การที่มีผู้ท้วงติงในการที่เราวางเฉยในเรื่องการเมืองเป็นมิจฉาทิษฐิมั้ยครับ

พอดีในFBผมได้มีความเห็นในเรื่องการเมืองซึ่งพูดถึงเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม แล้วผมก็บอกว่าจะเป็นความเห็นในเรื่องนี้แค่ครั้งนี้ต่อไปผมจะยุติ แล้วหันมามองที่ตัวเองแล้วตั้งใจสร้างกุศลจะดีกว่า เพราะเราทำให้ทุกคนมีความเห็นถูกเห็นชอบไม่ได้ทุกคนภพชาติหนึ่งของเราจริงๆมันสั้นนัก ใครทำชั่วก็ต้องไปตามกรรมอยู่แล้ว แต่ก็มีผู้ใหญ่ท่านนึงก็มีข้อความทำนองท้วงติงความเห็นผมว่า ไม่ควรนิ่งดูดายจะให้คนมาทำชั่วทำเลวไม่ได้ ละเลยเรื่องบ้านเมืองไม่ได้ จะปล่อยไว้อย่างนี้เหรอ(ผมรู้อยู่ว่าผู้ใหญ่ท่านนี้ซีเรียสเรื่องบ้านเมือง)แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรท่านหรอกครับ ความเห็นอย่างนี้ของผู้ใหญ่ท่านนี้เข้าข่ายมิจฉาทิษฐิรึเปล่าครับ ท่านอาจจะมองในทางโลก อยากเห็นโลกไปในทางที่ท่านเห็นว่าน่าจะเป็น แต่ผมคิดว่าส่วนหนึ่งก็ถูกแต่เรารู้ว่าความเสื่อมที่เกิดขึ้นเราฝืนมันไม่ได้ สู้เราทำความดี แบบไม่วุ่นวายไม่ดีกว่าเหรอครับ แค่ช่วยเหลือสัตว์โลกไปตามกำลัง เพราะทางโลกเรื่องของการเมืองมันไม่มีอะไรยังยืน ดูจากในอดีดที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย ก็มีแต่คนซีเรียสเรื่องบ้านเมืองว่าคนนั้นโกง เงินภาษีเรานะยอมได้ยังไง ผมบอกตรงๆครับผมเบื่อหน่ายครับ ใครสร้างกรรมไว้ยังไงก็ต้องรับ ผมเจอกับความทุกข์และหาทางชนะใจตัวเองยากเย็นพออยู่แล้ว ยังต้องเอาเรื่องภายนอกมาแบกอีกผมคิดกับตัวเองว่าคงไม่ไหวหรอกครับ เพราะผมเองไม่ได้คิดว่าอยู่เพียงเพื่อโลกนี้ผมคิดเผื่อโลกหน้าด้วยอ่ะครับ ส่วนนิพพานผมยังไม่ตั้งหรอกครับแค่ให้จิตสงบได้เวลามีทุกข์มีโทสะก่อนครับ แค่นี้หละครับ

 

กำลังไม่มี บารมีไม่มี ไม่ถึง ก็ช่วยตัวเองให้รอดไปก่อนครับ จขกท ไม่ต้องไปช่วยใครที่ไหนหรอก ช่วยก็ไม่ไหวเพราะ บารมีกำลังก็ไม่มี

 

เคยฟังวิทยุที่ดร.วีระ จำนามสกุลไม่ได้ ที่เคยจัดรายการคู่กับดู๋สัญญา คุณากร...มีชายคนหนึ่งโทรถามท่านเรื่องเสือเหลืองเสื้อแดงว่าตัวเขาเองจะแก้ปัญหานี้อย่างไร มันทำให้เขาประกอบอาชีพฝืดเคืองขึ้น ดร.วีระถามกลับว่าคุณประกอบอาชีพอะไร ชายคนนั้นบอกว่าส่งน้ำแข็งขาย ดร.วีระถามว่าแล้วทำไมไม่เอาเวลาที่คิดเรื่องนี้ไปคิดเรื่องการค้าขายของตัวเอง ชายคนนั้นก็พยายามถามเรื่องนี้ให้ได้ ดร.วีระถามว่า แล้วคุณจะเข้าไปแก้ปัญหาของประเทศได้ไม๊ ในเมื่อคุณอยากแก้ปัญหาของประเทศทำไมคุณไม่หาวิธีที่จะเข้าไปสู่จุดนั้นเพื่อแก้ปัญหาของประเทศล่ะ คุณทำหน้าที่อะไรคุณยังไม่รู้จักหน้าที่ของตัวคุณเองเลย แล้วคุณจะไปแก้ปัญหาอะไรใหญ่ๆได้ หลังจากฟังที่เขาโต้เถียงกันดิฉันเก็ทเลย ทุกอย่างร่วงออกจากใจหมด

 

ใช่ เราอยากจะเถียงกลับจริงๆ คนพวกนี้ แต่ไม่เคยเถียง แล้วก็ชอบบ่นๆ เรื่อง งานน้อย แต่ไม่มองว่า น้อยเพราะอะไร ไม่พอใจ ที่เราไม่ตอบ หรือเป็นพวกเขาว่า และหาว่า เราเป็นเสื้อแดงซะงั้น ทั้งๆที่ไม่ได้ตอบไรเลย

บางทีแค่ ไม่มีเสื้อสีเหลืองใส่ก็เป็นเรื่อง / บางที ลูกใส่เสื้อเบอร์ 10 ก็เป็นเรื่อง /ไม่ตอบว่า **เป็นเอดส์หรือเปล่า ก็เป็นเรื่อง (เราไม่ใช่หมอ)เลยไม่รู้จริงๆว่าป่วยมั้ย ฯลฯ

(ที่เราเจอะมา คนพวกนี้มักงานน้อย หรือ ทำงานน้อยลงหรือเปล่า ทำให้ฟุ้งซ่าน )

อยากจะย้อนจริงๆว่า เอาตัวเองให้รอดก่อนแล้วค่อยไปจัดการให้คนอื่นเขา

เราทำงานมาในระบบราชการ เห็นการทุจริตคอรัปชั่น ตั้งแต่ ระดับเล็กๆ นิดๆหน่อยๆ ก็เอากลับบ้าน เลยมองว่า เรื่องแบบนี้มีอยู่ทั่วไปจริงๆ

นอกราชการก็พวกใต้โต๊ะให้โกงภาษี (พวกบริษัทใหญ่) ตำรวจก็ใช่ย่อย เราเองยังโดนตำรวจเรียก 4 พัน ข้อหา จับผู้ร้ายส่งตำรวจ (ไม่ได้โม้นะ ตำรวจบอกว่า ควรปล่อยเขาไป ช่างเขา) ..เลยบอกผู้ร้ายกะตำรวจว่า อยากได้เงิน ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจ ไม่ใช่ตั้งศาลเตี้ยแบบนี้

ตอบเจ้าของกระทู้ อย่าไปเถียงหรือยุ่งดีกว่า เราไม่รับข้อความคนที่ชอบโพสต์เรื่องการเมืองแล้วนะค่ะ ไม่ได้ตัดความเป็นเพื่อน แต่ขอยุ่งน้อยๆดีกว่า

การอยากให้โลกเป็นอย่างที่เราเป็น ในความเป็นจริงแล้ว มันทำได้หรือเปล่า (อย่าไปย้อนค่ะ เดวโดนลูกใหญ่ 555 พวกนี้ปากจัดจริงๆ เพราะเราเคยย้อนไปนะค่ะ ใน
FB เพราะไม่รู้จักกัน)

 

ใช่ครับทุกๆท่าน ผมถึงคิดอย่างนี้ไงครับเอาเวลามามองใจตัวเองดีกว่า

แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ผม ท่านยังไม่ปล่อยวางเรื่องนี้เลยครับ ผมติง เตือนแล้ว ท่านก็ไม่ฟัง แกชอบไปยุ่งกะเรื่องท้องถิ่น พวกงานท้องถิ่น ชอบออกงานสังคม ชอบไปเป็นตัวแทนโครงการต่างๆ พอมีปัญหาหนักๆ เกิดความขัดแย้งมากๆ คุณแม่ผมท่านแก้ปัญหาไม่ได้ก็กลับมาร้องไห้ร้องห่ม แถมผมก็โดนเหวี่ยงใส่อีก ก็ไม่รู้จะทำยังไง เราเตือนแล้วว่าอย่าไปแบก หาเวลาไปปฏิบัติธรรมจะดีกว่า แต่ท่านก็ไม่เชื่อ ไหนจะชอบดูข่าวการเมืองแล้วบ่นด่ากันอย่างซีเรียสเอาเป็นเอาตาย ผมก็เห็นท่านบ่นด่ากันเรื่องการเมืองซ้ำไปซ้ำมา ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าดูนักการเมืองทะเลาะกัน ด่ากัน นักข่าวก็เอาข่าวมาด่าซ้ำอีก มันน่าฟังตรงไหน(ผมเองก็เรียนรัฐศาสตร์นะ ผมยังเฉยๆเรื่องการเมืองเลย) ถ้าฟังเสียงธรรมะยังค่อยน่าฟังหน่อย ฟังแล้วจิตเป็นสุข คลายทุกข์ได้ แล้วยิ่งคนพ่อผมนี้ในหลายๆครั้งถ้าคุณแม่ผมฟังธรรมะอยู่แล้วท่านเข้ามาได้ยินนี่ท่านจะแสดงอาการหงุดหงิดไม่พอใจขึ้นมาทันที ทุกครั้งคุณแม่ผมฟังธรรมะ แล้วคุณพ่อกลับเข้ามาในบ้านคุณแม่ท่านต้องรีบปิดเพราะท่านกลัวและเกรงใจคุณพ่อมาก ผมคิดว่าคงจะเป็นกรรมของท่านเอง เพราะผมเองก็จนปัญญาครับ ผมกับคุณแม่ถ้าฟังธรรมะหรือทำบุญจะถูกคุณพ่อท่านเหน็บแนมตลอด โดยเฉพาะคุณแม่ท่านจะโดนด่าว่าเสมอๆ เราได้แต่คิดว่าคงเป็นกรรมเก่าของเรานะ ชีวิต เจอแต่ปัญหาและความทุกข์ เอาธรรมะมาช่วยเยียวยาจิตใจก็ยังโดนอย่างนี้อีก..แต่ผมไม่ท้อหรอกครับ เจ้ากรรมเราคงจะเยอะ แต่คงไม่ยอมแพ้กับอธรรมหรอกครับ วันก่อนก็เพิ่งโดนคนพาลหาเรื่องอีก...ต้องสู้กันต่อไปครับ....

 

การเมือง
เป็นเรื่องของกลุ่มคนที่ใช้ปัญญา

อันเป็นปัญญาด้านมืด เพื่อการหลอกล่อมวลชนให้คล้อยตาม
มวลชนที่คล้อยตามระดับปัญญาต่ำกว่าก็คล้อยตามเเละสนับสนุน

เพราะเชื่อถือคำลวงต่างๆ หรือก็ขายสิทธิ์ให้นักการเมืองที่ยอมลงทุนซื้อสิทธิ์
เพํ่อให้ได้เสียงข้างมากในสภา เเล้วค่อยหาทางทำธุรกิจการเมืองเพื่อ
ถอนทุนคืน เเละหาทางบวกกำไรเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า
โดยอ้างสิทธิ์เสียงข้างมากที่ไรับมือมาจากประชาชน.

ดังนั้น ผู้มี่อยากมีความสงบสุขทางใจ ควรถอยห่างออกมา
บำเพ็ญทาน ศีล ทาน ภาวนา เพื่อความสุขในปัจจุบันเเละในอนาคตอันไกลโพ้น


เรื่องการเมืองปล่อยให้เป็นเรื่องของคนอยากมีความสุขปัจจุบัน
เเต่ต้องรับความทุกข์ใน่นาคตทั้งใกล้เเละไกล><

ดูตัวอย่าง:- เช่นคนในพรรคประชากรไทย
พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา
นักการเมืองเเถวจ.พิจิตรเป็นต้น

 

คุณติดบ่วง
ราชาแห่งศาสตร์ คือ รัฐศาสตร์ หรือ การเมืองการปกครองนี่แหละ มันใหญ่กว่าศาสนาอีก(ทางโลก)
สมัยกรีก โรมัน ปรมาจารย์ทางด้านนี้พยายามค้นคิด"วิธีการปกครอง"มาตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีกฏตายตัว เนื่องจากมนุษย์เป็นไดนามิก คือ เปลี่ยนความคิดพฤติกรรมไปเรื่อย ตามสิ่งแวดล้อม...
การเมืองเมื่อตกอยู่ในมือกษัตริย์หรือทหาร ก็รบกันฆ่ากันตายไปแล้วมากมายมหาศาล...
...แค่เรื่องประชาธิปไตย เมื่อเราบอกตามคำปรมาจารย์ว่า ในธรรมชาติไม่มีบริหารนิติฯและตุลาการ มนุษย์จึงสมมุติขึ้นมาใช้ พวกที่ไม่ได้เรียนรู้ ก็งงกันเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว
ยิ่งคุณไปเอามาพันกับหลักศาสนา ก็ยิ่งยุ่ง....พวกนักปกครองที่ดีมีคุณธรรมส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายถูกโค่นอำนาจไปมากต่อมากแล้วในโลกนี้....
...พละกำลังคืออำนาจ ทหารคืออำนาจ อาวุธคืออำนาจ เงินคืออำนาจฯลฯ การเมืองนั้นปัจจุบันเขาสอนกันถึงปริญญาเอกโน่น...แต่เชื่อไหม เคยมี ดร.ปริญญาเอก อ่านรัฐธรรมนูญไม่เข้าใจ เขาคิดว่าในหลวงสามารถพระราชทานนายกฯได้ แต่พระองค์ตอบว่าไม่ได้ ต้องมีการทูลเกล้าโดยสภาฯทุกครั้ง เพราะพระองค์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ฮา และ ดร.ที่ว่าก็ไม่ใช่คนเดียว แต่มีผู้ทรงปัญญาเกือยร้อยคน ตีความเช่นนั้น อย่างนี้ บ้านเมืองเราว้าเหว่แล้วครับ...ที่คนขนาดนั้น ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลย ฮา

 

ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ

 

เรื่องการเมืองมิใช่เรื่องเล็กที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้โดยใคร ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากจิต เราจะแก้ปัญหาต่าง ๆ เราต้องเริ่มต้นที่จิต ดูในระดับสังคมก่อน ใครฟังข่าว ดูข่าว ก็ต้องเห็นชัดเจนเลยว่า โลกนี้เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน การเอารัดเอาเปรียบกัน การใช้อำนาจกดขี่ผู้ไม่มีอำนาจ เฉพาะในสังคมไทยมีปัญหามากมาย เรื่องยาเสพติด คอรัปชั่น รากเหง้าของปัญหาทั้งหลาย ไม่ได้มีอะไรนอกจากกิเลสในใจคน หยุดพิจารณาดูสักนิด จะเห็นความร้ายกาจของกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ละอายต่อบาป ยึดมั่นถือมั่นในเผ่าพันธ์ สีผิว สัญชาิติ ศาสนา สิ่งเหล่านี้มักอยู่เบื้องหลังปัญหาต่างๆ เสมอ ถ้าเราไม่หาทางยกระดับจิตของคน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฎิรูประบบต่าง ๆ ในสังคมจะได้ผลจริงหรือ ประวัติศาสตร์สอนว่ากิเลสคนสามารถดึงระบบทุกระบบให้เข้ามารับใช้ตนได้ มีไหมในประวัติศาสตร์โลกที่ไม่เคยเป็นอย่างนั้น ทำไมประเทศที่ัเจริญทางวัตถุแล้วยังแก้ปัญหาสังคมไม่ได้ คำตอบน่าจะอยู่ที่ว่าวัฒนธรรมโลกส่วนใหญ่ ขาดเครื่องพัฒนาจิตใจคนที่มีประสิทธิภาพ ลัทธิศาสนาที่มีแต่ความเชื่อคัมภีร์เป็นแรงดลบันดาลใจให้คนละชั่วทำดีได้ มักได้ผลในระดับพื้นฐานเท่านั้น และจะมีผลข้างเคียงเช่นการแบ่งเราแบ่งเขาอย่างรุนแรง ซึ่งมีโทษมากต่อสังคมโลก ปัญหาอยู่ที่การไม่เข้าใจธรรมชาติของจิตอย่างลึกซึ้ง บางทีเมืองไทยเราน่าจะได้เปรียบประเทศอื่นในเรื่องนี้ เพราะมีศาสนาพุทธเป็นที่พึ่ง ศาสนาพุทธมีแนวทางพัฒนาชีวิตในทุกด้านที่สมบูรณ์ที่สุด ที่เคยปรากฎในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ปัญหาของไทยจึงไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนทรัพยากร แต่อยู่ที่ใช้ไม่ถนัด หรือไม่ยอมใช้... (ความเห็นส่วนตัวหนะค่ะ..เยอะไปแล้ว ^^)

 

ผมไม่ใช่เสื้อเหลือง เสื้อแดง แต่ผมรักเทิดทูนสถาบัน และผมจะถือว่าใครหรือพรรคการเมืองไหนที่ จ้องล้มล้างสถาบัน เค้าคือศรัตรูกับผม

 

มีอาจารย์ (ทางธรรม) ที่ผมรู้จักท่านนึงเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เสื้อเหลือง เสื้อแดง สองกลุ่มก้อนนี้น่ะ เค้าไม่ได้เพิ่งมารบกันในชาตินี้ รบกันมาหลายรอบหลายชาติแล้ว ดังนั้นถ้าไม่คิดว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง อย่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับบ่วงกรรมของพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งจะต้องติดตามฆ่ากันและกลับเป็นฝ่ายโดนฆ่าอีก สลับไปสลับมาไม่สิ้นสุด

ผมมาคิดตามดู มันก็จริงนะ ข้อมูลข่าวสารแพร่ออกมาเหมือนกันของแต่ละฝั่ง มีทั้งคนที่เชื่อ กลายเป็นสาวกอย่างสนิทใจ และคนที่ไม่เชื่อ รวมถึงคนที่ไม่คิดอะไรด้วย อะไรที่ทำให้คนเหล่านั้นมีทัศนคติต่อเรื่องนี้ต่างกัน บางทีของเก่าที่ฝังมาในจิตอาจเป็นคำตอบของเรื่องนี้

ผมยังจำได้สมัยที่ยังไม่มีเรื่องสีเสื้อ การใส่เสื้อสีใด ๆ ก็ใส่ได้ ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไร ตอนนี้จะใส่เสื้อสีไหนยังต้องมาคิดอีกว่า จะโดนอีกฝั่งเล่นมั้ย หรือจะขัดแย้งกับใครมั้ย (ถ้าคนใกล้ตัวเป็นคนฝักใฝ่สีใดสีหนึ่ง) ผมบอกตรง ๆ ว่า ไอ้คนที่แม่งเริ่มเรื่องเอา "สี" มาเป็นเครื่องมือเจ้าแรกเนี่ย มันเลวได้โล่ห์จริง ๆ แม่งสร้างความแตกแยกให้กับคนไทยเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ต่อมาพอมีสีมากขึ้นเรื่อย ๆ มันเลยกลายเป็นบรรทัดฐานห่วย ๆ ทำให้สังคมไทยแม่งเจริญลงทุกวัน (ขนาดในหลวงท่านยังทรงเปลี่ยนจากเหลืองเป็นชมพูเพราะเอือมเรื่องนี้เลยครับ สีของท่านศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นสีที่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของไอ้อีบางตัวไปซะอย่างนั้น ดีที่แม่งไม่เอาชมพูมาเป็นเครื่องมืออีกอัน ไม่งั้นจะเลวกว่านี้มาก)

 

เมื่อทุกคนในหมู่บ้าน พร้อมใจกันปิดประตูบ้าน ห่วงแต่บ้านตัวเองเท่านั้น

ก็หวานโจร ... อย่างงี้ ก็ปล้นง่าย ปล้นสะดวก

โจรจะมาถึงหน้าบ้าน แต่ถ้ายังไม่เข้าบ้านฉัน ฉันก็ยังไม่ทำอะไร

Let it be...Let it be ...Let it be

คนชั่ว จะสามารถทำชั่วได้ ก็ต่อเมื่อ คนดีเอาแต่ Let it be

สยามานุสสติ (แปลว่า การระลึกถึงประเทศสยาม)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หากสยาม ยังอยู่ ยังยืนยง เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ได้ฤา
เราก็เหมือน มอดม้วย หมด สิ้นสกุลไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอโทษจริงๆครับ ที่ความคิดผม ขัดแย้งกับหลายๆท่านในที่นี้

 

คือให้let it be แต่ไม่ได้บอกว่า ให้ห่วงแต่บ้านตัวเองนี่คะ
เรามองว่าควรจะป้องกันให้ดี ช่วยกันระแวดระวัง
แต่ถ้าโจรขึ้นบ้านแล้ว ไม่ใช่โกรธแค้นหรือเสียดาย ให้ตัวเองเป็นทุกข์ ให้let it be

เปรียบเหมือนเรื่องการเมือง เราควรระวังให้ดี คือ หาความรู้ รับข่าวสาร ช่วยกันคิดช่วยกันสร้างระบบการควบคุมตรวจสอบอำนาจการเมือง สร้างค่านิยมและวัฒนธรรมการเมืองให้ดีขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลา
แต่มันยั่งยืนกว่า การเอาตัวเข้าไปพัวพันกับปัญหาเสียเอง เอามันมาไว้กับตัว
ไปมีผลประโยชน์ได้เสียกับเรื่องใด ก็ย่อมมองเรื่องนั้นอย่างทะลุปรุโปร่งยาก เหมือนถูกครอบงำ
สุดท้ายคนที่มีอวิชชา คือความไม่รู้ คือเรา เพราะไม่รู้จึงเป็นทุกข์

คุณ ติดบ่วง อาจจะมองว่าคุณเรียนรัฐศาสตร์แต่ยังไม่อินเท่าแม่ของคุณเลย ทำไมเขาต้องอินขนาดนั้น แต่เรากลับมองว่า ยิ่งเรียนก็ยิ่งได้รู้ได้เห็น ธรรมชาติของสิ่งๆนั้น ว่ามันก็เป็นอย่างนั้น คุมอะไรไม่ได้ เพราะรู้จึงเห็นและปล่อยวางเสียได้
เช่น (ด้วยความเคารพค่ะ คุณPattarakorn) บางคนอาจมองว่าใครต่อต้านกษัตริย์เป็นศัตรูของเขาเสมอ
แต่ก็รู้ๆกันนะ ว่ากษัตริย์กับประชาชนต่อสู้กันมานักต่อนัก บางประเทศก็ตัดคอกษัตริย์ บางประเทศก็ยกกษัตริย์ขึ้นหิ้งกลายเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่แทบไม่เหลือพระราชอำนาจ
บางประเทศ กษัตริย์ก็ฉลาด ต่อรองได้ อยู่มาได้ และได้รับความศรัทธาจากปวงชน มีบารมีจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเรามองแบบนี้เราคงไม่คิดว่าฝ่ายต่อต้านกษัตริย์เป็นศัตรูเรา
พระพุทธเจ้าสอนไว้ ตัวเรายังมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณประกอบ จริงๆตัวเราไม่มี
แล้วเราจะมีศัตรูได้ยังไง

 

ชัดถ้อยชัดคำหน่อยครับ คนชั่วของคุณคือใคร? พูดจาวนรอบอ่าวนี่สรุปแค่ต้องการกระทบกระเทียบ??

ผมจะบอกว่า คนที่รักชาติน่ะมันมีวิธีทำได้หลายวิธี แต่ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการสร้างความแตกแยกให้กับผู้คน เอาสีมาเป็นเครื่องมือบ้า ๆ ทำให้คนไทยต้องมานั่งเลือกข้าง แล้วบอกว่าตัวเองทำถูก ส่วนใครไม่เห็นด้วยกับกูเป็นพวกไม่รักประเทศ เป็นพวกทรยศต่อชาติ สมควรออกนอกประเทศ (ว่าไปนั่น) คนที่เค้าไม่ได้เลือกสีแต่คิดดีต่อประเทศชาติมันก็มีอยู่เยอะ

อย่าแนวเอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น มันไม่ใช่ว่า Let it be หรอก แต่ปัญหาการเมืองในประเทศไทย มันเกิดจากจิตสำนึกของคนที่เข้ามามีอำนาจ จิตสำนึกต่อประเทศชาติของคนที่หนุนให้ฝั่งนึงมีอำนาจแล้วโกยเข้าหาตัวเอง คนดีที่กลัวตายมันก็มีอยู่เยอะ ชีวิตจริงไม่เหมือนเปาบุ้นจิ้นในหนังนะครับที่ทำดีแล้วจะมีองครักษ์คอยพิทักษ์ชีวิตให้ คนดีมากมายที่ทำดีแล้วก็เงียบหาย (หรือหายไปเลยจากโลกใบนี้) และแน่นอน มันแก้ไม่ได้ด้วยความรุนแรงหรือเดินขบวนใด ๆ หรอกครับ นั่นมันก็แค่เบี้ยบนกระดาน หลงคิดว่าทำเพื่อฝั่งที่ตนคิดว่าถูก (ไม่ว่าฝั่งใดก็ตาม) สุดท้ายพอหัวเค้าได้ที่ต้องการแล้ว เบี้ยก็ไม่ได้มีค่าอะไร เพราะมันไม่มีค่าแต่แรกแล้วไงครับ

เมื่อใดที่ประชากรเรามีจิตสำนึกมากขึ้น และเลิกมองว่าการเห็นต่างกับกูคือศัตรูของกูได้ เมื่อนั้นประเทศจะเจริญกว่านี้มากครับ

 

มีผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าหากต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้เปลี่ยนแปลงจากตัวเราแล้วขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เหมือนเราเอาหินโยนลงไปในสระน้ำ คลื่นมันก็จะกระเพื่อมไปเรื่อยๆจนถึงขอบสระ" นั่นหมายความว่าถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ให้เปลี่ยนจากภายในคุณก่อน เมื่อภายในคุณมั่นคงดีพอแล้ว สิ่งแวดล้อมรอบข้างก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
มีครูบาอาจารย์ท่านนึงเคยกล่าวไว้ว่าเรื่องการเมือง ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าเข้าไปยุ่งเพราะจะโดนเศษกรรมของพวกเขาได้ ส่วนในหลวงเรานั้นให้เทิศทูนไว้เหนือเกล้าห้ามไปแตะต้องเพราะท่านไม่ใช่บุคคลธรรมดาที่จะเอื้อมไปแตะต้องท่านได้

 

ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
เขาทำไม่ดี หากอยู่ในวิสัยหรือความสามารถของเราที่เราจะแนะนำตักเตือนบอกกล่าวขัดเกลาได้ก็ควรทำ
ส่วนคนไม่ดี เราไม่ต้องไปพิพาพกษาเขา บาบกรรมจะคืนสนองเขาเองครับ

กรณีการเมือง เป็นสิ่งที่ยากเกินกำลังของเรา การแก้ไข จึงเป็นเรื่องยาก เพราะเราปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย์ เมื่อไหร่ที่คนไม่ดีมีกำลังมาก คนดีย่อมเป็นเครื่องมือของคนไม่ดี ให้ระวังให้มาก การปกครองทุกระบบมีข้อเสีย กฏหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สภาเราอาจจะเล็กไป การออกกฏหมาย จึงเป็นเรื่องสำคัญ หากคนไม่ดีไปออกกฏหมาย มันก็กลายเป็นกฏหมายที่ไม่ดี คนดีก็เดือดร้อน

เรื่องการเมืองตรงนี้จึงอยู่ที่เราคิดและตัดสินใจด้วยเหตุผล แต่ละเรื่องด้วยตัองไม่ไปคิดมากเป็นกังวล การที่เราไม่ช่วยเพราะเหตุผลที่ดีของเรา เราก็ไม่ต้องไปกังวลครับ ไม่ได้เกี่ยวกับมิจฉาทิฐฏิครับ

 

เรื่องต่อต้านกษัตริย์นั้นผมมองว่า คนชั่วยังไงก็แพ้ภัยตัวเองครับ แล้วอีกอย่างหากคิดดูให้ดีแม้แต่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ท่านก็ยังถูกปองร้าย ถูกให้ร้ายเลยครับ ผมจึงเห็นเป็นธรรมดาของโลกครับ ที่ผมมีความเห็นเช่นนี้เพราะผมเห็นว่า เราทุกคนไม่สามารถหนีมารพ้นหรอกครับ คนที่มารมาผจญมากแสดงว่าผู้นั้นบารมียิ่งมาก ความเห็นของผมมีเท่านี้ครับ

ส่วนเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองหรือความไม่สบายใจกันในเรื่องคนชั่วมีอำนาจ ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์จริงๆแล้วมันมีทุกยุคสมัยครับ เพียงแต่รูปแบบมันเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่แกนหลักแท้จริงผมมองว่ามันเป็นแค่การแย่งชิงอำนาจของคนโลภครับ หมุนไปเป็นวัฏจักร แล้วใช้ความชอบธรรมมาแอบอ้าง โลกนี้เท่าเทียมกันยากครับผมเชื่อเช่นนั้น แต่ที่เท่าเทียมกันแน่นอนคือผลของกรรมครับ


ส่วนในความเห็นที่แตกต่างนั้น ผมเห็นว่า นานาจิตตังนะครับ ถ้าสิ่งที่ท่านตั้งมั่นในอุดมการณ์เหล่านั้น สามารถช่วยให้โลกและสังคมสงบสุข ปราศจากซึ่งการเบียดเบียนซึ่งกันและกันได้อย่างแท้จริง ผมก็ขออนุโมทนามาล่วงหน้าครับผม...