การดับกิเลสมีกี่วิธี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มะหน่อ, 18 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. เพียรละ

    เพียรละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +148
    ขันติคือ บรมตบะ เป็นธรรมะที่เผากิเลสอย่างยิ่ง เป็นไปเพื่อนิพพาน
     
  2. เพียรละ

    เพียรละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +148
    อนุโลมิกขันติ

    ›››››

    สมเด็จพระญาณสังวร

    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    วัดบวรนิเวศวิหาร

    ข้อความสมบูรณ์มีศัพท์บางคำที่อาจเขียนผิด หน้า 2-3

    คัดจากเทปธรรมอบรมจิต

    อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

    ]

    บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

    ได้แสดงขันติมาครั้งหนึ่งจะแสดงต่อไป ขันติที่จะแสดงต่อไปนี้มีความหมายในทางเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อความสิ้นกิเลสและกองทุกข์ ขันติดังกล่าวนี้เรียกว่า อนุโลมิกขันติ ขันติที่เป็นไปโดยอนุโลม คืออนุโลมต่อความเห็นชอบ ก็คืออนุโลมอริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เพื่อกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย ขันติดังกล่าวนี้เป็นขันติที่มีความหมายเป็นพิเศษกว่าขันติทั่วๆ ไป แม้ตามที่ได้แสดงอธิบายแล้ว และได้มีความหมายในทางเดียวกัน กับขันติที่ตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์ว่า ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ขันติคือ ตีติกขา ความทนทาน เป็นบรมตบะ คือเป็นธรรมะที่เผากิเลสอย่างยิ่ง เป็นไปเพื่อนิพพาน

    ดังที่ตรัสต่อไปว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา พระพุทธะทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นอย่างยิ่ง ขันติเป็นบรมตบะ ดั่งนี้ จึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้อีกว่า ขันติ พลัง วยะ ตินัง ขันติเป็นกำลังของนักพรต หรือผู้บำเพ็ญพรตทั้งหลาย ดั่งนี้

    ตีติกขาขันติ

    อันขันติดังกล่าวว่าตีติกขาขันติ ในโอวาทปาติโมกข์ หรือ อนุโลมิกขันติ ที่ยกขึ้นมาแสดงในวันนี้ จึงมีความหมายว่าเป็นความอดทน เป็นความทนทาน ต่ออารมณ์ทั้งหลาย คืออารมณ์ คือรูปที่เห็นทางตา อารมณ์คือเสียงที่ได้ยินทางหู อารมณ์คือกลิ่นที่ได้ทราบทางจมูก อารมณ์คือรสที่ได้ทราบทางลิ้น อารมณ์คือสิ่งถูกต้องที่ได้ทราบทางกาย อารมณ์คือธรรมะอันได้แก่เรื่องราวที่ได้รู้ได้คิดทางมโนคือใจ

    อดทนต่ออารมณ์เหล่านี้เพราะอารมณ์เหล่านี้เป็นที่ตั้งแห่งราคะความติดใจยินดีก็มี เป็นที่ตั้งแห่งโทสะความโกรธแค้นก็มี เป็นที่ตั้งแห่งโมหะความหลงก็มี เมื่อเป็นดั่งนี้จึงเกิดราคะโทสะโมหะ หรือว่าโลภโกรธหลงขึ้น ไหลเข้าสู่ใจหรือจิต เพราะฉะนั้น อดทนต่ออารมณ์ทั้งหลาย จึงมีความหมายถึงอดทนต่อกิเลสทั้งหลาย ที่บังเกิดขึ้นจากอารมณ์นั้นๆ ด้วย

    บรมตบะ เครื่องแผดเผากิเลส

    ขันติที่เป็นอนุโลมขันติหรืออนุโลมิกขันติ จึงมีความหมายถึงความอดทนต่ออารมณ์ ต่อกิเลสดังกล่าว

    เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะเป็นบรมตบะ คือเป็นเครื่องแผดเผากิเลส ผู้ที่ปฏิบัติขันติ ฝึกจิตใจให้มีความอดทนต่ออารมณ์ทั้งหลาย ต่อกิเลสทั้งหลาย ย่อมสามารถเผากิเลสทั้งหลายได้ ดับกิเลสทั้งหลายได้ เช่นเมื่อความโลภบังเกิดขึ้นในวัตถุอันเป็นที่ตั้งของความโลภ หรือราคะความติดใจยินดีบังเกิดขึ้นในวัตถุอันเป็นที่ตั้งของราคะ ก็มีความอดทน ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของโลภะหรือราคะ เมื่อความอดทนนี้มีกำลังที่แรงกว่ากำลังของกิเลส ก็ชนะกิเลสได้ กิเลสก็ดับหายไป เหมือนอย่างถูกเผาไป

    เมื่อโทสะบังเกิดขึ้นก็เช่นเดียวกันมีความอดทนต่อโทสะ ต่ออารมณ์ของโทสะ ไม่ยอมแพ้อำนาจของโทสะ และเมื่อความอดทนนี้มีกำลังกว่า โทสะกับอารมณ์ของโทสะก็ดับหายไป เหมือนอย่างถูกเผาสิ้นไป โมหะก็เช่นเดียวกัน ความหลงถือเอาผิด หลงติดอยู่ในวัตถุอันเป็นที่ตั้งของความหลง มีความอดทนต่อความหลง ความติด และอารมณ์ของความหลงนั้น เมื่อความอดทนมีกำลังก็เอาชนะโมหะได้ โมหะก็ดับหายไป เหมือนอย่างถูกเผาไป

    ขันติที่ประกอบด้วยปัญญา

    แต่ในการปฏิบัติทำขันติคือความอดทนนี้เมื่อประกอบไปด้วยกับการปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ก็ทำให้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ขึ้นมาได้ ขันติที่ประกอบด้วยปัญญานับว่าเป็นยอดของขันติที่ประกอบด้วยสมาธิด้วยศีล แต่ว่าก็ต้องอาศัยการปฏิบัติทั้งในศีลทั้งในสมาธิทั้งในปัญญาประกอบกันไป ทั้ง ๓ นี้มีปัญญาเป็นยอด แต่เมื่อมียอดก็ต้องหมายความว่าต้องมีต้นมีรากด้วย ศีลก็เหมือนอย่างราก สมาธิก็เหมือนอย่างต้น ปัญญาก็เหมือนอย่างยอด เมื่อเทียบกับต้นไม้ ฉะนั้น แม้จะยกยอดขึ้นมาแสดง ก็ต้องหมายความว่าต้องมีลำต้นต้องมีรากอยู่ด้วยกัน เป็นแต่เพียงต้องการจะชี้ว่าปัญญาเป็นยอด

    เพราะฉะนั้นจึงได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ว่า ปัญญาเห็นอย่างไรจึงจะเป็นฐานะที่ว่าประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ได้ตรัสแสดงไว้ว่า เมื่อยังเห็นสังขารอะไรๆ โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข เห็นธรรมะอะไรๆ คือทั้งส่วนที่เป็นสังขารทั้งส่วนที่เป็นวิสังขาร โดยความเป็นอัตตาตัวตน เมื่อยังเห็นดั่งนี้อยู่ก็ไม่เป็นฐานะที่จะชื่อว่าประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ และเมื่อไม่ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ก็ไม่เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่ความเป็นชอบ คือหยั่งลงสู่อริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น และเมื่อยังไม่หยั่งลงสู่ความเป็นชอบ หรือว่าสู่ สัมมัตตนิยาม คือความกำหนดแน่โดยความเป็นชอบ ก็ไม่เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย

    ต่อเมื่อเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงโดยความเป็นทุกข์ เห็นธรรมอะไรๆ ทั้งปวงโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตาตัวตน จึงเป็นฐานะที่จะชื่อว่าประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ และเมื่อประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ก็เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่นิยาม คือความกำหนดแน่แห่งความเป็นชอบ คือสู่นิยามแห่งอริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น และเมื่อหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ ก็เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย

    เมื่อเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์

    อนึ่งเมื่อยังเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ไม่เป็นฐานะที่จะประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ไม่เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ ไม่เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย ต่อเมื่อเห็นนิพพานโดยความเป็นสุข ดังที่มีปาฐะว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นบรมสุข จึงจะเป็นฐานะที่ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย ดั่งนี้

    อนุโลมิกขันติด้วยอาการอย่างไร

    และจะชื่อว่าได้อนุโลมิกขันติด้วยอาการอย่างไรจะชื่อว่าหยั่งลงสู่ความเป็นชอบด้วยอาการอย่างไร ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสจำแนกอาการไว้เป็นอันมาก แต่อาจสรุปลงได้เป็น ๓ คือเห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เห็นนิพพาน โดยความเป็นเที่ยง โดยความเป็นสุข และโดยความเป็นปรมัตถ์ หรือ ปรมัตถะ คือมีอรรถะอย่างยิ่ง

    กล่าวคือเห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมิกขันติ เห็นความดับขันธ์ ๕ เป็นนิโรธคือความดับทุกข์เป็นของเที่ยงแท้ เป็นนิพพาน ย่อมได้หรือหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ คือสู่ทางอริยมรรค เห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นทุกข์ ย่อมได้อนุโลมมิกะขันติ เห็นความดับขันธ์ ๕ เป็นนิโรธคือความดับทุกข์ เป็นสุข เป็นนิพพาน ย่อมหยั่งลง ย่อมได้นิยามแห่งความเป็นชอบ เห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมได้อนุโลมิกขันติ เห็นความดับขันธ์ ๕ เป็นนิโรธคือความดับทุกข์ เป็น ปรมัตถะ คือ มีอรรถะอย่างยิ่ง อย่างละเอียด เป็นนิพพาน ย่อมหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ ดั่งนี้

    เพราะฉะนั้น อนุโลมิกขันตินี้จึงเป็นข้อสำคัญศีล สมาธิ ปัญญา อาศัยขันติมาก่อน คือในการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญานั้นก็ต้องใช้ขันติ ต้องประกอบด้วยขันติ

    และเมื่อได้ศีลสมาธิปัญญาขึ้นก็ทำให้ได้ขันติที่สูงขึ้น คืออนุโลมิกขันติดังกล่าว คือเมื่อได้ปัญญาเห็นขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เมื่อได้ปัญญาดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้อนุโลมิกะขันติ ซึ่งนำไปสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ คืออริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลายได้

    เพราะฉะนั้นนิยามแห่งความเป็นชอบคืออริยมรรค จึงกล่าวได้ว่าเป็นมรรคนั้นเอง และเมื่อได้มรรคก็ย่อมได้ผล คือกระทำให้แจ้งผลทั้งหลาย คืออริยผลทั้งหลาย ได้อริยมรรค ก็ได้อริยผล อนุโลมิกขันตินั้น จึงเป็นขันติที่อนุโลมต่ออริยมรรคอริยผล สอดคล้องต่ออริยมรรคอริยผล เป็นขันติที่ได้มาจากปัญญาที่เห็นขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา

    และในการที่จะปฏิบัติในปัญญาในสมาธิในศีลก็ต้องอาศัยขันติคือความอดทนมาโดยลำดับ แผดเผากิเลสมาโดยลำดับ ถ้าไม่อาศัยขันติก็ไม่อาจที่จะปฏิบัติให้สำเร็จได้ เป็นขันติในขั้นปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น ครั้นได้ศีลได้สมาธิได้ปัญญา เห็นขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา จึงได้ขันติที่เป็นอนุโลมต่อมรรคผล อันเรียกว่าอนุโลมิกขันตินี้ มีลักษณะเป็นความทนทาน ไม่หวั่นไหว อันจะเปรียบได้อย่างภูเขาหินล้วน ไม่หวั่นไหวด้วยลมอันพัดมาแต่ทิศทั้งปวง ต่างจากต้นไม้เป็นต้นทั้งใหญ่ทั้งเล็ก เมื่อถูกลมพัดแม้จะไม่หักก็ไหว และแม้ว่าจะไม่โค่นล้มทั้งต้น กิ่งใบก็อาจที่จะหักหล่น ถ้าหากว่าถูกลมแรงมากก็จะต้องล้มทั้งต้น แต่ภูเขาหินล้วนนั้นย่อมทนได้ต่อลมอันพัดมาแต่ทิศทั้งปวง

    อนุโลมมิกะขันติก็เช่นเดียวกันเมื่อปฏิบัติให้เห็นไตรลักษณ์ในขันธ์ ๕ ได้ จิตก็จะแข็งแกร่งทนทาน ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์และกิเลสทั้งหลาย

    เพราะฉะนั้นจึงนำสู่อริยมรรคสู่อริยผล จึงเรียกว่าอนุโลมิกขันติ ขันติที่อนุโลม คืออนุโลมต่ออริยมรรคที่เรียกว่านิยามแห่งความเป็นชอบ และอริยผลทั้งหลาย ดั่งนี้

    ตามที่แสดงมานี้แสดงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้ เป็นขันติที่มีลักษณะพิเศษกว่าขันติทั่วไป แต่ว่าในการปฏิบัตินั้นก็จะต้องปฏิบัติตั้งแต่ขันติคือความอดทน มีน้ำอดน้ำทน มีความอดกลั้นทนทาน ต่ออารมณ์และกิเลสทั้งหลาย ซึ่งอาจจะทนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ว่าเมื่อฝึกอยู่บ่อยๆ แล้ว ก็จะทำให้ความอดทนนี้มีพลังยิ่งขึ้น สามารถอดทนต่ออารมณ์และกิเลสได้มากขึ้น

    พร้อมทั้งเมื่อมีโสรัจจะคือความที่ทำใจให้สบายโดยระบายอารมณ์และกิเลส ที่อัดอยู่ในใจออกไป ไม่ปล่อยให้อัดเอาไว้ ระบายใจออกไปให้สบาย อาศัยสติอาศัยปัญญา และอาศัยธรรมะอื่นๆ เช่นเมตตากรุณาเป็นต้น เข้ามาช่วย และเมื่อระบายออกไปได้ใจก็สบาย เมื่อใจสบาย กายวาจาก็เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม เพราะฉะนั้นจึงตรัสแสดงว่าธรรมะคู่นี้ ขันติคือความอดทน โสรัจจะที่ท่านแปลว่าความเสงี่ยม เป็นธรรมะที่ทำให้งาม ดั่งนี้

    ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากเราไม่กล่าววาจาคือรักษาวาจาให้สะอาดหรือไม่อย่างไร
    กิเลสมีสามระดับกราบขอบพระคุณขอรับ
    หากกระดาษไม่ว่าสีใด
    สมมุติว่ามีสัมมาคือสีขาว

    หากเราไม่ต่อแต้มแต่งเติม
    จุดลงไปบนกระดาษนั้น
    ไม่ทำลาย คือเขียนลายใดลงไป
    ลายไทยลายมังกรลายยุโรป

    กระดาษไม่เศร้าหมอง
    ไม่หมองมัว

    แต่เมื่อมีการสื่อ
    เราสื่อสมมุติ

    หากเราไม่ทำอากาศเสีย
    หากเราไม่ทำอา...อารมณ์ดี
    และสิ่งที่เราทำคือว่างๆ
    เป็นอาอีก อาไหนก็อย่าว่าผมลามก
    ตลก หรือมองไปในทางที่ไม่ดีก็แล้วกัน
    ลองอา...ดู
    ตรงนั้นว่างแล้วขอรับ
    กายว่างจิตเริ่มหัดว่างแล้ว
    วิญญานก็ไม่ไปสื่ออะไร
    แม้สื่ออะไรได้เขาก็ไม่เอามาเป็นเวทนา อารมณ์
    และสิ่งที่สำคัญสุดๆคือ เจตนา
    หรือไม่อย่างไรขอรับ

    จิตเมื่อรู้ทันเห็นทันเราดับมันง่ายๆ
    กราบขอบพระคุณครับ

    พอเขาดับหมดแล้ว
    ก็จะเจออีกเรื่องหนึ่งอย่างหนึ่ง
    ขอท่านเจริญให้มาก
    อย่ากลัวอาการทางกายที่จะเกิดขึ้น
    ตรงนั้นคืออย่างหนึ่งของปิติ
    หากเราเดินบนสายธรรมที่ละ

    ไม่มีผลเป็นโทษขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  4. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ขันธ์
    ขันติ
    บัน
    ปัญ

    อดทนเรื่องกาย
    เรื่องเวทนาที่ได้รับ
    เรื่องจิตเจตนาที่รับมา
    ธรรมะนี้ต้องติ
    ติไหน

    พุทธองค์ท่านไม่แม้แต่กระแอมไอ
    เพื่อเอาฤทธิ์ที่มีอยู่มาปราบมาร
    ท่านยอมฉันอาหารของจุนนะ

    กราบขอบพระคุณขอรับ
    หากเราไม่มีอะไรก็คงไม่มีอะไรมาทับซ้อนหรือวางทับเราได้
    อิสระ........
    หรือไม่อย่างไรขอรับ

    ขอท่านเจริญในธัมยิ่งแล้วขอรับ
     
  5. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2013
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กิเลสหากเราไม่สร้างเขาไม่มีให้เราเล่นอะไรเลยขอรับ
    เราเองทั้งนั้น
    ตัณหาอุปทานภพชาติชรามรณา
    หรือไม่อย่างไร

    เขาอยู่ของเขาเราไปจุติเขาขึ้นมาเองหรือไม่อย่างไร
    แล้วเอาอาหารไปเลี้ยงให้เขาโตวันโตคืน
    เป็นงูพันคออยู่

    ขอท่านเจริญในธัมยิ่งแล้วขอรับ
     
  7. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ที่ผมพูดถึงไม่เชิงว่าจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เพราะว่าเดิมทีเราไม่ต้องสนใจก่อนเพราะเมื่อมีแล้วมันจะฟุ้งซ่าน สิ่งที่รู้แล้วก็ปล่อยเสียเพราะสิ่งที่รู้มันเป็นเพียงสัญญารู้เท่านั้น สิ่งที่ผมให้ลองพิจารณาคือ จิต พิจารณาว่า ทุกๆคำกล่าวข้างต้นมันเกิดขึ้นและมีอยู่ในจิตใช่หรือไม่ มีการเกิดขึ้นและดับลงไม่แน่นอนรู้บ้างไม่รู้บ้างใช่หรือไม่ และสิ่งที่จะบอกเราได้ว่าจิตคืออะไรนั้นก็มีเพียงแต่เราเท่านั้น จะกล่าวว่าจิตคือ ความคิดก็ได้ถ้าเราเอาความคิดเป็นใหญ่เป็นประธานหรือจะเอาขันธ์ ๕ เป็นจิตก็ได้ถ้าเราเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่สุดท้ายเมื่อเห็นความไม่เที่ยงในสิ่งที่เราให้เป็นใหญ่เป็นประธานทุกๆการกระทำก็ต้องเป็นโมฆะไปเพราะมันเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งสิ้น...ยังไงต่อก็แล้วแต่ว่า จะพิจารณาอย่างไรต่อไปแล้วกันครับ ยินดีที่ได้สนทนาธรรมด้วยคั๊บ
    อนุโมทนาคั๊บ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =======

    การไม่กล่าววาจา จัดว่าเป็นการรักษาวาจาสัจประการหนึ่งด้วยเหตุว่า
    1 การไม่กล่าววาจาออกไปด้วยด้วยมีสติปัญญาพิจารณาแล้วจึงไม่สมควรกล่าววาจาออกไป เพราะเห็นในโทษ หรือหาประโยชน์มิได้ ประการหนึ่ง
    2 การไม่กล่าววาจาออกไปด้วยเหตุ แห่งการ มีขันติ ตบะอดทน จึงไม่กล่าวออกไป ประการหนึ่ง
    3การไม่กล่าววาจาออกไป ก็ด้วยจิตมีสติปัญญารู้แจ้งแทงตลอดแล้วจึงสงบนิ่งเสีย เพราะอาศัยจิตมีความสะอาดแล้วชำระแล้ว เพราะปราถนาธรรมที่เจริญเฉพาะตนเพียงเท่านั้น ประการหนึ่ง

    เช่นนี้เรากล่าวว่าเป็นผู้รักษาสัจจะวาจาได้ ครับ

    ส่วนที่เหลือที่ท่านกล่าวมา เป็นธรรมข้นสูงว่าด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นแจ้ง ในธรรม ข้อที่ว่าด้วยการไม่ยึดมั่นถือมัน การไม่เข้าไปผัสสะ การไม่ยินดีและยินร้าย การไม่สร้างสมมุติและยึดติดในสมมุติ การอาศัยอยู่ด้วยความไม่ยึดติดในสุขและทุกข์ การละปล่อยวาง ความว่าง คือผลแห่งสิ่งที่ท่านและเรากล่าวมา คือที่สุดแห่งธรรม และปัญญา
     
  9. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กุศลบาย
    อกุศลบาย
    ขนาดคนที่อยูข้างผมรู้ผม
    เขากล่าวว่ากระผมชอบไปหาเรื่อง

    การไม่กล่าววาจาคือวาจาที่สะอาดที่สุด
    การกล่าววาจา
    ควรกล่าวคำที่สุภาพ
    อย่าเอาอสุภมากล่าวเพราะของที่ตายแล้วเน่าไม่สุภาพ
    เอาง่ายๆคือปากเหม็น

    น้ำหอมเหม็นตรงไหน
    สมมุติเอาว่าหอม

    ผมเห็นเพื่อนคนหนึ่งติดเหล้า
    ไม่มีเหล้ากิน

    สุราคือมักง่ายหรือทำให้ง่าย
    หรือไม่อย่างไร
    น้ำหอมแทนได้ เออ.....

    ถามว่าหากเรารู้เจตนาแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่
    แล้วเราต้องเป็นผู้กล่าวว่า

    ท่านผู้เจริญหรือไม่อย่างไร

    คิดให้ดีว่า
    เจริญวัย
    เจริญในความชั่ว
    เจริญในความดี
    หรือตรงนี้เป็นกลาง

    ถามจริง
    หากท่านรู้ว่าอะไรมันจะก่อความหายนะ
    หรือจะเกิดหายานะ
    ท่านไม่กล่าววาจา
    และปล่อยให้สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
    สิ่งใดจะเกิดย่อมเกิด
    หรือ

    หากท่านไปตายคนเดียว
    สัพสัตว์ต่างๆรอด
    ท่านจะกล่าววาจานั้นไหมขอรับ

    ความจริงบางครั้งหรือแทบทุกครั้ง
    ไม่มีใครอยากฟัง
    ชอบความลิง

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เราเจริญสติ จึงไม่พลั้งเผลอ
    เราเจริญสมาธิ จึงตั้งมั่นในความสงบ
    เราเจริญวิปัสสนา จึงพอมีปัญญาจำแนกในธรรม
    เราเจริญจิต จึงสามารถรู้วาระของจิตตน ส่วนจิตผู้อื่นก็พอรู้แต่ไม่ใช่แก่นสาร
    เราเจริญพรหมวิหาร เพื่อประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นตามเห็นสมควร

    ขอเจริญในธรรมเช่นกันครับสาธุ
     
  11. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ท่านกล่าวเรื่องสัญญาขอรับ
    สุดท้ายคือ
    อำนาจแม่เหล็ก
    ที่ฝาละดี(ฟาราเดย์)เขาไปเจอ
    แล้วเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า

    เอามาทำไม่ขั้วบวกขั้วลบ
    ตีกันตาย
    แบ่งสี
    แบ่งเลือด
    แบ่งดิน
    แบ่งฟ้า

    แบ่งขั้วบวกขั้วรบ

    ดีนะขอรับไใม่แบ่งสามีและภรรยา
    ตอนนี้แบ่งแล้วกุ๊กกับกิ๊ก
    หน้าชื่นตาบานกัน
    เธอเป็น........กะ
    ฉันเป็น.......กะ
    อร่อย.........

    ราหุล
    คงเป็นราหุ...........โลบ
    หรือลาไฮโล.......แน่นอนเขย่าทีไรออก
    หกสามเอี่ยว
    ไม่รู้เมือ่ไรจะหกห้าสี่เสี่ยที

    เมื่อพิจารณาขันธ์ก็อย่าลืมท่านนิวรณ์เสีย
    ดุลย์

    สุดท้าย
    สมดุลย์

    ขอท่านเจริญในทำยิ่งแล้วขอรับ
     
  12. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ตถาคต คือ สัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เหมือนเรา ตถาคต (พระพุทธองค์ทรงตรัส)
     
  13. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    555 อืือ ขอถามเล่นๆอย่างผู้สงสัยนะคั๊บ แล้วสัญญากับกฏของฟาราเดย์มันเกี่ยวกันยังไงละครับ เขาอธิบายกฏของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าว่าเป็นอย่างไรแล้วมันเกี่ยวกันได้ยังไงกับสัญญาละคั๊บ ถ้าถามผมว่าเขาไปเจอมันก็จริงแต่เขาต้องมีความเชื่อและสงสัยอยู่บ้างในตัวพอควรว่า เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าไฟฟ้าเกิดได้อย่างไร เรื่องโลกๆ แต่คนที่สนใจก็ได้จริงๆนะผมว่า ส่วนคนที่งูๆปลาๆเป็นวิศวกรรมกรนี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้อะไร...เอาแน่ไม่ได้ หมายความว่าเอาที่ดีๆไม่ได้ แต่เอาได้แน่ๆคือ ไม่ได้เรื่อง ว่าจริงไหมคั๊บ สังเกตดูนะว่าคนที่ชอบทำอะไรมะรุมมะตุ้ม เอาเรื่องนี้มาชนเรื่องนี้ทีแล้วเอาเรื่องนี้มาแปะเรื่องนี้ทีส่วนใหญ่มักทำอะไรไม่สำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องงาน สุดท้ายทำไม่เสร็จสักเรื่อง อันนี้อยากรบกวนช่วยหาวิธีชี้แนะและแก้ไขบ้าง เผื่อบางทีผมจะได้ทำอะไรให้มันเสร็จสิ้นกับเขาได้บ้างคั๊บ 555
    ท่านนี่ท่าทางคุยสนุกดีนะคั๊บ
     
  14. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ทางพ้นทุกข์นิพพาน

    กิเลสที่ต้องละเพื่อนิพพาน(ใช้คำว่าต้อง ต้องพยายามเอาให้ได้...)
    1.เลิกกินเหล้า กินเหล้าป่วย
    2.เสพกามให้ปกติ ไม่กระตุ้น เป็นธรรมชาติ ควบด้วยกาคตายะสติ อสุภกรรมฐาน(2 อย่า่งนี้ต่างอย่างไรวานบอก...)
    3.กามดับเกือบหมดที่อนาคามี ดับสนิทไม่เหลือเชื้อที่อรหันต์
    4.อย่าเบียดเบียนใคร
    5.สติ
    6.ทาน ศีล ภาวนา
    7.ศีล สมาธิ ปัญญา(...จิต...)
    8.ปฏิสัมภิทา4
    9.จิตปกติ.
     
  15. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ตั้งชื่อให้เป็นมงคลด้วย ชื่อจริง ชื่อเล่น นามสกุล บอกตามปกติ ชื่ออื่น มงคลดี ไว้ใจใครไม่ไว้ใจใคร จำได้.........
     
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ที่ผมพูดถึงไม่เชิงว่าจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เพราะว่าเดิมทีเราไม่ต้องสนใจก่อนเพราะเมื่อมีแล้วมันจะฟุ้งซ่าน สิ่งที่รู้แล้วก็ปล่อยเสียเพราะสิ่งที่รู้มันเป็นเพียงสัญญารู้เท่านั้น สิ่งที่ผมให้ลองพิจารณาคือ จิต พิจารณาว่า ทุกๆคำกล่าวข้างต้นมันเกิดขึ้นและมีอยู่ในจิตใช่หรือไม่ มีการเกิดขึ้นและดับลงไม่แน่นอนรู้บ้างไม่รู้บ้างใช่หรือไม่ และสิ่งที่จะบอกเราได้ว่าจิตคืออะไรนั้นก็มีเพียงแต่เราเท่านั้น จะกล่าวว่าจิตคือ ความคิดก็ได้ถ้าเราเอาความคิดเป็นใหญ่เป็นประธานหรือจะเอาขันธ์ ๕ เป็นจิตก็ได้ถ้าเราเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่สุดท้ายเมื่อเห็นความไม่เที่ยงในสิ่งที่เราให้เป็นใหญ่เป็นประธานทุกๆการกระทำก็ต้องเป็นโมฆะไปเพราะมันเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งสิ้น...ยังไงต่อก็แล้วแต่ว่า จะพิจารณาอย่างไรต่อไปแล้วกันครับ ยินดีที่ได้สนทนาธรรมด้วยคั๊บ
    อนุโมทนาคั๊บ[/QUOTE]

    มีกามเป็นประธาน
    จริงๆขอรับ
    ตามพุทธองค์ท่านกล่าว

    แต่เราไปเน้นเรื่องกามราคะกันมากไป

    เอาเป็นว่าตอนนี้เราเสวนาธัมกันสองคนเป็น....กาม......ไหม
    ปฎิสนธิกันอย่างไร
    เรื่องที่เราเสวนากันเป็นเหตุไหม
    ส่งไปสู่ปัจจัยดัย
    อารมณ์ดัย
    แล้วส่งผลไปถึงไหนๆ
    อย่างนี้เรียกว่าเรากำลังสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร

    เพื่อเกิดแก่ความดีงาม

    แม้ว่ากระผมจะมาไม่หล่อไม่งามเหมือนคนอื่นเขา
    เหมือนลากอสุภมาให้พิจารณา
    แต่มาแล้วอร่อยหรือไม่อย่างไรขอรับ

    ขอท่านเจริญในธัมยิ่งแล้วขอรับ
     
  17. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ลองสบตากับคนสวยๆ มากๆดูไหมขอรับ
    เหมือนไฟดูด
    นะจัง.......งง
    รามสูรย์ฟาดเปรี้ยง....

    เขาไปต่อไหนๆ แล้วเรายังยืนเซอร์อยู่เลย
    เซอร์ไอแอ้ก ๆ.....เออ

    พุทธองค์ท่านไม่กล่าวว่าสัญญานกระแสสลับกับกระแสตรงก็น้อยไปหน่อย
    ท่านเล่าเรื่องเมฆขลากับรามสูรย์

    พุทธท่านกล่าวถึงสัญญานทางจิตที่เขาเอามาสื่อกัน
    หรือไม่อย่างไร อย่าไปสบตาแล้วไปสัญญาอะไรกับเขาไว้
    ว่าจะให้เลข
    เดี๋ยวเขามาทวงนะขอรับ

    ความจริงจับแพะชนแกะนี่ลูกเป็นวานร
    หรือไม่อย่างไร
    ตรงนี้ไม่ชัด

    แต่หากท่องมนต์
    สวดมนต์
    วนไปวนมา
    หากเข้าใจจริงจริง

    นโม มโน เดี๋ยวรู้ว่าคืออะไร
    หรือไม่อย่างไร

    งัดซุงต้องดีสิบ (รถไถ) แล้วครับตอนนี้
    ีอีกหน่อยไม่จิ้มฟันงัดได้เพราะซุงไม่มี
    ช้างไม่มี

    ลองดึงเมฆดูสิเดี๋ยวรามสูรย์มาขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  18. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เอาข้อที่หนึ่ง
    ไม่สุรา
    คือทำพิธีสุหร่าย
    เออ...ทะแม่งๆ

    การมักง่ายหรือการทำให้ง่ายนี้คงต่างกัน

    สุรานี้เสพย์แล้วเมาง่าย
    อย่ามักง่ายหรือไม่อย่างไร
    กับคำว่าสุรา
    พระท่านอยากจบเอวังไวๆหรือไม่อย่างไรถึงแปรว่าเหล้าอย่างเดียว

    นั่นมาอีกแล้ว
    กามคือราคะอย่างเดียว
    กามราคะ
    โทสะนี้ไม่เป็นกาม
    โมหะนี้ไม่มีเหตุ

    เอาละขอรับช่อยกันแปรได้ไหมว่าคืออะไรกันแน่

    กายวาจาใจ
    ว่าจะเวทนาความรู้สึก
    ผัสสะวิญญานอารมณ์
    อารมณ์เจตนาทำ
    ลองทำแล้วธัมไหม
    ธัมไหนกุศลา
    หรืออัพยาบาท
    หรือพยาบาท
    หรืออกุศลา

    หกจิตดับ
    เจ็ดอนาคาแปดอรหันต์
    แต่อนาคานี้เหมือนนาครอบสอง
    มารนี้มีระดับหน่อยไม่ทำมะดา

    ไม่เหมือนบวชนาค
    มารเล็กๆมาผจญ
    หรือไม่อย่างไร
    เก้าอย่าพึ่งคุยกันเลยขอรับ
    สูญสิ้นยิ่งเลิกเลย

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  19. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ชื่อนีจำง่าย
    แฮกคอมก็ง่ายเพราะรหัสง่ายดี
    เจอเข้ารูเบ้อเร่อยังไม่เข็ดใหรู้ไป
    เดี๋ยวจะหาหลุมที่ใหญ่กว่านี้
    ....ฮา

    ขอท่านเจริญในธัมยิ่งแล้วขอรับ
     
  20. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    มรรคข้อที่ 3 สัมมาวาจา การพูดจาที่ถูกต้องบ่งบอกความเป็นอริยะได้.
     

แชร์หน้านี้

Loading...