ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสบอกชัด คนไทยจะถูกกำจัดอย่างไร ถ้าพระนารายณ์เปลี่ยนไปเป็นคริสต์

ชัดเจนครับ..........

 

รอฟังอยู่

 

เืรื่องโป๊ปว่า นั่้นขอเวลาสักนิดครับ ไม่มีหนังสือในมือ อ่านมานานแล้ว จะหามาให้ครับ

เรื่องกบฏชิมาบาระ ตัด ศรีษะนั่นไม่ได้ให้ร้ายครับ ผมว่าแล้วเอารูปมาให้ดูดีกว่า
ได้ครับ รอนิดครับ เดี๋ยวเอารูปมาให้ดูแน่ ๆ


เรื่องแปลนั่น ภาษาอังกฤษไม่ได้ยากเกินไปสำหรับคนเล่นอินเตอร์เนท มั้งครับ ?

 

http://www.geocities.com/nobukaze23/arima.htm <---- Link ที่ผมไปนำข้อมูลมาแปลครับ มันเจ๊งไปแล้วตอนนี้ (10 ตุลาคม 2550)

ผมไม่ได้ทำเองครับ สบายใจได้

แต่ไม่เป็นไรครับ มีภาพเดียวกันที่เวปอื่น

ดูได้ครับที่



http://en.wikipedia.org/wiki/Image:BeheadedJizo.jpg

ภาพพระพุทธรูปญี่ปุ่นโดนตัดพระเศียรโดย กบฏชิมาบาระ (นับถือคริสต์ )


ส่วนเนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับ กบฏชิมาบาระ ก็อ่านได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Image:BeheadedJizo.jpg

ลองดูครับ

จัดให้ตามคำขอครับ คุณคริสต์

 

อ้าวภาพไม่ขึ้นเอาใหม่ครับ



Statues of Jizo beheaded by rebelling Christians.

 

ส่วนเรื่องโป๊ปขอติดไว้ก่อนนะครับ จะรีบหามาให้ครับ

ใจเย็น ๆ ครับ คุณคริสต์ได้สิทธินั้นเดี๋ยวนี้เลยครับ

 

ไหน ๆ ก็ไหน แล้วเดี๋ยวจะบอกว่า เป็นพระพุทธรูปจริงหรือเปล่า Jizo เนี่ย เอาข้อมูลมาให้ดูเลยดีกว่าครับ




http://en.wikipedia.org/wiki/Ksitigarbha <--- นำมาจาก Link นี้

Kṣitigarbha, known by the Japanese name Jizō (地蔵) or the Mandarin Chinese name Dizang (地藏 Dìzàng), is a popular Mahayana Buddhist Bodhisattva, (ชัดเจนไหมครับ ว่าเป็นพระพุทธรูปหรือเปล่า ? ) usually depicted as a Buddhist monk in the orient. The name Jizō or Dizang may be translated as "Earth Treasury", "Earth Store", "Earth Matrix", or "Earth Womb." It is derived from shortening of Chinese script reading of Sanskrit word ksiti (earth; 大地 ) and garbha (womb, matrix; 蔵).

....

รายละเอียดอ่านต่อในเวปที่ให้ไปได้ครับ

แบบนี้ใส่ร้ายไหมครับเนี่ย ?

 

คุณเด็กเมื่อวานซืนคะ ดิฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากกับเรื่องที่คุณนำมาขยายความจากประเด็นของคุณคริสต์ เลยตามเข้าไปอ่านในเว็บตามชื่อที่คุณให้ ขอตั้งข้อสังเกตนะคะว่า ในเว็บของวิลกิพีเดียที่คุณให้ชื่อไว้นั้น เค้าก็ระบุชัดเจนว่าเนื้อ หาที่เขาอธิบายไว้เกี่ยวกับกบฎชิมาบาระนั่น ยังต้องการคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาตรวจสอบก่อนจึงจะแน่ใจได้ว่ามีความถูกต้องแท้จริง คุณคงเข้าใจการทำงานของวิลกิพีเดียใช่มั๊ยคะ? มันคือการให้อิสระแก่คนที่คิดว่าตัวมีความรู้พอในเรื่องๆ หนึ่งเข้าไปช่วยกันเขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยไม่มีการเซ็นเซอร์ แต่ถ้าคนอื่นเห็นว่าคนแรกเขียนผิด ก็สามารถเข้าไปแก้ใหม่ได้ ดังนั้นคำอธิบายพวกนี้จึงเป็นสิ่งที่ยังปักใจเชื่อทั้งหมดไม่ได้ค่ะ เพราะเราอาจบังเอิญไปอ่านเวอร์ชั่นที่เขียนผิดๆ ถูกๆ ก็ได้ เนื่องจากยังไม่มีระบบตรวจสอบที่รัดกุมค่ะ ถ้าคุณอยากรู้เรื่องนี้การทำงานของวิลกิพีเดียล่ะก็ ลองหาหนังสือชื่อ Infotopia เขียนโดยอจ.กฎหมายของมหาลัยชิคาโก้ชื่อ Cass S. Sunstein อ่านดูสิค่ะ
แต่เมื่อเป็นอย่างน้แล้ว เราน่าจะชะลอการอ้างข้อมูลจากเว็บนี้ในการถกเถียงไว้ก่อนดีมั๊ยคะ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าเหตุผลที่กบฎลุกฮือนั่นเป็นเรื่องทางการเมืองหรือศาสนากันแน่

 

ว่าแล้วเราก็มาใช้เหตุผลของเรากันเองดีกว่า (อีกอย่างประวัติศาสตร์ก็คือการตีความข้อมูลดิบ ไม่ใช่ตัวข้อมูลดิบเอง ดังนั้นคนอาจเอาประวัติศาสตร์เรื่องเดียวกันมาสนับสนุนประเด็นตรงข้ามกันก็ได้) คุณอ้างว่ากบฎชาวนาลุกฮือขึ้นเพราะเหตุผลเรื่องการกดขี่ของผู้ปกครองในแคว้นนั้นเอง ซึ่งเป็นเหตุผลทางการเมืองล้วนๆ จึงไม่ใช่ความขัดแย้งทางศาสนานั้น ดิฉันขอเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปค่ะ โลกทัศน์บางอย่างทำให้คนยอมรับการกดขี่มากกว่าโลก ทัศน์แบบอื่น ยกตัวอย่างโลกทัศน์ทางศาสนาที่อธิบายว่าทุกอย่างที่เกิดกับเราเป็นชะตากรรมหรือบุญกรรมกำหนดมาให้เป็นอะไรแบบนั้น มีแนวโน้มจะทำให้คนยอมรับการกดขี่ ความอยุติธรรมหรือแม้แต่ความไม่เท่าเทียมได้มากกว่า คือมองว่ามันเป็นเรื่องคนทำบุญทำกรรมมาเลยเป็นแบบนั้น ในขณะที่คนที่มีโลก ทัศน์ต่างออกไป เช่นมองว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน (ในฐานะบุตรพระเจ้า) เค้าก็จะไม่มองแบบนี้ และจะมีสายตาที่แหลมคมกว่าในการรับรู้ถึงความอยุติธรรมหรือความไม่เท่าเทียมที่ไม่มีเหตุผลดีพอรองรับ เช่น คนเกิดมารวยก็รวยเอาๆ แต่ยังไม่คิดแบ่งปัน หรือถึงทำก็ตามอัธยาศัย มากกว่าอย่างเป็นระบบจริงๆ จัง ส่วนคนจนก็จนเอาๆ เป็นต้น ดังนั้น ถ้าพบเจอความอยุติธรรมแม้ซักนึดหนึ่งเค้าก็คิดจะแก้แล้ว หลักนิติรัฐที่ว่าทุกคนต้องเสมอภาคกันภายใต้กฎหมายก็มาจากเค้านะคะ อย่าลืม และความคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ (welfare state) ที่มองว่ารัฐมีหน้าที่ต้องให้โอกาสแก่ทุกคนที่จะมีชีวิตที่เพียงพอและมีศักดิ์ศรีนั้นก็มาจากเขาค่ะ
คุณคริสต์ขา ชาวคริสต์เขามีหน้าที่ต้องทำบุญในอัตราร้อยชักสิบใช่มั๊ยคะ? หมายถึงหาตังค์ได้เท่าไหร่ ต้องทำบุญเพื่อสาธารณกุศลถึง 10% ด้วยใช่มั๊ย? นี่แสดงว่าศาสนาคุณให้ความสำคัญกับการเสียสละทรัพย์สินส่วนตัวเพื่อกระจายรายได้ในสังคมให้ทั่วถึงกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปเองตามธรรมชาติใข่มั๊ยคะ? นับถือในศีลธรรมแบบนี้ของคุณจริงๆ ค่ะ

 

ดิฉันว่าเอาเข้าจริงๆ ทุกศาสนาก็มีพลังเปลี่ยนแปลงโลกทั้งนั้น เพราะทุกศาสนาล้วนมีข้อดีของตัวเอง ที่คนที่เข้าถึงสาระสำคัญของศาสนานั้นได้ก็จะพบ ศาสนาคริสต์เองมีคำสอนเรื่องความรัก ซึ่งเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่มากจนสามารถเปลี่ยนโลกได้ แต่ถ้าลองรักเพื่อนมนุษย์จนถึงขั้นกลัวว่าถ้าเขาไม่เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ก่อนตายไปแล้วจะตกนรก เลยต้องขู่เข็ญหรือทรมานเค้าอย่างแสนสาหัสเพื่อให้ยอมตามความเป็นห่วงของคุณแบบที่ทำกันในยุคกลางนั้น ถึงเปลี่ยนโลกได้ก็คงไม่นานและศาสนาของคุณก็จะอยู่ไม่ได้ด้วย ความเสื่อมของคริสตศาสนาช่วงยุคปฏิวัติทางปัญญาก็เป็นตัวอย่างที่ชัด เจนอยู่แล้วใช่มั๊ยคะ ส่วนพุทธศาสนาเราก็มีคำสอนเรื่องปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเราไม่เปลี่ยนตามคุณ นั่นก็เพราะจริตเราไปทางปัญญามากกว่าความรักแบบไม่มีเงื่อนไข และถ้าเราจะเปลี่ยนโลกก็คือเปลี่ยนโดยใช้ปัญญาไม่ใช่ความรัก ก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องมีอะไรขัดแย้งกันเลยค่ะ ทั้งความรักทั้งปัญญา ก็ของดีทั้งคู่แหล่ะ

 

คะนิ้งเอ็งมันจอมสอด แต่สอดผิดที่เอ็งเสวนากับพวกโง่เอ็งไม่ฉลาดขึ้นหรอก พวกนี้เอาเวลาปฏิบัติมาใช้เล่นเน็ทด่าศาสนาอื่น เอ็งลองคิดดูง่ายๆ ลองเอาเรื่องเหล่านี้ไปถามพระอาจารย์สายปฏิบัติทุกสาย พระอาจารย์ท่านจะไม่กล่าวโทษใครดอก ท่านจะตะเพิดเอ็งกลับไปปฏิบัติชำระจิตใจตนเอง พวกที่ชอบกล่าวร้ายเขา ว่าเขาไม่ดูตนเองจะเรียกว่าพุทธได้อย่างไร

ชาวพุทธหมั่นตรวจดูจิตใจตนเองเถิด หากพวกเราเข้มแข็งศาสนาอื่นจะมาทำลายเราได้อย่างไร จุดแข็งของชาวพุทธอยู่ที่ความเข้มแข็งทางจิตใจ มิใช่การรู้ทันคนอื่นในทางโลกหรือทางสังคม ข้อมูลดิบคือข้อมูลดิบ การตีความข้อมูลดิบก็คือการตีความ ถือเป็นจริงไม่ได้ดอก ธรรมทั้งหลายอยู่ในจิต ชาวพุทธต้องหมั่นชำระจิต พวกเอ็งมีแต่ความโกรธ พวกพุทธขี้ฑูต พวกกุฏฐังขี้เรื้อน

 

ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่าวิกิพีเดียมันใช้อ้างอิงได้ นี่คือวิบากกรรมของศาสนาที่มีชาวพุทธอ้างอิงข้อมูลดิบจากวิกิพีเดีย

 

http://www.geocities.com/nobukaze23/arima.htm <---- Link อีกอันหนึ่งก็ใช้ได้แล้วครับ ลองไพิจารณาต่อนะครับ

ผมแปลบทความส่วนมากมาจาก Link นี้ครับ ซึ่งไม่ใช่ของ Wiki Pedia ครับ

ส่วน Link วิกิพีเดีย ผมเอามาเป็น Link สำรองครับ เพราะตอนแรกเวปของ geocitie มันล่มครับ

ส่วนเรื่อง wiki ผมก็รู้ดีครับ

แต่ผมต้องการนำรูปมายืนยัน เพราะคุณคริสต์เขาบอกว่า ผมกำลังใส่ร้ายคริสศาสนาของเขา ก็แค่นี้ครับ


ถ้าอ่านใน เวปแรกของ Geocities เขาก็จะบอกอย่างที่ผมยกมาทั้งดุ้นครับ ว่าเป็นเรื่องการเมืองและการกดขี่ของผู้ปกครองครับ ลองอ่านดูนะครับ

ถ้าใช่ไม่ใช่อย่างไร นำมาถกกันต่อได้ครับ ยินดีถกด้วยเสมอครับ

 

http://www.historyofwar.org/articles/wars_shimabara.html <--- Link นี้ก็มีเรื่อง กบฏชิมาบาระ ครับ
Link นี้บอกว่า

..... Although not only due to religious persecution the revolt was strengthened by the treatment of Christians in the Shimabara Peninsula.
..............

ซึ่งมันก็คล้าย ๆ เหตุผลใน Link ของ Geocities ที่ผมยกมาเป็น Link แรกครับ


http://www.japan-101.com/history/shimabara_rebellion.htm
ส่วนเวปนี้ยิ่งกว่าอีก
..........

when peasants rose against their daimyo Matsukura Shigeharu. Christians like to emphasize the fact that most rebels were Japanese converted to Christianity but the other prominent reason for the revolt was the very heavy tax burden. Rebels took the mantle of Christianity later.

..............................


ส่วนเวปอีกอันหนึ่ง เป็น สารานุกรม ( Britian Encyclopedia) ก็กล่าวไว้ในเหตุผลคล้าย ๆ กัน
ถึงการลุกฮือก่อกบฏชิมาบาระ ดังนี้ครับ
http://www.britannica.com/eb/article-9067378/Shimabara-Rebellion


ซึ่งผมคิดว่ามันมีเหตุผลน่าจะเชื่อถือได้คือ เรื่องของการกดขี่ เรียกเก็บภาษี อย่างที่ผมได้บอกไป ตาม Link ของ Geocities ครับ

(1637–38), uprising of Japanese Roman Catholics, the failure of which virtually ended the Christian movement in 17th-century Japan and furthered government determination to isolate Japan from foreign influences.

The revolt began as a result of dissatisfaction with the heavy taxation and abuses of local officials on the Shimabara Peninsula and the Amakusa-retto Islands. …

 

สรุปจากที่ได้ทุก Link เหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ของการก่อกบฏชิมาบาระ คือเรื่องของการเมืองเป็นตัวนำ
โดยมีเรื่องศาสนามาเป็นเชื้่อปะทุ ให้ไฟโหมแรงยิ่งขึ้นครับ จนถึงกับขั้นจะแบ่งแยกดินแดน

ถ้าคุณคะนิ้งเห็นว่าอย่างไร ก็มาถกกันต่อครับ

 

ถ้าคุณคะนิ้งได้อ่านบทความ ในเวป Geocities เขาจะปูพื้นบริบทของคนในสมัยเอโดะตอนนั้นไว้ชัดเจนครับ

เขาจะแบ่งให้เห็นถึง ศักดินาต่าง ๆ ชนชั้นต่าง ๆ ของญี่ปุ่น ที่ไล่ตั้งแต่ จักรพรรดิ ซามูไร พ่อค้า และ ชาวนา (ก็มีบริบทคล้าย ๆ กับ ศูทร ใน อินเดียนั่นและครับ)

ถ้ายังไม่ทำความเข้าใจตรงนี้ ก็จะยังไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงมีการก่อกบฏขึ้น

และ ถ้ายังไม่ดูบริบทการเมืองภายหลังเกิดศึกที่ทุ่งเซกิงาฮาร่า ก็จะยังไม่เข้าใจอีกว่าทำไมมันถึงเป็นตัวกระตุ้นได้ ต้องลองอ่านใน Geocities ดูครับ ผมว่าเขาปูพื้นให้เข้าใจบริบทของญี่ปุ่นตอนนั้น พอควรแล้ว (ผมก็เอามาลงให้อ่านแล้วเหมือนกัน )

กบฏผีบุญในบ้านเราที่้อ้างเป็น ตัวแทนพระศรีอาริยเมตไตรย์ ก็แบบนี้เหมือนกันครับไม่แตกต่าง
ลองทำความเข้าใจกันก่อนครับ นี่ผมยังไม่พูดเรื่องศาสนานะครับ แยกเอาทีละประเด็น

ประวัติศาสตร์ส่วนประวัติศาสตร์ครับ

 

คราวนี้เป็นคิวของเรื่องศาสนาล้วน ๆ ครับ

ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปครับ ทางพระพุทธศาสนาท่านสอนไว้ว่า
กรรมเป็นเครื่องจำแนกบุคคล ที่เราเกิดมานี้ก็เพราะมารับผลกรรมที่เราทำไว้ในอดีตจะทั้งกรรมดี และ กรรมชั่วที่เราทำไว้ในอดีตนั่นหละครับ

ทีนี้ จะมองว่าส่งเสริมความไม่ยุติธรรมไหม ?
ก็ต้องถามว่า กรรมดี กรรมชั่วนั้น มีใครบังคับให้ทำหรือเปล่า ? (คุณคะนิ้งเคยบอกว่าเราเลือกทำชั่วไม่ได้ )


ถ้างั้นก็คงจะต้องเรื่อง อจิณไตย มาคุยกันหละครับ (ไม่ได้มีประโยชน์เลย พระท่านก็แนะนำว่าไม่ให้คุย แต่ก็ต้องคุยจนได้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไปกันใหญ่ เข้ารกเข้าพงกันใหญ่)

ยกตัวอย่าง

เวลาสอบเข้าเรียน หรือ สมัครงาน ทำไมเขาถึงไม่รับทุกคนที่ไปสอบ หรือ ทุกคนที่สมัครงานครับ ?
เพราะอะไร ?


คุณตั้งใจเรียนไหม , เกรดคุณดีหรือเปล่า , คุณมีความสามารถพอที่บริษัทเขาจะรับไหม แบบนี้คือเหตุผลใช่ไหมครับ ?

้ถ้าใช่ แล้วเหตุผลต่าง ๆ นี้ ถามว่า ใครเป็นคนกำหนดครับ ?

ตอนคุณไปสอบเข้า สถาบันเขาบังคับให้คุณไ่ม่ตั้งใจเรียนหรือเปล่า ? หรือเขากลั่นแกล้งออกข้อสอบให้ยาก เพื่อไม่รับคุณไหม ?
หรือคุณขยันไม่พอ ?

--------------------------

เวลาไปสมัครงาน (อันนี้แน่ ๆ ต้องมีเส้นบางที่ ) ถ้ากรณีเปิดสอบแบบตรง ไม่มีเส้นสาย
ถ้าคุณไม่ขยัน คุณอ่านหนังสือสอบไม่ตรง หรือ คุณความสามารถไม่ถึง บริษัทเขาจะรับคุณไหมครับ ?


เหล่านี้ที่ผมยกตัวอย่างมาเพื่อเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นว่า หลักในทางพระพุทธศาสนา กล่าวไว้ถูกต้องแล้วดีแล้ว เป็นธรรมแล้ว ถ้าคุณตั้งใจทำกรรมดี ผลดีก็สนอง


ส่วนที่ว่าจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไหม อันนี้ ก็เป็นสิทธิที่คุณจะทำหรือไม่ทำก็ได้

ถ้าคุณมีเงิน หรือ มีความเมตตา คุณจะช่วยเหลือใครก็ได้ หรือไม่ช่วยก็ได้ มันเป็นสิทธิของคน ๆ นั้นครับ

พระพุทธศาสนาไม่เคยบังคับว่า คุณจะต้องทำดี คุณจะต้องบริจาคทรัพย์ คุณจะต้องถือศีล คุณจะต้องทำกรรมฐาน

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เป็นภาษาบาลีว่า

อักขาตาโร ตถาคะตา แปลเป็นไทยว่า ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก

ไม่เคยมีประโยคไหนที่ว่า พระองค์บอกแล้วต้องทำตาม ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ทำแล้ว คุณจะได้รับโทษไม่เคยมีครับ

ถ้าคุณทำกรรมดี คุณก็ได้ผลดีตอบแทน ถ้าคุณทำกรรมชั่ว ก็จะได้ผลชั่วตอบแทน

ระยะเวลาที่จะส่งผลก็ไม่เท่ากันครับ เพราะคนเราตามหลักทางพระพุทธศาสนาเกิดมาเป็น แสน ๆ ล้าน ๆ ชาติแล้ว ย่อมต้องเคยทำความดี และ ความชั่วมากันไม่น้อย ดังนั้น ผลกรรมดี และ กรรมชั่วก็ผลัดกันสนอง ช่วงไหนกรรมดีสนองคุณก็จะรู้สึกว่าอะไร ๆ ก็ดีไปหมด

ช่วงไหนผลกรรมชั่วสนองคุณก็จะรู้สึกแย่ ๆ ไปหมด (เหมือนที่คนบอกว่า ดวงซวยตลอด นั่นหละครับ)

ตั้งแต่ผมศึกษาพระพุทธศาสนามา ยังไม่เคยเห็นว่า ท่านจะบังคับให้ทำความดีแต่อย่างใด ใครอยากจะทำชั่ว พระท่านก็ไม่ห้าม เพราะท่านก็สอนแล้วว่า ผลของการทำดีได้ผลอย่างไรบ้าง ผลของการทำชั่วได้ผลอย่างไรบ้าง

ขึ้นอยู่กับ ปัญญา(ทางธรรม) ของบุคคล ๆ นั้นว่า ปัญญามากน้อยแค่ไหนครับ


ขนาดพระยังต้องขอเขากินเลยครับ ( บิณฑบาตร) ถ้าญาติโยมไม่ศรัทธา ไม่ใส่บาตรให้ พระก็ไม่มีสิทธิไปว่าเขา


เพราะฉะนั้น ขอให้เข้าใจใหม่เสียว่า พระพุทธศาสนา ให้อิสระเสรีภาพคุณอย่างมาก (ถ้าคุณคะนิ้งเป็นชาวพุทธ และ ยังไม่รู้ ก็รับทราบไว้ด้วยนะครับ )

 

หลักเรื่องของการปฏิบัติตัวทางพระพุทธศาสนาก็มีหลายข้อครับ

เห็นถามเรื่องการบริจาค ก็ขอยกมาดังนี้

1.. หลักสังคหวัตถุ 4

สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ

2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ

3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย
http://www.learntripitaka.com/scruple/sank4.html

และ อีกหัวข้อก็คือ

พรหมวิหารธรรม

พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่

เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
กรุณา ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
อุเบกขา การรู้จักวางเฉย วางเฉยเนี่ยหมายถึง วางอารมย์ใจนะครับ ไม่ไปเศร้าหมองคิดมาก ว่าเราแย่มากที่ไปช่วยเหลือเขาไม่ได้ คิดเสียว่า มันเป็นกรรมของเขา เราช่วยเหลือเขาไม่ได้จริง ๆ (ในกรณีไปช่วยเหลือเขาไม่ได้ในทันที แต่เตรียมพร้อมไว้ ในโอกาสที่เหมาะสม)

http://www.learntripitaka.com/scruple/prom4.html


พระพุทธองค์ทรงสอน หลักนี้มาตั้ง 2550 ปีแล้วครับ และ พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงบังคับว่า ใครที่นับถือพุทธต้องทำตามที่พระองค์สอน

ทรงสอนแล้ว ใครอยากทำก็ทำ ใครไม่อยากทำพระองค์ก็ไม่ว่า สุดแล้วแต่ปัญญาทางธรรม และ ความประสงค์ของบุคคล ๆ นั้นครับ

 

ไหนบอกว่าจะไม่เล่นเนทแล้วไงครับ (sing) ...อิ ๆ ๆ แซว ๆ ครับ

 

เออบอกไปอย่างนั้นแหละ ก็เข้ามาดูเรื่อยๆ