พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 6 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    sithiphong, เฉลิมพงษ์, neo6108

    ----------------------------------------------

    กระทู้พระวังหน้าฯ เริ่มด้วยงานบุญ และต่อเนื่องด้วยการเผยแพร่เรื่องราวของพระวังหน้า

    เรื่องราวในกระทู้พระวังหน้าก็ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านเรื่อง ผ่านราว มามากมาย

    ให้หลังสาม - สี ปี หลังจากที่ตั้งกระทู้พระวังหน้าฯ ก็เริ่มมีการเผยแพร่เรื่องของพระวังหน้าในโลกอินเตอร์เน็ต

    แต่เรื่องราวของพระวังหน้าในกระทู้พระวังหน้าฯ จะแตกต่างกับเรื่องราวที่อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตปัจจุบันเยอะ เรื่องราวพระวังหน้าฯในโลกอินเตอร์เน็ต มีการนำข้อมูลในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ ไปผสมปนเปกับข้อมูลต่างๆ

    ที่สุด แล้วแต่ว่า จะเลือกที่จะเชื่อถือในข้อมูลไหน แล้วแต่วิจารณญาณของผู้ที่อ่าน

    ผมและคณะชมรมพระวังหน้า ได้เลือกที่จะเชื่อในข้อมูลที่ได้พบ ได้เห็น ได้เจอมาด้วยตัวผมและชาวคณะพระวังหน้าแล้ว

    ยิ่งกว่าที่สุด ก็มีผู้ที่เข้ามาในกระทู้พระวังหน้าฯ มีทั้งมาถามเรื่องพระวังหน้า มีทั้งมาโชว์พระ พระที่โชว์หากเป็นพระแท้ก็เบาหน่อย บางครั้งมีพระเก๊แต่นำมาโชว์ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่พ้นเพื่อประโยชน์ของตนเองก็มีมาก อยากรู้ต้องอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯนี้เอง


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. drmetta

    drmetta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +752
    Merry Christmas 2013 and Happy New Year 2556 for all Brothers and Sisters na krab, drmetta
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    ผมได้แจ้งเรื่องท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเสียชิวิตแล้วเมื่อวานนี้ (28 ธ.ค.2555) เวลา 18.32 น. ให้ทุกๆท่านทราบทางEmail แล้ว

    วันนี้ผม , สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ หลายๆท่าน ได้ไปร่วมในงานศพ

    ผมเองก็ได้สั่งพวงหรีดมา 2 พวง พวงแรกในนามของคณะลูกศิษย์พระอาจารย์นิล พวงที่สองในนามของชมรมพระวังหน้า โดยผมและคุณแด๋นได้ร่วมกันจ่ายเงินไป

    ส่วนในงานศพฯ ผมกับคุณแด๋น ได้ไปซื้อชุดผ้าไตร มา 1 ชุด และ เครื่องไทยธรรมมาเพื่อถวายพระภิกษุที่ท่านมาสวดในงานสวดพระอภิธรรม และคุณแด๋นได้เช่าพระพุทธรูปทรงเครื่อง หน้าตัก 5 นิ้ว จำนวน 1 องค์มาถวายพระภิกษุที่มาสวดพระอภิธรรมด้วย

    ขอโมทนาบุญกับคุณแด๋นทุกประการ

    มาร่วมโมทนาบุญกับคุณแด๋นและผมและทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญทุกๆบุญกันครับ

    สาธุครับ

    sithiphong
    29/12/2555
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2556 แก่ประชาชนชาวไทย
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    31 ธันวาคม 2555 20:07 น.

    [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ปีพุทธศักราช 2556 ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยเนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่


    [​IMG]

    ส.ค.ส. พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ปีพุทธศักราช 2556 ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยเนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่

    ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประจำปีพุทธศักราช 2556 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์เชิ้ตลำลองสีฟ้า มีลายเส้นสีชมพูและสีฟ้าฟ้าเข้มพาดตัดกัน พระสนับเพลาสีดำ และฉลองพระบาทสีดำ

    ประทับบนพระเก้าอี้ ด้านขวาของพระเก้าอี้ที่ประทับ มีโต๊ะกลม วางพระบรมฉายาลักษณ์ครอบครัว และเชิงเทียนแก้ว ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา และคุณมะลิ แม่เลี้ยงคุณทองแดง สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านซ้าย

    ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับ ตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้หลากสี ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้ายมีผอบทอง ( ผะ-อบ-ทอง) ประดับ

    ด้านล่างของผอบทอง( ผะ-อบ-ทอง) มีตัวอักษรสีทอง ข้อความว่า ส.ค.ส. พ.ศ. ๒๕๕๖ สวัสดีปีใหม่ และ ตัวอักษรสีขาว ข้อความว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ HAPPY NEW YEAR

    ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า “ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย”

    ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีม่วงเข้ม มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 181122 ธค.55 ( กอ สอ เก้า ปรุง สิบแปดสิบเอ็ด ยี่สิบสอง ทอ คอ ห้าห้า ) พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad , D Bramaputra , Publisher
    ( พริ้นเทด แอ้ท เดอะ สุวรรณชาด , ดี. พรหมบุตร, พับลิชเชอร์ )

    กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่า งเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระสังฆราชฯ ประทานพระโอวาทปีใหม่ ขอให้คนไทยกล่าวคำอวยพรแสดงความปรารถดีต่อกัน
    -http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU56QXdOamt5TkE9PQ==&catid=01-

    พระโอวาทวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2556
    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ขออำนวยพรสาธุชนทั้งหลาย

    ดิถีขึ้นปีใหม่ได้เวียนมาถึงอีกวาระหนึ่ง คือวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2556 นับเป็นเทศกาลที่เป็นที่ปีติยินดีของคนทั่วไป เพราะอย่างน้อยก็ยินดีที่ได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาด้วยดีอีกปีหนึ่ง และก็หวังใจว่าจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยและดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไปอีก ในปีใหม่จะมาถึง ฉะนั้น เทศกาลปีใหม่จึงถือกันว่าเป็นเทศกาลแห่งความสุข สุขใจกับอดีตที่ผ่านมา และสุขใจกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง จึงได้พากันทำกิจกรรมแห่งความสุข มีการทำบุญตักบาตร และอำนวยอวยพรแก่กันตามประเพณีนิยม

    พรที่ทุกคนปรารถนา น่าจะเป็นพรสี่ประการที่นิยมเรียกกันว่า จตุรพิธพร คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ซึ่งหมายถึง ความมีอายุยืน มีผิวพรรณผ่องใสงดงาม มีความสุขด้วยสมบัติคือความพรั่งพร้อมด้านต่างๆ และมีพละกำลัง ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังทรัพย์ และกำลังพวกพ้อง

    อันที่จริง การให้พรกันนั้น ย่อมเป็นที่ทราบกันว่า คือ การให้ความมีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน มิใช่ใครจะหยิบยื่นพรเหล่านี้ให้แก่กันได้เพียงแต่พูด หรือกล่าวคำอวยพรแก่กันเท่านั้น ฉะนั้น การให้พรกัน จึงหมายถึงการแสดงออกซึ่งความปรารถนาดีต่อกัน เพียงเท่านี้ ก็เป็นสิ่งที่เกื้อกูลแก่ความสุขทางจิตใจเป็นอันมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทั้งเป็นสิ่งที่เกื้อกูลให้เกิดพรทั้งสี่ได้จริง

    ตรงกันข้าม การแสดงออกซึ่งความปรารถนาร้ายต่อกัน ย่อมเป็นเครื่องบั่นทอนพรต่าง ๆ มีอายุเป็นต้น ซึ่งมิได้มีความหมายแต่อายุของชีวิตคน แต่รวมไปถึงอายุของกิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติด้วย เพราะคนเรานั่นเองเป็นผู้ใส่ชีวิตจิตใจให้แก่กิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติ ถ้าอายุของคนสั้น อายุของกิจการ บ้านเมือง ประเทศชาติ ก็สั้น ถ้าจิตใจของคนผ่องใสเป็นสุข จิตใจของกิจการ บ้านเมือง ประเทศชาติ ก็ผ่องใสเป็นสุข

    ความขาดพรในใจ จึงหมายถึงขาดความปรารถนาดีต่อกัน ขาดความซื่อสัตย์ ความข่มใจ ความอดทน ความเสียสละ และความเคารพนับถือกัน ความขาดพรในใจต่อกัน จึงเป็นเหตุทำลายอายุ วรรณะ สุขะ พละ ไม่เฉพาะแต่ของคน แต่รวมไปถึงทำลายอายุ วรรณะ สุขะ พละ ของกิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติด้วย

    ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2556 นี้ จึงขออำนวยให้สาธุชนทั้งหลาย จงมีพรและให้พรแก่กันและกัน เพื่อความเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ของสรรพชีวิต ตลอดถึงสรรพกิจการและชาติบ้านเมืองตลอดไป

    ขออำนวยพร
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิดคู่มือ สามี-ภรรยา แยกยื่นภาษี หักค่าลดหย่อนได้เท่าไหร่บ้าง
    -http://hilight.kapook.com/view/80061-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    คู่สมรสคงได้เฮกันดัง ๆ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป คู่สามี-ภรรยา สามารถแยกยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ทางกรมสรรพากรก็ได้ออกคำชี้แจงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากสามีภรรยา ในเว็บไซต์กรมสรรพากร โดยมีเนื้อหาสรุป ดังนี้

    กรณีที่สามีภรรยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ สามีและภรรยาต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้ในนามตนเอง ส่วนกรณีเงินได้พึงประเมินที่เกิดจากการทำกิจการร่วมกัน หรือที่มิได้พิสูจน์ว่าเป็นเงินได้ของฝ่ายใด ให้ยื่นรายการและเสียภาษีในนามคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

    การหักค่าลดหย่อนภาษี

    การยื่นรายการของสามีหรือภรรยา กำหนดให้หักลดหย่อนได้ดังต่อไปนี้

    1. สำหรับผู้มีเงินได้ 30,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 1 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีสามารถหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 30,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 2 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย สามีและภรรยาต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 30,000 บาท

    2. สำหรับสามีหรือภรรยาของผู้มีเงินได้ 30,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 3 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีหักลดหย่อนภรรยา 30,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 4 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย สามีและภรรยาต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 30,000 บาทแล้ว จึงไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสามีหรือภรรยา

    3. สำหรับบุตรและการศึกษาบุตร

    (ก) กรณีสามีหรือภรรยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้หักลดหย่อนบุตร 15,000 บาท และการศึกษาบุตร 2,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 5 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ มีบุตรด้วยกัน 1 คน สามีหักลดหย่อนบุตร 15,000 บาท และการศึกษาบุตรอีก 2,000 บาท

    (ข) กรณีสามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย และความเป็นสามีภรรยาได้มีอยู่ ตลอดปีภาษีให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนบุตร 15,000 บาท และการศึกษาบุตร 2,000 บาท แต่ถ้าความเป็นสามีภรรยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ต่างฝ่ายต่างหักได้กึ่งหนึ่ง

    ตัวอย่างที่ 6 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย มีบุตรด้วยกัน 1 คน ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี สามีและภรรยาหักลดหย่อนบุตร 15,000 บาท และการศึกษาบุตรอีก 2,000 บาท (ฝ่ายละ 17,000 บาท) แต่ถ้าความเป็นสามีภรรยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี สามีและภรรยาหักได้ฝ่ายละ 8,500 บาท

    4. สำหรับเบี้ยประกันชีวิต

    (ก) กรณีสามี หรือภรรยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ในกรณีที่ความเป็นสามีภรรยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักเบี้ยประกันชีวิตของสามีหรือภรรยาได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 7 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 10,000 บาท สามีหักลดหย่อน 10,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 8 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 10,000 บาท ภรรยาจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 10,000 บาท ถ้าความเป็นสามีภรรยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี สามีหักลดหย่อนส่วนของตน 10,000 บาท และส่วนของภรรยา 10,000 บาท (รวม 20,000 บาท)

    แต่ถ้าความเป็นสามีภรรยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี สามีหักลดหย่อนได้เฉพาะส่วนของตน 10,000 บาท

    (ข) กรณีสามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย ให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตส่วนของตนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 9 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย สามีจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 10,000 บาท ภรรยาจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 10,000 บาท สามีหักลดหย่อนส่วนของตน 10,000 บาท ภรรยาหักลดหย่อนส่วนของตน 10,000 บาท

    5. สำหรับเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

    ตัวอย่างที่ 10 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,000 บาท สามีหักได้ 10,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 11 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย สามีจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,000 บาท ภรรยาจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,000 บาท สามีหักลดหย่อนส่วนของตน 10,000 บาท ภรรยาหักลดหย่อนส่วนของตน 10,000 บาท

    6. สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืม

    (ก) กรณีสามีหรือภรรยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้สามีหรือภรรยาฝ่ายที่มีเงินได้หักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้เฉพาะส่วนของตน

    ตัวอย่างที่ 12 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีกู้ยืมและจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืม 10,000 บาท ภรรยากู้ยืมและจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืม 10,000 บาท สามีหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้เฉพาะส่วนของตน 10,000 บาท

    (ข) กรณีสามีหรือภรรยามีเงินได้ฝ่ายเดียวและร่วมกันกู้ยืม ให้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้เต็มจำนวนตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 13 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ ถ้าสามีภรรยาร่วมกันกู้ยืมและจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเป็นจำนวน 10,000 บาท สามีมีสิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้ทั้งจำนวน 10,000 บาท

    (ค) กรณีสามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย และต่างฝ่ายต่างมีสิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาสมรสกัน ให้ต่างฝ่ายต่างยังคงหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมส่วนของตนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งนี้ ไม่ว่าความเป็นสามีภรรยาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ก็ตาม

    ตัวอย่างที่ 14 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย และมีสิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมอยู่ก่อนแล้วฝ่ายละ 10,000 บาท ต่อมาสมรสกัน สามีและภรรยายังคงหักลดหย่อนได้ฝ่ายละ 10,000 บาท ทั้งนี้ ไม่ว่าความเป็นสามีภรรยาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ก็ตาม

    (ง) กรณีสามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่ายและร่วมกันกู้ยืม ให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้กึ่งหนึ่งของจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งนี้ ไม่ว่าความเป็นสามีภรรยาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ก็ตาม

    ตัวอย่างที่ 15 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย ถ้าสามีภรรยาร่วมกันกู้ยืมและได้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเป็นจำนวน 10,000 บาท สามีหักลดหย่อนได้ 5,000 บาท ภรรยาหักลดหย่อนได้ 5,000 บาท

    7. สำหรับเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม

    ตัวอย่างที่ 16 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีหักลดหย่อนเงินสมทบกองทุนประกันสังคมได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง

    ตัวอย่างที่ 17 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย สามีและภรรยาต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนเงินสมทบกองทุนประกันสังคมได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง

    8. สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา

    (ก) กรณีสามีหรือภรรยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้หักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของผู้มีเงินได้คนละ 30,000 บาท และบิดามารดาของสามีหรือภรรยาของผู้มีเงินได้ คนละ 30,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 18 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของตน สามีหักลดหย่อนบิดาของตน 30,000 บาท และมารดาของตน 30,000 บาท (รวม 60,000 บาท) และถ้าสามีได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของภรรยาด้วย สามีมีสิทธิหักลดหย่อนบิดาของภรรยา 30,000 บาท และมารดาของภรรยา 30,000 บาท (รวม 120,000 บาท)

    (ข) กรณีสามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย ให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของตนได้คนละ 30,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 19 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย สามีภรรยาต่างฝ่ายต่างอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของตน สามีหักลดหย่อนบิดาของตน 30,000 บาท และมารดาของตน 30,000 บาท (รวม 60,000 บาท) ส่วนภรรยาหักลดหย่อนบิดาของตน 30,000 บาท และมารดาของตน 30,000 บาท (รวม 60,000 บาท)

    9. สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ

    (ก) กรณีสามีหรือภรรยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้หักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลได้คนละ 60,000 บาท และให้หักลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายที่เป็นคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่สามีหรือภรรยาเป็นผู้ดูแลได้คนละ 60,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 20 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ 1 คน สามีหักลดหย่อนได้ 60,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 21 สามีมีเงินได้ แต่ภรรยาไม่มีเงินได้ สามีอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ 1 คน และภรรยาอุปการะเลี้ยงดูบุตรชอบด้วยกฎหมายที่เป็นคนพิการหรือทุพพลภาพ 1 คน สามีหักลดหย่อนคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่ตนเป็นผู้ดูแลได้ 60,000 บาท และมีสิทธิหักลดหย่อนบุตรที่ภรรยาเป็นผู้ดูแลได้ 60,000 บาท (รวม 120,000 บาท)

    (ข) กรณีสามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย ให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่ตนเป็นผู้ดูแลได้คนละ 60,000 บาท

    ตัวอย่างที่ 22 สามีภรรยามีเงินได้ทั้งสองฝ่าย สามีอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ 1 คน ส่วนภรรยาอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพอีก 1 คน สามีหักลดหย่อนคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่ตนเป็นผู้ดูแลได้ 60,000 บาท ภรรยาหักลดหย่อนคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่ตนเป็นผู้ดูแลได้ 60,000 บาท


    อ่านรายละเอียดเพิ่มจาก
    กรมสรรพากร -http://www.rd.go.th/publish/index.html-


    :: The Revenue Department ::

    เปิดคู่มือ สามี-ภรรยา แยกยื่นภาษี หักค่าลดหย่อนได้เท่าไหร่บ้าง

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รูปผมนำลงคอมฯที่บ้านแล้ว รวมรูปทั้งหมด 5.31 GB ครับ

    พรุ่งนี้ ผมจะไปซื้อแผ่น DVD มาลงรูปให้ครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จิตรกรรมไตรภูมิ สมัยร.9 คู่มือชีวิตสู่สุคติภูมิ
    -http://www.dailynews.co.th/education/175924-

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    ปีนี้ได้รับของขวัญปีใหม่จาก กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นสมุดภาพพลิกและสมุดบันทึก จิตรกรรมไตรภูมิ สมัยรัชกาลที่ 9 มีภาพเหล่าเทวดา นางฟ้ามากมาย พร้อมจิตรกรรมไทยอันงามวิจิตร นับเป็นของที่มีคุณค่ามาก

    เมื่อกล่าวถึงไตรภูมิ เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นหู หรือไม่ค่อยรู้จักกัน จึงขอหยิบยกเรื่องนี้มาคุย เผื่อเด็กรุ่นใหม่จะอยากไปศึกษาไตรภูมิกันบ้าง

    ไตรภูมิหรือไตรภูมิกถา เป็นวรรณคดีชิ้นเยี่ยมทางพระพุทธศาสนา ที่พระยาลิไท กษัตริย์พระองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์พระร่วงอาณาจักรสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อพุทธศักราช 1888 โดยมีพระราชประสงค์ เพื่อเป็นธรรมทานกับบุคคลทั้งหลาย ให้รู้ถึงปรัชญาในการดำรงชีวิตตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเน้นให้รู้จักกรรมที่แต่ละบุคคลกระทำ ซึ่งจะมีผลไปในทิศทางที่แตกต่างกัน 3 ประการ คือ ความสุข ความทุกข์ และความหลุดพ้นจากกิเลส

    เรามาดูความหมายของไตรภูมิกันบ้าง คำว่า ไตรภูมิ มาจากภาษาบาลีว่า เตภูมิ แปลว่า ภูมิ 3 คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ซึ่งภูมิ แปลว่า ชั้น หรือพื้นเพแห่งจิต หมายถึงที่อยู่อาศัยของสัตว์โลกทั้งปวง ลองมาแยกดูแต่ละภูมิกัน เริ่มที่ กามภูมิ เป็นที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกาม ที่ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ หลง เดือดร้อนวุ่นวาย ยังแบ่งเป็น ทุคคติภูมิหรืออบายภูมิ 4 คือ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน และนรก สุคติภูมิ คือ มนุษย์ สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวดี หรือเวลาคนเราตายไป เราก็จะชอบพูดกันว่า ขอให้ไปสู่สุคติภูมิ คือ ภพภูมิที่ดีนั่นเอง

    ภูมิที่ 2 รูปภูมิ เป็นที่อยู่ของผู้ได้รูปฌาน มี 16 ชั้น คือ พรหมณ์ ปาริสัชชา พรหมปโรหิตา มหาพรหมา ปริตรตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา เวหัปผลา อสัญญีสัตตา อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา หรือเรียกว่า พรหมโลกภูมิที่ 3 อรูปภูมิ เป็นที่อยู่ของผู้ได้อรูปฌาน มี 4 ชั้น คือ ชั้นอากาสานัญจยตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งสัตว์โลกย่อมเวียนว่ายตายเกิดจากอำนาจของกรรมหมุนเวียนไปในภูมิเหล่านี้ไปจนกว่าจะบรรลุพระอรหันต์ตัดกิเลสได้ จึงข้ามพ้นวัฏสงสารเหล่านี้ไปได้

    พอได้ความรู้เกี่ยวกับไตรภูมิกันไปบ้าง ทีนี้เรามาดูว่า จิตรกรรมไตรภูมิสมัยรัชกาลที่ 9 มีที่มาอย่างไรและมีความสำคัญเช่นไร ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสร้างสรรค์ภาพไตรภูมิ สมัยรัชกาลที่ 9 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ได้เล่าให้ฟังว่า การวาดจิตรกรรมภาพไตรภูมิ สมัยรัชกาลที่ 9 นี้ วธ.ดำเนินโครงการที่สำนักช่างสิบหมู่ จ.นครปฐม เพื่อนำมาใช้เป็นภาพประกอบหนังสือไตรภูมิกถา ฉบับรัชกาลที่ 9 ขณะนี้การดำเนินงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยได้คัดลอกมาจากหนังสือไตรภูมิกถา หรือเป็นที่รู้จักในนามไตรภูมิพระร่วง บทพระราชนิพนธ์ของพญาลิไท กษัตริย์สมัยสุโขทัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม ตลอดจนเป็นสิ่งจรรโลงสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นับเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกด้านพุทธศาสนาเรื่องแรกของไทย และยังคงรักษาอยู่มาถึงปัจจุบัน

    “สมัยก่อนมีการคัดลอกเผยแพร่ด้วยการวาด ต่อมาเมื่อมีแท่นพิมพ์จะเน้นพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การคัดลอกด้วยมือ ด้วยการวาดจึงลดลงเกือบจะไม่มีเลย ผมจึงเกิดความเสียดายว่าประเพณีการคัดลอกหนังสือไตรภูมิ ประกอบกับช่างในสมัยรัชกาลที่ 9 ยังไม่เคยมีใครเป็นผู้จัดการอุปถัมภ์ให้เกิดขึ้นเลย ผมจึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 และเปิดโอกาสให้ศิลปินชั้นนำยุคนี้เขียนภาพไตรภูมิ อาทิ อ.ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ อ.ปัญญา วิจินธนสาร พร้อมลูกศิษย์อีกร่วม 20 ชีวิต ช่วยกันเขียนในภาพเดียวกัน และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงตรวจเยี่ยมพร้อมทั้งทรงเขียนภาพปิดในไตรภูมิพระร่วง เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 ณ สำนักช่างสิบหมู่ ศาลายา จ.นครปฐม ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์” ม.ร.ว. จักรรถ กล่าว

    สำหรับรูปแบบการวาดจิตรกรรมนี้ ม.ร.ว.จักรรถ บอกว่า ใช้ต้นแบบศิลปะจากภาพประกอบพระราชนิพนธ์ เรื่องพระมหาชนก ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ชั้นพรหม เขียนภาพแนวไทยประเพณี ในลักษณะอุดมคติเชิงสัญลักษณ์เหมือนภาพความฝัน ชั้นกามภูมิ เขียนตามแนวของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ชั้นนรกภูมิ เขียนภาพลักษณะอุดมคติสร้างสรรค์เหมือนจริงแบบไทยสากล และชั้นมนุษยภูมิ เขียนภาพในลักษณะเหมือนจริงสมัยใหม่ สะท้อนชีวิตสังคมไทยปัจจุบันทั้งภาพคนดี คนชั่ว ปัญหาสังคม และภาพงานพระเมรุมาศสมัยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ร่วมสมัยไว้ด้วย

    ที่หยิบเรื่องราวของไตรภูมิมาคุย ไม่เพียงอยากจะกระตุ้นให้เด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจวรรณคดีทางพระพุทธศานาเล่มสำคัญกันแล้ว ยังอยากจะย้ำเตือนให้ทุกผู้ทุกนาม ระลึกถึงการทำความดีต่าง ๆ เมื่อเราละชีวิตไปจากโลกนี้แล้ว เราจะได้ไปสู่สุคติภูมิ ได้ไม่ลงไปสู่อบายภูมิ ให้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดี ละเว้นความชั่วต่อการใช้ชีวิตตลอดปี 2556 และในวันข้างหน้าที่เราไม่รู้ว่า ความตายจะมาเยือนเมื่อใด.

    มนตรี ประทุม


    จิตรกรรมไตรภูมิ สมัยร.9 คู่มือชีวิตสู่สุคติภูมิ | เดลินิวส์

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ไปสวรรค์แต่ละชั้้น
    -http://www.watkaokrailas.com/articles/41944126/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B9%89%E0%B8%99%20.html-

    ---ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น




    ---สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6 ชั้น




    ---เหตุ ที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์




    ---วิมาน ปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน




    ---การ สังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา




    ---มี จาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์





    *เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์




    ---คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ ตัวอย่าง: สวรรค์ชั้นดาวดึงส์




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา




    ---คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงาม นั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต




    ---หรือ ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี




    ---คือ เมื่อ ครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป




    *เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี




    ---คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป




    ---ความ เป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้นแต่อาจ จะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย









    *สวรรค์ชั้นดุสิตหรือดุสิตบุรี ดีอย่างไร




    ---ทำไมพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนักสร้างบารมีทั้งหลายถึงเลือกที่จะอยู่ชั้นนี้




    ---สวรรค์ ชั้นดุสิตนี้ มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีท้าวสันดุสิต ซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นผู้ปกครองภพ ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดุสิตอยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุ อยู่ในอากาศเหนือสวรรค์ชั้นยามา 42,000 โยชน์ บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์




    ---ลักษณะ ของสวรรค์ชั้นดุสิต จะไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่จะกลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้น ยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่าง นุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่ม เนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หรือถ้ามองลงไปที่ดาวดึงส์ก็จะเห็น ว่ามีขนาดเล็กนิดเดียว เพราะสวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่า




    ---โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานของท้าวสันดุสิตเป็นศูนย์กลาง ของสวรรค์ชั้นนี้ แล้วแบ่งออกเป็น 4 เขต วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้




    ---เขตที่ 1 เป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ซึ่งอยู่ชั้นในสุด




    ---เขตที่ 2 เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธานจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ให้หมดจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ก็จะอยู่ในเขตนี้ด้วย




    ---เขตที่ 3 เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับ พยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องสร้างบารมีอีกมาก




    ---เขตที่ 4 เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลมาก และมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เป็นเขตทั่วไป นอกเหนือจาก 3 เขตแรก สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ หนึ่งในความ พิเศษนั้นก็คือ เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน อนาคตจำนวนมาก และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต แล้วทำไมพระบรมโพธิสัตว์ หรือบัณฑิตทั้งหลายจึงปรารถนาที่จะได้มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทั้งที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมากมาย ปรารถนาที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ เหตุที่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ มีข้อสังเกตอย่างน้อย 3 ประการ คือ




    ---1.พระ โพธิสัตว์สามารถจุติ ลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความ ว่า โดยปกติเทวดามีเหตุแห่งการจุติ หลายประการ เช่น หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มี จุติเพราะความโกรธก็มี แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เมื่อจะจุติลงมา สร้างบารมี หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะนั่งทำสมาธิ อธิษฐานจิต สามารถดับวูบลงมาเกิด ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของ ชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ




    ---2.เนื่อง จากสวรรค์ชั้นนี้ มีแต่บัณฑิต มีแต่พระบรมโพธิสัตว์ ล้วนแต่มีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน ที่จะฝึกฝนตนเองและช่วยสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานไม่ประมาทในการดำรงชีวิต เหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ มักจะคบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความ เบิกบานใจ และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากมา แสดงธรรมให้ฟัง




    ---3.ขนาดอายุทิพย์ของสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ 4,000 ปีทิพย์ ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ ถ้ามี อายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา




    ---โลก วิญญาณทิพย์มีหลายชั้น เบื้องสูง และเบื้องล่าง เป็นสถาบันทิพย์ แต่ละชั้นมีองค์กรสถาบันทิพย์ฝ่ายผู้สำเร็จทุกกระทรวง และฝ่ายคุณธรรมทางศาสนา ประจำอยู่ในแต่ละชั้นระดับต่าง ๆ เหมือนระบบสังคมบ้านเมืองของไทย ขอให้พิจารณาโลกกับธรรมเป็นของคู่กัน โลกวิญญาณทิพย์ดังกล่าวมีโครงสร้าง ประกอบด้วยวิญญาณสูตรธาตุธรรมทั้ง ๔ คือ อากาศดิน อากาศน้ำ อากาศลม อากาศไฟ แต่เป็นธาตุสำเร็จเบื้องสูง เป็นพลังชีวิตที่เป็นวิญญาณสำเร็จ มีอำนาจปกครองและปรุงแต่งสรรพสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต




    ---ตลอดวิญญาณทุกประเภทที่อยู่ในตัวโลกดวงนี้ ปกครองและปรุงแต่งแบบกระจายอำนาจกันลงมา โดยการแยกธาตุปรุงเชื้อสายของโลกวิญญาณเบื้องบน ให้มีติดตั้งไว้ในสังขาร วิญญาณ ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช เป็นเชื้อสายมาจากโลกวิญญาณ กระทรวงต่าง ๆ ให้เป็นตัวหน่วยย่อย หรือตัวแทนประจำอยู่ในกองสังขารเป็นสายโยงวาโยธาตุ สื่อสารถึงกันหมด ให้ประจำอยู่ในกองสังขารทุกตัวตน จะขอกล่าวโดยย่อในส่วนที่สัมพันธ์กับมนุษย์โดยเฉพาะคือ




    ---๑.โลกวิญญาณมีสัญญา เป็นกฎหมายตราเป็นเครื่องจำหมายของวิญญาณแต่ละชั้น เช่นเดียวกับในกองสังขารวิญญาณมนุษย์เราก็มีสัญญา ประจำกองสังขาร ซึ่งอยู่ในหมวดขันธ์ ๕ สัญญาเกิด สัญญาตาย สัญญาเวียนว่ายให้มีกุศลธรรม และอกุศลธรรมติดตามปรุงแต่งเป็นสัญญาประจำตัวทุกคน สัญญาประจำกายตนของแต่ละบุคคล กำหนดให้ธาตุธรรมทั้ง ๔ เข้าจัดระเบียบปรุงแต่งในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ และบุญญาภินิหารส่วนบุคคลต่างกรรมต่างวาระกันไป เมื่อสัญญาปรุงแต่งมาเกิดแล้ว สัญญานั้นก็ควบคุมให้เกิดมีสุขมีทุกข์ในมนุษย์สมบัติต่างฐานะกันออกไป สัญญาประจำกองสังขารเชื่อมโยงผูกพันถึงสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายโลกวิญยาณที่เป็นตัวน้อมนำการปรุงแต่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า แม่ป้อ แม่ปั้นปุงลิงค์ แม่สื่อแม่กำเนิดเขาจะดูตามสัญญาที่เป็นเครื่องจำหมายของวิญญาณมนุษย์ตน หนึ่ง ๆ




    ---๒.โลกวิญญาณทิพย์ มีภูมิลำเนาวิญญาณเป็นเมืองหลายเมือง เช่นเมืองสวรรค์ชั้นภูมิ (เทวภูมิ) สวรรค์เทวโลก เรียกว่าแดนสุขคติภูมิ สำหรับภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำ เป็นเมืองนรกมีลักษณะเป็นขุมต่าง ๆ หลายระดับชั้น เรียกว่าทุคติภูมิ โลกวิญญาณทิพย์มีภูมิลำเนาวิญญาณไว้รองรับคุณค่าการทำความดี ต่างระดับกัน ผู้ใดทำชั่วภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำก็รองรับ หลายระดับชั้นที่ซึ่งมีไว้ให้วิญญาณมนุษย์ไปเสพผลกรรมตามกุศลกรรม และอกุศลกรรม ในสัญญาแห่งโลกเวียนว่าย การเสพผลกุศลกรรมระดับสูงได้ขึ้นไปสู่ภูมิลำเนาวิญญาณ




    ---เมืองสวรรค์วิมานเทวโลก เสพผลอกุศลกรรมชั้นต่ำก็ตกไปสู่ภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำ มนุษย์ทั่วโลกจึงมีเชื้อสายเผ่าพันธุ์ การปรุงแต่งธาตุธรรมในวิญญาณของตน มาจากภูมิลำเนาวิญญาณต่างฐานะกัน ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีชนชั้นตามสภาพบุญตกแต่งตามค่าของวิญญาณ ตามภูมิลำเนาวิญญาณที่เคยไปสู่กรรมต่างชั้นกัน ทำให้มนุษย์มีกุศลมูลเดิมในกุศลธรรมปรุงแต่งตามภูมิลำเนาชั้นต่าง ๆ ดังนั้นมนุษย์จึงเข้าถึงคุณธรรมต่างชั้นต่างวาระกัน ผู้ปฏิบัติธรรมก็เข้าถึงอำนาจคุณธรรมองค์สำเร็จต่างระดับกันด้วย ในเมื่อโลกวิญญาณทิพย์มีภูมิลำเนาชั้นต่าง ๆ




    ---มีโครงสร้างเป็นเมือง เมื่อปรุงแต่งสังขารวิญญาณมนุษย์รวบรวมธาตุธรรมเป็นสังขตธรรม เป็นกายสังขารจึงมีเจ้าหน้าที่หน่วยย่อยของเมืองโลกวิญญาณมาติดตั้ง ประจำอยู่ในสังขารทุกตัวตน ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของโลกวิญญาณทิพย์เป็นสื่อสายโยงวาโยธาตุ ถึงกันเจ้าหน้าที่หน่วยงานของเมืองสวรรค์ที่อยู่ในกายนครของมนุษย์ตัวหนึ่ง ๆ อาทิเช่น เทวทูต ยมทูต พระยาจิตราช ราชทูต มีเชื้อสายเทดา





    ---เชื้อสายอินทราธิราช เชื้อสายชั้นพรหมโลก เชื้อสายห้องพระนิพพาน ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยงานของเมืองนรก ก็ มีติดตั้งไว้ในสังขารด้วยเหมือนกัน ใครทำดี ทำชั่ว แต่ยุคใดปางใด เวียนเกิดเวียนตายสักกี่ร้อยชาติ ตัวสื่อเรานี้จะบันทึกไว้หมด ดังนั้นโลกวิญญาณทิพย์จึงรู้เห็นการกระทำของมนุษย์ทุกตัวตน อยู่ทุกลมหายใจ เมื่อมนุษย์ถึงวาระทิ้งสังขารวิญญาณทำดีมามาก ฝ่ายดีเขาก็ดึงดูดสูงขึ้น วิญญาณใดทำชั่วมามาก ฝ่ายชั่วก็ดึงดูดให้จมลง เมื่อมนุษย์ทุกตัวตนมีสัญญาทันทึกตราบาปติดวิญญาณอยู่ จึงข้ามโลกเวียนว่ายไม่พ้น




    ---โลก วิญญาณทิพย์ ภูมิลำเนาเมืองหนึ่ง ๆ มีตราสัญญาเป็นกฎหมายประจำเมือง เป็นข้อกำหนดพันธะผูกพันทางวิญญาณ วิญญาณที่มาจากภูมิลำเนาวิญญาณเมืองนั้น ๆ มีตัวสื่อติดตั้งติดตัวมาไว้ในวิญญาณมนุษย์ตัวตนหนึ่ง ๆ กำหนดให้มีพันธะทางศีลธรรม พันธะทางกุศลมูลเดิม พันธะทางระบบเจ้าขุนมูลนาย เพื่อเป็นระบบปกครองสังคมมนุษย์บนพื้นโลก พันธะทางวัฒนะธรรมให้เชื่อมโยงถึงโลกวิญญาณทิพย์




    ---พันธะทางกรรมสิทธิ์ พันธะทางกรรมสิทธิ์ถือครองรูปสังขาร ดังนั้นพันธะทุกอย่างที่ผูกพันอยู่ทางวิญญาณมนุษย์ทุกตัวตน มีอิทธิพลมาจากโลกวิญญาณทิพย์เบื้องบน มนุษย์ทุกคนทั้งโลกแต่ละประเทศ แต่ละกลุ่มชน จะพากันประกาศยกเลิกพันธะต่าง ๆ ในวิญญาณของตนเองเองมิได้ ดังนั้นสังคมมนุษย์จึงต้องมีระบบการปกครอง มีศาสนา มีวัฒนะธรรม มีข้อกำหนดกฎหมายเป็นไปตามหลักธรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องผูกพันกันกับโลก




    ---วิญญาณทิพย์อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นโลกกับธรรมเป็นของคู่กันจึงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง จะเห็นว่าระบบสังคมใดที่ไม่พากันนับถือศาสนาปิดกั้นมิให้มนุษย์ในสังคมใช้ เสรีภาพทางวิญญาณ เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าแก่วิญญาณของแต่ละบุคคลสังคมนั้นจึงผิดทำนองครองธรรม ละเมิดสิทธิ์มนุษย์ชน โลกมนุษย์จึงยังไม่เป็นศีลธรรม มนุษยชาติแตกแยกไม่สามัคคีธรรม




    ---กล่าว โดยสรุปในเมื่อพันธะทางศีลธรรมผูกพันกับวิญญาณมนุษย์ มีอิทธิพลมาจากภูมิลำเนาวิญญาณที่ต่างระดับกัน มนุษย์จึงมีฐานะทางวิญญาณต่างชนชั้นกัน มีระดับจิตต่างระดับกัน ระดับคุณธรรมที่จะรับรองภาวะวิญญาณมนุษย์ผู้มีบุญ ก็มีวางไว้ตามมูลค่าแห่งกุศลมูลเดิมต่างวาระกันไปด้วย ดังนั้นพระองค์ต้นบรมครูจึงทรงบัญญัติองค์พระธรรมระดับต่าง ๆ เชื่อมสัมพันธ์กับวิญญาณมนุษย์ระดับต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกวิญญาณทิพย์เบื้องบนด้วย




    ---๓.โลกวิญญาณทิพย์ สร้างพันธะทางวิญญาณผูกพันกับมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ เป็นสัญญากุศลมูลเดิม จึงบังเกิดเป็นพรสวรรค์ติดตัวอยู่ในวิญญาณมนุษย์ บ่งชี้ทางสามารถวิสัยเป็นความสามารถพิเศษ และลักษณะเด่นเฉพาะตัวในมนุษย์ที่มีวิญญาณมาจากภูมิลำเนาวิญญาณชั้นสูง วิญญาณกลุ่มมนุษย์ที่อยู่ในสถาบันทางสังคมชั้นสูงของไทย หลายสถาบันจึงมีภาวะวิญญาณเป็นทิพย์มานุส มีเชื้อสายของทวยเทพจุติลงมาสร้างบารมีในเมืองมนุษย์ ซึ่งเขาเหล่านั้นยังติอยู่ในโลกเวียนว่าย




    ---ต่างมีพรสวรรค์บ่งบอกกุศลมูลเดิมหลายฝ่ายเช่น สถาบันทางศาสนามีตัวองค์กรทางศาสนา ระดับสูงมีภาวะวิญญาณเป็นเทพปราชญ์ "เอกธรรม" เทพถ่ายทอดมรดกวัฒนะธรรมทางศาสนา ในถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นกลุ่มมนุษย์เทโวปกป้องบัลลังก์พระศาสนา เป็นเทพมหาอำนาจปกบ้านปกเมือง บรรดาขุนศึกชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นเทพมหาอำนาจปกป้องราชบัลลังก์ ต่างมีเชื้อสายของวิญญาณฤทธาพญานครอยู่ในตัว เป็นองค์ประกอบอยู่เทพปกครองมนุษย์สัตว์ทั่วไป (เจ้าเมือง) เทพปราชญ์เอกโลก




    ---มีนักปราชญ์ทั้งหลายไว้ถ่ายทอดศิลปวิทยาและวัฒนะธรรมจากเบื้องสูงมาอบรมสั่ง สอนมนุษย์ด้วยกัน ให้คล้องจองกับโลกวิญญาณทิพย์ เช่น เหล่าศาสตราจารย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เทพโภคทรัพย์รับรอง เช่นมหาเศรษฐีคหบดีทั้งหลาย เทพสาหร่ายา เทพโหรโลก เทพสื่อสารทูตลิ้นทอง เทพธัญญาหาร (เนื่องจากผู้เขียนไม่รู้จริงในเรื่องเทพ จึงไม่ได้กล่าวถึงเทพที่ลงสรวมสังขารมนุษย์ ในสายสัญญาคนแรกนั้นที่ถูกสรวมสังขารก็คือ "พ่อต้นฯ")




    ---บรรดา มนุษย์ที่มีเชื้อสายเทพ ดังยกตัวอย่างมานี้ ภาวะวิญญาณมีความสัมพันธ์กับโลกวิญญาณทิพย์โดยไม่รู้ตัว ต่างสืบเชื้อสายมาจากเบื้องบน ต่างได้รับอิทธิพลมาจากโลกทิพย์เบื้องบน บันดาลลงมาสู่ภาคอื้นมนุษย์ให้จัดระบบบ้านเมือง คล้อยตามเบื้องบนสรวงสวรรค์ ให้มีบทบาทสืบทอดศาสนาและวัฒนะธรรมที่สูงที่สุดในโลก กลุ่มวิญญาณมนุษย์เทโวทั้งหลายนี้กุศลมูลเดิมมาก เพราะเวียนว่ายตายสร้างบารมีบนผืนแผ่นดินนี้มาหลายภพหลายชาติ สร้างคุณงามความดี




    *สวรรค์ ๒๑ ชั้น มี ๓๑ ภูมิ พิเศษที่ไม่สามารถนับได้ ๑ ภูมิ




    ---อบายภูมิ ๔ ชั้นเริ่มต้น ๐ มี ๔ ภูมิ




    ---๐.๑ นรกยภูมิ ๐.๒ เปตติภูมิ ๐.๓ อสุรกายภูมิ ๐.๔ ดิรัจฉานภูมิ




    ---มนุษย์ภูมิ ชั้น ๑ มี ๒ ภูมิ จำแนกโดยละเอียด







    (ตามพระไตรปิฏกนับเพียงภูมิเดียวถูกต้องแล้ว)




    ---๑.๑ เพศชาย ๑.๒ เพศหญิง




    ---จาตุมหาราชิกาภูมิ ชั้น ๒ มี ๔ ภูมิ




    *1.๑.ภูมิดิน ท้าวธตรฐ




    เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศตะวันออก ๒.๑.๑ คนธรรพ์ ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ




    ---๒.๑.๒ วิยาธร ๒.๑.๓ กุมภัณฑ์ชั้นสูง ๒.๑.๔ กุมภัณฑ์ชั้นล่าง



    *2.ภูมิน้ำ ท้าววิรูปักษ์




    ---เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศตะวันตก ๒.๒.๑ พญานาคตระกูลสีทอง (ตระกูลวิรูปกษ์)๒.๒.๒ พญานาคตระกูลสีเขียว (ตระกูลเอราปถ) ๒.๒.๓ พญานาคตระกูลสีรุ้ง (ตระกูลฉัพพยาปุตตะ)




    ---๒.๒.๔ พญานาคตระกูลสีดำ (ตระกูลกัณหาโคตรมะ)




    *3.ภูมิไฟ ท้าวเวสสุวรรณ




    ---เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศเหนือ




    ๒.๓.๑ ยักษ์ชั้นสูง ๒.๓.๒ ยักษ์ชั้นกลาง ๒.๓.๓ ยักษ์ชั้นต่ำ ๒.๓.๔ ยักษ์น้ำ




    *๔.ภูมิลม ท้าววิรุฬหก




    ---เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศใต้




    ---๒.๔.๑ ครุฑ ๒.๔.๒ ภุมมเทวา ๒.๔.๓ รุกขเทวา ๒.๔.๔ อากาสเทวา




    *ดาวดึงส์ภูมิ ชั้น ๓ มี ๑ ภูมิ มีท้าวสักกะเทวราชเป็นประธาน




    ---๓.๑ แดนแห่งเทพผู้ปกครองภพถึง ๓๓ องค์ (นับเป็นภูมิเดียว)




    ---ยามาภูมิ ชั้น ๔ มี ๑ ภูมิ




    ---๔.๑ แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์




    ---ดุสิตาภูมิ ชั้น ๕ มี ๑ ภูมิ




    ---๕.๑ แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยศิริสมบัติของตน




    ---นิมมานรตีภูมิ ชั้น ๖ มี ๑ ภูมิ




    ---๖.๑ แดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต




    ---ปรนิมิตวสวัตตีภูมิ ชั้น ๗ มี ๑ ภูมิ




    ---๗.๑ แดนแห่งเทพ ผู้ยังอำนาจเป็นไป ในสมบัติที่มีผู้เนรมิตให้




    ---ปฐมฌานภูมิ ชั้น ๘ มี ๓ ภูมิ




    ---๘.๑ ปาริสัชชา (สาวกภูมิ) ๘.๒ ปุโรหิต (ปัเจกภูมิ) ๘.๓ มหาพรหมา (พุทธภูมิ)




    ---ทุติฌานภูมิ ชั้น ๙ มี ๓ ภูมิ




    ---๙.๑ ปริตตาภา (สาวกภูมิ) ๙.๒ อัปปมาณาภาภูมิ (ปัจเจกภูมิ) ๙.๓ อาภัสสรา (พุทธภูมิ)




    ---ตติยฌานภูมิ ชั้น ๑๐ มี ๓ ถูมิ




    ---๑๐.๑ ปริตสุภา (สาวกภูมิ) ๑๐.๒ อัปปมาณสุภา (ปัจเจกภูมิ) ๑๐.๓ สุภกิณณหา (พุทธภูมิ)




    ---จตุตถฌานภูมิ ชั้น ๑๑ มี ๒ ภูมิ




    ---๑๑.๑ เวหัปผลาภูมิ ๑๑.๒ อสัญญีสัตว์




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๒ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๒.๑ อวิหา




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๓ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๓.๑ อตัปปา




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๔ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๔.๑ สุทัสสา




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๕ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๕.๑ สุทัสสี




    ---สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๖ มี ๑ ภูมิ




    ---๑๖.๑ อกนิฏฐา




    ---อากาสานัญจายตนภูมิ ชั้น ๑๗ มี ๑ ภูมิ




    ---วิญญาณัญจายตนภูมิ ชั้น ๑๘ มี ๑ ภูมิ




    ---อากิญจัญญายตน ชั้น ๑๙ มี ๑ ภูมิ




    ---เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ชั้น ๒๐ มี ๑ ภูมิ




    ---พระนิพพานภูมิ สุดท้ายแห่งจิต




    ***จบบริบูรณ์ ไม่เหลือเยื้อใย พิเศษสุด... ไม่นับเพราะไม่มีให้นับในภูมินี้ จะพ้นได้ก็ต้องเข้าที่นี้เลย "พระนิพพาน" ที่ไม่มีกรรม ถือว่าจบบริบูรณ์ หวังว่าคงพอเข้าใจน่ะจ้า ถ้ายังก็ต้องเข้าหาธรรมจ้า อย่าให้ธรรมเข้าหาเรา เพราะเราต้องเปิดจิตรับธรรม ไม่ใช่ให้ธรรมเปิดตำรารับเราจ้า...

    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล


    ที่มา... -http://atcloud.com/discussions/64494-

    รวบรวมโดยแสงธรรม...


    ปรับปรุงครั้งที่ 4 วันที่ 23 กันยายน 2555

    สาระน่ารู้ > ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ไปสวรรค์แต่ละชั้้น [Engine by iGetWeb.com]


    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณสมบัติของเทวดาแต่ละชั้น
    หลวงพ่อฤาษี่ลิงดำ วัดท่าซุง

    ที่นำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามพระบาลีก็ไม่ได้บอกว่า ท่านธัมมิกอุบาสิกา บรรลุมรรคผลขั้นไหน แต่ว่าตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือตรัสว่า คนที่จะเกิดเป็นเทวดาทั้ง ๖ ชั้นได้นั้น ต้องปฏิบัติตามนี้ คือ

    ๑. ชั้นจาตุมหาราช ต้องเคยได้ฌานสมาบัติมาก่อน แต่ไม่ถึงฌาน ๔ เป็ฯฌาน ๑ ถึง ฌาน ๓ ในขณะที่ยังดีอยู่ แต่เมื่อเวลาจะตาย ใจเป็นกศลแต่จิตของจนเข้าไม่ถึงฌานสมาบัติ แทนที่จะไปเกิดเป็นพรหมก็ไปเกิดเป็นเทวดา ชั้นจาตุมหาราช นี่เป็นคุณสมบัติของเทวดาแต่ละชั้น

    ๒. ชั้นดาวดึงส์ ชั้นนี้ ต้องทำบุญกุศลด้วยความจริงใจ เป็นการตัดชีวิต หมายความว่า ทำบุญในคราวนั้นไม่ห่วงชีวิต นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีจิตเมตตา เห็นสัตว์เดินมา เห็นคนเดินมา หรือว่าเห็นพระเดินมา มีความหิวโหยต้องการอาหาร หรือว่าต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญ แต่เวลานั้นอาหารของเรามีจำกัด ถ้าเราจะกินเข้าไปมันก็พออิ่ม ถ้าจะเหลืออิ่มก็เล็กน้อย ซึ่งไม่พอต่อการอิ่มของอีกคนหนึ่ง เมื่อจิตใจของเราเป็นกุศลประกอบไปด้วยเมตตา คิดว่าเขาหิวมา ถ้าไม่ช่วย ชีวิตก็อาจจะตาย หรือมีความลำบาก ก็แบ่งสรรปันส่วนให้ การให้ก็ไม่จำเป็นต้องให้หมด แต่ว่าที่เหลืออยู่กับตัวเอง มันก็ไม่ถึงกับอด แต่กินไม่อิ่ม การให้บุญทำบุญแบบนี้ จึงมีสิทธิ์เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก นี่อย่างหนึ่ง

    และอีกประการหนึ่ง กรรมที่ทำให้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้แก่การถวายสังฆทานการถวายสังฆทานนี้ทำให้เกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์แน่ อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทนำอาหารมาถวายทานแก่พระสงฆ์วันนี้ก็ดี หรือใส่บาตรหน้าบ้านก็ดี อันนี้เรียกว่า "สังฆทาน"

    สังฆทานนี้บุญขั้นต่ำที่สุดที่จะพึงได้ อานิสงส์ที่จะพึงได้ คือต้องเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสร้างวิหารทาน คือสร้างที่อยู่ สร้างบ่อน้ำ สร้างสาธารณประโยชน์ สร้างสะพานข้ามคลอง สร้างศาลา และที่พักอาศัยระหว่างทาง อย่างนี้เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ๓. สำหรับชั้นยามา ที่เราจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้ ก็ต้องมีเหตุผล

    ประการแรกคือ
    ๓.๑) พอใจในการสวดมนต์อย่างยิ่ง ถ้าเวลาสวดมนต์บูชาพระ ไม่ได้สวดจริงๆ ใจมันไม่สบาย ต้องสวดให้ได้
    ๓.๒) การเจริญพระกรรมฐานในตอนต้นนั้น จิตไม่เข้าถึงฌานสมาบัติ แต่ว่ากำลังใจเข้าถึงอุปจารฌาน คือเฉียดฌาน เมื่อจะตายจากความเป็นคน ใจของเราน้อมไปในกุศลทั้ง ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งคือ จิตคิดติดอยู่ในสวดมนต์ อยากแต่จะสวดมนต์ และพอใจทั้งเสียงสวดมนต์ หรือว่าเวลานั้นจิตตกอยู่ในอุปจารสมาธิ หรืออุปจารฌาน

    ถ้าจิตของเราเวลานั้นเป็นอย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรคืชั้นยามา

    ๔. สำหรับ ชั้นดุสิต นี่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าจะไปอยู่ได้ด้วยกัน ๓ ประการ คือ
    ๔.๑.) พระพุทธบิดา พระพุทธมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติสุดท้าย จึงจะไปเกิดบนชั้นดุสิตได้
    ๔.๒) หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญบารมีมาถึงปรมัตถบารมี เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปอยู่บนชั้นดุสิต ได้
    ๔.๓) บุคคลทั้งหลายจะเป็นพระก็ดี เณรก็ดี เจริญพระกรรมฐานในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินศรี ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปคือมีผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอนาคามี จึงจะมีสิทธิ์อยู่ชั้นดุสิตได้

    ฉะนั้นท่านธัมมิกอุบาสก ถึงแม้พระบาลีจะไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า แต่ท่านต้องเข้าใจถึงกฏของการอยู่ ชั้นดุสิต ว่าอย่างน้อยที่สุดท่านต้องเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำจึงมีสิทธิ์เข้าอยู่ชั้นดุสิตได้

    ๕. ขอพูดเรื่องเทวดาอีก ๒ ชั้นต่อไป เมื่อพูดแล้ว เป็นอันว่า สมเด็จพระประทีปแก้วทรงกล่าวถึงคุณธรรมของเทวดาชั้นนิมมานรดี ซึ่งเป็นชั้นที่ ๕ เทวดาชั้นนี้ชอบเนรมิต ของทุกสิ่งในการเนรมิตขึ้นมา เมื่อเทวดาชั้นที่ ๖ คือ ปรนิมิตวสวัตดี ต้องการอะไรก็ตามที เทวดาชั้นที่ ๕ เนรมิรให้ทุกอย่าง ท่านที่ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์มีชีวิตอยู่ก็มีความเลื่อมใสในสมเด็จพระบรมครูได้ ๕ ในอภิญญา ๖ เว้นอาสวักขยญาณ และก็ชอบเล่นชอบเนรมิตของต่างๆ จุกจิกๆ เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ด้วยอำนาจของอภิญญาสมาบัติ
    ชอบเนรมิตเล่นตามความพอใจ เกิดความสบายในจิต ท่านผู้ที่มีจิตเข้าถึงฌาน ๔ จึงได้อภิญญา แต่ทว่าเวลาที่ท่านจะตายท่านไม่ได้เข้าฌานตาย จิตเข้าถึงกำลังของฌานเป็นอันว่าจิตของท่านนี้นั้น น้อมไปในกุศลตายจากความเป็นคนจึงได้เกิดเป็นเทวดาชั้นที่ ๕ เรียกว่า "นิมมานรดี"

    ๖. สำหรับเทวดาชั้นที่ ๖ นี้เป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติขั้นสูง คือ สมาบัติ ๔ แต่ทว่าเวลาตายนี่ ท่านเองไม่ได้เข้าฌานตายจึงไม่เป็นพรหม ต้องไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

    เทวดา ๓ ชั้นที่มีสิทธิ์ไปเป็นพรหม

    รวมความว่าเทวดา ๓ ชั้น ที่พ้นจากความเป็นเทวดาแล้วไปเป็นพรหมเลยก็คือ
    ๑. ชั้นจาตุมหาราช
    ๒. ชั้นนิมมานรดี
    ๓. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    ทั้ง๓ ชั้นนี้ เพราะอาศัยมีฌานเป็นพื้นฐาน ถ้าเป็นเทวดาเมื่อไรฌานเขาก็ตัดเป็นกำลังใจตามเดิม แต่ว่ายังเป็นพรหมไม่ได้ เพราะเวลตายไม่ได้เข้าฌานตาย เมื่อหมดเวลาการที่อยู่บนสวรรค์เมื่อใด ท่านทั้ง ๓ ชั้นไปเป็นพรหมทันที

    จากนิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๓๑๐ มกราคม ๒๕๕๐

    -----------------------------------

    หน้าที่ 1 - เทวภูมิ 3 (อายุของเทวดา แต่ละชั้น)
    -http://www.vcharkarn.com/vblog/37510-

    ฉกามาพจร สวรรค์ 6 ชั้น ( เทวภูมิ ทั้ง 6 )
    โดย ยรรยง สินธุ์งาม


    สวรรค์ หรือ เทวโลก เทวภูมิ หมายถึง โลกที่เป็นที่อยู่ของเทวดา มี ๖ ชั้น เรียกว่า ฉกามาพจร ซึ่งหมายถึง ภพภูมิหกชั้น ที่ยังอยู่ในวังวนของ กามตัณหา ยังมีความอยาก ความใคร่ เป็นแรงขับ ยังมีการเกิด การแตกดับ เหมือนกับโลกมนุษย์ ถึงแม้ว่า เหล่าเทพทั้งหลายจะมีกาย ละเอียดเป็นทิพย์

    ๑. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นต่ำสุด ตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคันธร ซึ่งเป็นภูเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อยู่สูงกว่าแผ่นดินขึ้นไปเบื้องบน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ วา คิดเป็นโยชน์ได้ ๔๖,๐๐๐ โยชน์
    (มาตราวัดความยาวของไทย ; 8 ปรมาณู เป็น 1 อณู 5 อณู เป็น 1 ธุลี 8 ธุลี เป็น 1 เส้นผม
    8 เส้นผม เป็น 1 ไข่เหา 8 ไข่เหา เป็น 1 ตัวเหา 8 ตัวเหา เป็น 1 เม็ดข้าว 8 เม็ดข้าว เป็น 1 นิ้ว
    12 นิ้ว เป็น 1 คืบ 2 คืบ เป็น 1 ศอก 4 ศอก เป็น 1 วา 20 วา เป็น 1 เส้น 400 เส้น เป็น 1 โยชน์ ; อ้างอิง วิถีพีเดีย
    สารานุกรมเสรี ) อยากรู้ ว่า หน่วยที่เป็น วา จะเป็นกี่เมตร ให้เทียบดังนี้ ๑ วา เท่ากับ ๒ เมตร ก็ให้เอา ๒ คูณ
    จำนวนที่ได้ก็จะออกมาเป็น เมตร อยากรู้ว่า หน่วยที่เป็น โยชน์ จะเป็นกี่เมตร ให้เทียบดังนี้ ๑ โยชน์ จะเท่ากับ ๔๐๐ เส้น x ๔๐ เมตร เท่ากับ ๑๖,๐๐๐ เมตร ก็ให้เอา ๑๖,๐๐๐ เมตร คูณ จำนวนที่ได้ก็จะออกมาเป็น เมตร

    สวรรค์ชั้นนี้ มีเมือง ๔ เมือง มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ ๔๐๐,๐๐๐ วา กำแพงล้อมรอบประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘,๐๐๐ วา บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาททองอยู่เหนือประตูทุกด้าน แผ่นดินเป็นแผ่นดินทองคำ แวววาวงดงาม ราบเรียบเหมือนหน้ากลอง เหมือนปูด้วยผ้า แก้วที่ประดับพื้นนั้นถ้าเหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมาเหมือนเดิม ไม่ปรากฏรอยเท้าที่เหยียบ น้ำใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัว ๕ ชนิดบานสะพรั่ง (บัว ๕ ชนิด (species) ซึ่งประกอบด้วย ๙ พันธุ์ (variety)

    ๑.ชนิดบัวหลวง (Nelumbo nucifera) ๓ พันธุ์ คือ บัวหลวงขาว (บุณฑริก) บัวหลวงชมพู (ปัทมา) และ บัวหลวงชมพูซ้อนทรงป้อม (สัตตบงกช)

    ๒.ชนิดบัวสาย (Nymphaea lotus var. pubescens) ๓ พันธุ์ คือ บัวสายแดง (รัตอุบล,สัตตบรรณ)
    บัวสายชมพู (ลินจง) บัวสายขาว (เศวตอุบล,โกมุท,กมุท,กุมุท)
    ๓.บัวสุทธาสิโนบล (Nymphaea capensis var. zanzibariensis)

    ๔.บัวเผื่อน (Nymphaea nouchali)
    ๕.บัววิกตอเรีย (Victoria amazonica) (งานวิจัย การศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของบัวบางชนิดในประเทศไทย , จารีย์ หอยทอง , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สาขาพฤกษศาสตร์ : บัวทั้ง ๕ ชนิด กระผม ลองค้นดูสายพันธุ์บัวที่ปรากฎในโลกมนุษย์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบนสวรรค์ชั้นดังกล่าว จะมีตามที่ว่าไว้หรือไม่ ก็ลองเผยแพร่ไว้ ถ้าใครมีข้อมูล เป็นอย่างอื่น ก็ขอให้นำมาแลกเปลี่ยนกัน แต่จากที่เผยแพร่ไว้ทางอินเตอร์เน็ต ก็หลายเดือนแล้ว ยังไม่มีใครแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องดังกล่าว แม้แต่ เทวดา ในชั้นจาตุเอง ก็ยังไม่ได้มาบอกกล่าวแต่อย่างไร ก็ถือซะว่า ข้อมูลข้างต้นน่าจะใช้ได้ นะครับ )
    น้ำในสระ มีกลิ่นหอมราวกับอบไว้ มีดอกไม้ต้นไม้งามเลิศ มีผลไม้รสอร่อย ออกดอกผลตลอดทั้งปี
    เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดๆ
    จาตุมหาราชิกา มีเทพยดาผู้เป็นใหญ่ คือ พระยาจตุโลกบาล ปกครองเหล่าเทพยดา ครุฑ นาค และยักษ์ทั้งหลาย คือ

    ๑. ท้าวธตรัฏฐ์ อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา (คนธรรพ์ เทพที่
    ชำนาญการดนตรี )
    ๒. ท้าววิรุฬหก อยู่ทางทิศใต้ของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา
    ๓. ท้าววิรูปักข์ อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง นาคเทวดา
    ๔. ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวไพรศรพณ์ อยู่ทางทิศเหนือของเขาสุเมรุ เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา ภูติ ผี ปิศาจ

    ตามที่ศึกษาจากพระไตรปิฎก พบว่า ท้าวจตุโลกบาล ทั้ง 4 จะเสด็จมายังโลกมนุษย์ พร้อม ไพร่พลทุกวันพระ เพื่อมาตรวจสอบ เก็บบันทึก การทำความดี ความชั่ว ของมนุษย์โลก ในการนี้ พระภูมิ เจ้าที่ ตามสถานที่ต่างๆ บนโลก จะเป็นผู้จดบันทึก และนำบันทึกในแต่ละรอบ มอบให้ ท้าวจตุโลกบาล ซึ่งจะนำกลับไปอ่านป่าวประกาศให้ ผู้ที่อยู่ภพสวรรค์ ได้รับรู้ ถ้ากล่าวถึงผู้ที่ ทำความดี เหล่าเทวดา ก็จะสาธุ แซ่ซ้องสรรเสริญ ถ้าในช่วงที่กล่าวถึง ผู้ทำความชั่ว เหล่าเทวดาก็จะตำหนิ และเสียใจ ที่มนุษย์โลกมีจิตที่เป็นอกุศล

    รายชื่อผู้ทำความชั่ว ก็จะถูกส่งให้ กับ พระยายมบาล เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป (ในการวิจัยเกี่ยวกับวิญญาณ ในแง่มุมวิทยาศาสตร์ ของข้าพเจ้า เมื่อ วันที่ 14 ธันวาคม 2550 ถ่ายภาพได้ เทวดาที่น่าจะเป็น เหล่าทหารของ ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งในโอกาสต่อไปคงจะได้นำมาเผยแพร่ ให้ได้ชมกัน )
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๑ จาตุมหาราชิกา

    ๕๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่ง ในชั้นจาตุมหาราชิกา, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็นหนึ่งเดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็น ๑ ปี, ๕๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวก

    จาตุมหาราชิกา ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๙ ล้านปี ฯ

    ( ข้อที่ ๑๒๖ ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค )


    ๒. สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ เป็นสวรรค์ชั้นที่อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไปอีก ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของ พระอินทร์ สวรรค์ชั้นนี้ มีอาณาเขตกว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีเมืองชื่อไตรตรึงษ์ มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู มีกำแพงแก้วล้อมเมือง ทุกประตูมียอดปราสาทแก้วงดงามวิจิตรพิสดารเวลาเปิดปิดประตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี กลางนครไตรตรึงษ์ มีไพชยนต์ปราสาท สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา งดงามด้วยแก้ว ๙ ประการ เป็นที่ประทับของพระอินทร์
    ทิศตะวันออก มีสวนทิพย์ ชื่อ นิภาวัน มีอาณาเขต ๘๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู มีอุทยาน ซึ่งมีสมบัติทิพย์ ต้นโสออกดอกมาก มีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณีน้ำใสเหมือนแก้วอิภานิล (สีฟ้าเข้ม) มีแท่นแก้ว ๒ แท่น ชื่อ นันทปริฐิปาสาณ และ จุลนันทาปริฐิปาสาณ แผ่นหินแก้วมีรัศมีรุ่งเรือง เวลาจับต้องจะนุ่มราวกับแผ่นหนัง
    ทิศใต้ มีอุทยาน ผารุสกวัน (ปารุสกวัน) อาณาเขต ๕,๖๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วและปราสาทเหนือประตู มีสระใหญ่ชื่อ ภัทรโบกขรณี สุภัทราโบกขรณี ริมฝั่งสระมีหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อเดียวกับสระ หินอ่อนนุ่ม
    ทิศตะวันตก มีอุทยานจิตรลดา อาณาเขต ๔๐๐,๐๐๐ วา มีสระ จิตรลดาโบกขรณี และ จุลจิตรลดาโบกขรณี มีแผ่นหินแก้ว ชื่อ จิตรปาสาณ
    ทิศเหนือ มีอุทยานใหญ่มิสกวัน ต้นไม้ดอกไม้งดงามราวกับตกแต่งไว้ มีกำแพงแก้วและยอดปราสาททุกประตู อาณาเขต ๔๐,๐๐๐ วา มีสาระใหญ่ชื่อ ธรรมาโบกขรณี และ สุธรรมาโบกขรณี แผ่นหินแก้วชื่อ ธรรมาปริฐิปาสาณ และ สุธรรมาปริฐิปาสาณ
    ทิศตะวันออก มีสวนใหญ่ ชื่อ มหาพน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วเหนือประตู อาณาเขต ๖๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาททองคำ สวนมหาวัน สวนนันทวัน มีแท่นแก้ว กลดแก้วกางเหนือแท่นมีรถไพชยนต์ มีม้าแก้วเทียมรถทองคำ มีสร้อยมุกดาประดับพร้อมมาลัยดอกไม้ทิพย์ เวลาลมพัดได้ยินเสียงราวฆ้องกลองแตรสังข์ที่เทวดาบรรเลงในชั้นฟ้า
    ที่เขาพระสุเมรุ มีช้างทรงของพระอินทร์ ชื่อช้างเอราวัณ สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร เมื่อเวลาพระอินทร์จะประทับ ช้างจะเนรมิตกายสูงใหญ่ บนเศียรมีวิมาน มีปราสาท มีอุทยาน มีนางฟ้าร่ายรำ ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ นางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง บริวารอีก ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง ( อีก ๓๒ เศียร จะเป็นที่ประทับ ของ เทพ ที่มีศักดิ์ระดับเดียวกับ พระอินทร์ แต่ไม่ใช่ ผู้ปกครองสวรรค์ ซึ่งก็จะมีวิมาน รวมทั้งเหล่า ไพร่ฟ้า บริวาร เหมือนๆ กัน )
    ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ยังมีคำอธิบายความงามมหัศจรรย์พันลึกมาก เช่น มีสระ มีพระจุฬามณีเจดีย์ มีต้นปาริชาต (ดอกทองหลาง) ๑๐๐ ปี ดอกจึงจะบาน ดอกที่บานมีแสงสว่างรุ่งเรืองแผ่รัศมีไปไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๒ ดาวดึงส์

    ๑๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นดาวดึงส์, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๑,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี ฯ

    ( ข้อที่ ๑๒๖ ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค )



    ๓. สวรรค์ชั้นยามา สูงขึ้นไปจากดาวดึงส์ ๖๗๐,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีอุทยานแก้ว สระโบกขรณี เทวดาในชั้นนี้มีหน้าตารุ่งเรือง กายสูง ๘,๐๐๐ วา ผู้เป็นใหญ่คือ ท้าวสยามเทวราช ไม่มีแสงอาทิตย์เพราะอยู่สูงมาก เทวดามองเห็นสรรพสิ่งได้ด้วยแสงรัศมีจากแก้วทั้งหลาย และรัศมีกายของเทวดาเอง จะรู้ว่าเช้าหรือค่ำ ดูได้จากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้บาน คือรุ่งเช้า ถ้าหุบเป็นเวลากลางคืน

    อายุเทวดาชั้น ที่ ๓ ยามา

    ๒๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นยามา, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๒,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวกยามา ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๑๔ โกฏิ ๔ ล้านปี ฯ

    (อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วิตถตสูตร ข้อที่ ๑๓๒)


    ๔. สวรรค์ชั้นดุสิต สูงขึ้นไปจากยามา ๑,๓๔๔,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีความกว้างและสูงกว่าในสวรรค์ชั้นยามา มีสระ สวนสนุกยิ่งใหญ่งดงามรื่นรมย์เหมือนสวรรค์ชั้นอื่นๆ ผู้เป็นใหญ่ชื่อ พระสันดุสิตเทพยราช เทพยดาในชั้นนี้ รู้บุญ รู้ธรรม พระโพธิสัตว์ก่อนเสด็จมาเป็นพระพุทธเจ้าก็สถิตสร้างสมบารมีในชั้นฟ้านี้

    อายุเทวดาชั้น ที่ ๔ ดุสิต

    ๔๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นดุสิต, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๔,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวกดุสิต ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี ฯ

    (อภิธัมมัตถสังคหะ ภาคผนวก ๑๒๗)


    ๕. สวรรค์ชั้นนิมมานนรดี สูงขึ้นไปอีก ๒,๖๘๘,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๓๓๖,๐๐๐ โยชน์ มีสิ่งอำนวยความสุขเหมือนทุกชั้น มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก เทพยดาในชั้นนี้มีความสุขสมบูรณ์มาก ปรารถนาสิ่งใดจะเนรมิตได้ตามความพอใจ มี ท้าวสุนิมมิต เป็นจอมเทพ
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๕ นิมมานรดี

    ๘๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นนิมมานรดี, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๘,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวก

    นิมมานรดี ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๒๓๐ โกฏิ ๔ ล้านปี ฯ

    (อภิธัมมัตถสังคหะ ภาคผนวก ๑๒๗)


    ๖. สวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด ประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าชั้นฟ้าทั้งหลาย หากปรารถนาสิ่งใด เช่น อาหารทิพย์ ก็จะมีเทพยดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้ทุกประการ
    สวรรค์ชั้นนี้ มีผู้เป็นใหญ่ ๒ องค์ คือ ปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่ฝ่ายเทพยดา และ
    พระยามาราธิราช เป็นใหญ่ฝ่ายมาร ซึ่ง พระยามาร ท่านนี้ได้เคย ยกกองทัพ เข้า ท้าสู้รบ กับ พระพุทธเจ้า

    เมื่อครั้นอดีต จนเป็นที่มาของ พระพุทธรูปปาง มารวิชัย หรือ ปางผจญมาร ดังปรากฎในปัจจุบัน การพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ทำให้ พระยามาร ซาบซึ้งในรสพระธรรม จึง ปวรณาตน ปรารถนาเพื่อตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล คำกล่าวที่ว่า “ นะโม ” ซึ่งแปลว่า “ขอนอบน้อม (ยอมแล้ว)” เป็นคำกล่าว ของพระยายักษ์ ผู้นี้
    อายุเทวดาชั้น ที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี

    ๑,๖๐๐ ปีของพวกมนุษย์ เป็นวันและคืนหนึ่งในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี, ๓๐ โดยวันและคืนนั้นเป็น

    ๑ เดือน, ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี, ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาพวก

    ปรนิมมิตวสวัตตี ฯ นับปีของมนุษย์ได้ประมาณ ๙๒๑ โกฏิ ๖ ล้านปี ฯ

    (อภิธัมมัตถสังคหะ ภาคผนวก ๑๒๗)


    การสิ้นชีวิต (หมดบุญ) ของเทวดา มี ๔ อย่าง

    ๑. อายุขัย ได้แก่ สิ้นชีวิตตามอายุในชั้นฟ้านั้น

    ๒. บุญญขัย สิ้นบุญก่อนถึงกำหนดอายุขัยในชั้นฟ้านั้น อาจจะเนื่องมาจาก มี กรรมดำ ที่ทำไว้ในอดีตมาตัดรอน
    ๓. อาหารขัย สิ้นชีวิตเพราะสนุกจนลืมกินอาหาร ลืมกินอาหารเพียงเพลาเดียว ก็สิ้นบุญ
    ๔. โกธาพละ สิ้นชีวิตเพราะความโกรธ ซึ่งหัวใจจะกลายเป็นไฟ เผาไหม้ตนเอง

    ก่อนเทพยดาจะไปจุติ (ไปเกิดใหม่) จะมีนิมิต ๕ ประการ คือ

    ๑. เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเหี่ยวและไม่หอม
    ๒. ผ้าทรง (เครื่องนุ่งห่ม) ดูหม่นหมอง
    ๓. อยู่ไม่มีความสุข มีเหงื่อไคลไหล ออกจากรักแร้
    ๔. อาสนะ(ที่นั่ง)ร้อนและแข็งกระด้าง
    ๕. กายของเทวดา นั้นเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง ไม่มีรัศมี

    เรื่องสวรรค์เป็นเรื่องของความจริง ซึ่งด้วยกาลเวลาที่ผันผ่าน จึงเป็นเพียงความเชื่อ ซึ่งคนโบราณมุ่งจะปลูกฝังสั่งสอนให้คนประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่กระทำบาป คือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เพื่อให้ได้เป็นเทวดาเสวยสุขสมบัติ (แต่ ณ วันเวลานี้ จากการศึกษา เกี่ยวกับวิญญาณ ในแง่มุมวิทยาศาสตร์ ของผม ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ 2528 จนถึงปัจจุบัน จากข้อมูลที่ได้ ทำให้กล้าที่จะสรุปว่า ภพสวรรค์ มีจริง ดังบันทึกไวในพระไตรปิฎก ซึ่งการเผยแพร่ผลงานวิจัยดังกล่าว จะมีขึ้นในไม่ช้านี้ )

    รวบรวมโดย ยรรยง สินธุ์งาม หอศิลป์มหาเวทย์

    http://www.vcharkarn.com/vblog/37510
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2013
  13. มหาละลวย

    มหาละลวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +717
    ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆ ภาพประกอบสวยๆครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมได้ใบอนุโมทนาบัตรจากพี่แอ๊ว(ในวันนี้)แล้ว

    ผมจะทยอยส่งใบอนุโมทนาบัตรให้กับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญและแจ้งขอใบอนุโมทนาบัตรครับ

    โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน คุณเว็บบอร์ด และ คุณtoyotoyo

    สืบเนื่องจากกระทู้ งานกฐินพระราชทาน ณ วัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2555
    -http://palungjit.org/threads/งานกฐินพระราชทาน-ณ-วัดใน-3-จังหวัดชายแดนภาคใต้-ปี-2555-a.371562/page-3-

    พี่แอ๊วได้ส่งใบอนุโมทนาบัตรมาให้ผมแล้ว ผมจะทยอยจัดส่งใบอนุโมทนาบัตรให้ครับ

    โมทนาบุญทุกประการ

    http://palungjit.org/threads/พระวัง...โลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2572

    http://palungjit.org/threads/งานกฐินพระราชทาน-ณ-วัดใน-3-จังหวัดชายแดนภาคใต้-ปี-2555-a.371562/page-3

    http://palungjit.org/threads/งานกฐินพระราชทาน-ณ-วัดใน-3-จังหวัดชายแดนภาคใต้-ปี-2555-a.371562/page-3


    ผมได้ใบอนุโมทนาบัตรจากพี่แอ๊ว(ในวันนี้)แล้ว

    ผมจะทยอยส่งใบอนุโมทนาบัตรให้กับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญและแจ้งขอใบอนุโมทนาบัตรครับ

    โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2013
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ข้อมูลควรรู้ เกี่ยวกับ เครดิตบูโร
    -http://hilight.kapook.com/view/80943-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "เครดิตบูโร" (Credit Bureau) ในยามที่เราจะทำธุรกรรมด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการขอสินเชื่อ บางคนบอกว่า "ติดเครดิตบูโร" บ้างก็บอกว่า "ติด Black List" แล้ว 2 อย่างนี้ คืออะไร ใช่อันเดียวกันหรือไม่ ในวันนี้ กระปุกดอทคอม จึงนำข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ เครดิตบูโร ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ถือบัตรเครดิตอยู่ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการจะมีบัตรเครดิตในวันข้างหน้า มาฝากกันค่ะ เรามาทำความรู้จักกับธุรกิจข้อมูลเครดิต หรือ Credit Bureau กันเลย...

    เครดิตบูโร คืออะไร

    เครดิตบูโร นั้นมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของบุคคลจากสถาบันการเงินหลาย ๆ แห่ง เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเมื่อลูกค้าให้ความยินยอมให้สถาบันการเงินตรวจสอบข้อมูลการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของตนในขณะที่ยื่นขอสินเชื่อแล้วนั้น สถาบันการเงินก็สามารถจะเรียกดูข้อมูลดังกล่าวจาก เครดิตบูโร เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้

    รายงานข้อมูลเครดิตเก็บข้อมูลใดไว้บ้าง

    เครดิตบูโรจะเก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลของการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต ซึ่งข้อมูลนี้จะประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนที่บ่งชี้ตัวบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน และอีกส่วนหนึ่งเป็นประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิต รวมเรียกว่า "รายงานข้อมูลเครดิต" รายงานข้อมูลเครดิตจะมีการบันทึกและจัดเก็บวงเงินยอดหนี้คงค้าง รวมถึงประวัติการผิดนัดชำระในแต่ละสิ้นเดือนย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือน ด้วยเหตุนี้แล้ว การชำระสินเชื่อทุกครั้งให้ตรงเวลาจึงเป็นการรักษาเครดิตที่ดีที่สุด

    ใครมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาดูรายงานข้อมูลเครดิต

    นอกจากสถาบันการเงินที่ผู้ขอสินเชื่อได้ให้ความยินยอม จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อได้แล้ว ผู้ขอสินเชื่อเองก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมาขอดูรายงานข้อมูลเครดิตของตนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยการยื่นคำขอได้ที่ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยให้ยื่นคำขอผ่านธนาคารนครหลวงไทยทุกแห่งทั่วประเทศก็ได้ มีค่าธรรมเนียม 100 บาท ทั้งนี้ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้

    การตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง

    ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 มาตรา 25 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าของข้อมูลให้เจ้าของข้อมูล มีสิทธิที่จะตรวจสอบข้อมูลของตน โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีความยินดีที่ให้ท่านตรวจสอบข้อมูล ดังนี้

    ณ ที่ทำการบริษัท (ศูนย์บริการตรวจสอบเครดิตบูโร) มีขั้นตอนดังนี้

    1. เจ้าของข้อมูลมาติดต่อด้วยตนเอง แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้

    กรณีบุคคลธรรมดา

    บัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวตัวจริงนำมาแสดง


    กรณีนิติบุคคล

    สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมดารผู้มีอำนาจ

    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง

    ตราประทับของนิติบุคคล (ถ้ามี) เพื่อใช้ประกอบการยื่นขอคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิต


    2. เจ้าของข้อมูลมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาดำเนินการแทน แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้

    กรณีบุคคลธรรมดา

    หนังสือมอบอำนาจบุคคลธรรมดา กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน

    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง

    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง


    กรณีนิติบุคคล

    หนังสือมอบอำนาจนิติบุคคล กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน

    สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม้เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจประทับตราของนิติบุคคล (ถ้ามี)

    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และลงนามรับรองความถูกต้องพร้อมตัวจริงนำมาแสดง

    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง

    ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบข้อมูลเครติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัท

    เจ้าของข้อมูลสามารถขอรับรายงานภายในวันยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน (กรณีให้จัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ฉบับละ 20 บาท)


    สถานที่ตรวจสอบข้อมูลเครดิต ศูนย์บริการตรวจสอบบูโร 3 แห่ง ดังนี้

    1. ส่วนบริหารเจ้าของข้อมูล บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด

    อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (สำนักงานใหญ่)
    เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
    โทรศัพท์ : (66) 02-643-1250
    โทรสาร : (66) 02-612-5895
    เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00 น. - 16.30 น.


    2. สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ด้านในสถานี)

    เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00 น. - 18.00 น.
    (*ตรวจสอบเครดิตบูโรเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น)


    3. ห้างเจเวนิว (นวนคร) ติดโรงพยาบาลนวนคร

    เปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00 น. - 19.00 น. หยุดนักขัตฤกษ์
    (*ตรวจสอบเครดิตบูโรเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น)


    การตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเองผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการตรวจสอบเครดิตบูโร

    เคาน์เตอร์ธนาคาร ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ

    ทำรายการผ่านตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ (ต้องมีบัตรเอทีเอ็ม)

    ทำรายการผ่านระบบธนาคารบนโทรศัพท์มือถือของธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต้องมีบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตของธนาคารนั้น ๆ

    ทำรายการผ่านธนาคารออนไลน์ ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต้องมีบัญชีธนาคาร (ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดา)

    กรณีทำรายการผ่านเครื่อง ATM สามารถทำรายการขอข้อมูลได้ทันที โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลหรือแบบฟอร์มคำขอ ส่วนในกรณียื่นผ่านสาขา ลูกค้าสามารถเลือกการรับข้อมูลเครดิตได้หลายแบบ ทั้งแบบปีละ 1 ครั้ง 2 ครั้ง 4 ครั้ง หรือ 6 ครั้ง โดยยื่นความจำนงเพียงครั้งเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอย่างมากให้กับลูกค้าและประชาชน จากนั้นศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะส่งข้อมูลเครดิตบูโรให้ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ภายใน 7 วัน คิดค่าบริการ 150 บาท ต่อ 1 รายการ


    การติดแบล็กลิสต์ (Black List) หรือ การติดเครดิตบูโร

    ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะติดแบล็กลิสต์จากเครดิตบูโร แต่ความจริงแล้ว เครดิตบูโรไม่มีสิทธิ์ในการจัดแบล็กลิสต์ผู้ขอสินเชื่อ เพราะเครดิตบูโรจะทำหน้าที่รวบรวมประวัติการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตของสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินตามข้อเท็จจริง ซึ่งสถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อเพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อนั้นยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น รายได้ของผู้สมัครสินเชื่อ หลักประกัน บุคคลผู้ค้ำประกัน เป็นต้น ในทางกลับกัน หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น


    จะขอสินเชื่อแต่ติดเครดิตบูโรจะทําอย่างไร

    มีหลายท่านที่ต้องการจะขอกู้เงิน ไม่ว่าจะนำไปซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือจะขอกู้เงินไปทำอะไรก็ตาม แต่ต้องมาประสบปัญหาติดแบ็กลิสต์เครดิตบูโร เพราะทุกธนาคาร ทุกสถาบันการเงิน ต้องมีหน้าที่คอยส่งข้อมูลเครดิตของเราให้กับ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ดังนั้นถ้าหากเรามีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ก็จะทราบข้อมูลของเราทั้งหมด ทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่าน ซื่งถ้าหากประวัติของเราเสีย หรือติด Black List โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่เกิดจากความผิดพลาดของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่ไม่ตรวจสอบรายงานก่อนทำการส่งข้อมูลเครดิตให้ดีก่อน เช่น

    กรณีที่ลูกหนี้ชำระหนี้หมดแล้ว แต่การปฏิบัติการส่งข้อมูลเครดิตผิดพลาด

    กรณีถูกปลอมเอกสารเพื่อขอสินเชื่อ

    กรณีถูกปลอมเอกสารในการสมัครบัตรเครดิต

    กรณีถูกขโมยข้อมูลของบัตรเครดิต

    ทั้งนี้ ถ้าเกิดปัญหาดังกล่าว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายป้องกันทุจริตของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่จะต้องประสานงานเพื่อยับยั้งการส่งข้อมูลเครดิตที่ไม่ถูกต้อง หรือที่เรียกกันในวงการธนาคารว่า Dispute Transaction คือ มีการตั้งยอดมูลหนี้ที่เกิดจากการทุจริต เพื่อการตรวจสอบจนกว่าจะตรวจสอบเสร็จสิ้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย และไม่นำยอดดังกล่าวมาลดจำนวนวงเงินเครดิตลูกค้า

    อย่างไรก็ตาม ถ้าหากท่านตรวจสอบแล้วเห็นว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการส่งข้อมูลเครดิตของธนาคารหรือสถาบันการเงิน เราสามารถโต้แย้งได้โดยตรงและสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้บริโภคคนใดขอฟ้องร้องดำเนินคดีกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน เพราะคนไทยชอบคิดไปเองว่าเค้าใหญ่กว่าเราสู้ไม่ได้หรอก นั่นเป็นเหตุผลที่คนไทยมักอยู่ในมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่ต่ำมาก เพราะทุกคนไม่รู้สิทธิ์ของตนเอง หรือรู้สิทธิ์ของตัวเองดีแต่ไม่กล้าดำเนินการใด ๆ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110714/400265/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2.html-

    , บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด -https://www.ncb.co.th/Default.htm-

    , consumerthai.org -http://www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&func=view&catid=2&id=7893-

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เยือนถิ่นวังหน้า เที่ยวย้อนอดีต ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
    -http://travel.kapook.com/view54866.html-

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ tiwsu สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเอาใจนักเดินทางผู้หลงใหลกลิ่นอายของวันวาน ด้วยการพาไปเที่ยวย้อนอดีตกัน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งนับว่าเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนแห่งแรกของประเทศไทย ที่บอกเล่าเรื่องราวของชนชาติไทยต่าง ๆ เอาไว้มากมาย รวมถึงมีการจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุต่าง ๆ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยและชาติเพื่อนบ้านอีกด้วย อะ ๆ ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะเรายังหยิบเอาภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณ tiwsu สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ถ่ายทอด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในอีกมุมหนึ่งมาให้ชมกันด้วยค่ะ ^^

    สำหรับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นั้น แต่เดิมเป็นวังหน้าของ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับวังหลวง มีพระที่นั่งที่สำคัญ ได้แก่ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธศวรรย์ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ต่อมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขึ้นที่ศาลาสหทัยสมาคม เรียกว่า "มิวเซียม" แล้วจึงย้ายมาไว้ที่วังหน้าของกรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งบางส่วนกลายเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริเวณข้างเคียงมีโรงเรียนช่างศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป์ และโรงละครแห่งชาติอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยสิ่งที่น่าสนใจนอกจากพิพิธภัณฑ์แล้วยังมี "วัดบวรสถานสุทธาวาส" ตั้งอยู่ภายในบริเวณวังหน้า ใกล้กับโรงเรียนช่างศิลป์ วัดนี้เรียกกันว่า "วัดพระแก้ววังหน้า"

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เยือนถิ่นวังหน้า เที่ยวย้อนอดีต ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
    -http://travel.kapook.com/view54866.html-


    ประวัติความเป็นมา

    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นับเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2402 แต่เดิมเป็น "พระราชวังบวรสถานมงคล" หรือ "วังหน้า" ซึ่งประกอบด้วยพระที่นั่งและพระตำหนักอันนับเป็นสถาปัตยกรรมไทยที่งดงามอีกแห่งหนึ่ง

    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ขึ้นที่ พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ ซึ่งทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ซึ่งเป็นเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ นับว่าเป็นบ่อเกิดของพิพิธภัณฑ์ในสมัยต่อมา

    จากนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "มิวเซียม" ณ ศาลาสหทัยสมาคม หรือ หอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง และมีพิธีเปิดหอมิวเซียมหรือพิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 กรมศิลปากร จึงถือเอาวันที่ทรงประกอบพิธีเปิดมิวเซียมเป็นวันกำเนิดของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งแรกของราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานประเภททั่วไป และใน พ.ศ. 2418 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำโบราณศิลปวัตถุออกจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานตามหลักวิชาสากล มีการแบ่งโบราณวัตถุ เป็น 3 ประเภท และจัดแบ่งเป็นห้อง ๆ ไป ได้แก่ โบราณศิลปวัตถุของไทย 1 ห้อง เครื่องราชูปโภคและเครื่องต้น 1 ห้อง และศิลปวัตถุจากต่างประเทศอีก 1 ห้อง พิพิธภัณฑสถานนี้เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมเป็นครั้งแรก เป็นที่สนใจของประชาชนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดแสดงเป็นพิเศษเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของทุกปี

    [​IMG]

    [​IMG]


    ครั้งต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2430 กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ทิวงคต จึงได้มีประกาศยกเลิกตำแหน่งพระอุปราชแล้ว ทำให้สถานที่ในพระราชวังบวรสถานมงคลว่างลง รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพิพิธภัณฑสถานจากหอคองคอเดีย ไปตั้งจัดแสดงที่พระราชวังบวรสถานมงคลเฉพาะด้านหน้า 3 องค์ โดยใช้พระที่ นั่งด้านหน้า คือ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เรียกว่า "พิพิธภัณฑ์วังหน้า"

    ต่อมาในปี พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรสถานมงคลทั้งหมด ให้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครขึ้น และได้จัด พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ให้เป็นสถานที่จัดแสดง ศิลาจารึก คัมภีร์ใบลาน สมุดไทย ตำราโบราณ เรียกว่า หอสมุดวชิรญาณ อีกทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา และต่อมาประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลได้จัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2476 พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร จึงได้เข้าสังกัดกับกรมศิลปากร และได้ประกาศตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ. 2477

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ประเภทการจัดแสดง

    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดี และชาติพันธุ์วิทยา ปัจจุบันแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

    1. ประวัติศาสตร์ชาติไทย จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาของชนชาติไทยและประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยสังเขป โดยจัดแสดง ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน

    2. ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี เป็นการจัดแสดงวิวัฒนาการของศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย ลำดับตามยุคสมัย โดยจัดแสดงที่อาคารมหาสุรสิงหนาทและอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

    3. ประณีตศิลป์และชาติพันธุ์วิทยา จัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ อันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างประณีต หรือเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันแต่โบราณ เช่น เครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องถม เครื่องมุก เครื่องดนตรี เครื่องไม้จำหลัก เครื่องประกอบการเล่นมหรสพต่าง ๆ เครื่องแต่งกายและผ้าโบราณ เครื่องถ้วย อาวุธโบราณ ราชยานคานหาม ราชรถและเครื่องประกอบการพระราชพิธีพระบรมศพ เป็นต้น โดยจัดแสดงที่อาคารหมู่พระวิมานและโรงราชรถ

    4. อาคารโบราณสถาน จัดแสดงอาคารหมู่พระที่นั่งในพระราชวังบวรสถานมงคลมาแต่เดิม รวมทั้งอาคารที่เคลื่อนย้ายมาจากพระราชวังต่าง ๆ เช่น พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ตำหนักแดง พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ศาลาสำราญมุขมาตย์ พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย ศาลาลงสรง เป็นต้น

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    นอกจากนี้ ยังมีโบราณวัตถุที่สำคัญมากมาย เช่น พระพุทธสิหิงค์, พระชัย, พระพุทธรูปโปรดมหิศรเทพบุตร, พระพุทธรูปประทับรอยพระพุทธบาท, พระทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ, พระหลวงพ่อนาก, พระไภษัชยคุรุ, พระหายโศก, พระพุทธรูปห้ามสมุทร, พระคเณศ ตู้ลายรดน้ำ, ศิลาจารึกหลักที่ 1, เศียรพระโพธิสัตว์, พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์, บานประตูพระวิหารวัดสุทัศน์เทพวราราม, พระที่นั่งราเชนทรยาน และเวชยันราชรถ เป็นต้น

    อีกทั้งยังมี "หอแก้วศาลพระภูมิพระราชวังบวรสถานมงคล" ที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นพร้อม ๆ กับพระราชวังบวรสถานมงคลหรือหลังจากนั้นเล็กน้อย เนื่องจากสร้างขึ้นเป็นที่สถิตของพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินที่สร้างวัง ดังนั้น เมื่อสร้างพระราชวังบวรสถานมงคลแล้ว จึงต้องสร้างศาลสำหรับเทวดาเจ้าของที่เป็นการทดแทนด้วย ซึ่งได้รับการนับถือเป็นเทพเจ้าผู้รักษาพระราชวังบวรสถานมงคล อันเป็นที่เคารพสักการะของชาววังหน้ามาแต่อดีตกาล ปัจจุบันนับถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งประจำกรมศิลปากร

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เยือนถิ่นวังหน้า เที่ยวย้อนอดีต ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
    -http://travel.kapook.com/view54866.html-

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ระเบียบปฏิบัติในการเข้าชม

    ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ต้องแต่งกายให้เป็นที่เรียบร้อยและต้องไม่ปฏิบัติดังต่อไปนี้

    นำหีบห่อและสิ่งใด ๆ ที่อาจบรรจุปกคลุมปิดบังหรือซ่อนเร้นสิ่งของในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติออกไป เข้าไปในห้องจัดตั้งโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ

    ก่อความรำคาญด้วยประการใด ๆ แก่เจ้าหน้าที่หรือผู้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

    จับต้องหรือหยิบฉวยสิ่งของที่จัดตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

    สูบบุหรี่ในห้องที่จัดตั้งโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ

    ขีด เขียน จารึก หรือทำความสกปรกแก่สิ่งของและอาคารสถานที่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

    บันทึกภาพหรือเขียนรูปสิ่งของที่จัดตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยมิได้อนุญาตจากผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

    [​IMG]

    การบริการ

    บริการนำชมเป็นหมู่คณะ โดยการนัดหมาย

    บริการสื่อโสตทัศนศึกษา โดยการนัดหมาย

    บริการให้ยืมนิทรรศการหมุนเวียน โดยการนัดหมาย

    บริการให้ยืมภาพถ่าย โดยการนัดหมาย

    บริการห้องสมุดทุกวันยกเว้นวันจันทร์-อังคาร (วันหยุดของพิพิธภัณฑ์)

    บริการนำชมคนไทยทุกวันอาทิตย์ 2 รอบ ดังนี้ เวลา 10.00 น. และ 13.30 น. โดยอาสาสมัครพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

    บริการนำชมภาษาต่างประเทศ โดยกลุ่มสตรีอาสาสมัคร

    - วันพุธ เวลา 09.30 น. ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาญี่ปุ่น
    - วันพฤหัสบดี เวลา 09.30 น. ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน

    ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-16.00 น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท สอบถามรายละเอียด โทรศัพท์ 0 2224 1370, 0 2224 1333 หรือ -www.finearts.go.th-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • w1.png
      w1.png
      ขนาดไฟล์:
      53.8 KB
      เปิดดู:
      425
    • w2.png
      w2.png
      ขนาดไฟล์:
      45.4 KB
      เปิดดู:
      458
    • w3.png
      w3.png
      ขนาดไฟล์:
      49.9 KB
      เปิดดู:
      433

แชร์หน้านี้

Loading...