ปาฏิหาริย์ที่เคยสัมผัสมา

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย โซ, 16 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ครับ...ตามนั้นน่ะครับ อยากถามหรืออยากรู้ว่าท่านที่อยู่ในเว็บนี้หรือสมาชิกท่านใดเคยสัมผัสหรือได้เรียนรู้เกี่ยวกับปาฏิหารย์ที่เกิดกับตัวเองบ้างครับ นำมาแชร์ประสบการณ์หรือบอกกล่าวให้รู้ทราบบ้างน่ะครับ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของท่านทั้งหลายพอเป็นธรรมทานแบบผ่อนคลายสบายๆบ้างน่ะครับ และสิ่งนั้นยังคงอยู่ หรือ เสื่อมคลายไปแล้ว ของผมเคยเกิดขึ้นเมื่อตอนเป็นเด็กอยู่สามสี่ครั้งตอนนี้ไม่มีแล้วเพราะภาระและหน้าที่ต้องกระทำในทางโลกยังมีอยู่เลยไม่มีเวลาปฏิบัติเดี่ยวรอท่านอื่นเล่ามาก่อนเดี๋ยวผมค่อยเล่าทีหลังครับ

    และนี่คือสิ่งที่เป็นปาฏิหารย์และมหัศจรรย์อย่างยิ่งยวดสูงสุดสำหรับผมที่ได้ยินได้ฟังมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราครับ
    เป็นผู้ที่รู้แล้วซึ่งความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลในอนันตจักรวาล

    http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=KGlopLzk7fc
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2013
  2. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ใจสบายๆ รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เมื่อก่อนทุกๆเรื่องที่ผ่านมาเป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องธรรมดา นี่แหล่ะปาฏิหารย์ ของmarkdee
     
  3. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  4. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ประสบการณ์ของผมในวัยเด็กก็แล้วกันตามสัญญาเมื่อมีคนมาต่อกระทู้ เมื่อตอนเป็นเด็ก ย่า และแม่ของผม ไห้หัดนั่งสมาธิ จะด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรก็แล้วแต่พิจรณาครับ
    ครั้งที่1.ผมไปดูทีวีที่บ้านลุง สมัยก่อนที่หมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้(30กว่าปีแล้ว)
    ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ ทีวีขาวดำ ดูละครจบ ฝนตกแบบไม่ลืมหูตา
    มืดฟ้ามัวดินมาก น้ำท่วมเกือบถึงเข่า กลับบ้านไม่ได้เลยนึกสนุกมานั่ง
    นอกชาน นั่งสมาธิภาวนาไห้ฝนหยุด ฝนเลยหยุดโดยไม่มีตกสักเม็ด
    เลย
    ครั้งที่2.นั่งอยู่ในมุ้ง (สมัยนั้นใช้ตะเกียง)นั่งสมาธิอยู่ๆในมุ้ง มุ้งจะสบัดพริ้ว
    เหมือนคลื่นน้ำรอบทั้งสี่ด้าน แปลกใจมากและตกใจเลยถามแม่ว่า มุ้ง
    มันเหมือนโดนลมแรงๆพัดใส่ แต่ก็สงสัยว่าทำไมตะเกียงที่แม่จุดอยู่
    ข้างมุ้งจึงไม่โดนลมหรือดับเลย แม่ก็หาว่าเราน่ะละเมอ ทั้งที่เรานั่ง
    สมาธิอยู่
    ครั้งที่3.เป็นครั้งที่ผมเลิกนั่งสมาธิไปเลยในวัยเด็กซึ่งกลัวมากและไม่ได้ถาม
    ใครเลย คือ นั้งสมาธิสักพักตัวหรืออีกกายนึงออกจากร่าง พุ่งไปอย่าง
    รวดเร็วมาก(เหมือนกับแยกย่างได้)พุ่งไปบนฟ้าอย่างเร็วมองลงมาเห็น
    อีกร่างนึงตั้งอยู่ที่พื้นดิน(โลก)ซึ่งเล็กมากเพราะขึ้นหรือทะยานไปอย่า
    งรวดเร็ว จึงรู้สึกตกใจและเลิกนั่งสมาธิในวัยเด็กไปเลย
    นี่คือสาเหตุที่ผมตั้งกระทู้ครับเพราะผมยังคิดมาตลอดและเสมอว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่ในตัวผม แต่ติดตรงที่ผมยังไม่มีโอกาสได้กระทำในสิ่งที่ผมหวัง ได้หวังมาในวัยเด็กแล้วคือ อยากบวชตลอดชีวิต ตอนนี้ต้องกระทำตามฝันอยู่หรือสร้างฐานไว้ไห้ครอบครัว คนข้างหลังได้มีใช้ในบั้นปลายของเค้า นั่นคือ พ่อและแม่ ถ้าผมบวชเมื่อไหร่ผมต้องตัดแล้วซึ่งทุกสิ่ง
    อนุโมทนาด้วยน่ะครับที่มาแชร์ความรู้และประสบการณ์ ที่ผมตั้งกระทู้นี่ก็แค่อยากรู้น่ะครับว่าใครมีประสบการณ์แปลกๆหรือปาฏิหารย์รัยที่เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง ไม่ใช่จะเอามาอวดอ้างหรืออุตริ เพราะผมรู้ว่าบุคคลที่เข้าถึงสัจจะธรรมหรือเข้าถึงธรรมแล้วเขาจะไม่มาอวดอ้างกัน ทุกวันนี้ผมมองโลกอย่างเป็นกลางว่าธรรมดาของธรรมชาติมนุษย์ยังติดในเรื่องของวัตถุและเทคโนโลยี(เป็นยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทที่สำคัญมาก)ความรู้นั้นหาได้ทุกที่จากทุกมุมโลก จากโลกออนไลน์แต่ประสบการณ์และการกระทำที่เป็นของจริงยังหาได้ยาก กระทู้ที่ผมตั้งนี้ในมุมมองของผมสิ่งนี้มันจะเป็นกุศลบายที่จะนำบุคคลชนชาติไห้มาใคร่รู้ใฝ่กระทำกันมากขึ้น ในมุมมองของผมยังเชื่อว่าสิ่งนี้ไม่ผิด(คนอื่นไม่รู้ว่าจะมีความคิดเหมือนผมหรือเปล่า)เพราะผมยังถือว่าตัวเองยังเป็นปถุชนคนธรรมดาอยู่ ผมมองว่าอิทธิฤทธิ์ปราฏิหารย์มีส่วนช่วยในการให้ผู้คนเข้าถึงมีอยู่ได้ในธรรมไำม่ส่วนนึงก็ส่วนมาก เพราะเรื่องราวต่างๆในครั้งพุทธกาลคนที่เข้ามานับถือในพุทธศาสนา ตถาคตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นในองค์จอมไตรภพหรือเหล่าอัครสาวก จึงได้เกิดความศรัทธาในบวรพุทธศาสนาขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้คนที่มีความศรัทธาน้อย หรือไม่มีจิตโน้มน้าวเข้ามาเลยในพุทธศาสนา เพราะติดภาระกิจกระทำตนเพื่อความอยู่รอดในสังคมจึงไม่มีเวลาหรือช่องว่างเข้ามาศึกษาปฎิบัติกิจในพุทธศาสนาเลย ทั้งๆที่ในบัตรบ่งบอกว่า นับถือพุทธศาสนา หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจความหมายที่ผมกล่าวมาน่ะครับ เพราะในทางทษฎีผมมองว่าใครก็รู้หรือศึกษาได้ในโลกของออนไลน์ ปัจจุบันนี้มีคนใฝ่หาความรู้กันได้ง่ายและเร็วกว่าเมื่อก่อน เมื่อพูดในเรื่องทษฎีก็จะมีคนมาแชร์กันได้อย่างถูกต้องตามหลักพื้นฐาน แต่มีส่วนน้อยที่เอามาจากการกระทำหรือปฏิบัติของตนเอง สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่ามีอยู่อย่างหนึ่งคือ การที่เราจะเป็นครูหรือผู้นำได้นั้น ต้องเข้าถึงและเรียนรู้ ปฎิบัติ กระทำ ประสบการณ์ เราถึงจะบอกกล่้าว หรือสั่งสอน บุคคลได้โดยไม่ลังเล เพราะเราได้ผ่านสิ่งนั้นมาแล้ว เพราะคนต่างมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในบางเรื่องการมุ่งหวังมีจุดมุ่งหมายเดียวกันแต่การกระทำ ความคิด แตกต่างกันจนเป็นประเด็นความขัดแย้งมีมาแล้วมากมาย
    พื้นฐานการกระทำไปจนถึงขั้นสูง บอกไว้ว่า เจริญสติ เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เห็นเป็นไปตามธรรมชาติความเป็นจริง ตัดหรือดับซึ่งของขันธ์ ผมรู้ว่าสิ่งนี้ที่เราจะต้องปฏิบัติ แต่เราจะนำสิ่งนี้ไปบอกกล่าวหรือสั่งสอนบุคคลที่อยู่ในตมได้อย่างไรโดยที่เขาจะต้องมาเรียนรู้ว่า ต้องกระทำสิ่งนี้แล้วจะได้แบบนั้น คงเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลานานมาก กว่าที่บุคคลเหล่านี้จะโผล่ขึ้นมาได้เหนือน้ำเราคงเหนื่อยและบางทีเสียเวลาไปเลยก็เป็นได้ ผมถึงกล่าวถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารขึ้นมา ผมมองว่ายุคสมัยแห่งวิทยาศาสตร์เทคโลโลยีนี้สิ่งนี้มีส่วนช่วยได้มากในเรื่องของความศรัทธา ถึงบุคคลอื่นจะมองว่ามันไม่ใช่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสนับสนุนในสิ่งนี้ แต่ที่ท่านนั้นสอนพวกเรามา ใครที่จะนำใบไม้ในกำมือนี้ไปเผยแพร่หรือสั่งสอนนั้นเป็นสิ่งที่ดีและประเสริฐยิ่งแล้ว
    เพราะนั่นคือหน้าที่ของพวกท่านทั้งหลายในภพชาติอันไกล้นี้ แต่สิ่งที่ผมคิดคือการได้สอนหว่านเมล็ดพืชนั้นไห้เห็นโดยในป่าใหญ่ สั่งสมประสบการณ์อันกว้างใหญ่นี้ และได้กระทำการปลูกต้นกล้าไปในตัว เพราะผลที่หวังนี้ถ้าบุญบารมีมีพอจะได้เห็นรู้ผลในอนันตกาลอันไกลโพ้นนั้น แม้สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่หวังได้ยากอย่างน้อยเราก็ได้หว่านเมล็ดพันธ์นั้นไว้แล้ว เมื่อยามที่เราหมดหวัง แม้ไม่ได้หวังต่อเมล็ดพืชนั้น สักวันสิ่งนั้นจะนำมาซึ่งความสุขของเราก็เป็นได้
    ผมยังมองอยู่เสมอว่า หินยาน และ มหายาน ยังคงอยู่ และยังมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง แต่เมื่อใดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าถึงความพร้อมเป็นเอกอนัน ซึ่งมีอยู่เพียงอย่างเดียว ถึงแม้ว่าจะเห็นผิดไปโดยสัมมาทิฏฐิบ้าง ต้องได้เรียนรู้ด้วยตัวเองสั่งสมบารมีค่อยๆเติมเต็ม ได้ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาแล้ว สิ่งนั้นก็จะสำเร็จเองโดยธรรม
     
  5. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ในบางครั้งสิ่งนี้แหละครับ ที่จะเป็นตัวกระตุ้นหรือชี้บ่งบอกเราว่า เราจะทำอะไรได้ไห้กับสังคมโดยธรรม เรามีสิ่งนี้เพราะอะไร เพื่ออะไร และเราต้องเป็นไปเพื่ออะไร หวังอะไร เพราะสิ่งนี้บางครั้งหรือทุกครั้งมันมาด้วย อานิสงส์บุญบารมีของเราได้กระทำมาแล้วในอดีต แม้ในบางครั้งเราหลงผิดไปบ้าง สักวันนึงด้วยบุญบารมีที่กระทำมาพร้อมถึงแล้วในอธิฐานจิตที่เราได้กระทำมา จะนำพาเราไปในสิ่งที่ยิ่งยวด รู้แจ้งเห็นจริงตามจริง ในสิ่งที่เกิดหรือเป็นขึ้นได้ตามกำลังบุญและบารมีของเราครับ การที่จะเป็นผู้นำ เราต้องเป็นผู้ตามที่ฉลาดและเรียนรู้หาคำตอบประสบการณ์โดยจริงตามความคิดตนบ้างครับ เพราะตำราและครูบาอาจารย์นั้นเราก็มีอยู่แล้ว
     
  6. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    "อยากบวชตลอดชีวิต ตอนนี้ต้องกระทำตามฝันอยู่หรือสร้างฐานไว้ไห้ครอบครัว คนข้างหลังได้มีใช้ในบั้นปลายของเค้า นั่นคือ พ่อและแม่ ถ้าผมบวชเมื่อไหร่ผมต้องตัดแล้วซึ่งทุกสิ่ง"

    ขอให้ท่านสมดังปรารถนาในเร็ววัน ผมเองก็ปรารถนาเหมือนท่าน สาธุครับ
     
  7. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    อนุโมทนาสาธุเช่นกันครับ อย่าถือว่าผมสอนน่ะครับ ถือซะว่าแชร์ความรู้สึกให้กันน่ะครับ การที่เราจะไปจุดนั้นได้ ณ.ตอนนี้พยายามฝึกตนเองในทางโลกไปก่อนไม่ว่าจะเรื่อง ความอดทน มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งจิตอย่างมั่นคง ละซึ่งกิเลสทุกตัวที่เราจะนึกและคิดได้ ตอนนี้ผมก็จะฝึกเจริญสติ ตั้งมั่น ทำสมาธิ ถึงไม่บ่อยเพราะไม่ค่อยมีเวลา เอาเท่าที่เราจะมีสติระลึกได้ ต้องฝึกหลายอย่าง เช่น ได้ยินเสียง รับรู้รส กลิ่น เรื่องกาม (เรื่องกามนี้สำคัญ)ผมคิดว่ากามนี้ผมละมันได้ประมาณ 70-80%แล้ว มองเห็นรูปว่าไม่สวยไม่งามได้ว่ามันเป็นแค่ส่วนประกอบพยายามมองลึกไปถึงข้างใน เจริญสติละไปวันละนิดคือฝึกเตรียมพร้อมไว้ทุกวันอย่างนี้ ในอุดมคติของผมคือ ถ้าเราอดทนต่อสังคมในทางโลกไม่ได้แล้ว เมื่อเราไปอยู่ในทางธรรม เราก็จะเป็นคนที่ท้อแท้ ยอมแพ้ ต่ออุปสรรคที่มีที่เกิดขึ้น สมัยนี้ใช่ว่าอยู่ในวัดจะสงบเสมอไปเพราะพระยังมีกิจที่ต้องกระทำ ย่อมมีเรื่องแน่นอนที่มีความชอบ ไม่ชอบ เกิดขึ้นในหมู่คณะได้แน่นอน ผมคิดว่าให้เวลาตัวเองอีก 3-5 ปี ไม่รู้จานานไปหรือเปล่าหรือประมาทไปหรือเปล่า อีกอย่างผมไม่ได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดีต่อผู้มีพระคุณสูงสุดเลย ยังดำรงค์เลี้ยงชีพไห้ตัวเองแต่ฝ่ายเดียวอยู่เลย ถ้าบุญและบารมีเราทำมาแล้วในอดีต สิ่งที่มุ่งหวังนี้ย่อมเกิดแก่ตัวของข้าพเจ้าได้ลุล่วงไปได้เป็นแน่แท้ แน่นอน
     
  8. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    อย่าลืมทางสายกลางนะครับ ไม่เคร่งเกินไป และไม่หย่อนจนเกินไป ทำจิตใจให้เบิกบาน
     
  9. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    เอาแบบหนุกหนานมั้ยครับ เด่วผมหยิบก้อนดินมาปั้นเด่วไห้คุณชุมพลเก็บไว้เมื่อไหร่ผมเติมเต็มในสิ่งที่ผมหวังและตั้งใจไว้สิ่งที่คุณชุมพลถืออยู่อาจมีค่าขึ้นมาก็ได้เพราะมันมาจากมือผมที่มีอยู่หนึ่งเดียวในโลก 5555+
    สำหรับการที่ผมหวังไว้ว่าอยากบวชตลอดชีวิตนั้น ตั้งใจไว้แต่เด็กแล้วครับ เมื่อตอนเด็ก หรือเป็นวัยรุ่น จนถึงผู้ใหญ่ บางคนหรือทุกคนหวังเอาไว้ว่า ในที่สุดบั้นปลายของชีวิต อยากมี บ้าน รถ เงินทอง มีสามีภรรยา ลูก คือครอบครัวที่อบอุ่น นั่นคือบุคคลทั่วไปฝันเอาไว้ที่สุดในชีวิต สำหรับผมแล้ว การได้บวชในบวรพุทธศาสนานั้นมันเป็นความหวังสูงสุดของผมซึ่งผมมองว่าและคิดอยู่ในใจผมตลอดมาคือ นั่นคือภาระและหน้าที่ของผมที่จะต้องกระทำ ผมอยากจะทำในส่วนนี้เพราะธรรมนั้นที่มีอยู่มันเป็นสิ่งที่วิจตรพิสดารอย่างมาก พูดถึงธรรมแล้วคำว่าธรรมในนิยามของผมคือทุกสิ่งที่เป็นไปตามกลไกลของธรรมชาตินั้นคือธรรมหมด ไม่ว่าในโลก นอกโลก ในจักวาล อนันตจักรวาล ภพทั้งสาม นี่คือธรรมทั้งหมด อยู่ที่ว่าเราจะรู้และนำเอาสิ่งพวกนี้นำมาปฏิบัติ ไห้รู้แจ้งในสิ่งนั้นได้อย่างไร สิ่งนั้นมันได้อยู่ภายใต้จิตของตนนี่เอง เราจะทำไห้มันวิจิตรพิสดาร จะเติมแต่งหาที่สิ้นสุด หรือ ดับแห่งที่สิ้นสุด ได้นั้นมันอยู่ที่ใจเราทั้งหมด ผมเลยมองว่าสิ่งนี้แหละที่ผมอยากไปพิสูจน์และนำมาปฏิบัติบอกกล่าวแก่คนทั้งหลายว่าสิ่งนี้มันมีอยู่จริงตามธรรมชาติมานานแสนนานนับมหาอสงไขยนานแสนนานแล้ว ที่เรายึดมันมาเป็นเครื่องผูกมัดต่อภพต่อชาติกันมานานแสนนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2013
  10. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    อนุโมทนาในคำหรือสิ่งที่เป็นไปในการปฏิบัติครับ ผมมองว่านี่คือพุทธพจน์คือคำสอนที่ดีและถูกต้องแล้วครับ แต่ผมยังมองว่าสิ่งที่ยิ่งยวดในชาติหนึ่งคือสิ่งที่มันตึงไม่ย่อหย่อน มันคือสัจจะจิตอธิฐานครับ ถ้าคำนี้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านแล้วรู้สึกว่ามันผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรมก็ติเตียนได้น่ะครับ เพราะบางครั้งความคิดผมค่อนข้างจินตนาการสูงครับ เพราะก็อาศัยประสบการณ์จากพี่ๆเพื่อนๆน้องๆสมาชิกในเว็บนี่แหละครับ เป็นการแชร์ความรู้สึกนึกคิด ปัญญามุมมองของแต่ละท่าน นำมาแชร์กันผิดถูกก็สามารถติเตียนแสดงความคิดเห็นกันได้ ผมถึงได้ย้ำว่า ยังมี มหายานและหินยานครับ ฉนั้นความคิดที่แตกต่างยังคงมีอยู่ แต่เมื่อใดภูมิปัญญาบารมีเต็มแล้ว สิ่งนั้นคงเหลืออยู่สิ่งเดียวหรือแนวทางเดียวเท่านั้น
     
  11. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +433
    มีตอนนึงเดินข้ามสะพานลอยกับพ่อแม่ เห็นว่่าแดดมันร้อนเลยตั้งใจจับภาพพระไว้กลางอกแล้วแผ่ความรู้สึกเมตตาออกไป ปรากฏว่าพอก้าวขึ้นสะพาานลอยจากแดดเปรี้ยงๆอยู่ก็หายเลย จนก้าวลงจากสะพานลอยแดดถึงโผล่มาอีก ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรเหมือนกันครับ แต่เดี๋ยวนี้หันมาปลงกะขันธ์ 5 มากกว่า ประมาณว่าอะไรโผล่มาตอนรู้ตัวก็จับตัดๆ ถ้าอันไหนมันมาแรงก็กดไว้ก่อน เหอๆ
     
  12. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    อนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับผมมองว่าสิ่งนี้ดีแล้วน่ะครับอย่างน้อยเราไม่ทิ้งธรรมมีการระลึก หมั่นฝึกจิตอยู่เนืองๆสั่งสมมันไปเรื่อยๆ เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจที่ดีครับผมก็กระทำบ้างเป็นบางเวลาครับ เมื่อสติมันครับกระทบอะไรที่ทุกคนเขาชอบกันเราพยายามกระทำสิ่งเป็นตรงข้ามกะเขา โดยเฉพาะสาวๆขาวๆสูงๆอวบๆ 555+
    คนอื่นมองว่าโอ้แม่จ้าวอวบอึ๋มขาวใหญ่รัยประมานนี้ส่วนเรามองว่าโอ้ยังมี สิ่งเหม็นอับในทวารทั้ง6ยังมีสิ่งที่ขยะแขยงซ่อนอยู่ ในร่างกายไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่โดนเชือดชำแระเนื้อออกมาขาย สิ่งนี้ครับที่ผมพยายามฝึกมันอยู่บ่อยๆเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนที่เราจะเข้าไปถึงสิ่งที่มุ่งหวังครับ
     
  13. viriyathika

    viriyathika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +109
    ปาฏิหาริย์ของผมคือเรื่องกฎแห่งกรรมตามบทความนี้ครับ

    “ กัมมุนา วัตตตีโลโก แปลเป็นภาษาไทยอ่านว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ”
    พระพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้เป็นคำตอบที่ชัดแจ้ง สำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย ว่าทำไมโลกทุกวันนี้จึงร้อนนัก เต็มไปด้วยความเลวร้ายต่างๆ นานาที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ทั้งมรสุมใหญ่ ทั้งน้ำไฟทำลาย ทั้งโจรร้ายเข่นฆ่า ทั้งความเมตตากรุณาสิ้นจากจิตใจ ทั้งความขาดแคลนทุกข์ยากทั่วไปทั้งแผ่นดิน ความกตัญญูก็สิ้นสูญหมด ลูกหลานทรยศแม่พ่อพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายาย ถึงทุบตีเข่นฆ่าทำทารุณกรรม ครูอาจารย์ก็ทำร้ายได้ทั้งร่ายกายและจิตใจศิษย์น้อยๆ ทำชีวิตให้พลอยสิ้นสุด จนถึงเกิดเป็นปัญหาว่า....

    ทำไมเมืองพระพุทธศาสนาจึงเป็นเช่นนี้ได้ ?
    ทำไมความเดือนร้อนชั่วร้ายจึงมากมายนัก ?
    ทำไมผู้คนจึงลำบากยากแค้นนัก ตกอยู่ในสภาพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก
    “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นี่คือคำตอบ


    O กรรม..คือการกระทำทั้งที่ดีและไม่ดี

    กรรมหมายถึงการกระทำ ซึ่งมีความหมายเป็นกลาง คือ มีทั้งที่ดีและที่ไม่ดี

    การกระทำที่ดีเป็นกรรมดี การกระทำที่ไม่ดีเป็นกรรมไม่ดี แต่ที่นำมาใช้นั้นเข้าใจว่า กรรม คือ ความไม่ดีสถานเดียว เช่น เมื่อมีอะไรร้ายๆ เกิดแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็จะกล่าวว่ากรรมของเขา คือ ความไม่ดีของเขา

    “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ที่เป็นคำในพระพุทธศาสนสุภาษิต มีความหมายว่า คนและสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นไปต่างๆ นานา ทุกข์ก็มี สุขก็มี ดีก็มี ชั่วก็มี มิได้เกิดแต่ผู้ใดอื่น มิได้เกิดแต่อะไรอื่น มิใช่เกิดแต่เหตุใดทั้งนั้น นอกจากกรรมที่ตนได้กระทำแล้วเองเท่านั้น


    O อำนาจแห่งกรรมของตนเอง

    ผู้ที่เป็นมนุษย์ในชาตินี้ อาจเกิดเป็นสัตว์ในชาติหน้าได้ ด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนเอง ที่เพียงพอแก่ความเป็นสัตว์ ซึ่งมีต่างๆ ประเภท ทั้งหมู หมา กา ไก่ วัว ควาย ช้าง ม้า ที่อำนาจกรรมอาจนำให้มนุษย์ไปเกิดได้ประเภทนั้นๆ

    ในพระพุทธศาสนามีเรื่องเล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่ประพฤติดี ประพฤติชอบมาตลอด ก่อนแต่จะมรณภาพได้จีวรมาผืนหนึ่งซักตากไว้บนราว ด้วยมีใจผูกพันยินดีที่จะไครองจีวรใหม่

    เกิดมรณภาพในช่วงเวลาก่อนจะทันได้ใช้จีวร เพื่อนภิกษุจะถือจีวรนั้นเป็นของตน สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ มีพระพุทธดำรัสให้รอก่อน ๗ วัน เพราะขณะนั้นพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของได้ไปเกิดเป็นเล็นเกาะติดอยู่กับผ้าจีวร

    อายุของเล็นอยู่นานเพียง ๗ วัน จากนั้นจะได้ไปเสวยผลแห่งกรรมดีที่พระภิกษุรูปนั้นได้ประกอบกระทำไว้เป็นอันมาก นี้เป็นเรื่องแสดงอำนาจของกรรทางใจที่ใหญ่ยิ่ง อาจนำให้พระภิกษุไปเกิดเป็นสัตว์ได้


    O ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจแห่งใจ

    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ มนุษย์ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ก็เพราะอำนาจแห่งใจ มีเรื่องของพระภิกษุสำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

    ได้เล่าไว้และมีผู้นำมาเขียนให้ได้อ่านกันต่อมา ท่านเล่าว่า ท่านต้องไปเกิดเป็นไก่หลายชาติ เหตุเพราะมีใช้ผูกพันในแม่ไก่ กว่าจะรอดกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็นานนักหนา

    ต่อมาเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ปฏิบัติธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้สึกรู้ไกลไปในอดีตหลายภพชาติ จึงประจักษ์ในอำนาจของจิต ว่ายิ่งใหญ่นัก สามารถทำให้มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้ และทำให้สัตว์วนเวียนอยู่ในภพภูมิที่ต่ำนักหนาได้ ควรจะสลดสังเวชและควรจะกลัวอำนาจของจิตที่ตั้งไว้ผิดยิ่งนัก


    O ความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แม้จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นจริงเพียงจำนวนน้อยนัก เพราะไม่มีภาพให้เห็นว่า เมื่อชีวิตออกจากร่างของคนคนหนึ่งไป ก็ไปเป็นอีกร่างหนึ่งได้ เช่น หมู หมา กา ไก่ ความไม่ได้เห็นชัดๆ ด้วยตาเนื้อเช่นนี้ทำให้คนส่วนมาก ยากจะเชื่อว่าคนก็เกิดเป็นสัตว์ได้

    สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้ คนฐานะสูงก็เกิดเป็นคนฐานะต่ำได้ คนฐานะต่ำก็เกิดเป็นคนฐานะสูงได้ คนร่างกายดีๆ ก็เกิดเป็นคนแขนด้วนขาด้วนได้ คนพิการแขนด้วนขาด้วนก็เกิดเป็นคนมีแขนมีขาได้ คนหน้าตาน่าเกลียดผิดพรรณเศร้าหมอง ก็เกิดเป็นคนสวยคนงามได้ คนสวยคนงามก็เกิดเป็นคนน่าเกลียดน่าชัง ผิดพรรณเศร้าหมองได้ ยิ่งกว่านั้นคนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และเทวดาก็เกิดเป็นคนได้

    ความไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ประกอบกับความไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม ที่ทำให้คนส่วนมากไม่กลัวการเกิดใหม่ ว่าจะนำไปสู่สภาพหรือภพชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เช่นเป็นสัตว์นรก


    O ผู้ไม่เชื่อเรื่องมโนกรรม..น่าสงสารที่สุด

    ใจสำคัญที่สุด ใจต้องคิดไปก่อน เป็นมโนกรรม...กรรมทางใจ อะไรๆ จึงจะเป็นผลตามมา จะดีหรือจะชั่วก็แล้วแต่ใจจะคิดดีหรือคิดชั่ว ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมที่เกิดจากใจคิด เป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด

    เพราะเขามีโอกาสที่จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย น่าสลดสังเวชยิ่งนัก สภาพที่เกิดแต่ใจคิดนำไปนั้น เกิดได้ทั้งในภพชาติปัจจุบันนี้ ตลอดไปจนถึงภพชาติข้างหน้า อย่างที่ว่าแม้คนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ แม้คนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และแม้สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้ แม้สัตว์ก็เกิดเป็นเทวดาได้


    O การระวังใจ สำคัญยิ่งนัก

    การระวังใจจึงสำคัญยิ่งนัก ปล่อยใจให้คิดสูงส่งงดงามไปด้วยบุญกุศล ชาตินี้ก็เป็นสุขเบิกบานด้วยอำนาจของบุญกุศลที่ใจคิดถึง ละชาตินี้ไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่งดงาม ควรแก่ความงดงามของความคิดที่อยู่ในจิตใจ

    ผู้พรั่งพร้อมด้วยสมบัติทั้งกายและทางใจที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน คือ ผู้ที่เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย

    ส่วนผู้ที่ปล่อยใจให้คิดต่ำทราบชั่วร้าย ด้วยบาปอกุศล ชาตินี้ก็เป็นทุกข์เร่าร้อนด้วยอำนาจของบาปอกุศลที่ใจคิดถึง ละไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่ต่ำทรามบกพร่อง ควรแก่ความต่ำช้าของความคิดที่มีอยู่ในจิตใจ

    ผู้ขาดแคลนทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ที่เห็นกันอยู่ไม่น้อยในปัจจุบัน คือ ผู้เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย จึงพึงระวังความคิดให้อย่างยิ่ง ให้งดงามด้วยบุญกุศลไว้เสมอ จะได้ไม่ต้องมีสภาพที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา


    O ความคิด เป็นเหตุแห่งสุขและทุกข์

    ความคิดเป็นเหตุแห่งความทุกข์ และความคิดก็เป็นเหตุแห่งความสุขได้ พึงรอบคอบในการใช้ความคิด คิดให้ดี คิดให้งาม คิดให้ถูก คิดให้ชอบ แล้วชีวิตในชาตินี้ก็จะงดงาม สืบเนื่องไปถึงภพชาติใหม่ได้ด้วย

    ระวังความคิดให้ดีที่สุด เพราะความคิดที่ผูกพันในสิ่งไม่สมควรที่ทำให้พระภิกษุองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นเล็น อีกองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นไก่อยู่หลายภพหลายชาติ เราทั้งหลายหาได้มีบุญสมบัติเสมอพระภิกษุทั้งสองนั้นไม่ ความคิดที่ผิดพลาดของเราจะมินำเราไปเป็นอะไรที่น่ากลัวเหลือเกินหรือ


    O ความคิดเปรียบเช่นดังร่างกาย

    ความคิดก็เหมือนร่างกาย เหมือนต้นหมากรากไม้ ต้องการความดูแลรักษา ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เติบโตเจริญงอกงาม หรือเติบโตก็อย่างระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบงดงามเป็นคนก็ไม่เรียบร้อย ไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจ ใครที่ไหนเล่าจะชื่นชมคนเช่นนั้น

    ความคิดหรือจิตใจก็เช่นเดียวกัน ต้องให้ปุ๋ยเสมอ คือ ให้ความถูกต้องด้วยปัญญา ด้วยสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ว่าความดีหรือบุญกุศล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับที่จะประคับประคองชีวิตไปสู่ความถูกต้องดีงามนานาประการ

    อย่าอยู่อย่างประมาท อย่าปล่อยความคิดให้วุ่นวายเปะปะไปเหมือนปล่อยเด็กเล็กๆ ให้เดินโซซัดโซเซไปตามลำพัง ย่อมมีทางหกล้มหกลุกแขนขาหัก หรือหัวร้างข้างแตก หรือถึงพิกลพิการได้ ถึงเป็นถึงตายก็ได้ ความคิดที่ไม่ได้รับความประคับประคองให้ดำเนินไปถูกทำนองคลองธรรม ย่อมมีทางเดินไปสู่ความหายนะได้อย่างแน่นอน


    O เกิดเป็นคน เร่งรักษาจิตให้จงดี

    เกิดมาเป็นคน มีอวัยวะครบถ้วนไม่พิกลพิการ ไม่ไร้สติ เป็นบุญนักหนาแล้ว เร่งรักษาจิตให้จงดี ให้อาหารที่เป็นประโยชน์ที่สุด อย่าปล่อยให้เปะปะไปแสวงหาอาหารตามชอบใจ จะต้องหลงไปพบอาหารที่เป็นพิษแน่นอน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้สมัยนี้มีอาหารที่เป็นโทษเป็นพิษร้ายแรงแก่จิตใจมากมาย เต็มไปทั่วทุกหนทุกแห่ง โอกาสที่ใจจะหลบหลีกให้พ้นพิษภัยเหล่านั้นยากมาก สติปัญญารักษาใจที่เพียงพอเท่านั้น ที่จะทำให้แลเห็นช่องทางหลบหลีกพิษภัยเหล่านั้นได้ สามารถรักษาใจให้พ้นพิษภัยร้ายแรง มีความสวัสดีได้ แม้พอสมควร


    O การตายทั้งเป็นนั้น น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

    ใจที่มีความคิดอาบยาพิษร้าย เป็นใจที่ทำให้ตายได้ทั้งเป็น อันการตายทั้งเป็นนั้น น่าหวาดกลัวยิ่งกว่ามากมายนัก ผู้ที่ตายทั้งเป็น คือ ผู้เป็นคนเลวในสายตาของคนดี เป็นที่รังเกียจของสังคมคนดี ไปสู่ที่ใดจักไม่มีความหมาย เหมือนเป็นความว่างเปล่า ปราศจากการต้อนรับ

    ที่ท่านเปรียบว่าตายทั้งเป็นก็เช่นนี้ด้วย คือ ไม่อยู่ในสายตาในความสนใจของผู้ใด เห็นก็เหมือนไม่เห็น จึงเป็นเหมือนวิญญาณที่ไม่มีร่าง ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ตายทั้งเป็นคือผู้ที่เป็นดั่งซากศพที่เน่าเหม็น เป็นที่ยินดีพอใจเข้าห้อมล้อมหนาแน่นของเหล่าแมลงวันหรือหนอนน้อยใหญ่เท่านั้น

    นั่นก็คือ คนตายทั้งเป็นด้วยกัน หรือคนไม่ดีด้วยกันเท่านั้นที่จะยินดีต้อนรับพวกเดียวกัน “คนดีจักไม่รังเกียจคนไม่ดี...ไม่มีเลย”


    O กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง

    “กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง”
    “กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง”
    “ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น ผู้ไม่ได้ทำหาต้องได้รับไม่”

    ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่ให้ได้ยินได้ฟังเนือง ๆ เช่น มารดาบิดาทำไม่ดีต่างๆ นานาให้เห็น เกิดเหตุการณ์รุนแรงแก่ชีวิต บุตรธิดา ก็มักจะกล่าวกันว่าลูกรับเคราะห์แทนมารดาบิดาบ้าง หรือลูกรับกรรมแทนมารดาบิดาบ้าง ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น กรรมของผู้ใด ผลย่อมเป็นของผู้นั้น จะรับผลกรรมแทนกันไม่ได้ ไม่มี

    มารดาบิดาทำไม่ดี ทำบาปทำอกุศล ยังอยู่ดีมีสุขเพราะผลของบาปอกุศลยังส่งไปไม่ถึง แต่บุตรธิดาที่ไม่ทันได้ทำบาปทำอกุศล กลับต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นั้น นั่นเป็นเรื่องการรับผลของบาปอกุศลที่ทำไว้ในภพชาติก่อน ที่ตามมาส่งผลในภพชาตินี้แน่นอน

    บุตรธิดาผู้ได้รับผลไม่ดีต่างๆ นานา ต้องทำกรรมไม่ดีไว้ในภพชาติหนึ่งแน่นอน แต่เราไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น ไม่ใช่บุตรธิดารับผลกรรมแทนมารดาบิดา

    ผู้ที่จะเกิดร่วมกัน เป็นแม่เป็นพ่อเป็นลูกกัน ต้องมีกรรมดี กรรมชั่วในระดับเดียวกัน ไม่แตกต่างห่างไกลกัน จึงทำให้เหมือนลูกรับกรรมแทนแม่พ่อผู้ทำบาปอกุศล

    ลูกที่มารับผลไม่ดีต่างๆ ขณะที่แม่พ่อเป็นผู้ประกอบกระทำกรรมไม่ดี นั่นเพราะกรรมไม่ดีของลูกส่งผลทันในระยะนั้น จึงทำให้ยากจะเข้าใจได้ จึงทำให้เกิดความเข้าใจสับสนกันมาก กรรมของคนหนึ่ง ผลจะไม่เกิดแก่อีกคนหนึ่งแน่นอน

    ที่มาบทความจาก http://www.dhammajak.net/book-somdej4/10.html
     
  14. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ตามที่คุณ วิริยาธิกะ บอกนั่นแหละครับ อนุโมทนาด้วยน่ะครับ ผมอยากไห้คนที่คิดว่ามันเป็นหน้าที่ ที่จะต้องเผยแพร่ธรรมนำคำกล่าวนี้ไปเผยแผ่ ไห้หยั่งลึกลงในจิตใจผู้คนไห้ได้ เพราะทุกวันนี้ผมมองว่าผู้คนไม่สนใจในสิ่งที่กระทำ ว่าผลนั้นยังคงมีอยู่เสมอมา ไม่มองไปถึงเบื้องลึกว่า เหตุที่เกิดขึ้นมาจะดีหรือชั่ว ได้ดีหรือตกต่ำนั้นเป็นผล ผลของการกระทำในอดีตจึงมองแค่ปัจจุบันนี้ว่าเราทำแบบนี้แล้วได้แบบนี้ สิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดต่อศีลธรรมเพียงแค่มองว่ามันได้มาแน่ๆ บางคนทำเลวแล้วได้ดีมีอยู่มีกิน วันนึงนานเข้าจึงได้เข้าถึงสัจธรรมก็มาประกาศว่าสิ่งนั้นผมทำมาแล้วไม่ดีน่ะอย่าไปยุ่ง บางทีเราก็นึกน้อยใจแบบเกิดกิเลสมาว่าทำไมเขาถึงไม่ทำในสิ่งที่ดีมาแต่ต้น หรือทำไมเราไม่ทำแบบเขาบ้างจะได้สนองความมีเหมือนเขาบ้าง สิ่งนี้แหละผมคิดว่า ความรู้สึกแบบนี้มีด้วยกันทุกคนที่เป็นปถุชนคนธรรมดา ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เกิดและมีมาที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต ถ้าคิดแล้วได้กระทำไปแบบนั้นบุคคลนั้นได้ชื่อว่า ประมาทมัวเมาในชีวิตเพราะผลของการกระทำในแต่ล่ะคนผลและอานิสงค์ไม่เหมือนกัน เลยทำไห้คนประมาทในลาภยศนั้น เลยหลงผิดไป ธรรมที่คุณวิริยาธิกะเอามาลงนั้น ถ้าเข้าไห้ลึกถึงความมหัสจรรย์ของธรรม ผลแห่งกรรมนั้น จะมีอานิสงค์ที่ยิ่งยวดอยู่ในตัวแล้วเพราะมันเป็นกฏเกณฑ์ที่มนุษย์ได้กระทำและสร้างกันสืบต่อกันมา ผู้คนยังหลงยึดติดกับวัตถุและปัจจัยกิเลสของความสุขที่มาสนองแห่งตนอยู่ เพราะคำสอนนี้ยังมีอยู่ไห้เห็นกันทั่วไปคือพื้นฐานที่บอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุคคลที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ต่างก็ไม่นำมาปฏิบัติเพียงแค่มองหือฟังแบบผ่านๆ เพราะยังไปไม่ถึงหรือไม่นำมาปฏิบัติหรือยังไม่เห็นผลของการกระทำที่มันรอการส่งผลอยู่ จึงได้มีความประมาทเกิดขึ้น

    ฉนั้นผมมองว่าการที่เราจะบอกกล่าวคนอื่นได้นั้นเราจะต้องกระทำความพร้อมแห่งความศรัทธาไห้เกิดแก่ตัวเราเสียก่อน ได้รับความยอมรับจากบุคคลอันซึ่งที่เราจะกระทำการบอกกล่าว เพราะหน้าที่หรือผลของธรรมแห่งความเป็นจริงรู้แจ้งนั้นมันมีมาแล้ว2500กว่าปีแล้วและได้ยินได้ฟังแบบเดิมๆมานานแล้ว แต่ยังขาดผู้ซึ่งที่ได้รับความสรรเริญหรือยอมรับนั้นหาได้ยาก เพราะคำสอนหลักของความเป็นจริงมีเพียงสิ่งเดียว และได้ยินบอกต่อกันมามากแล้ว
    เปรียบได้ดังว่า
    1. มีคน คนนึง เดินไปเจอเงิน 50000 บาท (คนนั้นคือคนยากจนหาเช้ากินค่ำ) ได้เก็บเงินไป ไม่ยอมติดตามหาเจ้าของคือเอาไว้ใช้เอง และมีบุคคลคนนึงมาเห็นก็บอกไปว่า เอาไปคืนเขาเถอะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วน่ะ คำพูดนี้เป็นคำสอนที่มีมานานแล้วและเขาก็ได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว คุณคิดว่าเขาคิดที่จะนำเงินไปคืนเจ้าของกี่เปอร์เซ็น
    2. มีคน คนนึง เดินไปเจอเงิน 50000 บาท (คนนั้นคือคนยากจนหาเช้ากินค่ำ) ได้เก็บเงินไป ไม่ยอมติดตามหาเจ้าของคือเอาไว้ใช้เอง และมีพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้คนนับถือมากมาเห็นก็บอกไปว่า เอาไปคืนเขาเถอะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วน่ะ คำพูดนี้เป็นคำสอนที่มีมานานแล้วและเขาก็ได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว คุณคิดว่าเขาคิดที่จะนำเงินไปคืนเจ้าของกี่เปอร์เซ็น

    ส่วนนี้แหละที่ผมได้มองว่าจะทำอย่างไรไห้สิ่งเหล่านี้ไปอยู่ในใจของคนเหล่านั้นได้ ผมจึงได้มองว่าส่วนนึงมันจะต้องมาจาก สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์หรืออิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหารย์ไห้ผู้คนได้เห็นผลของการกระทำซึ่งมีอยู่จริงบางครั้งมันไม่ได้มาซึ่งความรู้จากตัวหนังสือหรือได้ยินได้ฟังมา มันต้องนำมาปฏิบัติและไห้เห็นผล ซึ่งบางครั้งผู้ปฏิบัติไม่เห็นผลดังกล่าวจึงท้อถอยหยุดไปเลยก็มี ฉนั้นผมเลยมองว่าการสอนแบบใบไม้ในกำมือเดียวย่อมมีและส่งผลไห้แล้วแก่ผู้ที่ถึงซึ่งความเป็นอรหันต์ในชาตินี้หรืออันไกล้นี้ด้วยบารมีที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำมาดีและเติมเต็มแล้ว ไม่เห็นความสำคัญของใบไม้ในป่าใหญ่แล้ว ตรงกันข้ามหน้าที่ของเราย่อมยังประโยชน์ต่อใบไม้ในป่าใหญ่ซึ่งมีความเป็นสิ่งที่ยังคงมหัศจรรย์วิจิตรพิสดารสวยงามอยู่ เพราะยังมีบุคคลที่ไ้ด้ชื่อว่าอยู่ในโคลนตมอยู่จะต้องพยายามช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ไห้พ้นตมไห้ได้สักวันนึงเขามีความรู้ความสามารถที่ได้ค่อยเรียนรู้สั่งสมด้วยบุญบารมีปัญญาเมื่อถึงความพร้อมแล้วเขาคงจะเลือกทางเดินเองว่า จะเลือกใบไม้จากที่ใด นั่นคือหน้าที่การงานของพวกเรา
     
  15. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    ตอนเป็นเด็ก น่าจะ 10 กว่าขวบ ดำนา อยู่กับญาติ อายุไล่ๆกัน อีกนิดเดียวจะเสร็จฝนตก เลยตะโกนขอกับเทวดาว่า ให้ฝนหยุดตกสัก 5 นาทีได้ไหม ทำงานยังไม่เสร็จ ฝนก็หยุดๆจริง สักพัก ก็ตกอีก ก็ขออีก ขอไป 3 รอบ ฝนหยุดไป 3 รอบ รอบที่ 4 ขออีก สงสัยเทวดารำคาญเลยไม่ยอมแล้ว พยานก็มีอยู่ คือญาติที่อยู่ด้วยกัน แต่ปันจุบันตายไปแล้ว

    ตอนโต ไปไหว้พระธาตุที่ อ.เมือง สกล อิดออดไม่ยอมลงไปเพราะแดดแรงมาก พอลงไป ก็ไปยืนหลบ อยู่ซุ้มประตู พอตัดสินใจตากแดดเดินไปไหว้พระธาตุปุ๊ป ก้มลงกราบ เมฆครึ้มมาเลยไวมากๆ จากที่แดดเปรี้ยงๆ กราบยังไม่ครบ 3 ครั้ง ฝนก็ปอยๆ เหมือนน้ำมนต์ ตอนนั้นก็ได้อธิฐานปราถนาโพธิญาน ให้เทวดา พยานาคที่เฝ้าพระธาตุเป็นพยาน เดินประทักษิณ 3 รอบ ฝนก็แค่ปอยๆ พอเดินเสร็จฝนก็หยุด


    อธิฐานว่าถ้าหากเคยปราถนาพุทธภูมิมาให้อดีตให้ได้มีโอกาสไปไหว้หลวงปู่จามก่อนที่ท่านจะเสีย ก็ได้ไปจริงๆ ตอนไป อากาศแถวนั้นร้อนมาก เลยอธิฐานขอกับเทวาดาว่าขอให้อากาศหนาวๆหน่อยได้ไหม ไม่ชอบอากาศร้อน พอไปถึง ก็อากาศหนาวจริงๆ เลยไปถามคนแถวนั้นว่า อากาศหนาวมานานรึยัง ชาวบ้านบอก เพิ่งหนาวเมื่อวานนี่เองแต่ก่อนก็ร้อนตลอด
     
  16. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    ไปไหว้หลวงปู่จามครั้งที่สอง อีก หลายเดือนต่อมา ระหว่าง นั้งบนรถทัวร์เห็นท้องนามันแห้งแล้งเหลือเกิน ก็คุยกับเพื่อนว่า อยากให้ฝนตก เพราะไม่ชอบอากาศร้อนๆแห้งๆแบบนี้ เพื่อนก็บอกว่าคุณขอ เดี่ยวก็คงตก (เคยเล่าเรื่องขออากาศหนาวให้เพื่อนฟัง) พอตอนเย็นถึงวัดหลวงปู่สวดมนต์ทำวัดเสร็จฝนก็ตกหนักมากๆ ตื่นเช้่าไปบิณบาตกับหลวงปู่ คุยกัน ครูบาแจ่ว ถามท่านว่า ที่นี้ฝนตกดีไหม ท่านบอก ไม่ได้ตกมาเดือนกว่าๆแล้ว เพิ่งตกหนักก็เมื่อวานนี้แหละ
    ปล. ได้ไปไหว้หลวงปู่จาม เพราะคุณหมอจักรแก้ว จัดทริปทั้งสองครั้ง
     
  17. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ผมมองว่าสิ่งเหล่านี้จะมีอยู่ในตัวของคนทุกคนครับ แค่จะรู้วิธีนำมาใช้ไห้เกิดประโยชน์อย่างไร และมองเห็นคุณค่าในด้านใด และจะนำมันไปใช้อย่างไร ผมก็อยากจะบอกว่ามีผู้คนมากมายที่ยังไม่เข้าไห้ถึงธรรมยังยึดติดกับสิ่งนี้อยู่มาก ผมบอกได้เต็มปากเลยว่าผมเข้ามาศึกษาธรรมนั้นเริ่มแรกในวัยเด็กหรือวัยรุ่นผมชอบสิ่งนี้แหละ เพราะมองว่ามันเป็นสิ่งมหัสจรรย์อยู่ในอุดมคติจินตนาการ เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆพอมีความรู้ขึ้นมาบ้างแล้วก็มองเห็นสิ่งนี้ว่ามันไม่มีเป็นแก่นสารของชีวิตเลย มันเป็นกับดักของจิตที่รอดักเราไห้ไปยึดในขันธ์ ขั้นที่แยบยลไปอีกขั้นหนึ่งของจิต กับดักของจิตตั้งแต่เราเกิดมาว่า หิว อร่อย ไพเราะ สวยงาม หอมหวาน มีความสุข สบายใจ สิ่งที่ผมตั้งกระทู้ขึ้นมาก็เพื่ออยากรู้ว่าท่านทั้งหลายได้สัมผัสกับประสบการณ์สิ่งเหล่านี้บ้างหรือไม่ เพราะผมมองว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ติดมากับผู้ที่เคยได้สร้างบารมีมาดีแล้ว ถึงได้มีความสามารถแบบนี้ ถ้าบุคคลเหล่านี้ได้เข้ามาศึกษาธรรมไห้แจ่มแจ้งในระดับหนึ่ง ผมว่ามาช่วยกันเผยแผ่ธรรมไห้เข้าไปในใจของบุคคลผู้ซึ่งไม่ได้สัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์ที่มีอยู่ในธรรม ไห้เขาเหล่านั้นได้เป็นผู้ที่ชื่อว่า มามกะั ศรัทธาในบวรพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...