัตนตรัยหรือภาวะ แหงผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานในตน โดยไม่ตอง
    ไปเที่ยวกราบกรานวัตถุภายนอกก็เริ่มจาก

    “การรูทุกข” นั่นเอง
    อยางไรจึงจะเรียกวา “รูทุกข” ?
    ทุกขคือขันธ 5 ถายอลงมาก็คือ รูปกับนาม หรือกายกับใจ คือสรรพสิ่งทั้งหลายที่ตกอยูใตกฎเกณฑธรรมชาติที่ไม่เที่ยง
    ไม่ทน ไม่แททั้งปวง แตในที่นี้น้อมเขามารู้เฉพาะในกายและใจของแตละคนเทานั้น

    ฉะนั้นการรู้ทกข ก็คือการรู้กาย-ใจตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะ เชนยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทํา พูด คิด
    เบื่อ โกรธ รําคาญ ชอบ ชัง ฯลฯ ตามที่มันเป็นในขณะนั้นๆ

    รูแลวจะเป็น ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานได้อยางไร?
    เมื่อรู้ทุกข์อย่างถูกต้องในขณะนั้น แทนที่จะจมอยูกับความทุกข เชนความไม่สมหวัง ความไม่ไดดั่งใจ จิตจะพลิกขึ้นมาเป็น
    ผูรูเทาทันทุกข ไม่ตกเป็นทาสของทุกข์ เป็นอิสระจากทุกขทันที เหมือนมีเพื่อนมาหลอกอำเราเลน หากรูทัน
    ก็ไม่หลงกลเพื่อนเทานั้นเอง

    ระวัง!!! รูทุกข อยาละทุกข เพราะคุณไม่มีหนาที่ละ เมื่อ “แครู” บอยๆ ปัญญาจะเกิดขึ้นและละตนเหตุแหงทุกขไปเอง
    และ “รูทุกข” กับ “เป็นทุกข” ก็คนละเรื่องกัน เพราะ “รูทุกข” คือรูตรงๆ ซื่อๆ เขาไปที่กาย-ใจของตนตามความเป็นจริง
    สวน “เป็นทุกข” นั้นคุณจะ “คิดวารู” ตามที่ตนอยากใหเป็น เมื่อรู้ทุกขอยางถูกตองแลว ในขณะนั้น
    ตัณหาที่เคยบงการจิตจะดับสนิทไปเมื่อ เมื่อตัณหาดับสนิท นิโรธก็เกิดขึ้นและเทากับมรรคกําลังสัประยุทธกับตัณหาในบัดนั้น

    ทันใดนั้นเอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ยอมปรากฏประพิมพประพายยังใจใหรู ตื่น เบิกบานและสงบเย็นขึ้นมาทันที
    สมดังที่พระพุทธวัจนว่า

    “สรณะนั้นแลเกษม สรณะนั่นอุดม…”

    การเขาถึงพระรัตนตรัยนั้นพิสูจนได้ดวย “ความพนทุกข” หรืออยางนอยตองเห็น วิถีทางที่จะพนจากทุกข์
    ถ้ายังไร้วี่แวว… ก็น่าจะมีประเด็นให้ขบคิดว่า

    1. เพราะธรรมะที่พระพุทธเจาสอนไว้นั้น “ผิด”
    2. หรือเพราะเราปฏิบัติ “ผิด” ไปจากคําสอนของพระพุทธเจาเสียเอง

    ถาเป็นคุณจะเลือกขอไหน?
    ถาเลือกขอ 1 คงตองกลับมาทบทวนตนเองวายังเป็น “พุทธ” อยูหรือไม่
    ถาเลือกขอ 2 ก็ตองสํารวจตนเองวานับถือพระรัตนตรัยถูกที่ ถูกทางอยู่หรือเปลา
    เพราะถาถูกแท ก็ตองสมกับพุทธพจนที่วา

    “…เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่นแลว ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได”

    พระมหาวิเชียร ชินวํโส
    ฯ ๗๑ Add to อุรุเวลา's Reputation แจ้งทีมงาน โพสต์ผิดกฏ แก้ไขหรือลบข้อความ
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อกุศลกรรมบถ ๑๐ อย่าง
    ๑. ปาณาติบาต [การยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป]
    ๒. อทินนาทาน [การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้]
    ๓. กาเมสุมิจฉาจาร [การประพฤติผิดในกาม]
    ๔. มุสาวาท [พูดเท็จ]
    ๕. ปิสุณาวาจา [พูดส่อเสียด]
    ๖. ผรุสวาจา [พูดคำหยาบ]
    ๗. สัมผัปปลาป [พูดเพ้อเจ้อ]
    ๘. อภิชฌา [ความโลภอยากได้ของเขา]
    ๙. พยาบาท [ความปองร้ายเขา]
    ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ [ความเห็นผิด]

    ดูกรจุนทะ ก็เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้
    นรกจึงปรากฏกำเนิดดิรัจฉานจึงปรากฏ เปรตวิสัยจึงปรากฏ หรือว่าทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่นจึงมี ฯ
     
  9. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    คำถามต้นกระทู้ ควรเปลี่ยนเป็นว่า ใครยินดีกับ เกษม ในการทำลายพระพุทธบ้าง น่าจะเหมาะสมกว่านะ
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    http://palungjit.org/newthread.php?do=newthread&f=2
     
  11. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    A_ANS_NU
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2010
    ข้อความ: 184
    Groans: 68
    Groaned at 9 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 195
    ได้รับอนุโมทนา 711 ครั้ง ใน 119 โพส
    พลังการให้คะแนน: 98

    ใครบอก เกษม จะหลอมพระพุทธ รูป บ้าไปแล้ว นั่นจงใจเอามาเผา ทั้ง ศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ ทุบเละหมด บาป แท้
     
  12. peatkungza

    peatkungza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +138
    อ้าวคุนกำนันก็เข้าใจนิคับ คิดถึงพระองค์โดยตรง

    ความหมายน่าจะเข้าใจนะ
     
  13. peatkungza

    peatkungza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +138
    อย่างกรณีพระเกษมท่านดีมากในการสอนคน แต่เลือกวิธีที่ขัดใจนิสัยคนไทยสมัยนี้
    เลยมีปัญหาตามมา ( เพราะคนไทยต้องการพระในอุดมคติตัวเอง พระก็คนนี่แหละครับแค่มีศีล แต่คนไทยชอบคิดว่าพระบวชแล้วต้องเปนอรหันต์เลย อยากเหนพระสำรวมต่อหน้ายิ้มแย้ม กริยามารยาทดี ลับหลังจะทำอะไรเราไม่รุ้ พระก็ตีบทแตกเราก็เคลิ้มตามเนิกว่าอรหันมาโปรดตามกันไปแท้จริงพระท่านตีสองหน้าให้เราเหนอยุ่ )


    เรื่องพระพุทธรุป สำหรับผมผมกราบอยุ่ เอาใว้เตือนสติตัวเองในบาปในบุญ ซึ่งจริงๆไม่ต้องมีผมก็นึกใด้ด้วยตัวเอง ท่าคุนทุกคนมีใว้เพื่อเตือนสติตัวเอง นึกถึงพระธรรมคำสอน มันจะเปนเรื่องที่น่ายกย่องมาก แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ไงคับแขวนพระเพื่อคงกะพันไปฟันกันตาย ไปวัดก็ไปหวังโชคลาภสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เอาพระมาขายทำเปนอาชีพ คนซื้อไม่ใด้เคารพในพระธรรมหลอกคับซื้หวังพุทธคุนความศักดิ์สิทธ์ดลบันดาลนุ่นนี่นั่นให้ใด้ ๆลๆ


    พระเกษมแค่อยากกระตุกใจคนพวกนี้ แต่ใช้วิธีรุนแรงไปหน่อย แถมไปกระเทือนจิตใจคนพวกแรก เลยโดนสังคมต่อต้าน โดยเฉพาะพวกหากำไรทางศาสนา พระก็ดี คนก็ดี

    ผมไม่เข้าใจว่าคนที่ตัดสินคนเพียงแค่ไม่กี่ครั้งอย่างคุน มาเปนกำนันใด้อย่างไร อย่าให้เด็กสอนสิคับ

    มองคนอย่ามองด้านเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [๗๓๓] สมัยหนึ่ง ท่านพระวังคีสะอยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์
    เขตเมืองอาฬวี กับท่านพระนิโครธกัปปะผู้อุปัชฌาย์ ก็โดยสมัยนั้นแล
    ท่านพระวังคีสะนึกดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่าอื่น ด้วยปฏิภาณของตน ฯ
    ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะมีความคิดดังนี้ว่า ไม่เป็นลาภของเราหนอ
    ไม่ใช่ลาภของเราหนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ เราไม่ได้ดีเสียแล้วหนอ
    ที่เราดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่าอื่น ด้วยปฏิภาณของตน ดังนี้ ฯ

    [๗๓๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะยังความวิปฏิสารให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเองแล้ว
    ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
    ดูกรท่านผู้เป็นสาวกของพระโคดม ท่านจงละมานะเสีย
    ท่านจงละหนทางแห่งมานะในโลกนี้เสีย อย่าให้มีส่วนเหลือได้
    (เพราะ) หมู่สัตว์ผู้อันความลบหลู่ทำให้มัวหมองแล้ว
    ย่อมเป็นผู้มีความเดือดร้อนตลอดกาลนาน
    สัตว์ทั้งหลายผู้อันมานะกำจัดแล้วย่อมตกนรก
    ชนทั้งหลายผู้อันมานะกำจัดแล้วเข้าถึงนรกแล้ว
    ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน
    ภิกษุผู้ชำนะกิเลสด้วยมรรคเป็นผู้ปฏิบัติชอบ
    ย่อมไม่เศร้าโศกเลยในกาลไหนๆ ย่อมได้รับเกียรติคุณและความสุข
    บัณฑิตทั้งหลายย่อมเรียกภิกษุผู้เช่นนั้นว่า เป็นผู้เห็นธรรมเพราะฉะนั้น
    ท่านจงเป็นผู้ไม่มีกิเลสเพียงตะปูเครื่องตรึงใจในโลกนี้ เป็นผู้มีความเพียร
    จงละนิวรณ์ทั้งหลายเสีย เป็นผู้บริสุทธิ์ และละมานะอย่าให้มีส่วนเหลือแล้ว
    ทำที่สุดแห่งกิเลสด้วยวิชชา เป็นผู้สงบระงับ ดังนี้ ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๒๒๗/๒๘๙ ข้อที่ ๗๓๓ - ๗๓๔
     
  15. phrawizean

    phrawizean สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +20
    ลองพิจารณาดู ถ้าพระพุทธองค์ยังอยู่ และพระเกษมประพฤติเช่นนี้ จะถูกพระพุทธองค์ติโทษขนาดไหน และคงเป็นต้นบัญญัติอีกมากเลย ไม่ต่างจากพระอลัชชี เช่น พระฉัพพัคคีย์ เป็นแน่ บอกว่า ให้ปล่อยวางไม่ยึดถือ แม้แต่พระพุทธรูปทองเหลือง ยังปล่อยวางไม่ได้ แม้แต่พระเถระรูปอื่นยังโดนด่าได้ คนที่ปล่อยวางได้ จะไม่ทำร้ายใคร ไม่ด่าใคร ไม่ยุ่งกับสิ่งที่ควรยุ่ง แต่จะสงบและดูที่จิตใจของตนเอง ไม่ใช่ไปด่าพระพุทธรูป หรือ พระสงฆ์รูปอื่น.. ประเภทนี้ไม่บ้า เพี้ยน ก็ อยากดัง........
     
  16. phrawizean

    phrawizean สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +20
    อีกอย่าง ถ้าวันนี้ ปล่อยให้พระ(หรือเปล่า)เกษม ทำร้ายพระพุทธรูปเช่นนี้ ชาวพุทธลองนึกดูนะครับว่า วันหน้าหากพวกฝรั่งต่างชาติ เอาเศียรพระไปประดับในบาร์เหล้า ห้องสุขา หรือแม้กระทั่งให้ผู้หญิงเปลือยโป้ ไปนั่งถ่ายภาพนุ้ดบนเศียรพระ โดยอ้างจากคำพูดของพระเกษม พวกเราจะสะเทือนใจกันขนาดไหน หากพระเกษมมีปัญญาจริง คงคิดถึงผลได้ ผลเสียที่จะตามมาได้แล้ว แต่คนคิดได้เช่นนี้ เป็นควรที่เราควรนับถือ หรือว่า เป็นบุคคลประเสริฐแล้วหรือ พระอริยะที่เรายอมรับ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เสาร์ ฯลฯ ท่านประพฤติเช่นนี้หรือ ถ้าพระทุกรูปเป็นเช่นพระเกษม เราก็ไม่ควรกราบไหว้พระสงฆ์แล้ว เพราะว่า พระสงฆ์ ก็คงไม่ได้พระสงฆ์ เป็นแค่ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบเป็นรูปร่าง บังเอิญห่มเหลืองเท่านั้น ถ้าจะตบพระเกษม ก็คงไม่ผิด เพราะว่า เราแค่ตบธาตุทั้งสี่เท่านั้น..
     
  17. peatkungza

    peatkungza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +138
    เรื่องพระพุทธรุป สำหรับผมผมกราบอยุ่ เอาใว้เตือนสติตัวเองในบาปในบุญ ซึ่งจริงๆไม่ต้องมีผมก็นึกใด้ด้วยตัวเอง ท่าคุนทุกคนมีใว้เพื่อเตือนสติตัวเอง นึกถึงพระธรรมคำสอน มันจะเปนเรื่องที่น่ายกย่องมาก แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ไงคับแขวนพระเพื่อคงกะพันไปฟันกันตาย ไปวัดก็ไปหวังโชคลาภสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เอาพระมาขายทำเปนอาชีพ คนซื้อไม่ใด้เคารพในพระธรรมหลอกคับซื้หวังพุทธคุนความศักดิ์สิทธ์ดลบันดาลนุ่นนี่นั่นให้ใด้ ๆลๆ


    พระเกษมแค่อยากกระตุกใจคนพวกนี้ แต่ใช้วิธีรุนแรงไปหน่อย แถมไปกระเทือนจิตใจคนพวกแรก เลยโดนสังคมต่อต้าน โดยเฉพาะพวก งมงายกิเลสหนา หากำไรทางศาสนา พระก็ดี คนก็ดี
     
  18. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    พระพุทธรูปไม่ผิดอะไรเลย
    พวกตัวคนยึดมั่น ทั้งรักและไม่รัก ในพระพุทธรูปนั้นแหละ คือพวกที่ผิด (โดยเฉพาะ พวกหากิน กับการสร้าง พระเครื่องแบบ พาณิชย์เต็มตัว)
    ความเชื่อหรือความจริงจากพระโอษฐ์ เมื่อ 2600 ปีที่แล้ว ใครมีหลักฐาน การมีอยู่จริง
    ของพระพุทธเจ้าบ้าง มีรูปถ่ายพระพุทธเจ้า มีวีดีโอ ซีดี ดีวีดี หุ้นขี้ผึ้ง ให้เห็นพระองค์เป็นๆบ้างไหม เอามาให้ดูหน่อยสิ
    (คุณว่า ถ้ามี หุ่นขี้ผึ้ง องค์จริง เหลืออยู่ จะดีกว่า ไม่มีหรือไม่)
    ผ่านมา 2556 ปีหลังท่านนิพพาน ผมเชื่ออย่างมากเลยว่า ถ้าไม่สร้างพระพุทธรูป ให้เป็นที่ ระลึก ถึงตัวแทนพระองค์ พระพุทธศาสนา ก้าวมาไม่ถึงให้พวกคุณที่ชอบทำลาย พระพุทธรูปได้รู้จัก พระพุทธเจ้าเลย

    คุณลองคิดดูนะครับ ถ้าคุณทำลาย สิ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนของคุณ (รูปถ่าย รูปปั้น เป็นต้น)ให้ดับหายไปหมดสิ้น ในอีก 500 ปีข้างหน้า คุณว่า ลูก หลาน เหลน โหลน ของคุณจะรู้จักคุณ จะชื่นชม คุณปู่ทวด อย่างคุณได้อย่างไร เพราะหลักฐานการมีอยู่จิงของตัวคณไม่เหลือ เหลือเพียง คำที่คุณเคยสอน แล้ว ลูกๆ จดเอาไว้มาเล่าให้ หลานๆ มาเล่าต่อให้เหลนๆฟัง อีกที
    แล้วหลานๆเหลนๆ ก็ฟังวีระกรรม คุณเป็นนิทานก่อนนอน จริงๆเท็จๆ ปนๆไป กลายเป็น เรื่องขำๆ นึกว่า ยาย แต่งให้ฟัง เพราะ เมื่อ เหลน โหลน คุณ อยากเห็นหน้า ปู่ทวด ผู้สร้างวีระกรรม อั่นลือชื่อ ยายก็บอกว่า เผารูป ปู่ทวดทิ้งไปหมดแล้ว (เหลน คงจะอยากเขกกระบาน ยาย แล้วบอกว่า ยายจะเผาทิ้งไปทำไม หนูก็อยากเห็น หน้าตาปู่ทวดนะ รูปวาดก็ยังดี เหมือนหรือไม่เหมือนตัวจิง ก็ดีกว่าไม่มีละนะ)
    คุณจะกล้านำเรื่อง นิทานก่อนนอน ไป โอ้อวดว่า เป็นผลงานปู่ทวดฉันเองให้เพื่อนๆฟังไหม สุดท้่าย คำสอน และ วีระกรรมของคุณจะถูก ลบและหายไปอย่างรวดเร็วไม่มีทาง
    มาไกลถึง 2600 - 5000 ปี แน่นอน
    นี้แหละคือ สิ่งที่น่ากลัว
    จริงอยู่ พระพุทธองค์ทรงบอกว่า ศาสนาของพระองค์จะอยู่ครบ 5000 ปีแน่นอน แต่ผมไม่ขอเป็นส่วนหนึ่งในการทำลาย พระศาสนา
    ผมให้ผู้ชอบทำลาย ทำไปเถอะครับ เตือนก็แล้ว มืออยู่ไม่สุข ก็รับเวร รับกรรม
    กันไปเถอะ ส่วนผมไม่ทำลาย พระพุทธรูปแน่นอนครับ
    พวกที่เห็นด้วย ก็แล้วแต่นะครับ ผมจอถามง่ายๆว่า
    แล้วจะทำลายไปทำไม ทองเหลือง ก็อยู่ของเค้าดีๆ มืออยู่ไม่สุขเองหรือป่าว
    เที่ยว ทุบ ตี ทำลาย เผาไฟ
    ในช่วงชีวิตเรา เราได้เห็นคน พิการ รูปแปลกๆมาเยอะมากมาย
    คนเหล่านั้น ล้วนไม่เชื่อเรื่องกรรม ทั้งสิ้น อยากเป็นคนต่อไปก็เชิญ
    ส่วนผมจะกราบไหว้ งามๆ เช่นเดิม เพราะนั้น คือสุข ของผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2013
  19. KS109

    KS109 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    ผมมีความคิดเห็นว่า ผมจะไม่ตัดสินพระว่ารูปไหนดีหรือไม่ดี แต่ตัดสินการกระทำอย่างเดียว ว่าการกระทำใดดีก็ควรทำตาม การกระทำใดไม่ดีก็จะไม่ทำ จะเห็นว่าคนๆเดียวกันเช่นตัวเราก็เคยทำทั้งความดีและความชั่ว แต่ถ้าเราตัดสินตัวเราเองเราก็ไม่อยากตัดสินว่าเราเลวจนแก้ไขไม่ได้ เพราะเราก็อยากเป็นคนดี ความชั่วที่ทำก็เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้กับปุถุชนทุกคน แต่ถ้าถามเจตนาก็ยังอยากเป็นคนดีเช่นเดิม ดังนั้นเมื่อมองคนอื่นก็ทำแบบเดียวกันคือไม่สรุปว่าคนอื่นเลว แต่สรุปแค่การกระทำนั้นๆเราไม่เห็นด้วยเราจะไม่ทำ ไม่ยกย่อง ไม่สนับสนุน
    เรื่องพระพุทธรูปผมก็ใช้เป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าซึ่งล่วงลับไปแล้ว เปรียบเสมือนเรามีรูปของญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับ หรือรูปของบรรพกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เราก็รู้ว่าเป็นแค่กระดาษที่มีรูปไม่ใช่ตัวตนจริงของท่านแต่เราก็ยังเคารพรูปนั้น ไม่ทำลาย ไม่ปัสสาวะรด ไม่ตบตีหรือเผาทำลายรูปนั้น
    เวลาทำสมาธิผมก็ใช้วิธีนึกภาพพระในใจถ้าไม่มีพระพุทธรูปผมก็คงนึกภาพไม่ออก แต่ก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หน้าตาอย่างนี้แล้วแตช่างจะปั้นมากกว่าแต่ก็ใช้แทนได้ครับ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "นี่หากพระพุทธองค์เสด็จกลับมาเห็นพระพุทธปฏิมาองค์นี้ พระองค์ก็คงจะถามว่า นี่ใครกันมานั่งอยู่ในโบสถ์"
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...