การดับกิเลสมีกี่วิธี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มะหน่อ, 18 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กระผมแย่มากๆเรื่องหนึ่งคือเมื่อผ่านไปแล้วไม่เคยจำ
    พอดีไปได้ยินพระท่านว่าการดับกิเลสมีหลายวิธี
    ที่จำได้มีวิธีเดียวคือโดยการเสพย์

    ถามว่าหากเราดับกาย
    ที่ยังมีรูปและเวทนาสัญญาสังขารอยู่นี้เราควรทำอย่างไร

    หรือดับอินทรีย์ที่กำลังบินอยู่จะสอยให้ร่วงเราควรทำอย่างไร

    หิวแล้วไม่กิน
    หรือไม่หิวแล้วกิน
    หรือกินตามเขาตามเรา
    กินยามวิกาลเพราะกลางคืนขับแท็กซี่กลางวันหลับ
    แล้วไม่ได้กินเพราะห้ามกินยามวิกาล

    เอาเป็นว่าท่านมีบัญญัติอยู่ว่าการดับกิเลสมีกี่วธี
    เพื่อนกัลยาณมิตรท่านใดทราบบ้างขอรับขอความเมตา



    เพื่อเกิดประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกเพราะมีหลายท่านกำลังข่มกิเลส
    พอข่มไม่ลงก็ขย่มกิเลส
    เวปบอดคงไม่คิดมากกับการใช้คำของกระผมนะขอรับ
    สิ่งใดที่ท่านเห็นควรกระผมน้อมรับเพราะมารบกวนท่านขอรับ
    มาถ่ายไว้บ้านท่านให้ท่านล้างได้กุศลเยอะๆขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    มีกี่วิธีหรือไม่อย่างไรขอรับ
    พอดีผมไปฟังพระท่านกล่าวมาแต่จำไม่ได้

    ของกล้วยขอรับ
    หากรู้จักกิเลส
    ของอร่อยหากชอบเสพย์
    ของเน่าหากเสพย์แล้วย่อยแล้ว
    ต้องคายสำรอก
    ออกทางไหนเท่านั้นเองขอรับมีตั้งสองทาง
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ลองถามตัวเองดูครับ

    ดับได้จริง ทำไมมันถึงยัง ติดได้ขึ้นมาอีก มันดับจริงไหม หรือแค่ คิดไปเอง เออเอง ว่ามันดับ

    แต่ความเป็นจริง มันไม่ได้ดับ มันยังอยู่


    .
     
  5. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    - คงจะมีแค่หนึ่งวิธีมั้ง คือ การปล่อยว่าง
     
  6. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ตามแบบ

    1.พิจารณาขันธ์5 เป็นไตรลักษณ์
    2.สังโยชน์10
    3.วิปัสสนาญาณ9
    4.อริยสัจ4
     
  7. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    มีหลายวิธีขอรับ
    กระผมได้ยินพระท่านเทศน์มาทางสายอีสานนี่แหละขอรับ
    ยังหนุ่มๆอยู่เลย คืออายุขัยท่านน้อยขอรับ
    เท่าที่ฟังสำเนียง
    กระผมจำฉายาไม่ได้ขอรับ
    ได้ยินจากรายการวิทยุ
     
  8. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากกิเลสไม่ดับแล้วควรทำอย่างไรขอรับ
     
  9. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เตรียมดาบเพื่อนเอ๋ย
     
  10. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  11. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมว่าขึ้นอยู่กับว่า เราจะดับแบบไหน แบบชั่วคราว หรือว่า เว้นขาดไปเลย อันที่จริงก็คือ ต้องอยู่เหนือมัน เข้าใจมัน แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เท่าที่สังเกตดู (จากตนเอง) ที่ไปไล่ฆ่าเอาเป็นเอาตายกับมันนี่ ก็คือ หลง เมื่อไหร่หลงสังขาร เมื่อนั้นก็จะมีเรื่องยุ่ง ๆ เข้ามาทันที แต่ว่าใหม่ ๆ ก็ต้องหาทางลดละมันเหมือนกัน เพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ ทำให้ใจเราเศร้าหมอง ไม่สงบ ไม่มีสมาธิพอ พอไม่มีสมาธิ มันก็ไม่เห็นจิต เห็นสังขาร หรือความคิดความปรุงแต่ง ไม่เห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นตามความเป็นจริงครับ
     
  13. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572

    - จะว่าหลายวิธีก็ถูกแต่จริงๆแล้วมีแค่วิธีเดียว เมื่อวาง ก็ว่าง

    -เช่นท่านจะเดินทางไปยัง อินเดีย ก็มีทั้งทางน้ำ ทางบก ทางอากาศ ในทางเหล่านี้ก็มีวิธีไปได้อีกหลายวิธี เช่น ทางน้ำ อาจจะว่ายน้ำ หรือ โดยสารเรือ เป็นต้น ทางบก ทางอากาศ ก็เช่นกัน
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ------ธาตุสี่--พระวจนะ" ภิกาุทั้งลา ถ้าหากรสอร่อยในปฐวีธาตุก็ดี อาโปธาตุก็ดี เตโชธาตุก็ดี และวาโยธาตุก้ดี นี้จักไม่ได้มีอยู่แล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่กำหนัด ยินดีนักในปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุนี้ ภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะเหตุที่รสอร่อย ในปฐวีธาตุก้ดี อาโปธาตุก็ดี เตโชธาตุก็ดี และ วาโยธาตุก็ดี มีอยู่แล สัตว์ทั้งหลาย จึงกำหนัดนิรดีนัก ในปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุและ วาโยธาตุ..............ภิืกษุทั้งหลาย ถ้าหากโทษในปฐวีธาตุก็ดี อาโปธาตุก็ดี เตโชธาตุก้ดี และวาโยธาตุก้ดี นี้ จักไม่ได้มีแล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่เบื่อหน่าย ในปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชาตุ และวาโยธาตุนี้ ภิกษุทั้งหลายเพราะเหตุที่ โทษในปฐวีธาตุก้ดี อาดปธาตุก้ดี เตโชธาตุก็ดี และวาโยธาตุก็ดี มีอยู่แล สัตว์ทั้งหลาย จึงเบื่อหน่าย ในปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุและ วาโยธาตุ.................ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากอุบายเครื่องนำออกไปพ้นได้ จาก ปฐวีธาตุก็ดี อาดปธาตุก้ดี เตโชธาตุก้ดีและวาโยธาตุก็ดี นี้จักไม่ได้มีอยู่แล้วไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พ้นไปจากปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโธาตุนี้ ภิกาุทั้งลาย แต่เพราะเหตุที่ อุบายเครื่องพ้นไปจากปฐวีธาตุก็ดี อาโปธาตุก็ดี เตโชธาตุก็เดี และวาโยธาตุก็ดี มีอยู่แล สัตว์ทั้งหลาย จึงออกไปพ้นได้จาก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ----นิทาน.สํ.16/205/409...:cool:
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    [​IMG]
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เวทนา---พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย เวทนาสามอย่างเหล่านี้มีอยู่ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เราเรียกว่าเวทนา..................เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ จึงมีความเกิดขึ้นแห่งเวทนา ตัรหาเป็นปฎิปทาที่ทำให้เกิด ขึ้นแห่งเวทนา.............เพราะความดับแห่งผัสสะจึงมีความดับแห่งเวทนา................อริยอัฎฐังิกมรรค(มรรค8) เป็นปฎิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา คือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ...............สุขโสมนัสใดอาสัยเวทนาเกิดขึ้น นี้คือ อัสสาทะ(รสอร่อยของเวทนา)...ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แห่งเวทนา นี้คือ อาทีนวะ(โทษ) แห่งเวทนา....................การนำออกเสียได้ ซึ่งฉันทะราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทะราคะ ในเวทนานั้น นี้คือ นิสรณะ(อุบายเครื่องออก)จากเวทนา----สฬา.สํ.18/288/438...:cool:
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    สัญญา---พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สัญญาเป็นอย่างไรเล่า ภิกาุทั้งหลาย หมู่แห่งสัญญา หกเหล่านี้คือ สัญญาในรูป สัญญาในเสียง สัญญาในกลิ่น สัญญาในรส สัญญาในโพฐฐัพพะ และ สัญญาในธัมารมณ์ ภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า สัญญา ความเกิดขึ้นแห่งสัญญามีได้ เพราะความเกิดขึ้นแห่ง ผัสสะ...ความดับไม่เหลือของสัญญามีได้ เพราะความดับไม่เหลือของผัสสะ อริยะมรรคมีองคืแปด นี้นั่นเอง เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสัญญา ได้แก่ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพุดจาชอบ การทำงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ---ขนธ.สํ.17/74/115..:cool:
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    สังขาร--พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย คนทั่วไป กล่าวกันว่า สังขารทั้งหลาย เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า ภิกษุทั้งหลายเพราะกริยาปรุงแต่งให้สำเร้จรูป มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า สังขาร สิ่งนั้นย่อมปรุงแต่งอะไร ให้เป็นของสำเร็จรูป สิ่งนั้นย่อมปรุงแต่งรูปให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นรูป ย่อมปรุงแต่งเวทนาให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นเวทนา ย่อมปรุงแต่งสัญญาให้สำเร็จรูปเพื่อความเป้นสัญญา ย่อมปรุงแต่งสังขารให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นสังขาร และย่อมปรุงแต่งวิญญานให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นวิญญาน ภิกษุทั้งหลาย เพราะหกริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรุปเพื่อความเป็นวิญญาน ภิกษุทั้งหลาย เพราะกริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรูป มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า สังขารทั้งหลาย---ขนธ.สํ.17/106/159..----------------------------------พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลายหมู่แห่งเจตนาหกเหล่านี้คือ สัยเจตนา ในเรื่องรูป สัญเจตนาในเรื่องเสียง สัญเจตนาในเรื่องกลิ่น สัญเจตนาในเรื่องรส สัญเจตนาในเรื่องโพฐฐัพพะ และสัญเจตนาในเรื่องธัมมารมร์ ภิษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย.................ความเกิดขึ้นแห่งสังขารทั้งหลาย มีได้เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความดับไม่เหลือของสังขารทั้งหลายมีได้เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ อริยะมรรคมีองค์แปด นี้เองเป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขารทั้งหลาย ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความดั้งใจมั่นชอบ---ขนธ.สํ.17/74/116...:cool:
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    วิญญาน--พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ใช้เป็นพืช มีห้าอย่างเหล่านี้ ห้าอย่างเหล่าใหนเล่า ห้าอย่างคือ พืชจากเหง้า พืชจากต้น พืชจากตา และ พืชจากเมล็ด เป้นคำรบห้า...................ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสิ่งที่ใช้เป็นพืชห้าอย่างเหล่านี้ ที่ไม่ถูกทำลาย ยังไม่เน่าเปื่อย ยังไม่แห้งเพราะลมแดด ยังมีเชื้องอกบริบูรณ์อยู่ และอันเจ้าของเก็บไว้ด้วยดี แต่ดินน้ำไม่มี ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ใช้เป้นพืชห้าอย่างเหล่านั้น จะพึงเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้แลหรือ หาเป็นเช่นนั้นไม่พระเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสิ่งที่ใช้เป็นพืช ห้าอย่างเหล่านี้แหละ ที่ไม่ถูกทำลาย ยังไม่เน่าเแปื่อย ยังไม่แห้งเพราะลมและแดด ยังมีเชื้องอกบริบูรร์อยู่ และอันเจ้าของเก้บไว้ด้วยดี ทั้งดิน น้ำก็มีด้วย ภิกษุ:cool:ทั้งหลาย สิ่งที่ใช้เป็นพืช ห้าอย่างเหล่านั้นพึงเจริญ งอกงามไพบูลย์ ได้มิใช่หรือ...อย่างนั้นพระเจ้าข้า...ภิกษุทั้งหลาย วิญญานฐิติ สี่อย่าง พึงเห็นว่าเมือนกับดิน ภิกาุทั้งหลาย นันทิราคะ พึงเห้นว่าเหมือนกับน้ำ ภิกษุทั้งหลาย วิญญานซึ่งประกอบด้วยปัจจัย พึงเห็นว่าเหมือนกับพืชสดทั้งห้านั้น.......ภิกษุทั้งหลาย วิญญานซึ่งเข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญานที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริย งอกงามไพบูลย์ได้...................................ภิกาุทั้งหลา วิญญานวึ่งเข้าถึงเอาเวทนา ตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญานที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเ้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ได้..................ภิกษุทั้งหลาย วิญญานซึ่งเข้าถือเอาสัญญา ตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ได้ เป้นวิญานที่มีสัญญาเป้นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป้นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ได้...........................ภิกษุทั้งหลาย วิญญาน ซึ่งเข้าถือเอาสังขาร ตั้งอยู่ก้ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญานที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป้นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ได้....................ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักบัญญัติ ซึ่งการมาการไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ ของวิญญาน โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร ดังนี้นั้น นี่ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย---ขนธ.สํ.17/67/106-107...:cool:
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............อริยสัจสี่ ทุกข์ควรกำนดรู้ ทุกข์สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ.......................ถ้ามากล่าวเรื่องมรรคสิ่งที่ควรจะเจริญแล้ว...แม้สัมมาทิฎฐิ ก็ มีอานิสงค์สุดจะบรรยาย......หรือในพระสูตรที่กล่าวถึง สัมมาสมาธิที่แวดล้อม ด้วย องค์แห่งมรรคที่เหลือ....หรือ สามองค์แห่งมรรคที่แวดล้อม องค์มรรคอื่น นั้นคือ " สัมมาทิฎฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ"....................หรือ อานาปานสติที่บริบูรร์ ย่อมทำให้สติปัฎฐานสี่บริบูรร์ สติปัฎฐานสี่บริบูรร์ ย่อมทำให้ โพชฌงค์เจ็ดบริบูรณ์ โพชฌงค์เจ็ดที่บริบูรณ์ ยัง วิชชาและ วิมุติให้บริบูรณ์.....อยู่ในมรรค หรือ สิกขาสาม(ศิล สมาธิ ปัญญา):cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...