ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    คนเดินทางประเภทที่ 1.
    รถก็ไม่ได้เช็คความพร้อม ยางก็ไม่ได้เติมลม น้ำมันก็ไม่ได้เติม แบตเตอรี่ก็ไม่ได้ชาร์ตและ เดินทางโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง กินเหล้าเมาตลอดทาง(ไร้สติ) ลองคิดดูว่าการเดินทางของเขาจะเป็นอย่างไร เขาคงขับรถปัดซ้ายปัดขวาไปตลอดทาง ถูกคนด่าแช่งไปตลอดทางต้องพบอุบัติเหตุตลอดทาง พบเห็นอะไรแปลก ๆ ก็แวะไปตลอดทาง เขาก็คงวนอยู่ในกรุงเทพ ฯ นี่แหละ ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าจะไปไหน เขาวิ่งจนแบตเตอรี่หมด จนน้ำมันหมด ก็ต้องจอดรถแช่ไว้ที่ใดที่หนึ่ง

    คนและสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ส่วนมากก็เป็นนักเดินทางประเภทที่ 1. คือสักแต่ว่าเกิดมา เกิดด้วยอำนาจของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่พาสืบภพสืบชาติ อยู่ไปตามธรรมชาติของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จึงคิดไม่เป็น มองไม่เป็น

    เริ่มแต่ลืมตาตื่นก็ถูกตาเห็นดึงไปคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เชี่ยวชาญชำนาญคิดทางไหนใจก็ดำดิ่งคิดไปทางนั้น คิดไป ๆ จนพบเห็นสิ่งใหม่ก็คิดในเรื่องใหม่ หูได้ยินเสียงก็พาคิดไปอีกเรื่องหนึ่ง จมูกได้กลิ่นก็พาคิดไปอีกเรื่องหนึ่ง ลิ้นได้รสก็พาคิดไปอีกเรื่องหนึ่ง กายได้สัมผัสก็พาคิดไปอีกเรื่องหนึ่ง สารพัดที่จะคิด จนไม่สามารถนับได้ว่าวันหนึ่ง ๆ เราคิดเรื่องอะไรบ้าง คิดเรื่องไหนใจก็ดิ่งเข้ายึดเรื่องที่คิดเป็นจริงเป็นจัง เกิดความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ไปตามเรื่องที่คิดนั้น ๆ จนถึงเวลาหลับก็ยังคิดไม่เลิกรา ไม่มีช่องว่างไหนที่ใจคนและสัตว์ไร้ความคิด ยิ่งคนบ้ายิ่งคิดจนไม่รู้ว่าตัวเองคิด และจมอยู่ในโลกความคิดของตนเอง หัวเราะร้องไห้ไปตามโลกแห่งความคิดนั้น ๆ

    คนประเภทที่ 1. ไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วจะไปไหน จะเกิดหรือไม่เกิด เขารู้แต่เพียงว่าคนและสัตว์เกิดมาเพื่อกิน ขี้ ปี้ นอน ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านี้ เขาก็ทำได้แค่นี้จริง ๆ ไม่มีใครสามารถเอาสัจธรรมป้อนเข้าสู่จิตใจเขาได้ จึงเป็นบัวใต้น้ำ

    ดังนั้นเขาจึงเปรียบคนเดินทางที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง เป็นนักเดินทางที่ไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจ รถของเขาคือบุโรทั่งคันเก่าเหมือนเต่าวิ่ง วิ่งแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย คนขับ(คือจิตใจ)ไร้สติและปัญญา แถมเมาไม่เคยสร่างซา การเดินทางของเขาจึงไร้จุดหมาย กระทั่งสิ้นลมก็เผา ฝัง อย่างไร้ค่า
     
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ความจริงแล้วคนที่เกิดมาในลัทธิศาสนาที่แตกต่างกันย่อมมองเห็นจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกัน วิธีการที่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางก็แตกต่างกันไปด้วย เช่นคนที่นับถือพระเจ้าเป็นที่พึ่งอันสูงสุดก็ถือว่าพระเจ้านั่นแหละคือจุดหมายที่เขาเดินทางไปถึง เขาเดินทางไปหาพระเจ้าด้วยวิธีการอ้อนวอนบ้าง บวงสรวงบ้าง ทำความดีเพื่อเอาใจพระเจ้าบ้าง แต่ละลัทธิศาสนาก็มีกฎเกณฑ์การปฏิบัติที่แตกต่างกันไป

    ในส่วนของศาสนาที่ไม่นับถือพระเจ้าก็มีจุดหมายปลายทางของตนเองคล้ายกัน คือความบริสุทธิ์เป็นอิสระแห่งจิต แต่วิธีการชำระจิตให้บริสุทธิ์ก็มีข้อปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป แม้แต่พุทธศาสนา เมื่อเวลาผ่านมาสองพันกว่าปีก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป จึงมีนิกายความเชื่อมากมาย บางนิกายก็เหมือนลัทธิศาสนาที่นับถือพระเจ้า แต่ละคนก็เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองเคารพนับถือนั้นถูกต้องแล้ว ธรรมกายก็มั่นใจว่าการปฏิบัติทางจิตจนบรรลุถึงกายอรหันต์เป็นการบรรลุธรรมอันสูงสุด ทางฝ่ายท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็สอนให้ปฏิบัติจนสามารถไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ให้พระพุทธเจ้าพาไปเมืองนิพพาน เมื่อเห็นเมืองนิพพานแล้วก็ถือว่าได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางแล้ว อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อมั่น ถ้าพึงพอใจว่าเป็นการทำคุณงามความดีที่สุดแล้วก็ไม่ว่ากัน

    แต่พุทธศาสนาที่แท้จริงคือคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องของสติปัญญา เป็นการเรียนรู้จิตใจตนเองจนเห็นความจริงของชีวิตจิตใจ สามารถเห็นเหตุเห็นผลของการเกิดทุกข์ และการทำลายต้นเหตุของทุกข์เสียได้ นั่นคือหลักธรรมปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง พระพุทธเจ้าค้นพบหลักธรรมข้อนี้เองจึงทำให้เป็นพระพุทธเจ้า การบรรลุถึงฌานสมาบัติต่าง ๆ ไม่ได้ทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ก็บรรลุสมาธิจิตระดับสูงจากฤาษีอุทกดาบส และอาฬารดาบสมาแล้ว ก็ทราบว่าไม่ใช่หนทางตรัสรู้ กิเลสยังไม่สิ้น จิตยังไม่บริสุทธิ์ ต่อเมื่อได้ค้นพบหลักปฏิจจสมุปบาทแล้วจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังได้ตรัสไว้แจ้งแล้วในธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
     
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ทุกคนอยากเป็นคนดี
    แต่บางคนบารมียังไม่ถึง
    ก็เลยถูกความชั่วดูดดึง
    ไปทำซึ่งสิ่งไม่ดี
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    คนเดินทางประเภทที่ 2.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขาก็ออกเดินทาง ยางก็ไม่ได้เติมลม น้ำมันก็ไม่ได้เติม เครื่องก็ไม่ได้ตรวจเช็ค แล้วเมาตลอดทาง การเดินทางของเขาจะเป็นอย่างไร เขาขับมุ่งหน้าสู่เหนือจริง แต่รถวิ่งเหมือนงูเลื้อย เจออุบัติเหตุตลอดทาง พบเห็นอะไรก็แวะดูตลอดทาง และแล้วก็ไปเจอสาว(หรือหนุ่ม)ที่ถูกใจ ก็เลยแวะ ตกล่องปล่องชิ้นอยู่กินเป็นเมียผัว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเรือน เดินทางไม่ถึงเหนือสุด บางคนขี้ขโมย พบเห็นอะไรของใครก็ลักขโมยไปตลอดทาง จนที่สุดก็ถูกตำรวจจับยัดห้องขัง บางคนเจ้าโทสะ ก็ทะเลาะกับเขาไปตลอดทาง จนที่สุดก็ไปฆ่าคนตาย ถูกตำรวจจับยัดห้องขัง ไปไม่ถึงจุดหมาย


    คนบางคนเกิดมาก็พอรู้อยู่หรอกว่าชีวิตนี้มันมีการเวียนว่ายตายเกิด มีสวรรค์ มีนรก เขาก็อยากไปสวรรค์เหมือนกัน กลัวนรกเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะสร้างคุณงามความดีอะไร ปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของความปรารถนา ซึ่งธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้ฝึกฝนมันก็มักปรารถนาทางต่ำเสียส่วนมาก ธรรมชาติของจิตที่ไม่เคยคบสัตบุรุษ ไม่เคยฟังสัจธรรม ไม่เคยแสวงหาความดีใส่ชีวิตจิตใจ ใจมันก็ไหลไปสู่ที่ต่ำเหมือนน้ำ เมื่อฝนตกลงมาน้ำก็ไหลไปสู่ที่ต่ำทั้งสิ้น จิตที่ไม่เคยฝึกมาก่อนก็มีความเคยชินในการคิดไปทางต่ำ นั่นคือสภาพจิตมันต่ำของมันเป็นธรรมชาติด้วยอำนาจกิเลสตัณหาที่สะสมอยู่ในจิตใจ กิเลสตัณหาคือความเคยชินของจิตที่เสพคุ้นอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ อิจฉา พยาบาท อย่างไม่สร่างซา เมื่อจิตได้รับการติดต่ออารมณ์ภายนอกจาก ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้รับสัมผัส มันจะตวัดคิดไปตามความเคยชินที่มันเคยคิด การได้พบเห็นในสิ่งเดียวกันของคน 10 คน ย่อมทำให้คนทั้ง 10 คนคิดไปคนละอย่าง เพราะความชำนาญคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้หญิงกับผู้ชายเห็นสิ่งเดียวกันมักคิดแตกต่างกันมากกว่าเพศเดียวกับพบเห็นสิ่งเดียวกัน ทั้งนี้เพราะแรงกระตุ้นของผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกัน

    ยางรถเปรียบเหมือนศีล ยางไม่ได้เติมลมกับยางแตก ก็เหมือนคนที่ไม่มีศีล ไม่มีสัจจะ มีชีวิตอยู่ในโลกอย่างขาดดุลยภาพ จิตใจจะร้อนรนกระวนกระวายมากกว่าคนมีศีล หาความสุขได้ยากกว่าคนมีศีล ต่อให้เขามีทรัพย์สมบัติมหาศาล มีอำนาจล้นฟ้า แต่ถ้าขาดศีลเสียแล้วเงินทองและอำนาจก็จะสร้างทุกข์ให้เขาเพิ่มมากขึ้น เพราะทั้งสองอย่างจะสร้างความฟูความฮึกเหิมในจิตได้มากกว่าคนอื่น ๆ เขาจึงทำตามความปรารถนาได้มากกว่าคนอื่น ก็ความปรารถนาของคนไม่มีศีลมันล้วนเป็นความปรารถนาลามกต่ำทรามทั้งสิ้น ดังนั้นการที่คนเราเกิดมาบนกองเงินกองทองและอำนาจบารมีก็หาใช่เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าจิตไม่สูงพอมันก็ทำให้หลงใหลอยู่กับกิเลสตัณหา จิตใจใฝ่ต่ำด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาและความสามารถทำได้ตามใจชอบ ก็เลยเกิดมาเพื่อทำลายคุณงามความดีของตนสถานเดียว

    ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ผู้มีอำนาจล้นฟ้าเราจะพบว่าชีวิตของเขาหาความดีแทบไม่พบ คนก็เกลียดกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ด้วยอำนาจของประเพณีนิยมที่สะสมกันสืบมาจึงจำทนจำยอมรับสภาพที่มันเป็น ไม่กล้าแตะต้อง ลองอ่านนิยายอิงประวัติศาสตร์จีนดูสักเรื่องสองเรื่องก็จะเห็นจริงในข้อนี้

    น้ำมันรถคืออะไร น้ำมันคือเชื้อเพลิงใช่มั้ย ถ้าเชื้อเพลิงมีมากรถก็ไปได้ไกล มีแรงขับเคลื่อน ดังนั้นเชื้อเพลิงของชีวิตคือบุญกุศล ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา จะเป็นที่ทำในชาตินี้หรือทำมาแต่ชาติปางก่อน ล้วนเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนชีวิตทั้งนั้น สังเกตดูคนที่เกิดมาลำบากยากจน ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ก็เพราะขาดเชื้อเพลิงชีวิตนั่นเอง ขาดบุญเก่าเกื้อหนุน ขาดบุญใหม่ส่งเสริม บุญนั่นแหละที่สร้างให้คนโง่หรือฉลาด บุญนั่นแหละที่ทำให้คนมีที่พึ่งหรือขาดที่พึ่ง บุญนั่นแหละที่ทำให้คนขยันหรือขี้เกียจ ก็ความฉลาด มีที่พึ่งพิงผู้ช่วยเหลือ และความเป็นคนขยันขันแข็งมิใช่หรือที่ทำให้คนจนกลายเป็นคนรวยได้

    เครื่องยนต์คืออะไร ถ้าชีวิตคือรถยนต์ทั้งคัน สิ่งที่ทำให้รถเคลื่อนไปได้คือเครื่องยนต์ ดังนั้นเครื่องยนต์ก็คือจิตนั่นเอง ก็ชีวิตคนมันคือรูปกับนาม ร่างกายกับจิตใจ จิตใจนั้นแยกออกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนั้นตัวขับเคลื่อนชีวิตคือ 4 อย่าง รวมเรียกว่าจิตหรือใจ คนบ้าคือรถที่เครื่องยนต์ชำรุดเสียหาย คนโง่คือรถที่เครื่องยนต์ชำรุดเสียหาย คนไม่มีสติปัญญาคือรถที่เครื่องยนต์ชำรุดเสียหาย คนบ้า คนโง่ คนไร้สติปัญญา สามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างไร้ประสิทธิภาพ จะทำได้ดีอย่างเดียวคืออาชีพขอทานเท่านั้น นั่นเปรียบเหมือนรถยนต์เครื่องชำรุดก็จอดทิ้งไว้ในอู่เท่านั้น แต่ชีวิตคนปกติ ถ้าไม่เช็คและซ่อมจิตใจเสียก่อนก็จะทำให้จิตชำรุดจนกลายเป็นรถยนต์ที่เครื่องชำรุดจนไม่สามารถวิ่งได้ แล้วเราจะเช็คเช็คเครื่องยนต์คือจิตใจได้ที่ไหนอย่างไร ใครคือช่าง อู่ซ่อมรถที่ดีที่สุดคือคลังธรรมะ หนังสือธรรมทุกชนิด ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนศีลธรรม และชี้นำชีวิต ครูอาจารย์ที่นำปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าใครรู้ตัวว่าสติเริ่มจะแตกแล้ว จิตใจสับสนขนาดหนัก จิตฟุ้งซ่านขนาดหนัก ท่านต้องเข้าอู่ยกเครื่องจิตใจเสียใหม่ด้วยการฝึกจิต หาดูว่าครูอาจารย์ผู้ทรงคุณธรรมอยู่ที่ไหน รีบเข้าสำนักติวเข้มทันที อย่างน้อยสัก 1 เดือนก็ยังดี

    คนขับที่เมาตลอดทางคือจิตที่สับสน ขาดสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ต้องติวเข้มตัวเองด้วยหลักธรรมกรรมฐานเช่นกัน

    ถ้ารถคันใดมีส่วนประกอบที่สมบูรณ์คือเครื่องยนต์ดี ล้อดี เชื้อเพลิงพร้อม แบตเตอรี่พร้อม รถคันนั้นก็แล่นฉลิวปลิวลม ไปสู่จุดมุ่งหมายได้แน่นอน
     
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    คนเดินทางประเภทที่ 3.
    เขารู้ว่าจะเดินทางไปเหนือสุด เขามีความตั้งใจดีมาก จึงนำรถเข้าอู่อย่างดี ตรวจเครื่องยนต์ เบรก น้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันเต็มถัง ชาร์ตแบตเต็ม เปลี่ยนยางใหม่อย่างดี รถมีความพร้อมเต็มที่ เขาก็ขึ้นรถสตาร์ท แต่ไม่ออกวิ่งไปไหนเลย ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้ว่าทิศเหนืออยู่ทางไหน ก็เลยสตาร์ทเครื่องเปิดแอร์นั่งเย็นสบายอยู่ในรถ จนน้ำมันหมด แบตเตอรี่หมด ยังอยู่ที่เดิม ในอู่ใหญ่นั่นแหละ


    คนบางคนเป็นคนดี ตั้งใจทำดี แสวงหาทางบริสุทธิ์ เขาก็ตั้งใจที่จะเดินไปสู่จุดหมายคือความบริสุทธิ์นั้น แต่เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจว่าจิตบริสุทธิ์นั้นคืออย่างไร นิพพานคืออะไร เขาก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะในยุคแสวงหา เขาฝึกจิตไปตามแนวทางฤาษีชีไพร ทำจิตให้สงบแน่วแน่นิ่งจนไม่รู้สึกอะไรเลย สามารถอยู่ในฌานสมาบัติได้หลายวันหลายคืน มีความสุขอยู่กับความสงบนั้น ก็ปฏิบัติเข้า ๆ ออก ๆ อยู่กับฌานสมาบัตินั้นจนสิ้นอายุขัย ตายแล้วไปเกิดเป็นมหาพรหม ถ้าตายในฌานก็ไปเกิดเป็นพรหมลูกฟัก ยากนักหนาที่จะเกิดมาพบพระพุทธเจ้าเพื่อทำให้แจ้งในอริยมรรคจนสิ้นกิเลสตัณหา

    คนเดินทางประเภทนี้เป็นผู้วิเศษ เพราะมีพลังจิตสูงส่ง สามารถทำอะไรก็ได้ รู้จิตรู้ใจคน รู้ภพอิ่นภูมิอื่นราวกับเทพยดา แสดงฤทธิ์ได้ มีคนให้ความเคารพนับถือทั้งแผ่นดิน มีคนมอบตัวเป็นศิษย์ทั้งแผ่นดิน ก็สั่งสอนศิษย์ไปตามแนวทางที่ตนเองปฺฏิบัติ ศิษย์ทั้งหลายก็ถึงนิพพานแบบที่ตัวเองถึง แต่มันคนละนิพพานกับที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เมื่อตายจากมนุษย์ก็ไปเกิดเป็นพรหมระดับสูง มีอายุหลายกัปหลายกัลป์ และพึงพอใจในความเป็นพรหมนั้น

    ผมว่าหลายคนที่อ่านก็น่าจะพึงพอใจแบบนั้นเหมือนกันนะครับ
     
  6. CHAN99

    CHAN99 CHAN

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +331
    ขอขอบคุณท่าน kingkong1 ที่นำธรรมะดี ๆ มาเผยแพร่ครับ
     
  7. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ขอบคุณครับคุณโรบิิน ระยะนี้ความขี้เกียจรุกคืบเลยไม่มีอารมณ์จะขีดเขียนสิ่งไร อยู่ว่าง ๆ เดิน ๆ นั่ง ๆ มันสบายใจก็เลยไม่อยากปรุงสิ่งไรแบบเจตนา คือจิตคนเรานี่มันปรุงเป็นธรรมชาติ เรามีหน้าที่เฝ้าดูมัน เรียนรู้มัน แต่ไม่มีเจตนาที่จะปรุงให้เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าเรามีเจตนาที่จะปรุงมันเป็นภาระที่หนัก ถ้ามันปรุงของมันเองก็ไม่ถือว่าเป็นภาระ แต่เป็นธรรมชาติของมัน ถ้าเราขยันเฝ้าดูอาการปรุงมันจะค่อย ๆ บางเบาลงเรื่อย ๆ มันเหมือนความคิดของเราช้าลง เช่นเดียวกับเราฟังฝรั่งพูด ถ้าเราไม่เคยฟังเลยแล้วมาฟังเราจะฟังไม่ทัน ฝรั่งพูดเร็วจัง แต่ถ้าเราฟังทุกวี่วันเราก็ฟังทันว่าฝรั่งพูดว่าอะไร พอเข้าใจเป็นธรรมชาติมันก็เหมือนฟังและพูดภาษาของเรา ภาษาจิตก็เช่นกัน ถ้าฟังมันทุกวันก็ฟังทันและรู้เท่าทันเวลามันคิดมันปรุงว่ามันเป็นไปในแง่ไหน กิเลสชนิดไหนดันให้มันคิด และดับทันก่อนที่มันจะดันให้ก่อกรรมทางกาย วาจา
     
  8. พรีมพรีม

    พรีมพรีม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +273
    เข้ามานั้งอ่านระหว่างเด็กน้อยหลับ อ่านไปได้หลายหน้า อ่านจบบ้าง ข้ามบ้าง สนุกดีค่ะ มีธรรมะที่อ่านแล้วสนุกกะว่าจะให้ลูกๆมาอ่านบ้าง ขอบคุณค่ะ ที่ลงเรื่องราวดีๆมาให้อ่านค่ะ
     
  9. ยี่แปะกง

    ยี่แปะกง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +272
    รออ่านประสพการณ์ต่อครับ
     
  10. ptp_jaggrid

    ptp_jaggrid สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    เห็นด้วย ครับ ที่พระพุทธศาสนา อุบัติที่เมืองไทย
     
  11. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    จขกท หายไปไหน หรือไปเข้ากรรมกับท่านครูบาทั้งหลาย เป็นปีแล้วนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...