จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]
    ให้ศึกษาอารมณ์จิต ที่ยังเกาะติดร่างกายให้มาก

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. ให้ศึกษาอารมณ์ของจิตที่เกาะติดร่างกายให้มาก จักเห็นความเกาะติดในทุกๆ อิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมา จนกระทั่งหลับนอนไปเลย นี่แหละคือการค้นคว้าหาตัว สักกายทิฎฐิ คนเราจักละหรือตัดมันได้ ก็ต้องรู้จักตัว สักกายทิฎฐิ จริงๆ ต้องเห็นศัตรูก่อนจึงจักกำจัดศัตรูได้ ข้อนี้ฉันใด การจักตัด สักกายทิฎฐิ ก็ฉันนั้น จึงต้องทำกันจริงๆ มิใช่ทำเล่นๆ ต้องอย่างจริงจัง แล้วหาเหตุหาผลในการละ หรือตัดกิเลสด้วยปัญญาจริงๆ แล้วผลที่ได้ก็จักจริงทุกอย่าง

    ๒. งานทางโลกไม่มีใครทำได้จบจริงๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณญาณ บุคคลใดยังข้องติดอยู่กับงานทางโลก จึงทำไปไม่รู้จักจบ งานทางโลกเป็นกิจที่ทำได้เฉพาะเมื่อมีขันธ์ ๕ เท่านั้น บุคคลผู้รู้คุณค่าของการมีขันธ์ ๕ ก็จักทำหน้าที่อย่างชาญฉลาด มุ่งทำงานเพื่อเป็นที่เจริญของจิตด้วย ไม่เบียดเบียนตนเองทั้งกาย - วาจา - ใจด้วย สงเคราะห์ตนเองและผู้อื่น เท่าที่จักสงเคราะห์ได้ จิตก็จักเป็นสุข ทำงานทางโลกไปตามหน้าที่ โดยไม่เบียดเบียนและไม่ข้องติดอยู่ในหน้าที่นั้น ความรับผิดชอบนั้นมี ทำอย่างดีที่สุด ตามกำลังความสามารถจักทำได้ แต่จิตไม่เกาะติดให้เกิดความเศร้าหมองของจิต มีธรรมค้ำชูจิต ตายเมื่อไหร่ งานทางโลกก็เลิกกัน วางได้สนิท จิตไม่ติดห่วงใด ๆ ทั้งสิ้น เวลานี้จิตเจ้ายังห่วงทั้งงานทางโลกและงานทางธรรม งานทางโลกกลัวจักทำไม่เสร็จ งานทางธรรมกิเลสก็ยังสิงใจหนาอยู่ กลัวทำไม่เสร็จเช่นกัน เพราะฉะนั้น จงพยายามตรวจสอบจิต อย่าให้คิดห่วงอะไร เพียรใช้ปัญญาปล่อยอารมณ์ห่วงนั้นให้ลุล่วงไป ตรวจสอบดูกันให้ดี แล้วจักเห็นจุดบกพร่องได้

    ๓. สิ่งใดเป็นอันตรายกับจิต เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ก็พึงหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น และพยายามหาเหตุหาผลมา วางอารมณ์เกาะยึดโทสะ - โมหะ - ราคะ ให้คลายไปจากจิต ให้เห็นสภาพความโกรธ - ความรัก ความหลงตามความเป็นจริง อย่าไปอนุโลมตามกิเลสคำว่ารักมิใช่เพียงแต่หนุ่มสาว ให้ดูอารมณ์เกาะติดในรูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัสด้วย ให้ครอบไปหมดทุกอายตนะสัมผัส อย่าไปใจอ่อนยอมแพ้กิเลส ค่อยๆ พิจารณาให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง แล้วจิตจึงจักตัดวางอารมณ์ที่เกาะติดนั้นลงได้

    ๔. ให้สังเกตอารมณ์ของจิต ยิ่งตามรู้ลึกเข้าไป ยิ่งเห็นความละเอียดของกิเลสมาก อย่าพึงสนใจกับบุคคลอื่น ให้สนใจกับจิตของตนเองให้มาก เช่น การพูดกล่าวสอนธรรมให้คนอื่นยังเป็นของง่าย แต่ที่จักกล่าวสอนธรรมให้แก่จิตตนเองเป็นของยาก ที่เห็นๆได้ง่ายก็เรื่องการติดรูปและรสอาหาร เป็นต้น แม้จักรู้สึกเบื่อในการประกอบอาหาร แต่บางขณะพอกระทบกลิ่น - รสของอาหารเข้า จิตก็ยังมีความอยากบริโภคอาหารนั้น เรียกว่าเบื่อไม่จริง ยังมีราคะในอาหาร จุดนี้เป็นการยกให้เห็นแนวทางของการพิจารณาหาอริยสัจ และให้เห็นอารมณ์ทะยานอยากของจิต แต่การพิจารณานี้ให้เป็นแนวทางครอบคลุมไปทั่วทั้งรูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัส - ธรรมารมณ์ สุดแล้วแต่จิตของพวกเจ้าจักละเอียดขึ้นมาพิจารณาธรรมนั้นๆ ได้สักแค่ไหน

    ๕. สุขภาพไม่ดี ก็ให้หมั่นพิจารณาดูโทษของขันธ์ ๕ ที่สร้างทุกข์ให้กับจิตตลอดเวลา เมื่อเห็นสภาวะที่น่าเบื่อเยี่ยงนี้ จิตจักต้องหาพ้นไปอยู่ตลอดเวลา การพิจารณาร่างกายอยู่เสมอ ๆ เป็นอุบายไม่ให้จิตส่งออกนอกกาย เป็นวิปัสสนาญาณที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นอริยสัจ เป็นหนทางอันจักให้พ้นไปเสียได้จากร่างกาย พ้นเสียจากความเกิด มิใช่ให้ไปดูอื่นไกล ดูอาการของจิตที่เกาะติดยึดมั่นถือมั่นอยู่ในกายนี้ว่าเป็นเรา เป็นของเรานี่แหละเป็นสำคัญ สิ่งอื่นใดที่อยู่ภายนอกมิใช่หนทางพ้นทุกข์ให้พิจารณาให้ลึกซึ้ง ที่เราเกิดโทสะ - ราคะ - โมหะ หรือ โลภะ ก็เนื่องจากการที่จิตเกาะกายเป็นต้นเหตุนี่แหละ พิจารณาอนุโลม - ปฏิโลมให้ลึกซึ้ง แล้วจักเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เรื่องนี้สำคัญมากไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ นอกเสียจากว่าเราต้องพยายามช่วยเหลือตนเอง

    ๖. ให้พิจารณาไตรลักษณ์ควบคู่กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง แล้วให้เห็นจิตที่ถูกอำนาจไตรลักษณ์ครอบงำ จิตตกอยู่ในกามตัณหา - ภวตัณหา - วิภวตัณหา เพราะไตรลักษณ์ครอบงำโดยละเอียด แล้วเจ้าจักเห็นทุกข์ - สมุทัย - นิโรธ - มรรค อยู่ที่จิตเจ้าที่เข้าใจนั้น สอบสวนค้นคว้าเข้าไปให้ลึกซึ้ง และอย่าลืมเห็นไตรลักษณ์แล้ว ให้หวนคิดไปถึงพระสูตรที่แสดงถึงพระ ๕๐๐ รูป ซึ่งเคยพิจารณาอนิจจะลักษณะมาหลายชาติ แต่มิอาจบรรลุธรรมอันที่จักหลุดพ้นจากอำนาจไตรลักษณ์ได้ มาถึงพุทธันดรนี้ พระทั้ง ๕๐๐ รูป ได้รับฟังคำสอนของสมเด็จองค์ปัจจุบัน แล้วไฉนจึงหลุดพ้นจากบ่วงไตรลักษณ์ได้ ให้พิจารณาจุดนี้โดยเอก ปริยายด้วย อนึ่งอย่าตั้งเป้าหมาย ไว้เพียงแต่อนาคามีผล ให้มุ่งหวังพระอรหัตผล ปฏิบัติควบคู่กันไปเลย

    ๗. อย่าทิ้งอานาปานัสสติกรรมฐาน ยิ่งกำหนดรู้ลมมากเท่าไหร่ จิตจักยิ่งทรงสติได้มากขึ้นเท่านั้น ให้เอาลมหายใจมาเตือนใจไว้เสมอว่า ชีวิตนี้มันไม่เที่ยง อาจจักตายลงในปัจจุบันนี้ได้ตลอดเวลา เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต มี มรณา ควบอุปสมานัสสติ ตลอดเวลา และอย่าลืมว่าจักเพียรละกิเลสจุดไหน กิเลสจุดนั้นจักเข้ามาทดสอบจิตอย่างหนัก อย่างกำลังศึกษาอานาปาเป็นต้น ความอึดอัดขัดข้องก็จักเข้ามาเล่นงาน เช่น ถีนมิทธะเล่นงานอย่างหนัก จนไม่สามารถยกจิตขึ้นนิพพานได้ เพราะฉะนั้นการต่อสู้ก็จักต้องใช้ความอดทนให้มากๆ และการพิจารณารูป - นามก็เช่นกัน รูป - นาม ก็จักแสดงอาการเป็นโทษให้เห็นอย่างชัดเจน พยายามอย่าปล่อยอารมณ์ให้เบื่อหน่ายมากเกินไป เพราะจักทำให้จิตหดหู่เศร้าหมอง จิตไม่ผ่องใส เพราะฉะนั้นจงพิจารณาลงตัวธรรมดาของรูป - นามเสียให้ได้

    ๘. พิษของนิวรณ์ตัวฟุ้งซ่านนั้นมีอยู่มากหลาย ให้ศึกษาจุดนี้ให้มากๆ ด้วย

    ๘.๑ จิตของคนเรา เมื่อมีเวลาละทิ้งหน้าที่การงานของกายในชั่วขณะหนึ่ง จุดนั้นกายวิเวกแล้ว

    ๘.๒ เมื่อเป็นเวลาว่างจากการสนทนากับบุคคลภายนอก นั่นเป็นวจีวิเวกแล้ว

    ๘.๓ เมื่อคุมอารมณ์มิให้ฟุ้งซ่านได้ นั่นเป็นมโนวิเวกแล้ว

    และเมื่อเอาสติ - สัมปชัญญะมากำหนดรู้ในพระธรรมคำสั่งสอน เอโกธัมโมก็เกิด ทำให้จิตมีความเข้าใจในพระธรรม แม้จักเผลอฟุ้งซ่านไปบ้าง ก็มีสติ - สัมปชัญญะรู้ตัวเร็ว หักล้างอารมณ์นิวรณ์ให้สลายตัวไปได้ดีกว่าไม่รู้ตัวเสียเลย เมื่อทำเช่นนั้นจนสามารถรู้ตัวได้ว่า จิตสงบเป็นอย่างไร หมายถึงสงบโดยปราศจากอารมณ์ฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร และสามารถรู้ได้ว่าจิตมีกำลังพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างไร เมื่อนั้นจิตก็จักพบกับความสุขสงบเยือกเย็น รู้คุณ - รู้โทษของอารมณ์ที่จิตเสวยอยู่อย่างชัดเจน จุดนี้พึงศึกษาให้มาก

    ๙. จิตจักเจริญได้ ต้องอาศัยความเพียร เจริญสมถะและวิปัสสนาอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้จิตเป็นไปตามแบบปลาตายลอยน้ำ จักต้องรู้จักฝึกจิต ทรมานจิตให้คลายจากอารมณ์เกาะติดในรูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัสให้ได้ นี่เป็นจุดต้น แต่ถ้าหากจักตัดให้เป็นอุกฤษฏ์ ก็คือสังวรจิต ฟอกอารมณ์หลงเอาไว้เสมอๆ (โดยขู่มันว่าหากตายตอนนี้เจ้าจะไปไหน) และอย่าลืมอย่าตั้งความหวังไว้แค่พระอนาคามี ให้ตั้งไว้ให้ได้พึงความเป็นพระอรหันต์ให้ได้ เพราะนั่นแหละจึงจักถึงซึ่งพระนิพพานได้ในปัจจุบัน ในการปฏิบัติจริงๆ แล้ว ให้ตัดสังโยชน์ ๓ ให้ได้ก่อน โดยเอาอธิศีลเป็นพื้นฐาน เมื่อได้แล้ว สังโยชน์ ๔ - ๕ ไม่ต้องตัด ให้รวบรัดตัดอวิชชาข้อที่ ๑๐ ของสังโยชน์เลย เพราะในคนฉลาดที่มีบารมีเต็มหรือกำลังใจเต็ม ทรงให้ตัดข้อเดียวคือ สักกายทิฎฐิ ตัดโดยไม่มีอวิชชาครอบงำก็พ้นทุกข์ได้ อุบายที่ทรงพระเมตตาแนะนำวิธีเข้าสู่พระนิพพานแบบง่ายๆ สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานได้สังโยชน์ ๓ ข้อแรกแล้วก็คือ รู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพาน..

    (พล.ต.ท. นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน)

    ขออนุญาติคัดลอก และขอนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทานโดย...

    นิวเวป จบ.๑๔
     
  2. naskas

    naskas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +267
    สงสัยผมจะบาปหนา บารมีน้อย นึกภาพพระไม่ได้เลย มีแต่ความมืดมน
    ไม่เห็นเหมือนตอนหลับฝัน ภาพสว่างสดใส :'(
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ผู้ตื่น...ตื่นจากอะไร?...
    ...ตื่นๆตื่น...

    ...ตื่นจากความหลงตัวเอง...

    ...ตื่นจากความหลงกาย...

    ...ความหลงใจเป็นตัวเป็นตน...

    ...เป็นของของตน...

    ...ตื่นจากความหลงความทุกข์...

    ...ตื่นจากความหลงความสุข...

    ...ตื่นจากความหลงความเป็นคน...

    ...หลงกิเลส...หลงสันดาน...หลงความปรุงแต่ง...

    ...หลงขันธ์ ๕ เพราะเห็นความจริงว่า...ทั้งหมดที่กล่าว ทุกอย่างที่เกิด...

    ...ล้วนแต่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์...บังคับบัญชาไม่ได้...

    ...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...มันไม่เที่ยงทั้งหมด เป็นธรรมดา...

    (พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท)

    ลูกขอน้อมกราบหลวงพ่อปานด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2013
  4. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    บุญก่อเจดีย์ทรายใกล้วันสงกรานต์

    สวด เจดีย์ทราย[​IMG]

    จะกล่าว ประเพณี ก่อเจดีย์ แล้วด้วยทราย

    ผลบุญ เลิศล้ำหลาย และมากมาย ไม่ประมาณ

    บุญนั้น ย่อมบรรดล แผ่ผายผล ให้สุขสานติ์

    ล้วนเกิดที่ชื่นบาน ที่ร้าวฉาน ไม่เกิดมี

    ยังมีเทพบุตร งามผาดผุด วิไลศรี

    รุ่งเรืองดังอัคคี ในบุรี ดาวดึงส์

    หมู่นาง เทพอัปสร ศรีสมร งามกลมกลึง

    แสนนาง ล้วนพอพึง เฝ้าแหนหึง ไม่เหินห่าง

    เทพบุตร ดังกล่าวนี้ สุขมากมี ไม่จืดจาง

    โดยบุญ ที่ได้สร้าง กล่าวเอ่ยอ้าง เมื่อเป็นคน

    คราวนั้น เกิดที่ยาก ต้องตรำตราก เป็นคนจน

    เกี่ยวหญ้า ขายเลี้ยงตน ข้างถนน และทุ่งนา

    วันหนึ่ง ไปเห็นทราย งามแพรวพราย ริมธารา

    จึงหยุด เกี่ยวหญ้าคา กวาดทรายมา ทำกองทราย

    กวาดกอง ทำเจดีย์ เป็นเจดีย์แล้ว ด้วยทราย

    ดอกไม้ ปักโปรยปราย เจดีย์ทราย น้อมบูชา

    ชาตินั้น เมื่อสิ้นชนม์ บุญผายผล ให้สุขา

    เกิดแดน ดาวดึงสา สุขเลิศหล้า ไม่แหนงหน่าย

    สมเด็จ พระศาสดา ทรงตรัสว่า ท่านหญิงชาย

    ก่อกอง เจดีย์ทราย บุญแผ่ผาย สุขมากมี

    อบาย ไม่ไปเกิด ย่อมจะเกิด แต่ที่ดี

    ร้อยชาติ มากมายมี ล้วนเกิดที่ โสมนา

    ก่อกอง เจดีย์ทราย ผลเลิศหลาย ยิ่งนักหนา

    ฝูงชน มีศรัทธา ก่อบูชา ล้ำเลิศแลฯ

    จะแถลง เวลุวกา เวลุวกา คือกองทราย

    เป็นที่ กำหนดหมาย ชำระบาป และมลทิน

    บัณฑิต ในปางก่อน รู้เหตุถอน บาปมลทิน

    ขนทราย ขนกรวดหิน หรือขนดิน สร้างเจดีย์

    รู้บาป มลทินโทษ ที่หินโหด ตนทำมี

    แต่หลัง เก่าก่อนมี จะหลุดพ้น สะอาดใส

    บางพวก ถือเป็นบุญ เหตุนำหนุน เมื่อตายไป

    จะเกิด ที่พึงใจ ที่สดใส ไม่อาวรณ์

    บางพวก ก่อกองทราย อุทิศหมาย ให้ผู้มรณ์

    เป็นญาติ หรือบิดร หรือมารดา คณาชน

    บางพวก ให้เจ้าเวร ที่เป็นเวร ไว้กับตน

    โดยแผ่ แรงกุศล ที่ตนทำ อุทิศให้

    กองทราย เวลุวกา เหตุมีมา ดังกล่าวไข

    โดยความ สังเขปนัย ที่กล่าวไข เท่านี้เทอญฯ

    ท่านพระคุณเจ้าดาบส อาศรมไผ่มรกต ให้สวดมนต์เนื่องในวันสงกรานต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    คนที่รู้เรื่องของตนก็คือคนที่รู้เรื่องของสัจธรรม...เพราะตนนั้นแหละคือสัจธรรม หรือธรรมะที่มีอยู่ในเราหรืออยู่ในธรรมชาติ เพราะธรรมชาติของคนเราเกิดมาก็เพื่อ เกิด แก่ เจ็บ และตายไม่มีใครหลีกหนีได้สักรายเดียว แต่ถ้าเรารู้เรื่องของๆเราแล้วก็จะรู้เรื่องของสิ่งมากระทบก็มีอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นเองเพราะเรามีกายเราก็มีสิ่งๆนี้เกิดความชอบใจรักใคร่ใน รูป เสียง กลิ่น รส เพราะเขามีวิญญาณ และตัวนี่แหละที่ทําให้เราต้องมาเที่ยวเกิดเที่ยวตายเพราะมันได้ฝังเชื่อตัวพาหมุนดีและไม่ดีก่อภพก่อชาติในสัตว์ในบุคคลมานับไม่ถ้วน ผู้ปฏิบัติที่รู้เรื่องเหล่านี้ก็จะเป็นแค่ผู้ดูและรู้ว่ามันมาแบบไหนก็เข้าใจมันได้ทุกสถานการณ์คนผู้รู้เห็นจึงเรียกว่าผู้รู้ผู้ตื่น เพราะตื่นในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเอง...พระผู้ปฏิบัติที่หลุดพ้นแล้วท่านจึงกล่าวว่า"เห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ก็คือ นิ่งเฉยนั้นคือ ทางสุดโต่งแล้วของผู้ปฏิบัติธรรม..เพราะรู้ตนเองแบบรู้รอบในกองสังขารนั้นเอง...
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นักปฎิบัติส่วนใหญ่ต้องพบเจอ
    ก็คือความศรัทธา ความเพียร อุปสรรคและปัญหา สติปัญญา
    เมื่อมีความศรัทธา ก็ย่อมมีความเพียรด้วย
    เพราะถ้ามีแต่ความศรัทธาเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีความเพียร
    ก็มักทำอะไรไม่ได้ ถึงทำก็ไม่สำเร็จ เพราะขาดความเพียร ขาดความพยายาม
    ขาดความตั้งใจจริงที่จะประพฤติ จะปฎิบัติ

    เมื่อมีความศรัทธาบวกความเพียร ต่อไปจะต้องมีความอดทน อดกลั้น
    เพราะถ้ามีความศรัทธาอย่างเดียว แต่ไม่มีความเพียร ก็สำเร็จยาก
    หรือมีความศรัทธาเพียงอย่างเดียว แต่ขาดสติปัญญาย่อมเกิดความงมงายง่าย
    เพราะจะเชื่ออย่างไร้เหตุผล โดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี เพราะไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง
    แต่ถ้าใครอยากมีปัญญาเป็นของตนเอง ต้องมีความเพียร มีกำลังใจ
    หรือต้องนำจิตมาเดินตามมรรคมีองค์๘ คือศีล สมาธิ ปัญญา

    เมื่อมีความเพียรก็ย่อมพบเจออุปสรรคและปัญหาอย่างแน่นอน
    ความเพียรเปรียบเสมือนการก้าวเดินไปข้างหน้า ย่อมมีหกล้มหรือบาดเจ็บแน่นอน
    เสมือนคนทำงาน คนที่ไม่เคยผิดพลาด ก็คือคนที่ไม่เคยทำงาน
    เพราะฉะนั้น คนพูดมากย่อมผิดพลาดมากกว่าคนที่ไม่พูดอย่างแน่นอน
    แต่คนที่จะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จลงได้อย่างสวยงามนั้น
    จำเป็นจะต้องมีความศรัทธาและความเพียรไปพร้อมๆกัน
    ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เมื่อมีสองสิ่งพร้อมแล้ว
    ต่อไปก็ต้องก้าวเดินไปด้วยกัน เมื่อเดินหรือทำสิ่งใด ย่อมเกิดอุปสรรคและปัญหาอย่างแน่นอน
    เมื่อเกิดอุปสรรคและปัญหา ก็อย่าไปย่อท้อ ถ้อแท้ เบื่อหน่ายหรือเสียเวลากับการเสียใจ
    แต่ถ้าเราเป็นคนมีความมุ่งมั่น มั่นใจ ตั้งใจจริงจังที่จะทำการงานอะไรสักอย่างนึง
    ย่อมสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะความสำเร็จนั้นมาหลังอุปสรรคและปัญหาเสมอ
    ความสุขมาหลังความทุกข์เสมอ หรือฟ้าหลังฝน เป็นต้น

    แต่สิ่งที่จะเอาชนะ อยู่เหนืออุปสรรคหรือปัญหาต่างๆ นั่นก็คือ สติปัญญา
    สติมาปัญญาเกิด ที่พวกเราเคยท่องจำกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะถูกนำมาใช้
    ปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาทางธรรม มิใช่ปัญญาทางโลก
    ปัญญานี้เกิดจากจิตนิ่ง จิตสงบ จิตเป็นสมาธิหรือฌาน
    แต่ถ้าจิตไม่นิ่งหรือนิ่งไม่เป็น สงบไม่เป็น สมาธิไม่มี ปัญญาย่อมเกิดยาก
    ปัญญาตัวนี้จะทำให้เรารู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้โดยธรรมชาติของจิต
    รู้แบบไม่ต้องมีคนมาอธิบาย รู้แบบเหนือเหตุผล คือรู้ไม่มีเหตุผลมาประกอบหรืออ้างอิง
    เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเจริญในธรรม ย่อมเจริญในจิต คือเข้าไปให้ถึงกระแสจิตตนเสียก่อน
    แต่ถ้าเข้าไม่ถึงจิตในจิตตน ผู้นั้นย่อมไม่มีทางพบธรรม เจริญในธรรมเท่าที่ควร
    เหตุผลก็เพราะว่า ไม่ว่ากระทำในสิ่งใดๆก็ตาม ย่อมสำเร็จด้วยใจ
    โดยเฉพาะการปฎิบัติธรรม เราจะต้องนำจิตมาปฎิบัติหรือมาเดินอริยมรรคเอง
    การเรียนธรรมะจึงต่างกับการเรียนรู้ทางภายนอกจิตมาก เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย
    เพราะการเรียนรู้ทางโลก ส่วนใหญ่มักใช้สมองเรียนเสียมากกว่า
    แต่การเรียนรู้ทางธรรมนั้น เราจะต้องนำจิตเข้าไปเรียนรู้ถึงสภาวะอารมณ์จิตหรือกิเลส
    การปฎิบัติธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะยากเฉพาะทำจิตตนเองให้นิ่งเป็นสมาธิกัน นี่แหล่ะ
    ผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่มักจะเข้าไม่ถึงธรรมปฎิบัติ ภาวนายังไม่เป็น ยังทำจิตใจตนยังไม่นิ่งพอ
    ผู้ปฎิบัติมีอยู่มากมายนัก แต่ส่วนใหญ่มักเข้าไม่ถึงแก่น แก่นหมายถึงจิตของผู้ปฎิบัติเอง
    ผู้ที่จะมาเอาดีทางธรรม จะต้องสนใจจิตตนเองให้มากที่สุด มากว่าที่เคยปฎิบัติเวลานี้

    ปล.ผู้ปฎิบัติลองสำรวจตนเองกันดูนะว่า ขาดอะไร
    เหมือนเราทานอาหาร ลองดูสิว่าอาหารที่กำลังทานอยู่นี้ มันขาดรสชาติอะไร
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไม่จริงหรอกครับ คุณมีบุญมาก มีบารมีมากต่างหากเล่า
    ไม่งั้นคุณก็ไม่ได้มาเกิดเป็นคนแน่ ป่านนี้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต สัมภเวสีหรือนรกภูมิไปแล้ว
    แต่การเกิดมาเป็นคน เบื้องบนท่านให้โอกาสกันใหม่
    แต่ใครจะเลือกทำแต่เฉพาะกรรมดีหรือกรรมชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนในปัจจุบัน
    การนึกถึงภาพพระหรือการมองเห็นพระในใจตนนั้น มิได้หมายถึงการเอาตาเนื้อเข้าไปดูกันนะครับ
    แต่จะให้มองเห็นชัดกว่าตาเนื้อหรือตาเปล่านั้น ต้องใช้จิตมอง
    ถามว่าคุณทำได้ไหม ทำได้สิครับ ง่ายนิดเดียว คุณลองฝึกมองหรือนึกถึงภาพพระบ่อยๆ
    สำหรับผู้มาใหม่หรือปฎิบัติใหม่นั้น จำเป็นต้องใช้สติำกำหนด หรือนึกถึงภาพพระ แทนจิตไปก่อน
    เมื่อคุณทำบ่อยๆ เหมือนคิดถึงหรือนึกถึงหน้าแฟน เอ่อนะ อย่างนั้นยังทำกันได้ ไม่ต้องมีใครมาสอนเลย
    พอให้จับหรือจำภาพพระ ทำเป็นยากกัน เห่อๆ (มิได้ตำหนิคุณนะ)
    ที่ตอนคุณหลับ นิวรณ์ไม่กวน ก็เลยมองเห็นภาพพระชัดเจน
    พอคุณอยากเห็นแบบตอนนอน ก็ต้องทำอย่างที่ผมแนะนำไป
    หรือง่ายที่สุด ลองหาคนแนะให้เอาไหม๊ ถูกใจครูผู้ชายหรือผู้หญิงท่านใด
    ครูในประเทศหรือนอกประเทศ ก็เชิญเลือกตามสบายเลย
    ส่วนผมเป็นคนเชียร์แขกเฉยๆ ชื่อภุชงค์ฯ
    เช่น ครูเกษ(Dhammanee) ครูแนท(Natcha@uk) ครูดาว(Pugsley)
    ครูพี่เมศ(newwave1959) ครูลูกหว้า(Kim_UoonSo) ครูเพ็ญUK(Golden Sky)
    และมีอีกหลายท่าน เดี๋ยวให้ผู้ที่อยากสอนแนะนำตัวเองเด้อ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำไม? คนส่วนใหญ่
    จึงเป็นทุกข์กันทั้งบ้าน ทั้งเมือง
    มันช่างขยันมาเยือนเราเสียจริง แต่ทำไม๊ ความสุขไม่มาเยือนบ่อยๆ
    นี่แหล่ะน่ะ เราไม่รู้จักคำว่าทุกข์ของเราดีพอ
    เราก็เลยมองไม่เห็นประตูหรือทางออกแห่งทุกข์ของตนเอง

    วันนี้จะขอกล่าวถึงธรรมะตัวจริง เสียงจริง คือตัวพระในท้องเรื่อง
    ก็คือ ญ่าญา ณเดช ในเรื่อง "คู่กรรม" กำลังฮิตติดชาร์ต (สงสัยจะดูละครมาก)
    แต่มิได้หมายถึงว่า ญ่าญากับณเดชมาอยู่ด้วยกันแล้ว เราเป็นคนดูจะมีความสุขตามไปด้วยนะ
    ไม่ใช่แบบนั้น แต่เราจะมีความสุขได้จริงก็ต่อเมื่อ จิตเราเข้าใจทุกข์
    ปราศจากกิเลสใดๆ จิตเราสามารถปล่อยวางกับทุกสิ่งสมมุติทั้งปวงได้อย่างสนิทใจ

    ธรรมะ กิเลสต่างๆหรือตัวทุกข์ เราจะต้องมองด้วยอริยจักษุหรือมีดวงตาเห็นธรรม
    การมองเห็นธรรม เห็นกิเลส เห็นทุกข์ตามความเป็นจริง เราจะต้องใช้ทั้งสติและปัญญา
    เสมือนน้ำที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ที่เราจะดื่มกินเข้าไป จะต้องผ่านขบวนการหรือขั้นตอน
    การกลั่นกรองละเอียดมาเป็นอย่างดี
    จิตใจของคนเราก็เช่นเดียวกัน เผื่อเราจะได้จิตใจที่ผ่องใส สดใส บริสุทธิ์ เยือกเย็น
    ปราศจากกิเลส ปราศจากความทุกข์ใดๆ จะต้องคอยหมั่น คอยชำระล้างจิตใจของเราเอง
    โดยการเจริญกรรมฐานหรือเจริญสติภาวนานั้นแลฯ

    เป็นทุกข์ รู้สึกทุกข์ เพราะไม่ยอมเรียนรู้ คำว่า "ทุกข์"
    ที่แท้ทุกข์คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร ดับทุกข์อย่างไร พ้นทุกข์ถาวรอย่างไร
    หาคำตอบกันได้ที่ อริยสัจ๔ ไตรลักษณ์ ฯ
    เมื่ออ่านหรือเรียนรู้ธรรมะเรื่องอริยสัจจ์ ไตรลักษณ์กันแล้ว
    แต่มิได้หมายถึง เราจะพ้นทุกข์ ออกจากทุกข์ของตนเองได้เดี๋ยวนี้เลยนะ
    เพราะคนเราจะพ้นทุกข์ ออกจากทุกข์ของเราได้จริงๆนั้น เราต้องปฎิบัติธรรม
    โดยนำจิตไปเดินอริยมรรค หรือศีล สมาธิ ปัญญา
    แต่ถ้าเราไม่ปฎิบัติตามนี้ ก็เท่ากับเรายอมรับเอาทุกข์นี้ไว้กับตัวเอง
    พอทุกข์เกิดมาก ร้องไห้เสียใจมาก จะเป็นจะตายเสียให้ได้ แล้วเราจะไปโทษใครเขาเล่า
    เพราะแท้ที่จริงแล้ว มิได้มีใครมาทำให้เราเป็นทุกข์ รู้สึกทุกข์ได้เลย
    เป็นเพราะเราเองต่างหากที่ไม่ยอมเรียนรู้ทุกข์ตนเอง ตัวทุกข์ก็คือร่างกายเรา
    เหตุแห่งทุกข์ก็คือ ตัณหา ดับทุกข์ด้วยธรรมปฎิบัติ พ้นทุกข์ถาวรด้วยนำจิตมาเดินมรรค

    "ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป"
    นอกนั้นไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ
    สำหรับผู้ที่มีปัญญามาก จะมองเห็นความแปรเปลี่ยน เปลี่นแปลง ยอมรับกฎไตรลักษณ์
    คือยอมรับกฎแห่งธรรมดา ยอมรับกฎธรรมชาติคือไม่ฝืนธรรมชาติ เท่ากับไม่ฝืนจิตใจตนเอง
    ยอมรับความไม่เที่ยง ยอมรับความทุกข์ที่ทนไม่ค่อยจะได้ ยอมรับความเป็นอนัตตาคือ
    ความไม่มีตัวตน เราไปบังคับอะไรในโลกนี้ไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
    จะรู้ได้อย่างนี้ต้องฝึกจิตเราให้มีปัญญา จนจิตเรามองเห็นความเป็นธรรมดา คือเห็นจนชิน
    จิตเราย่อมปล่อยวางง่าย เข้าถึงอนัตตาง่าย วิมุตติง่าย

    ธรรมะของผมเนี๊ย! วิพากษ์วิจารณ์ได้ตามสะดวกเลยนะครับ
    ผมก็จะพร่ำไปเรื่อย ดูจิตของตนเองไปเรื่อยๆ ส่วนใครจะตำหนิ จะด่าหรือว่า ก็ตามแต่ใจของท่าน
    เพราะมิได้เป็นทุกข์ มิได้นำจิตไปยึด ไปเกาะแต่สิ่งไม่ดีของตนหรือผู้อื่น แค่รู้แล้ววาง ว่างเดี๋ยวนั้นเลย
    เพราะไม่มีคนถูกผิด ไม่มีคนดีเลวอยู่จริงในโลกนี้ ท่านลองนึกว่าเราตายในไม่มีกี่นาทีนี้
    ท่านจะนึกถึงอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่อง บุญหรือบาป กุศลหรืออกุศล
    เพราะสองสิ่งนี้เท่านั้นที่จะติดตามดวงจิต(วิญญาณ)ของเราเคลื่อนไปสู่ สุคติหรือทุคติ
    ขอให้ผู้เจริญทั้งหลาย ได้โปรดจงไตร่ตรอง ใช้สติปัญญาของท่านพินิจ หรือพิจารณญาณด้วยเถิด
    ผิดถูกอย่างไร ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
    ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขกายสบายใจ เจริญในธรรมและมีพระพุทธเจ้าอยู่ในจิตด้วยเทอญ
    _/l\_ _/l\_ _/l\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มีนาคม 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตขยาย ​
    พยายามเอาจิตอ่าน มิได้ชื่อว่าแบกตำรา แบกพระไตรปิฎก
    ปฎิบัติมาก ผลหรือปฎิเวธพลันจะเกิดกับเรา
    อ่านมาก ท่องตำรามาก มีแต่จะร้อนรน ร้อนวิชา คือชอบถามเฉพาะผู้ไม่ค่อยรู้ปริยัติ
    มักถกเถียง หาเหตุผลทางโลก มิรู้จบ
    แต่พอปฎิบัติเห็นผลก็รู้แจ้งแทงตลอด โดยเข้าใจเราก่อน
    ที่เหลือมีทั้งเห็นด้วยหรือเห็นต่าง เราก็จะเข้าใจหมด

    (จบ)
    นิโรธ
    แปลว่า ความดับ (ทุกข์) คือความสำรอกออก สลัดทิ้ง ปลดปล่อย
    ดับสมุทัย คือตัณหา ดับไฟให้สิ้นเชื้อ ด้วยอำนาจมรรค
    นิโรธเป็นภาวะแห่งนิพพาน
    นิโรธ มี 5 ประการ โดยมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น
    1.ปหาน คือการละกิเลส
    2.วิมุตติ คือความหลุดพ้น
    3.วิเวก คือความสงัด
    4.วิราคะ คือความคลายกำหนัด
    5.โวสสัคคะ คือความปล่อยวาง

    นิโรธ 5 ได้แก่
    1.วิกขัมภนนิโรธ ดับด้วยข่มไว้ คือ การดับกิเลสและข่มนิวรณ์ด้วยกำลังฌาน
    2.ตทังคนิโรธ ดับด้วยธรรมที่ตรงข้าม เช่น ดับสักกายทิฏฐิ ด้วยความรู้ที่กำหนดแยกรูป-นาม
    3.สมุจเฉทนิโรธ ดับด้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสเด็ดขาด ด้วยโลกุตตรมรรค
    4.ปฏิปัสสัทธินิโรธ ดับด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรค ดับกิเลสเด็ดขาด
    บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเป็นอันสงบระงับ ไม่ต้องขวนขวายเพื่อดับอีก
    5.นิสสรณนิโรธ ดับด้วยสลัดออก คืือดับกิเลสเสร็จสิ้นและยั่งยืนแล้ว เป็นภาวะอมตธาตุ คือนิพพาน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มีนาคม 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    วันพระ!
    ควรทำจิตใจให้สะอาด ผ่องใสและบริสุทธิ์
    ผู้ใดอยากมีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจทุกวัน ทำได้ง่าย โดยระลึกหรือนึกถึงพระทุกวัน
    ผู้ใดทำได้อย่างนี้ ขอให้ผู้นั้นมีแต่สุขกายสบายใจและเจริญในธรรม คิดอะไร ทำอะไร
    ขอให้สมหวังหรือมุ่งมาดปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มีนาคม 2013
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    อบายภูมินั้นก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนก็อยู่กับมนุษย์โลกนี้...เพราะอบายภูมิหมายถึงคนขาดความรู้ขาดการระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็เลยทําให้ไปสู่อบายภูมิได้...เพราะการระลึกถึงพระพุทธเจ้านั้นคือ"การปิดอบายภูมิ"เพราะเรามีพุทธานุสตินั้นเอง...แม้แต่เราให้ทานแต่ยังไม่รักษาศีลแต่พอมีความระลึกถึงทานที่เราให้ไว้สักครั้งหนึ่งเราก็เกิดปิติขึ้นได้นั้นก็สามารถเข้าถึงสวรรค์ได้เพราะสามารถระลึกถึงอารมณ์ที่เรียกว่า"รูปารมณ์"เป็นอารมณ์ที่ระลึกถึงคุณงามความดีของตนเองที่ได้ทําเอาไว้นั้นเอง...นั้นเป็นรูปเป็นลักษณะสีสันอย่างไรคือเหมือนอย่างเราทําทานด้วยดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามหรือได้สร้างถวายศาลาที่มีรูปทรงอย่างไร?พอเรายินดีอย่างนี้เวลาเราตายจากไปก็ไปสู่"กามาวจรจิต"เป็นอารมณ์ที่จิตยินดีในทานนั้นๆไปสู่สวรรค์ได้เพราะยินดีในทานที่ได้ให้ไว้นั้น...
    ที่มาจากเทปธรรมะของหลวงปู่คําพอง ติสโส
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...อันร่างกายเรานี้...เกิดขึ้น...ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป...

    ...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้...ก็เป็นอย่างนี้ เพราะมีขันธ์อันไม่เที่ยง...

    ...ที่จะทำให้เป็นอะไรก็ได้แล้วแต่เขาจะสั่งและบัญชามา...

    ...แต่พระธรรมนั้นที่เป็นจริง คือความจริง...ผู้ที่เห็นความจริงในกายของตน...

    ...ผู้ที่เห็นความจริงในใจของตน...ย่อมเป็นผู้ที่บรรลุธรรม...

    ...ขอฝากไว้กับผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (ผู้ที่เห็นทุกข์ จึงไม่ยึดถือกองทุกข์นั้นๆ)

    ...ว่าเป็นตน...เมื่อไม่ได้ยึดถือกองทุกข์นั้น...ว่าเป็นตน...

    ...ความเป็นตนจะมีแต่ที่ใด...ผู้ที่มองเห็นตนไม่มีความเป็นตน...

    ...จะยินดีในสิ่งทั้งปวง...ความเป็นเราแม้นสักนิดหนึ่ง...ก็ไม่มีเลย...

    ...ของของเราจักมีแต่ที่ใหน...ทุกข์เพราะความเข้าไปยึด...

    ...สำคัญว่าเป็นตน...ทุกข์ เพราะคิดว่าเป็นของของตน...

    ...พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท กราบน้อมรับคำสอนของท่านเจ้าค่ะสาธุๆๆ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    จิตของคนเราที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมหรือเข้าถึงธรรมนั้นก็ไม่ต่างกับเด็กน้อยที่ไร้เดียงสานั้นเอง...เพราะเด็กที่ไม่รู้เรื่องเห็นอะไรที่สวยงามก็อยากได้ต้องร้องไห้จะเอาให้ได้ เพราะยังไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด แม้บางครั้งก็ทําให้ถึงกับต้องเสียชีวิตได้เพราะอย่างเช่น เห็นนํ้าแล้วก็ไม่รู้ถึงอันตรายก็เดินลงไปในนํ้าก็ทําให้เสียชีวิตอย่างเราๆท่านๆเคยได้ยินได้ฟังมามีมาเยอะและอย่างเห็นไฟแล้วก็เข้าไปจับก็ไหม้มือเอา...นั้นแหละท่านได้เปรียบเทียบเอาไว้เพราะจิตผู้ไม่รู้ถึงความจริงก็จะมีแต่โลภอยากได้เห็นอะไรก็สักแต่จะเอามาครอบครองให้ได้เพราะยังไม่รู้ถึงความผูกพันธ์ในสิ่งๆนั้นแล้วพอเอาอย่างเดียวเข้ามากๆพอไม่ได้สักวันหนึ่งหรือไม่ได้ดังใจปรารถนาก็ทุกข์เข้ามาครอบงําแทนที่เท่านั้น เพราะยังไม่รู้ก็เหมือนเด็กยังไม่รู้เรื่องอะไรดีไม่ดีถูกหรือผิดก็ยังไม่รู้นั้นเอง...แต่ถ้าผู้ใหญ่ที่ยังไม่รู้เรื่องอย่างนี่เขาเรียกว่ายังไม่เข้าใจในตัว"อุปทาน" เพราะตัวอุปทานนั้นแหละทําให้เกิดทุกข์ เพราะไม่รู้ความจริงจึงเข้าไปยึดนั้นเอง...ผู้จะรู้ต้องปฏิบัติหรือเรียนรู้ในธรรมคือความจริงที่มีมาตั้งแต่กาลไหนๆมาแล้ว แต่ผู้ค้นพบก็คือ"พระพุทธเจ้าของเราเพราะท่านเห็นตามความเป็นจริงของธรรมคือ"ธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว"เหมือนเพรชที่มีอยู่พอเราเอาขัดยิ่งขัดก็ยิ่งชัดคือแวววาว ก็เหมือนปัญญายิ่งขัดก็ยิ่งชัดและก็จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้โดยทะลุปุโปร่งไปได้นั้นเอง...
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ความทุกข์เป็นอริยสัจข้อที่ ๑ ที่พระพุทธเจ้าได้ยกมาแสดงเพราะความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนจะหนีไม่พ้นและต้องเจอทุกคนเพราะถ้าทุกคนไม่มีทุกข์นั้นก็จะไม่มีนอกจากคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น...และผู้ที่เห็นความทุกข์มีอยู่นั้นก็เป็นเรื่องของจิตใจเป็นส่วนมากเพราะใจมีตัณหา เกิดความอยากได้สิ่งที่ต้องการ และไม่อยากได้สิ่งที่ไม่ต้องการเกิดจากภายในจิต เพราะเป็นอารมณ์ปรุงแต่งของสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเราต้องเอาธรรมะมาอบรมให้เห็นตามความจริง...ให้อยู่กับผู้รู้ คือผู้รู้ว่าจิตตอนนี้เป็นอย่างไร?ให้รู้ว่าคิดแบบไหนก็ให้รู้ลงในนั้น เพราะถ้าไม่รู้ก็หลงยึดเท่านั้น เพราะธรรมะไม่มีเพศไม่ชาติ ไม่มีวัย เพราะถ้าเราไม่พิจารณาอย่างนี้ก็หลงได้เพราะตอนเกิดมาตอนแรกคนเกิดมาก็ไม่รู้เพศของตนเพราะผู้เกิดมาไม่รู้อะไรเลย พอพ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่าเป็นนายแดง นายดํา หรือเป็นหญิงก็นางแดง นั้นก็เป็นสมมุติตามมาที่หลังนั้นและเราก็หลงยึดว่าเป็นเราเป็นเขาขึ้น ก็เกิดทุกข์ขึ้นมาถ้าไม่พอใจถ้าใครมาด่าเรา เราก็จะโกธรเขาให้...เพราะเราคิดว่าเป็นเราจริงๆแต่จริงแล้วมันเป็นแค่สมมุติขึ้นมา เพราะเราได้ปรุงแต่งไปตามความคิด ถ้าจิตที่ยังไม่ปล่อยวางก็จะเกิดแต่ทุกข์ เราต้องอาศัยญาณทัศนะจึงจะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้...และก็ต้องอาศัยปัญญาทัศนะด้วยจึงต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าชี้ทางบอกไว้นั้นเอง...
     
  16. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    วันนี้ เป็นวันคล้ายวันเกิดของคนที่ติ๊กรักที่สุดคนหนึ่ง
    จึงขอมอบวาทะดังตฤณฉบับ ความรักและความรู้สึกผูกพัน เป็นธรรมทานให้สำหรับกัลยามิตรทุกท่านได้รับฟัง
    ไม่ว่าท่านกำลังมองหาความรัก หรือมีรักอยู่แล้ว ก็ขอให้ทุกท่านสุขสมหวังดังปรารถนานะค่ะ



    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/A81QVpdOfrk" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    [​IMG]

    คนเราอยากได้สิ่งใดมากกว่า
    ความสุขจากเงินตราหรือความสุขจากจิตสงบนิ่ง
    ความสุขเงินตราเป็นความสุขทางโลก เป็นสมมุติสุข
    ความสุขเกิดจากสมาธิเป็นความสุขทางธรรม เป็นปัสสัทธิ

    คนส่วนใหญ่อยากได้ความสุขที่แท้จริง ยั่งยืน ถาวร ความสุขเกิดจากสมาธิ
    แต่ทำไม กลับไปค้นหาแต่ความสุขภายนอก สมมุุติสุข สุขชั่วคราว

    สรุปแล้วให้เราตอบตนเองจะดีกว่า ว่าเราต้องการสิ่งใด
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความสุข ๕ ขั้น​

    ขั้นที่ ๑ ​
    คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา
    ข้อนี้เป็นความสุขสามัญที่ทุกคนในโลกปรารถนากันมาก ความสุขประเภทนี้ขึ้นต่อสิ่งภายนอก..
    ขั้นที่ ๒
    ความสุขจากการให้ พอเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา..
    ขั้นที่ ๓
    ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ..
    ขั้นที่ ๔
    ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง คนเรานี้มีความสามารถในการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์
    ปรุงแต่งทุกข์ก็ได้ ปรุงแต่งสุขก็ได้ โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือปรุงแต่งความคิดมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ จนมีเทคโนโลยีต่างๆ..
    ขั้นที่ ๕
    ความสุขเหนือการปรุงแต่ง คราวนี้ไม่ต้องปรุงแต่ง คืออยู่ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต
    การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจลงตัวสนิทสบาย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่อย่างผู้เจนจบชีวิต..​


    อ่านเพิ่มได้ที่:
    บทความ : ความสุข ๕ ขั้น
    จาก คู่มือชีวิต พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต) หน้า 141-150

     
  19. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  20. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...