ร่วมบูชาพระหลวงปู่ทวด รุ่นกรรมฐาน และยังได้ร่วมมหาบุญกับวัดพุทธพรหมปัญโญ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย leo_tn, 5 กันยายน 2007.

  1. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ประสบการณ์พิศวง:บารมีหลวงปู่ทวด โจรใต้รัวm16 ยิงไม่เข้า

    ผมได้มีโอกาสไปปฎิบัติหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผมไปก็อยู่ใน อ.สุไหปาดี จ.นราธิวาส ในขณะที่ผมตั้งด่านอยู่ อีกที่หนึ่งห่างกันประมาณ 2 กม.ก็มีด่านอีกซึ่งเป็นด่านของชุด.ชรบ. ได้มีคนร้ายมาที่ด่านของชุด.ชรบ.แล้วได้ใช่อาวุธปืนออกมาหันมาทางผู้ใหญ่บ้าน แต่กระสุนไม่ทำงาน และในขณะเดียวกันก็หันมายิงอีกคน ที่นี้โดนเต็มๆ ปรากฎว่าล่วงครับ ส่วนที่ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นได้แขวนพระองค์เดียว คือหลวงปู่ทวด ที่สร้างโดย วัดประชุมชลธารา พอวันรุ่งขึ้นผู้ใหญ่บ้านคนนั้นได้มาคุยกับผม และเป็นเพราะเขาแขวนหลวงปู่ทวดแน่ๆ และไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิน แต่เป็นบารมีของหลวงปู่ทวด และไม่เท่านั้นครับ พนง.ขร.ของวัดประชุมชลธาราก็โดนยิงด้วยปืน M16. พรุนรถทั้งคัน ในมือกำหลวงปู่ทวด ของวัดประชุม.. ก็รอดตายมาได้ โดยที่เขาบอกผมว่าตอนที่โดนยิงเขาคิดอย่างเดียวว่าเขาตายแน่ๆ แต่ก็รอดตายมาได้ และอีกครั้งหนึ่ง ตชด.โดนภรรยาหลวงยิงแบบเข้าเต็มที่ชายโคลงขวาเพราะจับได้ว่ามีภรรยาน้อย ด้วยปืนขนาด 9 มม.ถึง 3 นัดซ้อน ทำให้ซิ้โคลงขวาหักไป 3 ท่อน แต่ กระสุนไม่เข้าเลยสักนัดเดียวครับ และภรรยาหลวงคนนั้นก็หันมายิงTV. เขานึกว่าเป็นกระสุนปลอม แต่TV. กระจายเลย และมีเหตุการณ์อีกหลายครั้งครับ
    จ่าแดน.

    ที่มา : http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=41465
    <!--IBF.ATTACHMENT_570971--><!-- THE POST -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    งานกฐินเปิดโลกปี ๒๕๒๙

    ในปีพ.ศ.๒๕๒๙
    ณ ที่หน้ากุฏิหลวงปู่ได้มีลูกศิษย์ของท่านมาจากกรุงเทพฯ คนหนึ่ง
    เข้ามากราบท่านทุกวันอาทิตย์เพื่อขอธรรมะจากหลวงปู่
    ก่อนลาท่านกลับ เขาพูดว่าหลวงปู่ครับกฐินของวัดหลายปีที่ผ่านมา
    ส่วนมากจะได้เงินแค่สามหมื่นถึงสี่หมื่นบาทเกือบทุกปี
    ซึ่งเป็นเงินไม่มากนักส่วนหลังคาโบสถ์ก็ชำรุดเสียหาย
    มีน้ำรั่วเวลาฝนตก ต้องเอากะละมังหรือถังน้ำมารอง
    ยิ่งถ้าเป็นตอนพระทำวัตรพระท่านต้องลำบากมาก
    ผมจึงอยากขอเป็นเจ้าภาพกฐินปีนี้
    ผมได้ถามช่างว่า "
    ถ้าซ่อมหลังคาโบสถ์จะต้องใช้เงินเท่าไหร่
    ช่างก็บอกว่าประมาณแสนกว่าบาท"
    ผมเห็นว่าไม่มากเกินกำลังของผม
    ถ้าทอดกฐินแล้วได้เงินไม่พอนั้น
    ส่วนที่เหลือทั้งหมดผมขอออกเอง
    พอหลวงปู่ได้ยินเขาพูดด้วยความศรัทธา
    หลวงปู่ก็กล่าวว่า
    "ข้าขออนุโมทนาบุญกับแกด้วย"
    และเขาก็ลาหลวงปู่กลับกรุงเทพฯ



    ศิษย์ผู้นี้มีความศรัทธาหลวงปู่ทั้งครอบครัว
    เป็นผู้ที่ชอบทำบุญใหญ่อยู่เสมอ
    ผู้รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่เล่าให้ฟังว่า
    เมื่อลูกศิษย์คนนั้นกลับไปแล้ว
    หลวงปู่ท่านก็เข้าห้องเพื่อทำสมาธินานพอสมควร
    แล้วท่านก็ออกมาจากกุฏิ
    สักพักหนึ่งมีคนตะโกนอย่างตกใจว่า

    "พระเต็มไปหมดเลย"

    ผู้ที่รับใช้หลวงปู่ก็รีบเดินไปดู
    ก็เห็นพระพุทธรูปต่างๆ มีพระปรากฏขึ้นเต็มไปหมดดังว่า
    บางองค์ก็มีหลวงปู่ทวดอยู่ที่ท้อง
    บางองค์ก็มีหลวงปู่ทวดยืนถือไม้เท้าบางองค์ก็ที่อก
    ส่วนพระสังขจายมีหลวงปู่ดู่นั่งสมาธิอยู่
    และหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่อยู่ตามองค์พระทั่วไปทั้งหอสวดมนต์
    บางคนก็เห็นเป็นเทวดาเป็นพรหมและองค์เทพต่างๆ
    แล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละคน
    วัดสะแกมีแต่พระและเทพพรหมเต็มวัด

    สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก
    ผู้พบเห็นต่างพูดกันไปต่างๆนาๆ
    ผู้รับใช้หลวงปู่เดินกลับไปหาหลวงปู่และกราบท่านแล้วพูดว่า
    "หลวงพ่อครับ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมีรูปหลวงปู่กับหลวงพ่อเต็มวัดไปหมดเลย"
    ท่านตอบสั้นๆว่า

    "ข้าเปิดให้เป็นบุญใหญ่ในปีนี้"


    คนที่เดินทางมาทำบุญที่วัดสะแก
    ต่างเห็นปาฏิหารย์กับสิ่งที่เกิดขึ้น
    เขาเหล่านั้นจึงทำบุญร่วมกับองค์กฐินเป็นจำนวนมากกว่าทุกปี
    ปีนั้นได้เงินจากการทอดกฐินจำนวนหลายแสนบาท
    ก็จัดการซ่อมโบสถ์แล้วยังเหลือเงินอีกจำนวนมาก
    [​IMG]

    [​IMG]

    เรื่องเล่าจากผู้ที่ได้ร่วมบุญกฐินเปิดโลกปีนั้น
    จากหนังสือนะโภคทรัพย์

    ที่มา : http://watthummuangna.com/board/showthread.php?t=1714

    <!-- / message --><!-- edit note -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. annyindy

    annyindy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +543
    อยากร่วมทำบุญกฐิน 4 กองค่ะ
    ไม่ทราบว่ายังทันมั้ยค่ะ
     
  4. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ทันครับผมเปิดให้ร่วมบุญถึงวันงานเลยครับ
    โมทนาบุญด้วยนะครับ
    ติดต่อขอทราบรายละเอียด จองกฐิน
    และโอนเงินได้ที่


    คุณธงชัย ยังยืนยงค์ โทร. 08 5902 8248
    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบ้านฟ้าปิยรมย์ ลำลูกกา
    เลขที่บัญชี 3692050079

    คุณวาสนา เบ็ญอาซัน โทร. 08 9894 8245
    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยโลตัส รังสิต คลอง 3
    เลขที่บัญชี 3682097926

    คุณสมศักดิ์ แก้วสิริอุดม โทร. 08 1553 9248
    ธนาคารกรุงเทพ สาขาสุขสวัสดิ์
    เลขที่บัญชี 1644239681

    คุณศิวกร วิชญะไพบูลย์ศรี โทร. 08 1817 8827
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนจันทร์
    เลขที่บัญชี 7152510882

    คุณฟองน้อย วรนาวิน โทร. 08 1843 3474
    ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนรัชดา-สี่แยกสาธุประดิษฐ์
    เลขที่บัญชี 1954605067

    คุณอดุลย์ ชีวพิทักษ์ผล โทร. 08 1622 6052
    ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยโกรกกราก
    เลขที่บัญชี 6820000901

    ขอทุกท่านช่วยค่าจัดส่งพระตามรายละเอียดนี้ครับ

    1. จองจำนวน 1 องค์ ช่วยค่าส่ง 60 บาท
    2. จองจำนวน 2 องค์ ช่วยค่าส่ง 100 บาท
    3. จองจำนวน 3-5 องค์ ช่วยค่าส่ง 150 บาท
    4. จองจำนวน 5 องค์ขึ้นไป ช่วยค่าส่ง 200 บาท

    เมื่อโอนเสร็จแล้วให้ถ่ายสลิปใบโอน
    พร้อมเขียนชื่อ...นามสกุล.....
    ที่อยู่.....เบอร์โทรที่ติดต่อได้......
    รายการพระที่จอง......จำนวน....องค์
    จำนวนเงินทำบุญ.........บาท ค่าจัดส่ง.....บาท
    (เพราะบางครั้งยอดเงินในสลิปจะไม่ชัด)
    และชื่อบัญชีที่ท่านโอนเงินเข้าไป

    <!-- / message -->แล้วกรุณาแฟกซ์ใบนำฝากไปที่เบอร์
    02987 9204
    ช่วยโทรเช็คเอกสารว่าได้รับชัดหรือเปล่า
    เพื่อง่ายต่อการอ่านและจัดส่ง
     
  5. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    "สุเทพ วงศ์คำแหง" แขวน'หลวงปู่ทวด'ไม่ตายโหงจริงๆ

    [​IMG]
    ปัจจุบัน "นักร้องลูกกรุง" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีตมีมากมาย อาทิ สวลี ผกาพันธุ์, ชรินทร์ นันทนาคร, จินตนา สุขสถิตย์, ธานินทร์ อินทรเทพ, ดาวใจ ไพจิตร, จิตติมา เจือใจ, อุมาพร บัวพึ่ง

    และหากจะเอ่ยชื่อ สุเทพ วงศ์คำแหง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) ปี ๒๕๓๓ คนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ยังคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากท่านผู้นี้เคยฝากผลงานเพลงเอาไว้เป็นตำนานเพลงรักมากมาย ที่หลายคนต่างรู้จักจนกลายเป็น เพลงอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล ไปแล้ว เช่น รักคุณเข้าแล้ว เธออยู่ไหน จงรัก นางใจ บทเรียนก่อนวิวาห์ พ่อแง่แม่งอน เทพเจ้าแห่งความระทม ฯลฯ

    แต่ชีวิตที่โด่งดังของศิลปินแห่งชาติท่านนี้เคยหวิดดับเพราะลูกปืนมาแล้ว

    สุเทพ เล่าว่า เมื่อครั้งเดินทางไปร้องเพลงกล่อมขวัญทหารที่ประเทศเวียดนาม มีเหตุการณ์เฉียดตายอย่างหวุดหวิด เนื่องจากได้ยินเสียงลูกกระสุนปืนลอยผ่านไปผ่านมาเท่านั้น

    เหตุการณ์ที่เฉียดตายสุดๆ น่าจะเป็นเหตุการณ์ไปร้องเพลงกล่อมขวัญทหารที่ จ.หนองคาย เช่นกัน ระหว่างขึ้นไปร้องเพลงอยู่นั้น มีนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ยังอยู่ฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธปืนยิงขึ้นมาบนเวทีที่เรากำลังยืนร้องเพลงอยู่ แต่ทั้งนี้การยิงขึ้นมาครั้งนั้นฉิวเฉียดอย่างมาก ลูกปืนพุ่งไปโดนผู้หญิงที่นั่งอยู่ในรถจิ๊ปเพื่อมาตามสามีที่ทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมไม้ ให้ไปร่วมงานศพญาติที่กรุงเทพฯ

    กระสุนไปโดนผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตคาที่ ทหารนายนี้เห็นว่าพลาดเป้าแล้วขยับตัวเตรียมที่จะยิงปืนขึ้นบนเวทีอีกครั้ง นับว่าโชคดีอย่างมากที่มีนายทหารคอยคุ้มกันอยู่โดยรอบ ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงระดมยิงนายทหารคนนั้นเสียชีวิตทันที


    [​IMG] [​IMG]
    การรอดตายมาได้ในวันนั้น เป็นวันที่จำได้ไม่เคยลืมเลย แม้จะผ่านมาเป็นเวลาสิบๆ ปีแล้วก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือ พระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ที่แขวนติดตัวไม่เคยห่าง น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยชีวิตเอาไว้ ซึ่งคิดว่าท่านมีคุณต่อตนเองอย่างมาก จนวันนี้ก็ยังมีองค์ท่านแขวนติดตัวอยู่เป็นประจำ

    หลายคนที่พูดว่าใครมีพระหลวงปู่ทวดแขวนติดตัว จะไม่ตายโหงนั้น น่าจะเป็นเรื่องจริง

    "แม้จะยากต่อการพิสูจน์ให้ใครๆ ได้เห็นก็ตามที จึงทำให้ผมมีความเคารพนับถือพระหลวงปู่ทวดมาก ผมรอดตายมาได้นับเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดจากพระหลวงปู่ทวดที่ผมแขวนติดตัวระหว่างเกิดเหตุ เพราะว่าเราคนไทยมีอะไรที่เรายึดมั่นในองค์พระที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราทำอะไรก็จะมีความสบายใจทั้งชีวิตการทำงาน และความเป็นอยู่ รวมทั้งความแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ยิ่งผมรอดตายมาได้หลายครั้ง ผมจึงมีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้มาตลอดชีวิต" นักร้องศิลปินแห่งชาติ เชื่อรอดตายเพราะแขวนพระหลวงปู่ทวด

    ส่วนพระเครื่องและวัตถุมงคลที่แขวนติดตัวอยู่ในสร้อยทั้ง ๓ เส้น ได้แก่ เหรียญหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง ได้มาจากอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หลวงพ่อบ้านแหลม ได้มาจาก อนันต์ เหล่าพาณิชย์ เพื่อนร่วมอัสสัมชัญคอมเมอร์ซ ปัจจุบันคือ "บิ๊กบอส" ของบริษัท ไทยซังเกียว จำกัด มอบให้พร้อมกับสร้อย ตั้งแต่ได้พระองค์นี้มาชีวิตมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ การเงินการทองก็คล่องตัวขึ้น รวมทั้ง อีแปะ ที่ไม่ใช่เครื่องรางของขลัง โดยมีข้าวสารสามเม็ด ที่เชื่อว่าจะช่วยให้คนไม่มีความทุกข์


    อย่างไรก็ตาม ศิลปินแห่งชาติยังเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมด้วยว่า ใครทำความดีย่อมได้ดีตอบแทน เพราะการทำดีคงไม่ได้ทำให้เราจะต้องได้รับเรื่องร้ายต่างๆ ส่วนที่คนเราจะได้รับเรื่องร้ายครั้งใดผลความดีทั้งหลายที่เราทำเอาไว้ก็จะดลบันดาลมาช่วยเรา ฉะนั้นเรามีพระเครื่องแขวนติดตัวก็เพื่อว่าเราทำอะไรแล้วให้นึกถึงคุณพระคุณเจ้าว่าสิ่งไหนไม่ดีแล้วเราก็จะไม่ต้องทำ เพราะถ้าเราทำอะไรไม่ดีลงไปก็จะเป็นการสร้างบาปติดตัว และบาปที่ทำไปก็ไม่รู้ว่าจะหมดลงในภพชาติไหน แต่ถ้าจะให้ดีเราต้องลดการทำบาป น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    "ทุกวันนี้นอกจากจะทำบุญเป็นประจำแล้ว ผมยังชอบสวดคาถาวันเสาร์ ยะโตหัง ภะคินิ อะริยา ชาติยา ชาโต นาภิชา นามิ สัญจิจจะ ปาณัง เพราะเป็นคนเกิดวันเสาร์ ตามความเชื่อว่าจะค่อนข้างเป็นคนแข็ง พอสวดคาถาแล้วเชื่อกันว่าจะได้เป็นที่รักของคนรอบข้าง แล้วถ้าวันไหนต้องเดินทางไกลๆ ก็จะต้องระลึกนึกถึงคุณพ่อแม่และคุณพระให้ช่วยเหลือในยามที่ตกอยู่ในอันตราย"

    ที่มา : http://www.bp-th.org/webboard/index....4727318907fafe
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  6. okilu220

    okilu220 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +2,090

    หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด


    คัดลอกจาก http://www.manager.co.th

    สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวด เป็นที่รู้จักของชาวไทยทุกภูมิภาคในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" ประวัติอันพิสดารของท่านมีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวันยิ่งซับซ้อนและขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นความเชื่อความศรัทธาอย่างฝังใจ
    หลวงพ่อทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่างๆ พอจะให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า หลวงพ่อทวดคือใคร เกิดในสมัยใดและได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป
    ทารกอัศจรรย์
    เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทารกน้อยผู้นี้มีนายว่า "ปู" เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา
    สามีราโม
    เมื่อกาลล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝากสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือเด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า "ราโม ธมฺมิโก" แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า "เจ้าสามีราม" หรือ "เจ้าสามีราโม" เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมดบรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง
    เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา
    เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชนุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ
    รบด้วยปัญญา
    กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดหรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงาน ท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรืองสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์
    เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่า
    พระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย
    พระสุบินนิมิต
    เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด
    ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม
    รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวายบังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที
    อักษรเจ็ดตัว
    ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ "เจ้าสามีราม" ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า "เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้" ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่ ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม
    ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า "ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด" ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า "ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด"
    ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย
    ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนวน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น
    พระราชมุนี
    สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น "พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์" ในเวลานั้น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี ด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
    โรคห่าเหือดหาย
    ต่อจากนั้น กรุงศรีอยุธยาเกิดโรคห่าระบาดไปทั่วเมือง ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก สมัยนั้นหยูกยาก็ไม่มี นิยมใช้รักษาป้องกันด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยพระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกกังวลมากเพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ ทรงระลึกถึงพระราชมุนีฯ มีรับสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์ท่านเจ้าเฝ้า ท่านได้ช่วยไว้อีกครั้งโดยรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยและดวงแก้ววิเศษ แล้วทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมแก่ประชาชนทั่วทั้งพระนคร โรคห่าก็หายขาดด้วยอำนาจ คุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่ง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อนสมณศักดิ์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชมีนามว่า "พระสังฆราชคูรูปาจารย์" และทรงพอพระราชหฤทัยในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งว่า "หากสมเด็จเจ้าฯ ประสงค์สิ่งใด หรือจะบูรณะวัดวาอารามใดๆ ข้าพเจ้าจะอุปถัมภ์ทุกประการ"
    กลับสู่ถิ่นฐาน
    ครั้นกาลเวลาล่วงไปหลายปี สมเด็จเจ้าฯได้เข้าเฝ้า ถวายพระพรทูลลาจะกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงอาลัยมาก ไม่กล้าทัดทานเพียงแต่ตรัสว่า "สมเด็จอย่าละทิ้งโยม" แล้วเสด็จมาส่งสมเด็จเจ้าฯ จนสิ้นเขตพระนครศรีอยุธยา
    ขณะที่ท่านรุกขมูลธุดงค์ สมเด็จเจ้าฯ ได้เผยแผ่ธรรมะไปด้วยตามเส้นทาง ผ่านที่ไหนมีผู้เจ็บป่วยก็ทำการรักษาให้ ตามแนวทางที่ท่านเดินพักแรมที่ใดนั้น ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการเคารพสักการะบูชามาถึงบัดนี้ ได้แก่ที่บ้านโกฏิ อำเภอปากพนัง ที่หัวลำภูใหญ่ อำเภอหัวไทร และอีกหลายแห่ง
    สมเด็จเจ้าพะโคะ
    ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างซึ่งชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ และได้พร้อมกันถวายนามท่านว่า "สมเด็จเจ้าพะโคะ" และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะว่า "วัดพะโคะ" มาจนบัดนี้ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพระโคะเสื่อมโทรมมาก เนื่องจากถูกข้าศึกทำลายโจรกรรม มีสภาพเหมือนวัดร้างสมเด็จเจ้าฯ กับท่านอาจารย์จวง คิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ยินดีและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง โปรดให้นายช่างผู้ชำนาญ 500 คน และทรงพระราชทานสิ่งของต่างๆ และเงินตราเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงแล้วเสร็จ สิ่งสำคัญในวัดพะโคะหรือ พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระอรหันต์นามว่าพระมหาอโนมทัสสีได้เป็นผู้เดินทางไปอัญเชิญมาจากประเทศอินเดียสมเด็จเจ้าฯ ได้จำพรรษาเผยแผ่ธรรมที่วัดพะโคะอยู่หลายพรรษา
    เหยียบน้ำทะเลจืด
    ขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า "ไม้เท้า 3 คด" ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารพากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยกระหายน้ำเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเลทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกโจรจีนไปได้
    เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป
    เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอา "ไม้เท้า 3 คด" พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนไปจากสภาพเดิกกลับคดๆ งอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่าต้นยางไม้เท้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งปรากฏอยู่ถึงทุกวันนี้
    สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวดครองสมณเพศและจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนตลอดมา
    สังขารธรรม
    หลังจากนั้นหลายพรรษา สมเด็จเจ้าฯ หายไปจากวัดพะโคะเที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะไปหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่าท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกท่านว่า "ท่านลังกา" และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้ ชาวบ้านเรียกท่านว่า "ท่านช้างให้" ดังนี้ ท่านได้สั่งแก่ศิษย์ว่าหากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย ขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้นให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่มาไม่นานเท่าไร ท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา ปวงศาสนิกก็นำพระศพมาไว้ที่วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯ เคยพำนักอยู่ หรือไปมา นับได้ดังนี้ วัดกุฎิหลวง วัดสีหยัง วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช กรุงศรีอยุธยา วัดพะโคะ วัดเกาะใหญ่ วัดในไทรบุรี และวัดช้างให้
    ปัจฉิมภาค
    สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิสัตว์หน่อพระพุทธภูมิ ผู้ทรงศีลวิสุทธิทรงธรรมและปัญญาญาณอันล้ำเลิศ กอปรด้วยกฤษดาภินิหารและปาฏิหาริย์ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่สถานที่ใด ที่นั่นจะเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะจาริกไป ณ ที่ใด ก็จะมีคนกราบไหว้ฟังธรรม หลักการปฏิบัติของท่านเป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์คือช่วยเหลือประชาชนและเผยแพร่ธรรมะให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ สมดังคำว่า "พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ" ตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ตุลาคม 2007
  7. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    พระเครื่องคู่ใจคนดัง :
    ประสบการณ์ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวด ของ ส.ส.สุพร อัตถาวงศ์ (ส.ส.แรมโบ้)


    [​IMG] พระครูนครธรรม โฆสิต (หลวงปู่นิล อิสฺสริโก) วัดครบุรี ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพ ศรัทธาและเลื่อมใส ของชาวโคราชมาเป็นเวลาช้านาน ท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๗ สิริอายุได้ ๙๒ ปี พรรษา ๗๒ และได้มีการจัดงาน พระราชทาน เพลิงศพเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ นับเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่เคารพ นับถือของ "ส.ส.แรมโบ้" สุพร อัตถาวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต ๑๒ จ.นครราชสีมา ในฐานะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
    นอกจากนี้ ส.ส.สุพร ยังนับถือ หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี อีกด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นคนที่แขวนพระหลวงปู่ทวดติดตัว เป็นประจำ แต่ระยะหลังไม่ได้แขวนอันเนื่องมาจากเป็นคนขี้ร้อน ตามคอจะมีอาการ แพ้สายสร้อยกับองค์พระ จึงนำพระหลวงปู่ทวด ที่เคยแขวนเก็บไว้ในตู้เซฟ
    ส.ส.สุพร เล่าถึงเหตุการณ์ เฉียดตายว่าครั้งแรกเกิดขึ้น ระหว่างนั่งเครื่องบิน ๔๓๐ ไปประชุมที่ จ.แม่ฮ่องสอน ในฐานะเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปรากฏว่าเครื่องบิน ไม่สามารถลงจอดได้เนื่องจาก สภาพอากาศปิด กัปตันจึงขับเครื่องบินวนอยู่รอบๆ สนามบินนานเป็นชั่วโมง
    กระทั่งมีอธิบดีท่านหนึ่ง ที่นั่งมาด้วยกันได้ถามว่า ส.ส.สุพร มีพระหลวงปู่ทวดไหม จึงตอบไปว่ามีอยู่ที่คอ อธิบดีท่านนั้น ก็เลยขอยืมไปแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้อธิษฐาน ทันใดนั้นเองเครื่องบินก็กระแทกรันเวย์ตึงๆ เสียงดัง จนน่ากลัว ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนล้อจะหลุด
    [​IMG] เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเรื่องรอดตายจากบารมีหลวงปู่ทวด จากที่ได้ศึกษาบารมีของหลวงปู่ทวด ตามความเชื่อก็พบว่า ใครที่มี พระหลวงปู่ทวดไว้บูชาจะทำให้ชีวิตมั่งมีศรีสุข ผู้ใหญ่เห็นก็ จะให้ความรัก ความเมตตา สงสาร ยิ่งความเชื่อเกี่ยว กับอุบัติเหตุ ด้วยแล้วต่างเชื่อกันมากว่า ใครมีพระหลวงปู่ทวดไว้บูชา จะไม่มี วันตายโหงเพราะ บางครั้งไม่ว่าคนเรา จะพบกับ ภัยอันตรายใดๆ ก็จะแคล้วคลาดเสมอ เหมือนกระแสจิต ของท่านจะแผ่บารมี มาช่วยให้ปลอดภัยตลอดเวลา
    "ถ้าถามว่าจิตใจในวันที่เกิดเหตุ เป็นอย่างไร ขอบอกตาม ตรงว่าจิตใจตอนนั้นไม่ดีเลย คิดว่าถ้าบินกลับกรุงเทพฯ ก็คงไม่ถึงแน่เพราะ น้ำมันจะหมดเสียก่อน จึงทำได้สถานเดียวคือ ต้องนำเครื่องลงจอดให้ได้ แต่วันนั้นอากาศมันปิด ลงไม่ได้จริงๆ เชื่อไหมว่าผมใจสั่นไปหมด ทุกคนใจหายใจคว่ำไปตามๆ กัน เครื่องมันทำท่าร่อนลงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ลงไม่ได้สักที ที่ผมรอดตายมาได้ก็เชื่อว่าเป็นเพราะบารมีหลวงปู่ทวดอย่างแน่นอน" นี่คือความเชื่อในปาฏิหาริย์ของ ส.ส.แรมโบ้
    ส.ส.สุพร เล่าต่อว่า ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกเมื่อครั้ง นำคณะพี่น้องในพื้นที่ครบุรีและเสิงสางกว่าร้อยคนขึ้นรถบัสไป ๒ คัน เดินทางไป จ.ภูเก็ต จากนั้นได้เดินทางต่อไปเพื่อไหว้หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
    บังเอิญระหว่างเดินทาง มีคนหนึ่ง พูดเล่นขึ้นมาว่า หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ทำไมไม่ไปเหยียบทะเลน้ำเค็มบ้าง
    คนที่พูดเขาไม่ได้คิดอะไร เชื่อไหมว่ารถบัสวิ่งออกจากวัดช้าง ให้มาไม่ถึงกิโลเมตรปรากฏว่าแอร์ดับทั้งสองคัน เมื่อรถไม่มีแอร์อากาศหายใจก็มีไม่พอ ทำให้หลายคนเป็นลมต้องนำส่งโรงพยาบาล
    [​IMG] จังหวะที่กำลังช่วยคนนำส่งโรงพยาบาลอยู่นั้น ก็นึกขึ้น ได้ว่ามีคนพูดจา ดูหมิ่นหลวงปู่ทวดจึงได้พนมมืออธิษฐานว่า หลวงปู่หากพวกลูกๆ กระทำสิ่งหนึ่ง สิ่งใดหรือบุคคลหนึ่ง บุคคลใดในคณะดูหมิ่น หรือกล่าวด้วยคำพูดที่ไม่ดีต่อหลวงปู่ ก็ขอให้อโหสิกรรมด้วย และให้อภัยไว้ตรงนี้เพราะ ทุกคนที่มาสักการะหลวงปู่ทวด ล้วนมีเจตนาดีด้วยกันทุกคน พออธิษฐานจบลงก็เป็นช่วงเวลาที่รถเสียนานเป็นชั่วโมง ไม่น่าเชื่อว่ารถยังไม่ทันขับเข้าอู่เลย แอร์ที่ดับอยู่นั้นกลับเปิดขึ้นมา เป็นปกติ อย่าง น่าประหลาด ในวันนั้นทุกคนต่างก็เดินทางกลับ จ.นครราชสีมา ได้อย่าง ปลอดภัยทุกคน
    ส่วนปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งนั้นอยู่ที่ในระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยมีลูกน้องเป็นคนขับ ไม่รู้ว่าลูกน้องอ่อนเพลีย หรืออย่างไรไม่ทราบ เกิดหลับใน ขับรถวิ่งไปในเขตเลนที่มีรถประจำทางสวนมา ภาพที่เห็นคือ รถวิ่งผิดเลน ประกอบกับก็เห็นรถกำลังวิ่งสวนเข้ามาหา มีความรู้สึกว่าตกใจคิด ในใจว่างานนี้ ต้องตายแน่ๆ ไม่รอดอย่างแน่นอน "จังหวะที่รถวิ่งเข้าไปในเลนรถบัส ที่วิ่งสวนมา ผมก็เอามือกำหลวงปู่ทวดที่แขวนติดตัวไว้ ฉับพลันทันใดนั้น คนขับรถ ก็หักพวงมาลัย ทำให้รถวิ่งเข้ามา ในเลนเดิม เชื่อไหมว่ารถประจำทางกับรถของผมเฉียดกันนิดเดียว รถผมก็เสียหลัก ไปนิดเดียว ผมไม่รู้จะทำอะไรพอผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้ก็ยกมือไหว้หลวงปู่ทวดทันที มาวันนี้ผมจึงโดยแท้จริงว่า รอดตายมา ได้ก็เพราะบารมี ของพระหลวงปู่ ทุกวันนี้จะไปไหนมาไหน ผมต้องมีพระหลวงปู่ทวดติดตัวเป็นประจำ" ส.ส.สุพร กล่าว

    ที่มา: http://www.komchadluek.net/column/pra/2005/08/06/02.php
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    เรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่แหวนและหลวงปู่ทวด


    [​IMG]
    [​IMG]
    ราว 2 สัปดาห์ก่อนที่กรรมการชมรมรักษ์พระบรมธาตุจะเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่เพื่อจัดงานผ้าป่าบูรณะเจดีย์วัดสวนดอก และ งานนิทรรศการพระบรมธาตุครั้งที่ 3 ณ วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่ พวกเราได้ไปพบอาจารย์เทพนมที่บ้าน และ อาจารย์ได้กรุณาเล่าเรื่องเหตุอัศจรรย์เกี่ยวกับพระเครื่องของหลวงปู่แหวนและหลวงปู่ทวดให้ฟัง ดิฉันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงขอนำเรื่องเหล่านี้มาถ่ายทอดให้กับท่านทั้งหลายได้อ่านกันนะคะ

    [​IMG]
    ราว 20 ปีก่อนเมื่อ อ.เทพนม ยังอาศัยอยู่ที่บ้านย่านดินแดง บ้านที่อยู่ติดกับบ้านอาจารย์เปิดเป็นร้านของชำ วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์โจรปล้นบ้านขายของชำ และ จ่อยิงที่หน้าอกของเจ้าของร้าน น้องชายเจ้าของร้านรีบอุ้มร่างพี่ชาย วิ่งตรงมาที่บ้านอาจารย์ และ ร้องเรียกว่า
     
  9. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    หลวงปู่ทวด-หลวงปู่ดู่

    วันหนึ่งในคราวที่ปลอดคน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอยู่ที่กุฏิของหลวงพ่อกับท่านโดยลำพัง หลวงพ่อได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีลูกศิษย์นายทหารคนหนึ่งมาเล่าให้ท่านฟังว่า หลวงปู่ทวดท่านไปหลอกเขา

    "หลอกยังไงหรือครับ" ข้าพเจ้าถามท่าน

    "เขาว่าเวลาที่เขาภาวนาอยู่ หลวงปู่ทวดไปยืนอยู่ข้างหน้าเขา สักพักตัวท่านก็เปลี่ยนไป หัวเป็นหลวงปู่ทวด ตัวเป็นข้า..."
    หลวงปู่ตอบข้าพเจ้ายังไม่จบ ข้าพเจ้าอดถามแทรกไม่ได้ว่า "เขารู้ได้อย่างไรครับว่าตัวเป็นหลวงพ่อ"

    ท่านตอบข้าพเจ้าว่า "เขาจำรอยสักรูปผีเสื้อที่มือข้าได้" หลวงพ่อได้เล่าต่อว่า "เมื่อหลวงปู่ทวดไปหลอกเขาโดยแสดงให้เห็น หัวเป็นหลวงปู่ทวด ตัวเป็นข้าแล้ว สักพักก็เปลี่ยนใหม่ ทีนี้หัวเป็นข้า ส่วนตัวเป็นหลวงปู่ทวดถือไม้เท้า กลับไปกลับมาอย่างนี้"

    เรื่องที่หลวงพ่อได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังนี้ ตรงกับนิมิตที่ศิษย์ของหลวงพ่อหลายคนเคยมีนิมิตเกี่ยวกับท่าน คือ เป็นนิมิตรูปพระพุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง ด้านขวา ด้านซ้าย มีรูปหลวงปู่ทวด และหลวงพ่อดู่ สักพักภาพทั้งสามก็ค่อยๆ เลื่อนมารวมเป็นภาพเดียวกัน คือ เป็นภาพพระพุทธเจ้า

    หากหลวงพ่อดู่และหลวงปู่ทวด มิใช่พระองค์เดียวกันแล้ว สมควรแล้วหรือที่นิมิตที่ศิษย์นายทหารท่านนั้นจะเห็นศรีษะของหลวงพ่อดู่ไปวางบนลำตัวหลวงปู่ทวด สมควรแล้วหรือที่ศรีษะของหลวงปู่ทวดมาวางบนลำตัวของหลวงพ่อดู่ และสมควรแล้วหรือที่ภาพพระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด และหลวงพ่อดู่ มารวมเป็นภาพเดียวกัน

    ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงพ่อดู่เป็นพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาพุทธภูมิเช่นเดียวกับหลวงปู่ทวด ส่วนท่านจะเป็นองค์เดียวกันหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบได้ เพราะเป็นวิสัยของผู้มีญาณเท่านั้นจะพึงทราบ เหตุที่บันทึกเรื่องนี้ไว้ ก็เพียงเพื่อเตือนใจตัวเองที่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้เคยเมตตาเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง และหากจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง ช่วยสร้างศรัทธาปทาสะ ให้เกิดความพากความเพียร ที่จะก้าวล่วงความทุกข์ให้ได้แล้ว ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่งครับ

    ที่มา : ๑๐๑ ปี หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ความเป็นมา - ความเป็นไป

    ประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ข้าพเจ้านายยวง พึ่งกุศล (ปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุวัดสะแก) (สมัยเขียนเรื่อง-leo_tn) ป่วยเป็นโรคท้องเดินอย่างกระทันหัน ได้ไปอยู่โรงพยาบาลปัญจะมาธิราชอุทิศ หมอจัดให้อยู่ในห้องพิเศษ (มีเตียงคู่และห้องน้ำ) แต่ละวันแต่ละคืน ข้าพเจ้าต้องเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายแบบยิบย่อย คือถ่ายมากแล้วก็ค่อยๆ ถ่ายน้อยลง แต่ต้องเข้าห้องน้ำอยู่เรื่อย ไม่มีกากถ่ายไปนั่งเบาสักนิดก็ยังดี ประมาณ ๒ ถึง ๓ นาที ก็ต้องไปเข้าห้องน้ำอีก เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะถึงเวลาเช้ามืดตี ๒ ถึงตี ๔ ก็จะอ่อนเพลียหมดกำลังหลับไปเอง พอเช้ามืดใกล้สว่างจะต้องลุกขึ้นทำสมาธิบนเตียง ซึ่งมีครูถมยาทำสมาธิอีกเตียงหนึ่ง ทุกวันทุกคืนเป็นอย่างนี้ประมาณ ๑๐ วัน

    ในคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เข้าๆ ออกๆ ห้องน้ำ ตั้งแต่ตอนหัวค่ำปวดท้องเหลือเกิน จะลุกขึ้นเดินก็ตัวขดตัวงอ มือประคองท้องอยู่เรื่อยไป งีบหลับไปได้หน่อยก็ตื่นขึ้นมา ต่างคนต่างทำสมาธิกันไป คืนนั้นข้าพเจ้าหลับตาเห็นแสงสว่างอย่างมากเป็นลำยาวไกลออกไปข้างหน้าอย่างประมาณหาที่สุดมิได้ แสงสว่างนั้นยิ่งมากขึ้นๆ แล้วก็ใหญ่ขึ้นจนมองเห็นต้นไม้ใบไผ่ ใบไม้สีเขียวชะอุ่มไกลลิบสุดลูกนัยน์ตา จากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่างเป็นรัศมีของดวงอาทิตย์อ่อนๆ แล้วก็ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นทีละน้อยๆ จนเห็นว่าดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากริมเขาชายต้นไม้ เป็นสีเหลืองเข้มค่อยๆ ลอยขึ้นๆ จากน้อยมาหามาก จนใกล้จะถึงครึ่งวงกลมของดวงอาทิตย์ ตอนนั้น จิตของข้าพเจ้าได้เห็นองค์หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืดได้อย่างชัดเจน!

    ข้าพเจ้าดีใจมาก รู้สึกว่าตัวของข้าพเจ้าสั่นด้วยความดีใจ ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งเต็มดวง ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า เย็นหู เย็นตา เย็นจิต เย็นใจ ขนพองสยองเกล้าจนถึงศรีษะ ตอนนั้นหลวงพ่อทวดหายไป เปลี่ยนเป็นหลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ นั่งอยู่ตรงที่หลวงพ่อทวดนั่ง ดวงอาทิตย์ยังลอยขึ้นใกล้จะถึงตรงศรีษะของข้าพเจ้า หลวงน้าดู่หายไปกลายเป็นหลวงพ่อทวดนั่งอยู่ตามเดิม (บนดวงอาทิตย์) ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลดต่ำลงมาทีละน้อยๆ จนกระทั่งใกล้ถึงตรงหน้าข้าพเจ้า หลวงพ่อทวดหายไป กลายเป็นหลวงน้าดู่ ท่านลงจากดวงอาทิตย์ แล้วเดินมาหยุดข้างหลังข้าพเจ้า ก้มลงเล็กน้อย พร้อมกับยื่นมือขวามาจับพุงของข้าพเจ้า แล้วกระชากดึงพุงอย่างแรงจนตัวไหวไปทั้งตัว ๓ ครั้ง แล้วท่านบอกว่า "หาย" ข้าพเจ้าก็คิดในใจว่าท่านดึง ๓ ครั้งแค่นี้จะหายหรือ เลยลองขยับกายไปทางขวาจะปวดไหม เอ๊ะ! ไม่ปวด ลองขยับมาทางซ้ายบ้างก็ไม่ปวดอีก คราวนี้ลองอีกแรงๆ ก็ไม่เป็นอะไร ด้วยความดีใจก็บอกคุณถมยาว่า "เลิกเหอะ ฉันหายแล้ว หลวงพ่อทวดมาช่วย หลวงน้าดู่รักษาโดยการจับพุงฉันดึง ๓ ที ก็เลยหายพอดี" คุณถมยาเปิดไฟแล้วให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นเดินภาวนา กลับไปกลับมาจากหน้าเตียงถึงประตู ๓ ครั้ง ก็ไม่เป็นไรแน่ หายดีเป็นปกติ รูปหลวงน้าดู่ที่ท่านดึงอยู่ก็หายไป เอ๊ะ นี่จะเป็นองค์ไหนกันแน่ที่ทำให้เราหาย ใจหนึ่งคิดว่าหลวงน้าดู่ดึงพุงทำให้เราหาย อีกใจหนึ่งก็คิดว่า หลวงพ่อทวดเหยียบดวงอาทิตย์มารับหลวงน้าดู่เพื่อรักษาเรา มันสับสนคิดไม่ออก หายแล้วกลับไปวัดจะต้องถามหลวงน้าดู่ให้ได้<!-- / message --><!-- edit note --><!-- / message --><!-- edit note -->
     
  11. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    เมื่อครบกำหนด ๑๖ วัน ตามที่หมอสั่งก็กลับบ้านแล้วมาที่วัดทันที ไม่มีดอกไม้ ธูปเทียน มีแต่ใจมากราบนมัสการ พร้อมกับทองคำเปลวอย่างดี ข้าพเจ้าได้ถามหลวงน้าดู่ว่า

    ข้าพเจ้า "การที่หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ขึ้นมานั่งบนดวงอาทิตย์ครั้งแรก แล้วต่อมาเป็นหลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ พอจะถึงพื้นกลายเป็นหลวงพ่อทวด พอลอยต่ำลงมาถึงพื้น ก็กลายเป็นหลวงน้าดู่ ลงมาช่วยดึงพุงผม ๓ ครั้งจนหาย หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวเป็นหลวงพ่อทวด เดี๋ยวเป็นหลวงน้า"

    หลวงน้า "แล้วแกว่าอย่างไร"

    ข้าพเจ้า "เห็นกลับไปกลับมา ก็คงเป็นหลวงพ่อทวดองค์เดียวกัน"

    หลวงน้า "ก็อย่างแกว่านั่นแหละ"

    ข้าพเจ้า "ถ้าอย่างนั้น ก็เป็น พระศรีอริยเมตไตรย นะสิ"

    หลวงน้า "ก็หลวงพ่อทวดคือ พระศรีอริยเมตไตรย ท่านกลับชาติมาเกิดเพื่อสร้างบารมี รู้แล้วอย่าพูดไป เพราะคนที่เขาไม่เชื่อ เขาจะพากันตกนรก เราจะพลอยบาปไปด้วย"

    ทองคำที่ปิดเท้าหลวงน้าดู่นั้น
    ข้าพเจ้าติดถวายแก่พระศรีอริยเมตไตรย
    ที่เท้าของหลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ


    สาเหตุที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย เนื่องจากก่อนที่จะทำการพระราชทานเพลิงศพบิดาของผู้เขียน ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับน้ายวง ผู้เขียนได้ถามว่า "น้าคิดว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นหน่อพุทธภูมิ" น้ายวงจึงตอบว่า "อาจารย์คิดว่าหลวงน้าเป็นอะไร" ผู้เขียนตอบว่า "ท่านเป็นหน่อพุทธภูมิ เพราะท่านเคยบอกครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่นำพระนาคปรก ซึ่งหลวงปู่บุดดาฝากถวายมาให้ และมีอีกหลายอย่าง ครั้งจากนั่งสมาธิ มีคนเห็นหลวงพ่อกับหลวงพ่อทวดสลับกันไป สลับกันมา ซึ่งแสดงว่าท่านต้องเป็นองค์เดียวกัน" น้ายวงจึงตอบว่า "ถ้าอย่างนั้นผมจะเขียนเรื่องราวที่ผมสัมผัสมากับหลวงน้า ซึ่งหลวงน้าสั่งให้ปิดไว้เป็นความลับ เป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว คงจะถึงเวลาที่จะเปิดได้แล้ว" ผู้เขียนจึงได้นำบทความนี้มาลง ซึ่งเป็นการเขียนจากผู้มีประสบการณ์จากตัวเอง และผู้เขียนเอง มีความรู้สึกอยากสรุปเรื่องของหลวงปู่ เพราะแม้แต่เกศาหรือฟันของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ พระเครื่องเกิดเป็นพระธรรมธาตุ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธวิสัย คือผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ย่อมมีบุญญาธิการเกินกว่าปุถุชนอย่างเรา ไม่ควรที่จะวิจารณ์ ดังที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า เป็น จินไตย หรือแม้แต่องค์หลวงปู่เอง ท่านเคยกล่าวว่า "เรื่องของข้าบางทีก็เกินพระไตรปิฎก ต้องรู้เอง ปฏิบัติเอง พูดมากไม่ดี เดี๋ยวคนจะลงนรก"
     
  12. annyindy

    annyindy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +543
    ได้โอนเงิน 2,150 เพื่อร่วมทำบุญกฐิน 4 กอง
    โดยเข้าบัญชีคุณธงชัยไปเมื่อวานนี้และได้แฟกซ์ใบโอนเงินไปให้แล้วนะคะ
    ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ทุกท่านได้ร่วมทำค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...