จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    มัวแต่ยึดอดีต วิ่งแก้ไขอดีต ไม่ดูปัจจุบัน ชีวิตย่อมพบกับสิ่งที่ผิดพลาดเสมอ ๆ โดยเป็นบทเรียน บททดสอบ สอบตกซ้ำชั้นเสมอ ๆ
     
  2. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    สำหรับภายนอก หรือผู้ที่รับรู้ในมุมของส่วนรวม คือที่กระทู้ก็ดี ที่เว็บบอร์ดต่างๆ ก็ดี
    จะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ว่า ผู้โพสท์ข้อความนั้นๆ รู้สึกนึกคิดอย่างไร
    หลังจากที่ตนได้โพสท์ข้อความต่างๆ ลงไปแล้ว
    ซึ่งบางทีมันก็ก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือเข้าใจผิด ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่นได้


    แต่สำหรับภายในจิตใจ มันไม่มีใครมารู้กับเราหรอกว่า เรารู้สึกอย่างไรที่ต้องการลบโพสท์นั้น
    ที่พยายามอธิบายแบบงงๆ มาเนี่ย ต้องการจะบอกว่า
    "จากการสังเกตจิตตนเองแล้ว ส่วนใหญ่ถ้าเกิดมีการโพสท์แล้วอยากลบข้อความ นั่นแปลว่า
    เรารับไม่ได้ และกำลังหนีความจริง ในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่"
    ซึ่งไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันเปล่า จึงอยากมาเล่าให้อ่านกันผ่านๆ


    เราเคยสังเกตตัวเองหลายครั้งว่า
    ถ้าโพสท์ไหน หรือคำพูดอะไร กระทบเรา หรือกล่าวถึงเรา แล้วเราผ่านได้ จิตเราก็ไม่มีปัญหาอะไร
    แต่ถ้าโพสท์ไหน จิตเรารับไม่ได้ มันจะมีอาการร้อนรน หรือนิ่งไม่ได้ จะมีการอยากให้ลบ หรือแก้ไขโพสท์นั้น ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องธรรมดาก็เถอะ
    นี่คือมันหนีความจริง จิตเรามันหนีความจริง


    เมื่อเรารู้ตัวว่าจะโพสท์อะไร แล้วย่อมผ่านการคิด
    เมื่อคิดแล้วจึงตัดสินใจโพสท์ แต่พอโพสท์แล้วดันรับไม่ได้
    นั่นล่ะ คือ จิตมันไม่ยอมรับความจริง แล้วปฏิเสธทุกอย่างด้วยการลบล้างสิ่งที่มันทำให้จิตเราหม่นหมอง เพราะแค่มันเป็นความจริง


    นี่ไม่ใช่ธรรมทาน ไม่ใช่การสอน หรือให้ธรรมะ
    แค่เป็นสิ่งที่สังเกตจิตตนเอง แล้วมาเล่าให้อ่านเท่านั้น
    อย่าคิดมาก หรือร้อนตัว ถ้าบทความนี้มันไปกระทบใคร
    เพราะยิ่งเจอคนมากมายเท่าไร ก็เหมือนกับเจอกิเลสโลกเท่านั้น
    การเรียนรู้ในที่สาธารณะ มันก็สนุกดี เหมือนกับห้องเรียนในจิตตนเช่นกัน
    แต่ทั้งนี้มันก็มีเหตุที่จิต และดับที่จิตตนเช่นกัน ไม่เกี่ยวใคร
     
  3. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ตรงนั้นข้ามไปได้เลย ไม่มีความหมาย

    เข้าใจผิดแล้ว การเอาอดีตมาแก้ไขในปัจจุบัน ไม่ใช่การยึด

    โดยเป็นบทเรียน บททดสอบ ย่อมเป็นหนทางเลื่อนชั้นเสมอๆ

    เอาน่าผมเข้าใจ อ.เพ็ญ ผู้มีสถานะเป็นครูใหญ่

    หากจะทำตามสิ่งที่ผมแนะนำ ให้แก้ไขข้อความ ย่อมจะเสียลุคผู้นำ เป็นแน่
     
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    แน่ะรู้ใจคนอื่นด้วย แต่ทำไมไม่ยักรู้ใจตัวเอง
     
  5. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อ.เพ็ญ ครูผู้สอน ย่อมต้องมีทัสสะเป็นหลักอยู่แล้วว่า

    หากผู้จะรู้ใจผู้อื่นได้ คนๆนั้น เขาต้องย่อมรู้ใจตนเองดีก่อนเป็นอย่างดี

    จิตมีราคะ ก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตมีโมหะก็รู้ เป็นต้น เชื่อว่า อ.เพ็ญครูผู้สอนย่อมผ่านจุดนี้มาแล้ว

    รู้ใจตน ย่อมรู้ใจผู้อื่น คือ สิ่งเดียวกัน เป็นผลพลอยได้

    แต่ทำมั้ย มองผมเป็นถั่วแปบ ถั่วลิสง เป็นขอมดำดิน ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    จากตรงนี้เคยสังเกตตนเองเหมือนกันว่า การที่อยากแก้ไขอดีต ส่วนใหญ่ก็มาจากจิตที่มันยังยึดติดกับเหตุตรงนั้น ซึ่งมันรับความจริงไม่ได้ ตามที่กล่าวโพสท์ก่อนหน้านี้
    แต่สำหรับตอนนี้ จิตเรามักจะดูเหตุ หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมยอมรับในปัจจุบันด้วยการมีสติและจิตอยู่ ณ ปัจจุบัน มากกว่าไปแก้ไขอดีต

    เข้าใจว่าที่ครูเพ็ญกล่าวมานั้นต้องการให้เราอยู่กับปัจจุบันมากกว่า เพราะถ้าเรามัวแต่ไปแก้ไขอดีต ปัจจุบันของเรามันก็จะไม่ดี
    เพราะเรารู้ว่า อดีตของอนาคต ก็คือปัจจุบัน
    ถ้าเราทำปัจจุบันให้ดี อดีตของเราที่ผ่านมาก็แทบจะไม่มีความหมายเลย เพราะเราได้ทำดีที่สุดแล้ว
    แต่ถ้าจิตเรามันหนีความจริง (ปัจจุบัน) แล้วพยายามไปแก้ไขอดีต ย่อมสอบตก ซ้ำชั้นกับเรื่องเดิมๆ เสมอ เพราะหนีความจริงทุกครั้ง และอยากแก้ไขเรื่องต่างๆ อยู่ร่ำไป






    ยึด-ไม่ยึด กาลเวลา ผ่านแล้วก็ผ่านไป
    แก้ไขได้-ไม่ได้ จึงไม่เกี่ยวกัน เพราะมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่จิตเราว่าเข้าไปทำอะไร
    ณ กาลไหน

    หากมันเป็นการที่ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ใคร่อยากจะทำ
    เพราะบทเรียนต่างๆ ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขอดีตเพื่อเรียนรู้
    แต่ถ้าอยากเรียนรู้จากอดีต ก็ทำได้แค่มอง ให้รู้
    ดูให้เห็นสัจธรรม หรือความจริงที่มันเกิดขึ้น ด้วยการมองอยู่ปัจจุบันเท่านั้นเอง

    นี่คือสิ่งที่เราดูตนเอง แล้วสังเกตได้ จากการเรียนรู้เรื่องเหล่านี้
    เห็นหลายท่านกำลังคุยกันเรื่องนี้ จึงอยากมาโพสท์กับเขาบ้าง
    ไม่ได้มาอะไร กับใครทั้งนั้น แค่โพสท์ให้อ่านผ่านๆ อย่าคิดมาก


    ส่วน "ลุคผู้นำ" ใครเขาอยากจะยึด ก็ยึดไป, ใครอยากจะเสียก็เสียไป
    แต่ ณ ตรงนี้ คงไม่มีใครไปรู้จิตใครได้มากมาย
    แต่บางทีการที่ไปกล่าวแบบนั้นก็อาจเป็นการไปล่วงเกินจิตท่านหรือเปล่า?
    เพราะเราไม่รู้ว่าท่านกลัวจะเสียลุคผู้นำจริงไหม?
    บางทีการแซวกันมากเกินไปก็ล่วงเกินจิตผู้อื่นเสียจนเกินงามไหม?


    (ไม่รู้ .. พิจารณากันเองเด้อ
    นี่คือ "ความคิดเห็น" ของคนๆ นึงเท่านั้น)
     
  7. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เดี๋ยวผมขอตัวก่อนล่ะ พอดีมีธุระ

    ขอบคุณครับ อ.เพ็ญ ที่ร่วมสนทนา
    ---------

    ว่าแต่คนเกาหลี คนข้างบนนั่น มาเอี่ยวอะไรด้วย

    อากาศเปลี่ยนแปลงรักษาสุขภาพด้วย (ไม่ได้อ่านทุกตัวอักษร ต้องขออำภัย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  8. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    จะเอี่ยวอะไร?
    มีอะไรให้เอี่ยว?
    เอี่ยวไปทำไม?
    "เอี่ยว" คืออะไร?


    ในเมื่อทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสนทนาได้เท่าเทียมกัน
    ไม่ใช่ต้องขึ้นอยู่กับใครสักหน่อย

    อยากคุยเรื่องอะไรก็คุยได้ แม้จะไม่ต่อเนื่องกัน
    แต่มันก็มีเจตนาที่ดี ที่อยากมาคุยกัน
    ไม่ใช่แค่ตัวท่าน หรือตัวใครเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะออกความคิดเห็นหรือพูดคุยกัน

    ตัวเราเองก็เป็นเด็กคนนึง อาจจะไม่ได้เรียนรู้ธรรมอะไรมาก
    แต่ก็อยากคุยด้วย อยากโพสท์ในสิ่งที่เจอมาด้วย มันผิดไหมล่ะคะ??
    คิคิ

    มันจึงไม่เกี่ยวว่าใครจะมา "เอี่ยว" หรือไม่
    เพราะที่นี่ทุกคนเท่าเทียมกัน พูด-แชร์ อะไรก็ได้ที่มีเจตนาที่ดี มีเรื่องราวที่ดีต่อกัน มันไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวของใครสักคน ทุกคนจึงมา "เอี่ยว" ได้หมด (ไหม? ฮ่าๆ)
     
  9. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=cZsGpsLzdYw&feature=player_detailpage#t=109s]อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ.wmv - YouTube[/ame]
    เวลาที่ออกสนามรบ กลับมาเหนื่อยๆ พี่ขอเป็นแผนกปฐม พยาบาล นะที่รัก...มันง่ายดี ...จำได้ไหม๊!!...เด่วนี้พี่ถูกใจสิ่งนี้มากเลย จิตนิ่ง มันง่าย แต่ จิตไม่นิ่ง มันยาก ...อิอิ คิดเถิงเจ้าของสโลแกนด์ นี้จัง ไม่รู้พายเรือไปไหนแร้ว..555​
     
  10. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อันตัวข้าพเจ้านี้มันโง่หลาย ๆ ภาษาปริยัติก็ไม่รู้เรื่อง ภาษาใบ้ก็ไม่รู้เรื่อง ภาษาใจก็ไม่รู้เรื่อง ภาษาจิตก็เสาอากาศไม่ดี ยิ่งภาษาถั่วแปบ ถั่วลิสง ภาษาขอมยิ่งไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ เห็นไหมว่าข้าพเจ้านี้โง่ขนาดไหน ผลพลอยได้ไม่เคยมี มีแต่ขวยขวายหามาเอง พอหามาได้ก็ต้องเทกระจาดคืนเขาไป ไม่มีอะไรอยู่ให้ยึดสักอย่าง แล้วไยท่านจึงมายกให้เป็นครูใหญ่ แถมให้ไปรู้ใจผู้อื่นอีก ตอบแบบหน้าด้าน ๆ เลยว่าไม่รู้ใจใครสักคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  11. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    โมทนา สาธุ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คาถาเรียกจิต..ยามฟุ้งซ่าน (กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว)
    ----------------------------------------------------------------------
    เมื่อถึงเวลาเจริญพระกรรมฐานตอนกลางคืนจิตมันซ่าน ทำสมาธิไม่ค่อยทรงตัว และก็นอนไม่หลับ ได้ผลไม่แน่นอน แล้วก็นอนไม่หลับ จิตมันด๊อกแด๊กๆ ส่ายไปส่ายมา คุมอยู่เหมือนกัน แต่มันคอยจะไหลซ้ายไหลขวา นี่มันก็ต้องเกี่ยวกับร่างกาย

    ท่านบอกว่ากลับมาวันนี้ได้พบอิตถี.. คือผู้หญิง เป็นอันว่าตอนกลางวันท่านพบผู้หญิงสาวๆ ท่านก็ขึ้นไปมาก ขึ้นไปท่านไม่ขึ้นไปเหล่า.. ท่านไปยั่วไปเย้า.. โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านก็ไปชวนสึก..

    ก็ดีเหมือนกัน.. วันนี้ทำไมใจมันจะเกิดสู้เขาไม่ได้ก็ไม่รู้.. แต่ก็ไม่ถึงกับสู้ไม่ได้.. ใจมันเริ่มรวน..

    อันนี้ขอท่านทั้งหลายจำไว้ให้ดีนะ.. การเจริญพระกรรมฐาน ถ้าจิตมันยังไม่ถึงที่สุด..* คือ ยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด.... อารมณ์ซ่านของจิตยังมีอยู่..

    แต่ว่าท่านผู้บันทึกท่านบอกว่า.. มันซ่านก็จริงแต่ว่าจิตยึดกุศลเป็นสำคัญ แล้วก็ทรงตัวไม่ค่อยได้ มันพยายามส่ายออกท่านั้นท่านี้

    แล้วเวลาที่เจริญพระกรรมฐานในคืนวันที่ ๒๔ ท่านจึงได้มาโปรดเมตตาบอก.. ท่านบอกว่าให้ทำให้แจ้งด้วย.. ทำทุกขณะจิตที่จิตพล่าน หมายความว่าคาถาบทเมื่อกี้นี้ คาถาที่บอกว่า

    "อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง"

    ถ้าเวลาใดที่จิตเกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมา.. ให้ทิ้งคำภาวนาอย่างอื่นเสียให้หมด.. กำหนดลมหายใจเข้าออก ว่าคาถานี้ตามสบายๆ กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว.. จำเข้าไว้ให้ดีก็แล้วกันนะ

    ผมขอว่าซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า "อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง"... แล้วอย่าย่องเอาคาถานี้ไปเรียกผู้หญิงเรียกผู้ชายเข้านะ เขาไม่มาหรอก ..เรียกจิตของเรา...
    ----------------------------------------------------------------------
    จาก... หนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า (ตอนที่ ๒๐)
    โดย... พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
     
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    ให้ใจเย็นๆ อันใดไม่ใช่ภาระให้ปล่อยวาง งานใดที่เป็นหน้าที่ก็จงทำให้ดีที่สุด อนึ่ง อย่ากังวลใจกับเหตุการณ์ข้างหน้า อะไรจักเกิดมันก็ต้องเกิด ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เท่าที่จักทำได้ รักษาร่างกายของตนเอาไว้ให้ดีด้วย มิใช่เพื่อใคร แต่เพื่อระงับทุกขเวทนา และเพื่อให้จิตผู้อาศัยอยู่ได้มีโอกาสกระทำความดีสืบไปเบื้องหน้า ให้พยายามทำดีที่สุดตามหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานี้เท่าที่จักทำได้ แล้วจิตจักได้พบกับความหลุดพ้นไปได้ในที่สุด

    อดทนกับสภาวะขันธ์ ๕ อย่างนี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่นานชีวิตนี้หมดไป ก็จักต้องรักษากำลังใจปล่อยวางอุปาทานขันธ์ ๕ จึงจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ ตายเพื่อที่จักไม่ต้องกลับมาเกิดอีก แต่ถ้าตายเพียงร่างกาย แต่จิตใจยังเกาะติดอุปาทานขันธ์ ๕ จิตก็ไม่พ้นจากกิเลส ก็จักต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก รักษากำลังใจให้ทำหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียวจักขาดทุนมาก ในเวลาที่ป่วยอยู่นี้ ให้พิจารณาปล่อยวางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกแยะออกมาว่ามันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน จักได้ประโยชน์มาก เป็นการชำระจิตให้คลายการเกาะติดในขันธ์ ๕ เนื่องด้วยรูปในเวลานี้ประกอบด้วยธาตุ ๔ ไม่ทรงตัว จึงก่อให้เกิดทุกขเวทนาให้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้เด่นชัด การพิจารณาเวทนาจึงเท่ากับเห็นของจริงในเวลานี้ แล้วพิจารณาดูสัญญาคือความจำว่ามันป่วยวันนี้หนักกว่าเมื่อวานนี้ สัญญาทำงานอยู่อย่างนี้ สังขารอารมณ์ปรุงแต่ง ถ้าเห็นธรรมตามความเป็นจริง ร่างกายมันป่วยก็ป่วยไป รักษาอารมณ์อย่าให้ฟุ้งปรุงแต่งไปตามกิเลส วิญญาณเวลานี้อายตนะบอกเวทนาสัมผัสชัด ไม่ว่าจักเป็นอาการเพลีย อาการมึนศีรษะ อาการชาต่างๆ นี้ใช่เราหรือไม่ พิจารณาไปอยู่อย่างนี้จักเป็นของจริง เนื่องจากผจญอยู่กับความจริง ให้เห็นสภาวะจริงๆ ของขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และมีอนัตตาไปในที่สุด มันไม่ใช่ตัวตนของเรา หรือของใคร จิตใจต้องพยายามละ หรือตัดปล่อยวางตลอดเวลา และรักษาอารมณ์ให้ผ่องใสตลอดเวลาเช่นกัน ยอมรับกฎธรรมดา อย่าเศร้าหมอง ฝึกฝนกันเอาไว้ แล้วจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย

    ให้พยายามแก้ไขปัญหา ดีกว่าคิดแก้ตัว ใครจักว่าอะไรก็ช่างมัน อย่าไปแก้ไขคน ให้เห็นธรรมดาของคนให้มาก ๆ แล้วจักลงธรรมดาได้ง่าย ร่างกายเกิดแล้วก็ดับ อายตนะภายในก็เกิดแล้วก็ดับ อายตนะภายนอกก็เกิดแล้วดับ จับเอามาเป็นแก่นสารหรือพิจารณาธรรมให้เป็นธรรม จนจิตใจเป็นธรรมก็จักเห็นธรรมเป็นที่แทงตลอดเมื่อนั้น โลกร้อนไปด้วยกิเลสตัณหา-อุปาทาน-อกุศลกรรม ร้อนด้วยโมหะ-โทสะ-ราคะ อันเป็นธรรมดาของโลก จิตผู้ที่จักพ้นไปจักพยายามสงบเยือกเย็น ไม่เร่าร้อนไปกับโลก ผู้ที่จักพ้นไป(จากโลก) จักไม่ตำนิโลกและไม่ตำนิกรรม

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๒ หน้า ๒๖
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  14. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    จอบอ จบเลยอย่างนี้ อ.เพ็ญ นี่หากไม่นับถือให้เกียรติกัน จะไม่โพสข้อความนี้เป็นอันขาด

    เพราะอะไร เราเจริญกรรมฐาน เพื่อกำจัดความโง่
    คือ อวิชชา อกุศลที่มันพุ่งพล่านภายในจิตใจ คือ นิวรณ์

    เพื่อระงับ เพื่อรู้ทัน เพื่อชำระในสิ่งเหล่านี้ นิวรณ์ เป็นบ่อเกิดแห่งสังโยชน์

    ดังนั้น หากระงับ รู้ทัน และชำระได้ในสิ่งเหล่านี้ จะมาบอกว่า ตนยังโง่อยู่ได้อย่างไร
    เพราะวิชชา คือความฉลาด คือความรู้ เป็นญาณ
    เพื่อการดับรอบในสังขารทั้งปวง ที่เกิดขึ้นแก่คนๆนั้น
    เมื่อความรู้เหล่านี้ เกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว คนๆนั้น ย่อมไม่ชื่อว่าเป็น คนโง่ หรอกครับ

    "หิรัญม้วนแผ่นดิน" ยังไม่เท่ากับ "การม้วนเสื่อ" เลยนะขอรับ

    คนเป็นครู ย่อมต้องรู้จริตวาสนานิสัย ลูกศิษย์ดี
    เพื่อชี้แนะแนวทาง การเจริญพระกรรมฐาน ให้ยิ่งขึ้นไป
    เพราะครูย่อมรู้ใจตนเองดีมาก่อนแล้ว เพราะต้องผ่านการพิจารณาตามด้วย สติ สมาธิ ปัญญา
    ในการถ่ายถอนกิเลส ที่เกิดขึ้นกับจิต และดับลงที่จิต

    ดังนั้น สรรพสัตว์ทั้งปวงในโลกนี้ ที่เป็นไปด้วยอุปทานขันธ์ ย่อมมีกิเลสตัวเดียวกัน
    เมื่อรู้ใจตนดีในสิ่งที่่่เดินผ่านมา เหตุใดจึงบอกว่า ไม่รู้ใจใครเลยสักคนล่ะครับ

    ภาษาปริยัติ หรือภาษาใดๆ ก็เป็นสิ่งสมมุติ ทั้งนั้น
    แต่หากเพราะภาษาปริยัติ ก็ล้วนออกมาจากภาษาใจ
    ที่บัญญัติขึ้น ให้ได้เรียนรู้ ให้ได้ศึกษาและปฏิบัติในแนวทาง เพื่อถึงซึ่งวิมุติ

    ส่วนที่เรียกว่า ครูใหญ่นั้น ก็จะตอบเป็นภาษาตรางูแล้วกันว่า porjai ที่จะเรียกครับ

    แหม๋ๆ... อ.เพ็ญ อย่ามาถ่อมตน อย่ามาหลอก ให้ผมม้วนเสื่อเลย ผมไม่โง่หลอก ^^

    โมทนาในกุศลจิต เช่นกันขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ตรงนี้ไง ก็อย่างที่เคยโพสไว้ ในหน้าที่แล้ว #11149 ว่า :

    "การเอาอดีตมาแก้ไขในปัจจุบัน ไม่ใช่การยึด

    โดยเป็นบทเรียน บททดสอบ ย่อมเป็นหนทางเลื่อนชั้นเสมอๆ"


    นี่ไง "อ.เพ็ญ" อย่างที่คุณ "อุษาวดี" เอามาลงในกระทู้

    เป็นแนวทางการปฏิบัติของครูบาอาจารย์ ย่อมผ่านอุปสรรคมาแล้วทั้งนั้น

    โดยเอาอดีตมาแก้ไขในปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่การยึด การเกาะ

    จะเห็นได้ว่า ใช้คำบริกรรม มาแก้ไขจิตเสื่อม ที่ถูกมาร ชักนำชวนให้สึก

    เติมเต็มที่นี่ : ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ตอนที่ ๒๐ จาก คำสอน พระราชพรหมยาน
     
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    หงษ์ ย่อมคู่กับ มังกร ฉันใด

    "อ.ภู" ย่อมบอกกับ "อ.เพ็ญ" ว่า

    สู้..!!! เพื่อ..."........" ฉันนั้น

    <embed src="http://www.youtube.com/v/95x3Z9wHqJQ?hl=th_TH&amp;version=3&autoplay=1" type="application/x-shockwave-flash" width="250" height="25" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed>

    <IMG src='http://board.postjung.com/data/522/522420-topic-ix-0.jpg' width=150>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  17. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    สวัสดีครับ คุณ ◎ (คุณ วงแหวน)

    ผมขอตอบคำถามที่ว่า การฝึกจิตเกาะพระ ดีอย่างไร

    การฝึกจิตเกาะพระ ดีที่ไม่ใช้ คำภาวนา แต่ใช้การจดจำภาพพระพุทธเจ้า
    และนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ จนรู้สึกถึงพระพุทธเจ้าได้ตลอดเวลา

    ซึ่งตรงกับสุภาษิตที่ว่า "สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น" ครับ
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    "สิบตาเห็น ไม่เท่าใจสัมผัส"

    ทำได้อย่างนั้นก็ดีแล้วครับ

    ทุกข์ทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ ไม่ใช่ตัวตนเราเขา

    ใดๆก็ไม่พ้นกฏแห่งไตรลักษณ์ไปได้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีสติตามรู้ไปเนืองๆ
     
  19. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    สวัสดีครับคุณสุญญ
    การปฎิบัติธรรม"จิตเกาะพระ"นั้นก็เป็นการเดินอริยมรรค(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)เหมือนกับสายอื่นทั่วๆไปนั่นเอง
    ขั้นศีลและมหาสติปัฏฐาน4ก็ปฎิบัติตามคัมภีร์(เหมือนๆกันกับสายอื่นๆ)
    จะมีความต่างกันก็ตรงเรื่องสมาธิเท่านั้นเอง กรรมฐานที่เลือกใช้ในการปฎิบัติ
    ความเด่นก็คือ"การทรงฌานสูงตลอด24ชม."(โดยกรรมฐานพุทธานุสสติ+กสิณ)
    แยกกายแยกจิตโดยมีสติเป็น"ผู้กำกับ" สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาและก็ทุกๆอริยบทตลอด24ชม.
    เพื่อเสริมสร้างกำลังแห่งฌานสมาบัติ(ที่มีความเข้มแข็งอย่างมากและต่อเนื่อง)เพื่อเป็นบาตรฐานในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพื่อตัดสังโยชน์ได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ

    ผู้ปฎิบัติหลายๆท่านได้เจริญสติปัฏฐาน4 กาย-เวทนา-จิต-ธรรมมาหลายๆปี เป็นบุคคลที่มีสติรวดเร็วดีมากๆ(กระทบปั๊บ-รู้ทันที) หากแต่กำลังฌานสมาบัติบาตรฐานมันต่ำเกินไป(ทรงแต่ลักขณูปนิชฌานฝ่ายเดียว) ท่านจึงตัดกิเลสได้ไม่เด็ดขาด ทำได้แค่เพียงเบาบางลงเท่านั้นเอง (แล้วก็บอกกับตนเองว่า เออ..ทำไปทำไป คงจะสำเร็จเข้าซักวันนึงน่ะ) แต่กายก็ยังต้องทำกิจการงานทางโลกไป(แอบคิดว่าหมดกรรมเมื่อไร ตรูจะหนีไปบวชแล้วก็เอาจริงมันตอนนั้นแหล่ะว้า..555 ไม่รู้จะตายก่อนหรือเปล่า?กว่าจะหมดกรรมทางโลกน่ะ)

    หลักง่ายๆก็คือ
    สติ-ต้องตั้งมั่นอยู่ตลอดอย่างต่อเนื่อง ปราดเปรียวว่องไว
    จิต-ต้องสงบนิ่งด้วยการทรงฌานอยู่ตลอด24ชม.
    ทั้งสองส่วนจะหนุนเนื่องซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา
    แล้วก็จึงนำไปวิปัสสนาจนกระทั่งเกิดวิปัสสนาญาณ/ปัญญาญาณ
    ในฐานะฆารวาสอย่างเราๆท่านๆที่ยังจะต้องมีภาระกิจอยู่ประจำ(สรุปว่าเวลาปฎิบัติธรรมมีน้อยน่ะ)
    ประเด็นก็คือ หากมีทางเลือกที่มันสามารถปฎิบัติแล้วบรรลุเป้าหมายขั้นสูงได้ โดยที่เราๆท่านๆก็ยังสามารถประกอบกิจการงานตามปกติไปได้โดยไม่ขัดแย้งกัน(คือtwo in oneน่ะ) เราจะลองดูหรือเปล่า? ก็เท่านั้นเอง..
    (ท่านลองพิจารณาดูว่า ท่านสามารถทรงฌานสูงต่อเนื่องตลอด24ชม.ได้ด้วยกรรมฐานกองอื่นๆหรือไม่?-โดยใช้เวลาฝึกไม่นานจนเกินไปนักนะครับ ลองๆไปพิจฯดู หากว่าเป็นผู้ปฎิบัติอยู่แล้วก็คงมีคำตอบกับตนเองอยู่แล้ว)
    สาธุครับ
     
  20. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โอ้โฮ่......คุณลุงพลัง ....เพิ่งมาเหรอค่ะ หนูรอตั้งนานแร้วเนี้ย
    มาช้าดีกว่าไม่มานะค่ะ ....เอหรือว่า คุณ zero ท่านเปิดเพลงเรียกถึงมา(เพลงเพราะ)​
    :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...