มหานาคีมหานาคาครุฑารักษากลุ่มภูเก็ตพังงาบูชานัมทานทีรอยพระพุทธบาท

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นาคา, 18 เมษายน 2008.

  1. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    วันนี้ วันพฤหัส ที่ ๑๓ ธค. ๒๕๕๕๕ พระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ผ่านพ้น จาก ๑๒-๑๒-๒๐๑๒ เวลา ๑๒.๑๒ มาแล้ว อย่างปลอดภัย ..
    ด้วยความไม่ประมาท ในประการทั้งปวง ดังที่ องค์พระพุทธสัมมา พระศาสดา ท่านเมตตา ประทาน ปัจฉิมโอวาท ..

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=dpDLe7ek5bM"]??????????????????????? [anurakdhamma] - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_EEQ5XpOiuk]ปลาโลมาที่เกาะสุรินทร์@sabinatour - YouTube[/ame]

    ยูทูป เมื่อ Published on Jul 3, 2012

    ระหว่างที่นั่งเรือไปหมู่เกาะสุรินทร์ ก็ได้พบฝูงปลาโลมา ฝูงใหญ่มาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมากสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งมันไม่กลัวเราเลย แถมยังว่ายมาข้างๆเรืออีก ประทับใจมาก
    +++++++++++++++

    ตะลึงฝูงโลมากว่า 50 ตัวรอรับนักท่องเที่ยวเข้าเกาะสุรินทร์ จ.พังงา

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 ธันวาคม 2555 18:08 น.

    พังงา - ตื่นตะลึงนักดำน้ำบริษัทคุระบุรี กรีนวิว จ.พังงา พบฝูงปลาโลมา จำนวนกว่า 50 ตัว ขณะนำเรือออกจากฝั่งหมู่เกาะสุรินทร์ เผยพบโลมาฝูงใหญ่เป็นครั้งแรกในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เชื่อนักท่องเที่ยวแห่ชมจำนวนมาก
    นักท่องเที่ยวบันทึกภาพฝูงโลมาหัวขวดนับร้อยตัวบริเวณทิศตะวันออกของเกาะสุรินทร์ในพื้นที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา ห่างฝั่งประมาณ 3 ไมล์ทะเล
    โลมาขนาดใหญ่กำลังอวดโฉมต่อหน้านักท่องเที่ยว (ภิรมย์ ชูพล เจ้าหน้าที่ไดร์วิง บริษัท คุระบุรีกรีนวิว ทัวร์ จ.พังงา )

    เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (12 ธ.ค.) นายภิรมย์ ชูพล เจ้าหน้าที่ไดร์วิง บริษัท คุระบุรีกรีนวิว ทัวร์ จ.พังงา กล่าวภายหลังพบฝูงปลาโลมากว่า 50 ตัว ที่บริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ขณะนำเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวออกจากเกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา เพื่อกลับเข้าฝั่งที่จังหวัดพังงา ได้มีปลาโลมาขนาดลำตัวยาวตั้งแต่ 1 เมตร จนถึงประมาณ 5 เมตร จำนวนไม่น้อยกว่า 50 ตัว จับกลุ่มเล่นน้ำกันเป็นฝูง ตรงจุดที่อยู่ห่างออกไปจากเกาะสุรินทร์ประมาณ 2 กิโลเมตร จึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้ และการพบกับฝูงโลมาทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปด้วยตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นฝูงโลมาขนาดใหญ่ที่ยังไม่เคยพบมาก่อน

    ซึ่งจุดที่พบฝูงปลาโลมา เป็นจุดที่มีแนวปะการังที่สมบูรณ์ และสวยงาม ทำให้บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำขนาดเล็ก/ขนาดใหญ่จำนวนมาก เช่น ม้าน้ำหางเสือ แพลงก์ตอน และหญ้าทะเล จึงเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติที่สมบูรณ์ของปลาโลมา อย่างไรก็ตาม หลังจากพบฝูงปลาโลมาดังกล่าวทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติสนใจไปเยี่ยมชมกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ขณะนี้ บริเวณดังกล่าวคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่พบฝูงโลมาขนาดใหญ่ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้การท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาคึกคักขึ้น

    นายภิรมย์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้มีนักท่องเที่ยวเดินทางกลับมาท่องเที่ยวเกาะสุรินทร์คึกคักอีกครั้ง หลังจากเมื่อช่วงที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวจนนักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางดำน้ำ แต่ขณะนี้ ความอุดมสมบูรณ์ได้กลับคืนมาอีกครั้ง น้ำทะเลใสขึ้น ปะการังสมบูรณ์ เนื่องจากหลายหน่วยงานได้ช่วยกันอนุรักษ์ปะการัง ทำให้มีจำนวนสัตว์ทะเลต่างๆ มีมากตามไปด้วย รวมทั้งฝูงโลมาขนาดใหญ่ที่กลับมาหากินในพื้นที่ดังกล่าว

    วันพฤหัสบดี ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555
    ข่าวภูมิภาค หน้าแรก ข่าวภูมิภาค พังงา-พบฝูงปลาโลมากว่า 50 ตัวที่หมู่เกาะสุรินทร์
    พังงา-พบฝูงปลาโลมากว่า 50 ตัวที่หมู่เกาะสุรินทร์ ข่าวต่างประเทศ ข่าวอาชญากรรม ข่าวสังคม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่าวด่วน ข่าว ข่าวสด ข่าววันนี้ สลากกินแบ่งรัฐบาล ข่าวดารา ข่าวบันเทิง : ครอบครัวข่าว 3

    http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=XrmucOKhrIo
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 555000015907101.jpg
      555000015907101.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.3 KB
      เปิดดู:
      129
    • 630.jpg
      630.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.8 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  2. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2012
  3. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    วันนี้ วันอังคาร ที่ ๑๘ ธค. ๒๕๕๕

    ภูเก็ตวางศิลาฤกษ์อาคารปฏิบัติธรรมเทศรังสี (วัดหลังศาล)Written by Siripong | December 18, 2012 | 0 | 5 views

    เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 17 ธ.ค.55 ที่วัดเจริญสมณกิจ (วัดหลังศาล) ถนนโต๊ะแซะ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารปฏิบัติธรรมเทศรังสี วัดเจริญสมณกิจ ร่วมกับนายอรรถการ ฟูเจริญ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต มีพล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นางวรางคณา สุจริตกุล เลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค 8 นายชวลิต ณ นคร รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต นายมานพ ลีลาสุธานนท์ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ตลอดจน ผู้เกี่ยวข้อง และประชาชนชาวภูเก็ต รวมถึงจากจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมในพิธีจำนวนมาก

    นายชวลิต ณ นคร รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงความเป็นมาโครงการอาคารปฏิบัติธรรมเทศรังสี วัดเจริญสมณกิจ ว่า ปัจจุบันสภาพสังคมได้เปลี่ยนแปลง ได้ทำให้เยาวชนมีโอกาสห่างไกลจากพระพุทธศาสนา องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสนับสนุนกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ด้วยความเชื่อมั่นว่าหากเยาวชนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้นำหลักธรรมคำสอนอันดีงามของพระพุทธศาสนาไปประพฤติใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว สภาพสังคมโดยรวมจะร่มเย็น และมีความสงบเรียบร้อย ประกอบกับทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้เห็นถึงแรงศรัทธาหาของเหล่าพุทธบริษัท ที่มีต่อวัดเจริญสมณกิจ ผ่านกิจกรรมที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง

    ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต โดยคณะผู้บริหาร จึงได้กำหนดแผนงานก่อสร้างโครงการอาคารปฏิบัติธรรมเทศรังสี วัดเจริญสมณกิจ และได้รับความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ด้วยงบประมาณก่อสร้าง 8,245,000 บาท และทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต มีความตั้งใจว่าอาคารดังกล่าว จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างลูกหลานให้เลื่อมใสในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา

    ภูเก็ตวางศิลาฤกษ์อาคารปฏิบัติธรรมเทศรังสี (วัดหลังศาล) | ข่าว สกู๊ป เรื่องราว จังหวัดภูเก็ต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    อุปปาตะสันติ มนต์สำหรับระงับเหตุเภทภัย

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=VS2RwnTNoS4]อุปปาตะสันติ มหาสันติงหลวง - YouTube[/ame]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachment.php?attachmentid=15985[/MUSIC]


    อุปปาตะสันติมนต์สำหรับระงับเหตุเภทภัย

    "คัมภีร์อุปปาตะสันติ" หรือ "บทสวดมนต์มหาสันติหลวง"
    เป็นบทสวดมนต์ที่มีอานุภาพอย่างยิ่งในด้านเป็นที่พึงทางใจ เป็นมงคลแห่งชีวิตคุ้มครองรักษาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติอันตราย และมีความสำเร็จในสิ่งที่ชอบธรรม หากได้ปฏิบัติสม่ำเสมอชีวิตจะดีขึ้นอย่างปาฏิหาริย์และน่าอัศจรรย์ ทั้งยังเป็นการทดแทนคุณของแผ่นดินต่อองค์ประมุขและมวลมนุษยชาติ

    ประวัติคัมภีร์อุปปาตะสันติ

    "อุปปาตะสันติ" ทางเมืองเหนือเรียกว่า "มหาสันติงหลวง " แปลว่า บทสวดเพื่อสงบเคราะห์กรรมสวดเพื่อสงบเหตุร้ายและสวดเพื่อสงบสิ่งที่กระทบกระเทือน สวดเพื่อสงบสิ่งที่กระทบกระเทือน

    คัมภีร์อุปปาตะสันติ เป็นวรรณกรรมภาษาบาลีของล้านนาไทย แต่งโดย พระมหามังคละสีลวังสะ พระเถระนักปราช์ญของชาวเชียงใหม่รูปหนึ่ง ในสมัยของพระเจ้าสิริธรรมจักกวัตติลกราชาธิราช (พระเจ้าติโลกราช) รัชกาลที่ ๑๑แห่งราชวงศ์มังรายระหว่าง พ.ศ.๑๙๘๕ - ๒๐๓๐ เป็นคาถาล้วนจำนวน ๒๗๑ คาถา คัมภีร์อุปปาตะสันติ เป็นคัมภีร์ของไทย แต่ต้นฉบับได้จากเมืองไทยไปอยู่เมืองพม่าเสียนาน จนแทบกล่าวได้ว่า คนไทยในสมัยหลัง ๆ นี้ไม่มีใครรู้จัก ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของคัมภีร์นี้

    แต่บัดนี้เป็นที่โสมนัสยินดียิ่งที่เจ้าคุณธรรมคุณาภรณ์ (เช้า ฐิตะปัญโญ)ป.ธ.๙วัดมหาโพธาราม ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์
    ท่านได้ชำระคัมภีร์นี้เป็นภาษาบาลีอักษรไทยเพื่อความสะดวกแก่ผู้อ่านที่ไม่สันทัดบาลี โดยได้ต้นฉบับภาษาบาลีอักษรพม่าจากท่าน พระอาจารย์ภัททันตะธัมมานันทมหาเถระอัครมหาบัณฑิต แห่งวัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง

    นับว่า เป็นการนำคัมภีร์ของล้านนาไทยโบราณ กลับคืนมาสู่เมืองไทยให้ชาวไทยในยุคปัจจุบันได้รู้จัก ได้ศึกษาได้สวดได้ฟังให้เกิดประโยชน์ทางสันติ เพื่อความสงบระงับจากภัยพิบัติทั้งปวงและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวล้านนาชาวไทย ตลอดจนชาวโลกทั้งหลายหลักฐาน
    คัมภีร์ อุปปาตะสันติ ฉบับหนึ่งในล้านนาไทย ซึ่งเขียนไว้ในสมุดข่อย หมึกจีน อาบน้ำชาด ที่เรียกว่าประวัติย่อ ดังนี้...
    ในปีจุลศักราช๑๒๗๙ ปีดับไก๊ เดือน ๘ เหนือ เพ็ญวันศุกร์ ปีกุน สัปตศก พ.ศ.๒๔๗๘ เจ้าภาพเขียนต้นฉบับนี้ คือ นายน้อยปิง มารวิชัย บ้านประตูท่าแพเป็นประธานพร้อมทั้งภริยาลูกและญาติทุกคน ได้จ้างคนเขียนธรรม ๕ ผูก คือมลชัย ๑ ผูก..อินทนิล ๑ ผูก..สังยมาปริตตคลสูตร ๑ มังผูกนัครฐาน ๑ ผูกอุปปาตสันติ ๑ ผูก รวม ๕ ผูก พร้อมทั้งสร้างบ่อน้ำถวาย พระครูบาศรีวิชัย (ปฏิคาหก) ทานวัดศรีโสดา และถนนขึ้นดอยสุเทพ
    ขอกุศลบุญเยี่ยงนี้จงเป็นปัจจัยค้ำชูตัวแห่งผู้ข้า ฯ (นายน้อยปิง)ทั้งหลายทุกคนตราบถึงนิพพานในอนาคตกาลโน้นเทอญ

    มีคำเล่าว่า สมัยแต่งอุปปาตะสันตินั้น ที่เมืองเชียงใหม่นั้นมีโจรผู้ร้ายและ คนอัทธพาลชุกชุมมากผิดปกติ มีเหตุร้ายและสิ่งกระทบกระเทือนอยูเสมอ พระสีลวังสะ จึงให้พระสงฆ์ สามเณรและประชาชนพากันสวดและฟังอุปปาตะสันติ เพื่อกลับร้ายให้กลายเป็นดี มีผู้เลื่อมใสคัมภีร์นี้มาก และถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาชาวพม่ามีความเลื่อมใสนำคัมภีร์นี้เข้าไปในประเทศพม่า เข้าใจว่านำเข้าไป ที่เมืองอังวะก่อนแล้วแพร่หลายไปทั่วประเทศพม่าสมัย ๕๐๐ ปีที่ล่วงแล้ว ชาวพม่าทั้งพระสงฆ์และประชาชนถือว่า คัมภีร์อุปปาตะสันติ มีความศักดิ์สิทธิ์มาก นิยมท่อง นิยมสวดและนิยมฟังอย่างกว้างขวาง มีคำเล่ากันว่า สมัยหนึ่งพวกจีนมาตีเมืองอ้งวะ ประเทศพม่า ชาวพม่าทั้งพระสงฆ์ ข้าราชการ และประชาชนพากันสวดคัมภีร์อุปปาตะสันติ พวกจีนได้ฟังอุปปาตะสันติโฆษณาคือ เสียงกึกก้องของอุปปาตะสันติ ก็มีความกลัวแล้วพากันหนีกลับไป

    ความหมายคัมภีร์อุปปาตะสันติภาษาบาลี

    ๑. อุปปาตะสันติ แยกเป็น ๒ คำ คือ อุปปาตะ คำ ๑ และ สันติ คำ ๑ อุปปาตะ แปลว่า เคราะห์กรรม เหตุร้าย อันตราย และแปลว่าสิ่งกระทบกระเทือน
    อุปปาตะสันติ แปลว่าบทสวดสงบเคราะห์กรรม แปลว่าบทสวดสงบอันตราย แปลว่าบทสวดสงบเหตุร้าย และแปลว่าบทสวดสงบสิ่งกระทบกระเทือน

    ๒. คัมภีร์อุปปาตะสันติ เป็นวรรณคดีบาลีลานนาไทย พระสีลวังสะมหาเถระ แต่งที่เชียงใหม่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๓ ถึง พ.ศ. ๒๐๑๐ เป็นคาถาล้วนจำนวน ๒๗๑ คาถา จัดเข้าในหนังสือประเภท "เชียงใหม่คันถะ" คือ คัมภีร์เชียงใหม่มีอายุประมาณ ๖๐๐ ปีเศษแล้ว

    ๓. บุคคลและสภาวะที่อ้างถึงในคัมภีร์อุปปาตะสันติมี ๑๓ ประเภทคือ
    ๓.๑ พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตถึงปัจจุบัน (เน้นที่ ๒๘ พระองค์)
    ๓.๒ พระปัจเจกพุทธเจ้า
    ๓.๓ พระพุทธเจ้าในอนาคต ๑ พระองค์ คือ พระเมตไตรย๓.๔ โลกุตตรธรรม ๙ และพระปริยัติธรรม ๑
    ๓.๕ พระสังฆรัตนะ
    ๓.๖ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ๑๐๘ รูป
    ๓.๗ พระเถรีชั้นผู้ใหญ่ ๑๓ รูป
    ๓.๘ พยานาค
    ๓.๙ เปรตบางพวก
    ๓.๑๐ อสูร
    ๓.๑๑ เทวดา
    ๓.๑๒ พรหม
    ๓.๑๓ บุคคลประเภทรวม เช่น เทวดา ยักษ์ ปีศาจ คือผีที่ทำสิ่งใดๆ อย่างโลดโผน และวิชชาธรหรือพิทยาธร(สันสกฤตเรียกวิทยาธร) ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเรียกพวก เซอเร่อคือพ่อมด แม่มด หรือผู้วิเศษ พวกวิชชาธร เป็นพวกรอบรู้เรื่องเครื่องรางและเสน่ห์ต่างๆ สามารถไปทางอากาศได้


    อานุภาพของอุปปาตะสันติ
    ผู้ใดสวดหรือฟัง อุปปาตะสันติ อันกล่าวแล้วด้วยประการฉะนี้
    บุคคลนั้นจะพึงชนะจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง จักเจริญด้วยคุณ ณ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ ความวิบัติย่อมไม่มาแผ้วพาน ย่อมได้รับความอิ่มใจในกาลทุกเมื่อยาพิษ และศาสตราวุธย่อมไม่กล้ำกราย ย่อมชนะข้าศึกทั้งมวลโรคาพยาธิย่อมไม่เบียดเบียน ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ศฤงคาร
    ภัยจากมนุษย์ อมนุษย์ และสัตว์ร้ายน้อยใหญ่่ย่อมสงบไปด้วยเสียงแห่งการสวด อุปปาตะสันติ ผู้ที่สวดอุปปาตะสันติ แล้วอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ที่ยังมีชีวิต ทวยเทพเทวดาทั้งหลาย ท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลายอยู่ก็ดี จักช่วยให้เขาเหล่านั้น พ้นจากมหันตทุกข์ ย่อมเข้าถึงสุขในกาลทุกเมื่อ จักเป็นผู้เจริญด้วยเดช และสิริมงคล ด้วยกฤตยานุภาพแห่งพระคาถา อุปปาตะสันติ

    เหตุร้ายอันเกิดจากภัยธรรมชาติ มีแผ่นดินไหว และน้ำท่วม เหตุร้ายอันเกิดจากสุริยุปราคาจันทรุปราคา เป็นต้น เหตุร้ายอันเกิดจากฟากฟ้า เหตุร้ายอันเกิดจากบาปกรรม ร้ายทั้งปวงจักพินาศไปด้วยเดชแห่ง อุปปาตะสันติ เรื่องราวเย็นอกเย็นใจที่สังคมมุ่งหวังและเสาะแสวงหา ที่กล่าวถึง ในคัมภีร์อุปปาตะสันติ มีประการที่สำคัญ ๓ อย่างคือ

    ก. สันติหรือมหาสันติ ความสงบ ความราบรื่น ความเยือกเย็น ความไม่มีคลื่นข. โสตถิ ความสวัสดี ความปลอดภัย ความเป็นอยู่เรียบร้อย หรือตู้นิรภัย
    ค. อาโรคยะ ความไม่มีสิ่งเป็นเชื้อโรค ความไม่มีโรคหรือความมีสุขภาพสมบูรณ์ คัมภีร์อุปปาตะสันติ มีข้อความขอความช่วยเหลือ ขอให้พระรัตนตรัยและบุคคล พร้อมทั้งสิ่งทรงอิทธิพลในจักรวาลรวม ๑๓ ประเภทดังกล่าวมาแล้วช่วยสร้างสันติ หรือมหาสันติ ช่วยสร้างโสตถิและอาโรคยะ ช่วยปรุงแต่งสันติและอาโรคยะ ขอให้ช่วยรวมสันติ รวมโสตถิและรวมอาโรคยะ และขอให้ช่วยเป็นตู้นิรภัยคุ้มครองและ กำจัดเหตุร้ายอันตรายหรือสิ่งกระทบกระเทือนต่างๆ อย่าให้เกิดมีในตน ในครอบครัว ในหมู่คณะ หรือในวงงานของตน และในวงงานของคนอื่นทั่วไป

    ๔. อานิสงฆ์การสวดและการฟังอุปปาตะสันติ มีคุณประโยชน์ตามที่กล่าวไว้ ในท้ายคัมภีร์ มีดังนี้
    ๔.๑ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมชนะเหตุร้ายทั้งปวงได้ และมีวุฒิภาวะคือ ความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
    ๔.๒ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมได้ประโยชน์ที่ตนต้องการ คือ ผู้ประสงค์ความปลอดภัยย่อมได้ความปลอดภัย คนอยากสบายย่อมได้ความสุข คนอยากมีอายุยืน ย่อมได้อายุยืน คนอยากมีลูก ย่อมได้ลูกสมประสงค์
    ๔.๓ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมไม่มีโรคลมเป็นต้นมาเบียดเบียน ไม่มีอกาละมรณะคือตายก่อนอายุขัย ทุนนิมิตรคือลางร้ายต่างๆมลายหายไป
    ๔.๔ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ เมื่อเข้าสนามรบย่อมชนะข้าศึก ทั้งปวงและแคล้วคลาดจากอาวุธทั้งปวง

    ๕. เดชของอุปปาตะสันติ การสวดอุปปาตะสันติเป็นประจำ ย่อมมีเดชดังนี้
    ๕.๑ อุปปาตะ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากแผ่นดินไหวเป็นต้น ย่อมพินาศไป (ปะถะพะยาปาทิสัญชาตา)
    ๕.๒ อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากลูกไฟที่ตกจากอากาศหรือสะเก็ดดาว ย่อมพินาศไป (อุปปาตะจันตะลิกขะชา)
    ๕.๓ อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากการเกิดจันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา เป็นต้น ย่อมพินาศไป (อินทาทิชะนิตุปปาตา)

    ๖. คัมภีร์อุปปาตะสันติ เป็นคัมภีร์ไทย แต่ต้นฉบับได้จากเมืองไทย ไปอยู่เมืองพม่าเสียนาน จนแทบกล่าวได้ว่า คนไทยสมัยหลังไม่มีใครรู้จัก ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ ข้าพเจ้าจึงชำระและจัดพิมพ์เป็นอักษรไทย ด้วยวิธีเขียนให้คนอ่านคำบาลีทั่วไป สำหรับต้นฉบับนั้น ข้าพเจ้ามีแต่ฉบับเมืองพม่า และเป็นอักษรพม่า โดยท่านอาจารย์ธรรมานันทะธัมมาจริยะ ครูพระไตรปิฏก ประจำวักโพธาราม ได้กรุณาถวาย ข้าพเจ้าจึงขอขอบคุณอย่างยิ่งไว้ในที่นี้

    การที่ข้าพเจ้าได้ชำระและจัดพิมพ์อุปปาตะสันติ เป็นอักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ ข้าพเจ้าถือว่าเป็นการนำคัมภีร์ไทยโบราณกลับคืนสู่เมืองไทย เพื่อให้คนไทยได้รู้จัก ได้ศึกษา ได้สวด และได้ฟังให้เกิดประโยชน์ทางสันติ ทางโสตถิและทางอาโรคยะ สืบไป ในที่สุดนี้ข้าพเจ้าขอถือโอกาสเชิญชวนมวลพุทธศาสนิกชนชาวไทย พร้อมกันยกมือสาธุแสดงความชื่นชมโสมนัสต่อการกลับมาโดยสวัสดีของคัมภีร์อุปปาตะสันติ โดยทั่วกันทุกท่านเทอญ

    พระเทพเมธาจารย์
    ๗ สิงหาคม ๒๕๐๕
    วัดโพธาราม จ.นครสวรรค์


    น้อม โมทนาบุญ ในเสียง ธรรม ,บทความ ธรรมะ ใน สวดมนต์และพระคาถา เว็ปพลังจิต ด้วย คุณ paang ใด้ อัญเชิญ มาใน กระทู้ สวดมนต์และพระคาถา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  5. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์ กรมหลวงชุมพร

    19 ธันวาคม.....ในอดีต

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6S0fK2kEEIk"](10)???????????-????????????19-05-55 - YouTube[/ame]

    Published on Jun 21, 2012

    ยูทูป วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2555 เวลา 07.30 น
    เทศบาลเมืองชุมพร จัดพิธีทางศาสนาและพิธีบวงสรวงเนื่องในงานรำลึกวันสิ้นพระชนม์


    19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880)
    วันประสูติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 — 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466) ทรงเป็นต้นราชสกุล "อาภากร" เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด พระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "องค์บิดาของทหารเรือไทย"

    พระองค์ทรงเป็นผู้วางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือ ทรงได้รับการเชิดชูในหมู่ทหารเรือเรียกขานพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" หรือ "หมอพร" และ "พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย" ต่อมาในปี 2536 มีประกาศกองทัพเรือขนานพระนามพระองค์ว่า "พระบิดาของกองทัพเรือไทย" และในปี 2544 แก้ไขเป็น "องค์บิดาของทหารเรือไทย"

    ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ได้มีการจัดสร้างศาลและอนุเสาวรีย์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รวมทั้งสิ้น 217 แห่งทั่วประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลชุมพร อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร หรือที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นต้น

    พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 ทรงมีพระกนิษฐา และพระอนุชา ร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา (สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์) และพระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์
    ทรงเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษพร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้น ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ในปี พ.ศ. 2436 ทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ในปี พ.ศ. 2439 ต่อจากนั้นทรงศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยทหารเรือ โรงเรียนปืนใหญ่ และโรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก รวมเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ 6 ปีเศษ

    เสด็จกลับประเทศไทย ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2443 จึงได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท (ปัจจุบันเทียบเท่า นาวาตรี) ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่ "กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์" ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ และทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ใน พ.ศ. 2449 พระองค์ได้ทรงแก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ ทรงจัดเพิ่มเติมวิชาสำคัญสำหรับชาวเรือ เพื่อให้เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว สามารถเดินเรือทางไกลในทะเลน้ำลึกได้ คือวิชาดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ พีชคณิต อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต

    ทรงเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่นคง และกองทัพเรือจึงยึดถือวันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ"
    พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระองค์ออกจากราชการอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จากตำราไทย ทรงเขียนตำราสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และรับรักษาโรคให้ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่า ทรงเรียกพระองค์เองว่า "หมอพร"

    พ.ศ. 2460 ประเทศไทยได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และกองทัพเรือยังขาดผู้มีความรู้ความสามารถ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ เสด็จกลับเข้ารับราชการในตำแหน่ง เจ้ากรมจเรทหารเรือ และดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือในปี พ.ศ. 2461
    พ.ศ. 2462 ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดหาซื้อเรือในภาคพื้นยุโรป เรือที่จะจัดซื้อนี้ได้รับพระราชทานนามว่า "เรือหลวงพระร่วง" ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือหลวงพระร่วงเดินเรือข้ามทวีปจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร ด้วยพระองค์เอง

    พ.ศ. 2463 มีพระบรมราชโองการให้เลื่อนพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ ขึ้นเป็นกรมหลวงมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิงหนาม ทรงศักดินา ๑๕๐๐๐ ฯลฯ (คำ "เขตร์" ในพระนามเปลี่ยนเป็น "เขต" ด้วย)


    พระอนุสาวรีย์ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพณิชยการพระนคร
    ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ สร้างเป็นฐานทัพเรือ เมื่อ พ.ศ. 2465 เนื่องจากทรงเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าวที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อมยิงตอร์ปิโด มีเกาะน้อยใหญ่รายล้อม สามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เมื่อเรือภายนอกแล่นผ่านบริเวณนี้จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย
    พ.ศ. 2466 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ต่อจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงดำรงตำแหน่งได้ไม่นานก็ได้กราบบังคมลาออกจากราชการ เพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ที่จังหวัดชุมพร ทรงถูกฝนประชวรเป็นพระโรคหวัดใหญ่ สิ้นพระชนม์ที่ ตำบลทรายรี ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 สิริพระชนมายุได้ 43 พรรษา

    กองทัพเรือไทยถือเอาวันที่ 19 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็น "วันอาภากร
    ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  6. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ภูเก็ตบวงสรวง วันประสูติกรมหลวงชุมพรฯ ครบ 132 ปี
    Written by Siripong | December 21, 2012 | 0 | 1 views

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=kj4Mxvw9g3o"]????????????::???????????? - YouTube[/ame]

    เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2555 เวลา 08.00 น. ที่ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สะพานหิน จังหวัดภูเก็ต ได้จัดให้มีพิธีบวงสรวง วันคล้ายวันประสูติของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ครบรอบ 132 ปี เพื่อรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อกองทัพเรือ และประเทศชาติ โดยมี นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายประดิษฐ์ แสงจันทร์ ประธานสภา อบจ.ภูเก็ต นายประสิทธิ์ สินเสาวภาคย์ สมาชิกสภา อบจ.ภูเก็ต ดร.ณรงค์ หงษ์หยก ประธานคณะกรรมการศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตลอดจนทัพเรือภาคที่ 3 หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชน เข้าร่วม

    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาโหมด มีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิง อรองค์อรรคยุพา และเจ้าสิริยง ประยูรพันธ์ ภายหลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นว่ากิจกรรมทหารเรือไทยในขณะนั้น ยังไม่มีความมั่นคง เนื่องจากนายทหารเรือที่เป็นคนไทย และมีความรู้ด้านวิชาการทหารเรือมีจำนวนน้อย ต้องว่าจ้างชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มาปฏิบัติหน้าที่นายทหารในหน่วยต่างๆ ของกรมทหารเรือ ทั้งในหน่วยงานและในเรือหลวง จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ โดยตลอดระยะเวลาที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้มีพระวิริยะอุตสาหะ จนปรากฏผลการศึกษาอยู่ในขั้นดีเยี่ยม จึงเป็นที่รักใคร่ของครู อาจารย์ และเป็นที่ยอมรับนับถือในความสามารถของชาวอังกฤษที่ได้ศึกษาร่วมกัน ด้วยพระหฤทัยอันแน่วแน่ที่จะปฏิรูปและพัฒนาการทหารเรือให้มีความเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักสำคัญในการป้องกันประเทศได้อย่างแท้จริง พระองค์ได้ทรงทุ่มเทพระวรกาย และพระสติปัญญาในการพัฒนา และวางรากฐานให้กรมทหารเรือมีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ โดยในปี พ.ศ.2443 ทรงริเริ่มจัดตั้งหน่วยฝึกทหารเหล่าทัศนสัญญาณ และทรงฝึกหัดทหารด้วยพระองค์เองเป็นหน่วยแรก ต่อมาได้ทรงปรับปรุงการฝึกในเรือรบ ทำให้กองทัพเรือสามารถจัดเรือไปฝึกภาคเป็นกองเรือได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ได้ทรงจัดทำโครงการป้องกันประเทศทางด้านทะเล ซึ่งเป็นแผนการทัพฉบับแรกนับตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกรมทหารเรือขึ้น และได้ทรงปรับปรุงการศึกษาในโรงเรียนนายเรือ เพื่อให้นักเรียนนายเรือมีความรู้ความสามารถในการเดินเรือในทะเลลึกได้ และทรงมีพระดำริให้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนนายช่างกล เพื่อสร้างนายทหารเหล่าช่างกล สำหรับปฏิบัติราชการนายเรือ และโรงงานบนบก ทดแทนการจ้างชาวต่างประเทศ

    ในปี พ.ศ.2450 ทรงนำนักเรียนนายเรือ และนายช่างกล ไปฝึกภาคต่างประเทศ โดยมีเส้นทางไปยังสิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวา และเกาะบัลลิทัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เรือรบไทย คือ เรือหลวงมกุฎราชกุมารสามารถเดินทางไปฝึก และอวดธงยังต่างประเทศ โดยมีกำลังพลประจำเรือเป็นคนไทยทั้งหมด ต่อมาในปี พ.ศ.2454 พระองค์ได้ทรงออกจากราชการเป็นเวลา 6 ปีเศษ โดยในระหว่างนั้น ทรงศึกษาตำราหมอยาไทยอย่างแท้จริง จนมีความรู้ในวิชาแพทย์แผนโบราณอย่างแตกฉาน ทรงช่วยเหลือรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนประชาชนถวายพระสมัญญานามว่า “หมอพร” นอกจากนั้น ทรงพระปรีชาสามารถทางด้านการดนตรี โดยได้ทรงนิพนธ์บทเพลงปลุกใจของทหารเรือ เช่น เพลงเดินหน้า เพลงดอกประดู่ และเพลงดาบของชาติ ซึ่งถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่อยู่ในใจของทหารเรือทุกคน และในปี พ.ศ.2460 ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้กลับเข้ารับราชการในตำแหน่ง จเรทหารเรือ และเสนาธิการทหารเรือ ตามลำดับ และด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกล ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี ทรงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลขอพระราชทานที่ดินที่สัตหีบ บริเวณตั้งแต่เกล็ดแกล้ว จนถึง แสมสาร เพื่อใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพเรือ ซึ่งได้พัฒนาก้าวหน้ามาเป็นที่ตั้งหน่วยกำลังรบที่สำคัญของกองทัพเรือในปัจจุบัน

    ในปี พ.ศ.2466 ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของทหารเรือในขณะนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ทรงประชวร จึงได้ลาราชการออกไปเพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ที่ด้านใต้ปากน้ำเมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่ทรงจองไว้ทำสวน ขณะที่ประทับอยู่ที่ชุมพร ก็เกิดเป็นพระโรคไข้หวัดใหญ่ และทรงประชวรอยู่เพียง 3 วัน ก็สิ้นพระชนม์ ที่ตำบลหาดทรายรี จังหวัดชุมพร ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2466 สิริรวมพระชนมายุ 44 ชันษา ด้วยพระปรีชาสามารถ และพระกรุณาธิคุณทรงมีต่อ กองทัพเรือ ส่งผลให้ กองทัพเรือ มีความมั่นคงดำรงอยู่ได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี พัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมกองทัพเรือ อารยประเทศ และสามารถป้องกันประเทศทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพมาจนถึงปัจจุบัน ทหารเรือทุกคนจึงเคารพเทิดทูนบูชาพระองค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ และพร้อมใจถวายพระนามพระองค์ให้ทรงเป็น “องค์พระบิดาของทหารเรือไทย” สืบต่อมาถึงปัจจุบัน

    ภูเก็ตบวงสรวง วันประสูติกรมหลวงชุมพรฯ ครบ 132 ปี | ข่าว สกู๊ป เรื่องราว จังหวัดภูเก็ต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  7. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ต จัดพิธีมหากุศล ไถ่ชีวิตโค 19 ตัว ปล่อยสรรพสัตว์นับล้านชีวิต

    ชาวภูเก็ตร่วมทำมหากุศล ไถ่ชีวิตโค 19 ตัว
    เขียนโดย ข่าวทำบุญไถ่โค 19 ตัว
    วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2012 เวลา 16:53 น.

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=bek6U1SXL6s]ปล่อยโค - YouTube[/ame]
    ยูทูป Published on Jul 22, 2012

    เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2555 ที่บริเวณหน้าศาลเจ้ากิ้วเทียนเก้ง ปลายแหลมสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีมหากุศล ไถ่ชีวิตโค 19 ตัว และสรรพสัตว์นับล้านชีวิต เนื่องในโอกาสเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2555 ซึ่งทางศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ต จัดขึ้น โดยมีผู้มีจิตศรัทธาชาวภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
    ทันตแพทย์อรรถพร หงษ์หยก ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ต กล่าวว่า เนื่องในวาระส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2556 ทางศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ต ได้จัดกิจกรรมหมากุศลไถ่ชีวิตโค จำนวน 19 ตัว และสรรพสัตว์นับล้านชีวิต ซึ่งมีทั้งการปล่อยนกและปล่อยสัตว์น้ำ เช่น ปู ปลา กุ้ง เป็นต้น ลงสู่ทะเลบริเวณปลายแหลมสะพานหิน เพื่อส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ และเกิดสิริมงคลในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อีกทั้งยังมุ่งหวังให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ได้เห็นความสำคัญของการให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน และยังเป็นการสู้วิกฤติต่าง ๆ ด้วยบุญ รวมใจ รวมพลัง เพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมสืบไป

    ทั้งนี้ในส่วนของโค 19 ตัว นั้นได้ทำการมอบให้กับธนาคารโค-กระบือ ของวัดหนองกินเพล ต.หนองกินเพล อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่เกษตรกร ผู้เข้าร่วมในโครงการกลุ่มสัจจะ ซึ่งทำสัญญาว่าห้ามซื้อห้ามขาย ห้ามฆ่า ทั้งนี้ในส่วนของโคดังกล่าวมีส่วนหนึ่งที่ตั้งท้องอยู่ด้วย จึงถือเป็นอานิสงส์ผลบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะเป็นการต่ออายุขัยของผู้มีจิตกุศลทุกคนให้ยืนยาวยิ่งๆ ขึ้นไป ทำให้เป็นผู้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบุผการีชน ผู้มีอุปการีที่ล่วงลับไปแล้ว
    ขณะที่นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ในช่วงของการเริ่มต้นศักราชใหม่มีความเสี่ยงหลายอย่างโดยเฉพาะอุบัติภัยบน ท้องถนน เน้นย้ำนำเอามาตรการ 4 ม. 2 ข. 1 ร. มาใช้ โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุกว่า 80% จากการเมาสุรา การใช้ความเร็ว การใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับขี่มอเตอร์ไซค์ ดังนั้นขอให้ทุกคนมีสติ สมาธิ โดยการเรียกสัมปชัญญะกลับคืนมา และปีใหม่นี้ขอให้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของความเมตตา ปรารถนาดี มีมิตรไมตรี และสามัคคีปรองดอง มาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันด้วย

    นอกจากนี้ขอให้ทุกคนร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับอาคันตุกะที่เข้ามาเยือน โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ซึ่งจะเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้การจราจรพลุกพล่านก็ขอให้ใช้สติในการสัญจร และในนามของผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ขอให้ทุกคน ทำใน 5 สิ่งซึ่งสอดคล้องกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ทำความดี มีคุณธรรม มีความกตัญญู และรู้หลักคิด และสิ่งที่จะทำให้ชีวิตงดงาม คือ ความพอเพียง นายไมตรีกล่าว


    ชาวภูเก็ตร่วมทำมหากุศล ไถ่ชีวิตโค 19 ตัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 231255001.jpg
      231255001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.5 KB
      เปิดดู:
      45
    • 231255002.jpg
      231255002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.7 KB
      เปิดดู:
      53
    • 231255003.jpg
      231255003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.9 KB
      เปิดดู:
      48
    • 231255004.jpg
      231255004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.7 KB
      เปิดดู:
      53
    • 231255005.jpg
      231255005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.4 KB
      เปิดดู:
      69
    • 231255006.jpg
      231255006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.4 KB
      เปิดดู:
      47
    • 231255007.jpg
      231255007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.6 KB
      เปิดดู:
      71
    • 231255008.jpg
      231255008.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.3 KB
      เปิดดู:
      67
    • 231255009.jpg
      231255009.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.1 KB
      เปิดดู:
      61
    • 231255010.jpg
      231255010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.7 KB
      เปิดดู:
      52
    • 231255011.jpg
      231255011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.4 KB
      เปิดดู:
      53
    • 231255012.jpg
      231255012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.1 KB
      เปิดดู:
      45
  8. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ๑ เมล็ดพันธ์ข้าวพ่อหลวง ออกรวง ๒๗ รวง เก็บเกี่ยวเพื่อ ขยายพันธ์ในวาระต่อไป

    ๒๑ พย. น้อมจิต พระคาถาเงินล้าน ลูบรวงข้าว เมล้ดข้าว หล่นมา ๔ เมล็ด น้อมนำเข้าพิํธีสวดมนต์..(ภาพ ๔ )
    ๒๓ พย. น้อมจิต ดังเดิม เมล็ดข้าว หล่นมาอีก ๓ เมล็ด (ตาม ๕ )น้อมนำเข้าพิํธีสวดมนต์..
    ๕ ธค. วันพ่อ น้อมตั้งจิต ขออนุญาต เก็บเกี่ยวข้าว พร้อม น้อมนำอัญเชิญ เข้าพิธี สวดมนต์ ทำวัตร์เช้า ,จิตตภาวนา แผ่เมตตาจิต ...
    และน้อมนำ สายมงคล จากพิธีพุทธาภิเษก ประจำปี วัดฉลอง หลวงปู่แช่มวัดฉลองภูเก็ต เมื่อ กพ.๒๕๕๕ ปีนี้

    เหลือรวงเขียวอ่อน อีก ๙ รวง รอราวะเก็บเกี่ยว

    พจชนะ ทองทวีวิวัฒน์ วันเสาร์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๑ น้อมเก็บเกี่ยว รวงข้าว อีก ๔ รวง ที่ออกรวง เหลืองแล้ว ..น้อมนำเข้า สวดมนต์ทำวัตร์เช้า ตามวาระปกติ
    วันเสาร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๑ ที่ ๒๒ ธค. น้อมเก็บเกี่ยวรวงข้าว ชุดสุดท้าย ๕ รวง ..

    จาก พระเมตตา ของหลวงปู่สุภา กันตสีโล ศิริวัฒนะที่ ๑๑๘ ปี เมื่อ วันที่ ๑๗ กย.๒๕๕๕ (วัดสิริสีลสุภาราม ภูเก็ต ) ปัจจุบัน หลวงปู่ ท่านเมตตาลูกหลาน ที่ วัดคอนสวรรค์ จ.สกนคร ...
    ท่านเมตตา ต่อศิษยานุศิษย์ เสมอ ...
    ในการ ทำพิธี ให้ น้อมจิต ขออนุญาติ ในวันเสาร์ - วันอังคาร ดังเช่น ...
    การตั้งธาตุ,หนุนธาตุ ,รวมธาตุ ทั้ง ๔ จากนั้น น้อมนำ ด้วย คุรุอาจารย์ทางทิพย์ ท่าน โปรด เมตตา ...
    การตั้งธาตุ ,หนุนธาตุ ,รวมธาตุ จะทำให็ ธาตุ นั้น มี ...คล้าย มี ชีวิต ขึ้นมา ...

    จากนั้น น้อมนำ เข้าห้องพระ สวดมนต์ เจริญภาวนาจิต ตามวาระ..
    และ วาระจิต พอดี ที่ น้องสาว ท่านหนึ่ง แวะ ทำธุระ ที่บ้าน ...
    ครู อาจารย์ ทางทิพย์ ของเธอ เมตตา ...ด้วย เช่นกัน..
    ด้วย เธอ บอกเล่า หลังจากนั้น ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ผ่านมา จาก ๒๕๕๕ เข้า สู่ ๒๕๕๖ ด้วย ความสดชื่น คล่องตัว ทั้งทางโลก และ ทางธรรม ปีมะโรง ต่อ ปีมะเส็ง งูใหญ่ มังกร นาคราช กับ งูเล็ก ...

    น้อม พร มงคล จาก พระอาจารย์เล็ก ด้วย...
    (ขออนุญาติ นำ ข้อธรรม ในห้องหลวงพี่เล็ก มาแปะ ใว้ เพื่อ จิตตรึงใน..

    มีวิริยาธิกะพิเศษไหม ?

    ถาม : อ่านหนังสือเจอ เลยทำให้รู้ว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเป็นปัญญาธิกะเยอะ ก็เลยมีปัญญา ?

    ตอบ : แล้วแต่วาสนาเดิมว่าใครทำมา ในเมื่อเขาทำมาทางด้านปัญญา ปัญญาก็เกิด ถ้าประเภทชอบตะเกียกตะกายด้วยตัวเองก็ต้องไปทางวิริยาธิกะ

    ถาม : วิริยาธิกะจะย้ายมาเป็นปัญญาธิกะได้ไหมครับ ?

    ตอบ : เดินคนละทางแล้ว อยากจะย้ายใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ ที่คุณว่ามานี่มันสันดานมนุษย์ ไม่ใช่สันดานนักปฏิบัติธรรม หนอยแน่..จะโอนหน่วยกิตเสียแล้ว เขาให้โอนหน่วยกิตได้อย่างเดียว คือจากพุทธภูมิไปเป็นสาวก บุคคลผู้ปรารถนาพระโพธิญาณเขาไม่กลัวเหนื่อยกัน ถ้ากลัวเหนื่อยเขาไม่ปรารถนากันหรอก

    ถาม : มีวิริยาธิกะพิเศษไหมครับ ?

    ตอบ : นอกตำราเกินไป

    ถาม : เคยได้ยินไหมครับ ?

    ตอบ : ไม่เคยได้ยิน วิริยาธิกะพิเศษ ถ้าจะมีก็ พวกโง่เป็นพิเศษ เท่านั้นแหละ..! ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปก็แย่แล้ว ยังจะมีวิริยาธิกะพิเศษอีก

    สำหรับ สมเด็จองค์ปฐม ท่านนั้นนอกเหตุเหนือผล ไม่ได้อยู่ใน ๓ ประเภทนี้ เพราะเริ่มหลักสูตรด้วยพระองค์ท่านเอง ในเมื่อเริ่มปฏิบัติด้วยพระองค์ท่านเองจึงยังไม่จัดเป็นหลักสูตร แรกๆ ก็ยังไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร แต่อยากทำ.. ขอยืนยันว่ามีแบบนี้องค์เดียว ที่เหลือถัดจากนั้นใครจะแหกคอกขนาดไหนก็แหกไปเถอะ รับประกันว่าไม่เกิน ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เพราะมีหลักสูตรแล้ว

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ - หน้า 2 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

    --------------------
    พุทธภูมิที่เข้าเขตปรมัตถ์ การเกิดเป็นหญิงจะมีหรือไม่ ?

    ถาม : พุทธภูมิที่เข้าเขตปรมัตถ์ การเกิดเป็นหญิงจะมีหรือไม่ครับ

    ตอบ : ตั้งแต่อุปบารมีขั้นปลายส่วนมากจะเกิดเป็นผู้ชายตลอด แต่ถ้าเจ้าชู้มากก็เกิดเป็นผู้หญิงสักชาติสองชาติ เอาให้เข็ด จะได้รู้บ้างว่าเวลาเขาอกหักช้ำใจนั้นเป็นอย่างไร

    ถาม : พุทธภูมิเวลาลงนรกหรืออเวจี จะมีใครเหลียวแลไหมครับ ?

    ตอบ : มี..นายนิรยบาลจะคอยดูแลให้..!

    ถาม : ไม่มีใครคิดช่วยเหมือนฮิตเลอร์บ้างเลยหรือ ?

    ตอบ : จะไปช่วยอย่างไรเล่า ? หลวงพ่อ ไปช่วย ท่านฮิตเลอร์ เพราะท่านหลุดจาก อเวจี แล้ว ท่านออกจากอเวจีมาจะลง อุสสทนรก ช่วงระหว่างกลางนิดเดียวเท่านั้น ถ้าคนไม่รู้จังหวะก็ช่วยไม่ทัน แต่หลวงพ่อท่านลงไปดักตรงนั้น บอกว่าจะบวชพระ ให้โมทนาด้วย ท่านฮิตเลอร์ก็กลายเป็นเทวดา พ้นนรกไปเลย ช่วงนิดเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ได้รู้ระดับหลวงพ่อก็ดักไม่ทันหรอก

    แต่ที่หลวงพ่อท่านไปช่วยเพราะว่าถ้าท่านฮิตเลอร์ไม่หลุดขึ้นมา ก็ไม่ทันระยะเวลาที่จะต้องเกิด จึงจำเป็นที่จะต้องไปช่วยขึ้นมา ส่วนคนที่เหลือก็ต้องปล่อยวาง ตัวใครตัวมันต่อไป ดูอยู่ห่างๆ เอาใจช่วยอย่างห่วงๆ ไม่รู้จะลงไปให้โดนเผาด้วยทำไม ?

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕

    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ - หน้า 5 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

    ---------------------
    การรับรู้นิมิตที่เกิดขึ้นขณะทำสมาธิ
    ถาม : เวลาเราทำสมาธิ เกิดนิมิตอะไรขึ้น เราจะทราบได้อย่างไรว่า..?

    ตอบ : จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน ให้สนใจลมหายใจของเราอย่างเดียวก็พอ ถ้าลมหายใจไม่มีให้รู้ว่าไม่มี คำภาวนาไม่มีให้รู้ว่าไม่มี นิมิตต่างๆ ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เรายิ่งไม่สนใจภาพก็จะยิ่งชัด จะกวนให้เราสนใจให้ได้

    ถาม : แล้วเราจะวางกำลังใจอย่างไรคะ ?

    ตอบ : รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละ ยกเว้นว่าเป็นนิมิตที่ตรงกับกองกรรมฐาน เช่น เราใช้พุทธานุสติอยู่ จับภาพพระพุทธรูปเป็นนิมิต เมื่อภาพพระปรากฏก็จับภาพต่อไปเลย ถ้าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ไม่ต้องไปสนใจ

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ - หน้า 3 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
    +++++++++++++++++++

    เมื่อนิมิตเกิดขึ้นขณะปฏิบัติกรรมฐาน ให้เอานิมิตกองกรรมฐานนั้นๆ เป็นหลัก

    ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่า นิมิตนั้นไม่หลอกเรา ?

    ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เอาศีลเป็นหลัก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบของศีล ๕ หรือศีล ๘ นิมิตหลอกเราอย่างไร ก็ไม่ไปไกลเกินนั้นหรอก

    ถาม : ถ้านิมิตกองกรรมฐานเกิดขึ้น..?

    ตอบ : เราต้องไปศึกษาว่านิมิตของกองกรรมฐานแต่ละกองเป็นอย่างไร สมมติเราภาวนาพุทโธแล้วภาพพระพุทธรูปปรากฏขึ้น ก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้ารูปพระสงฆ์มาก็ "นิมนต์ท่านรอก่อนค่ะ" ถ้าปฏิบัติในสังฆานุสติแล้วรูปพระสงฆ์มาก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้าภาพพระพุทธเสด็จมาก็นิมนต์ท่านรอก่อน นิมิตให้เอากองกรรมฐานของเราเป็นหลัก

    ถ้าเรายึดศีลเป็นหลัก ยังอยู่ในกรอบของศีล หลุดอย่างไรก็หลุดไปไม่ไกลหรอก

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ - หน้า 3 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

    ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙ ๙๙๙

    มีครูบาอาจารย์มาสอนในนิมิต เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง ?

    ถาม : เดี๋ยวนี้มีการบอกว่ามีครูบาอาจารย์มาสอนในนิมิต เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง ?

    ตอบ : เทียบกับหนังสือวิสุทธิมรรค เทียบกับพระไตรปิฏก เทียบกับตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุง แหกคอกไปเมื่อไรก็เลิกเชื่อ เมื่อครู่โยมก็เพิ่งจะถามเรื่องวิริยาธิกะพิเศษ ขนาดเรื่องนี้ยังไม่มีใน พระไตรปิฎก เลย แต่ว่า อรรถกถาพุทธวงศ์ ท่านเขียนเอาไว้ เขาถึงได้แยกประเภทเอาผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณมาเป็น ๓ ประเภท

    แสดงว่าระดับพระพุทธเจ้ายังไม่สอนเลย เพราะทราบว่าคนจะเอาไปทะเลาะกัน อรรถกถาจารย์ท่านทราบก็อธิบายเพิ่มเติมมา พวกเราดันมีคนเก่งกว่า อธิบายเพิ่มขึ้นมาอีก

    .....เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ไม่ตรงกับวิสุทธิมรรค หรือไม่ตรงกับตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ละไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ต่อให้ตรงเลยก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะบางทีเท่าที่เจอมา เขาบอกตรงตั้ง ๘๐ - ๙๐% แล้วมาหลอกไว้ตอนท้ายนิดเดียว ทำให้เกิดผลก่อนแล้วค่อยเชื่อ แต่ผลนั้นก็เชื่อไม่ได้ เพราะหลายครั้งเขาเป็นคนทำให้ผลนั้นเกิดเอง พอถึงเวลาเขาถอนกำลังคืน เราก็กลายเป็นหมาเหมือนเดิม..!
    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ - หน้า 2 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
     
  10. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ความรักทางโลก,ทางธรรม ตำนานเขาพระหมี ,แม่นางขาว อ.คุระบุรี จ.พังงา

    ความรักทางโลก,ทางธรรม ตำนานเขาพระหมี ,แม่นางขาว อ.คุระบุรี จ.พังงา

    ตำนานแห่ง เขาพระหมี
    เขาพระหมีคือยอดเขาสูงที่อยู่ตรงกลาง ระหว่าง เขาหลังคาตึก กับเขากระทะคว่ำ ถ้าเราอยู่บนยอดเขาพระหมี คิดว่าเราน่าจะมองเห็นยอด เขาหลังคาตึก ในเขต จ.ระนอง และ เขากระทะคว่ำ ในเขต จ.พังงา ทริปนี้ ถ้ามีสมาชิกให้ความสนใจสัก 7 คน ไม่เกิน 9 คน แล้วเราเจอกันน่ะครับ
    เขาพระหมี สูง 1,106 เมตร อยู่ในเขตอำเภอคอเขา (อ.คุระบุรี )จ.พังงา ซึงเป็นยอดเขาสูงอีกยอดหนึ่งในเขตจังหวัดพังงา ความสวยงามของวิวทัวทัศน์คิดว่า คงไม่แพ้ เขากระทะคว่ำ แน่นอน ยอดเขาพระหมีมีทัศนีย์ภาพการมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากน้ำบริเวณเขื่อนเชี่ยวหลาน ทางฝัง จังหวัดสุราษ และ พระอาทิตย์ตกทางฝังทะเลอันดามัน ในเขตจังหวัดภูเก็ต เขาพระหมี เป็นยอดเขาสูงอยู่เขตแดน ระหว่าง จังหวัด พังงา กับ จังหวัดระนอง ซึงทางฝังจังหวัดระนอง มีทิวเขามากมายอีกหลายยอดที่เราจะมองเห็นจากยอดเขา พระหมี อย่างเช่นยอดเขา หลังคาตึก และอีกหลายๆยอด ในเขต จังหวัด พังงา และ ระนอง

    ประวัติศาสตร์ จากตำนานและคำบอกเล่า
    ตำนานเมืองนางย่อน
    เป็นตำนานเรื่องเล่าที่สืบเนื่องมาแต่อดีต โดยในเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาได้ปรากฏชื่อของหมู่บ้าน ตำบล และสถานที่สำคัญต่างๆ ของอำเภอคุระบุรี ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกอยู่ในปัจจุบัน
    เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมานั้น จะเป็นจริงหรือไม่ ไม่มีใครสามารถยืนยันได้แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าควรแก่การสืบทอดต่อไปสู่อนุชนรุ่นหลัง

    วัดสามัคคีธรรม โดย พระปลัดพงษ์สวัสดิ์ กิติญาโน (พระครูสุวัตถิธรรมวัด) ร่วมกับศึกษาธิการอำเภอคุระบุรี ได้ทำการรวบรวม และเรียบเรียงเรื่องราวแห่งตำนานนี้จากคำบอกเล่าของบุคคลผู้รู้หลายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คุณตาพูน สมญานุเคราะห์” และอาจารย์จำลอง โพธิ์ทองคนอง” ซึ่งทั้ง 2 ท่านเป็นบุคคลที่ได้อาศัยอยู่ในอำเภอคุระบุรีมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่สมัย ที่ยังไม่มีความเจริญเหมือนเช่นปัจจุบัน และยังเป็นผู้ทรงความรู้จดจำเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ของอำเภอคุระบุรีไว้ได้เป็นอย่างดี จึงขอเอ่ยนามและขอนุโมทนาไว้ ณ โอกาสนี้

    ครู จำลอง โพธิ์ทองคนอง ท่านเป็น คุณพ่อของเพื่อนผม พจน์ นาคา เพื่อน นายทหารเรือ ที่ชลบุรี

    ตอนที่ 1 “ตำนานรักนางดำ”
    กาลครั้งหนึ่งมีบุรุษหนึ่งนามว่า “พ่อตารัศมี” มีนิวาสสถานสถิตอยู่บนยอดเขาซึ่งอยู่ต่อแดนระหว่าง อ.คุระบุรี กับ จ.สุราษฎร์ธานี “พ่อตารัศมี” เป็นคนรูปงาม ผิวพรรณหน้าตาดี และร่ำรวยจึงทำให้มีสาวๆ สนใจ และแอบหลงรักเป็นจำนวนมาก
    ขณะนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งนามว่า “นางดำ” อยู่ในละแวกใกล้เคียงกันเป็นคนรูปร่างหน้าตาไม่สวย ผิวพรรณดำคล้ำ ได้เกิดหลงรักพ่อตารัศมี และด้วยวิสัยเจ้าชู้ของฝ่ายชาย ทั้งสองจึงแอบได้เสียกัน แต่ “พ่อตารัศมี” ก็ยังคงติดพันหญิงสาวอื่นๆ อีก ทำให้ “นางดำ” ต้องได้รับความขมขื่นใจเป็นอย่างยิ่ง,

    ตอนที่ 2 “นางขาวผู้เลอโฉม”
    ขณะนั้นในหมู่บ้านอีกตำบลหนึ่ง มีหญิงงามชื่อว่า “นางขาว” เป็นหญิงรูปงามน่ารัก มีกริยาอ่อนหวานสุภาพเรียบร้อย เป็นที่กล่าวขานไปทั่วสารทิศ ทำให้เป็นที่หมายปองของชายทั่วไป จึงมีชายหนุ่มไปสู่ขอกันเป็นจำนวนมาก แต่ “นางขาว” ก็ไม่ยอมรับรักชายใด

    ตอนที่ 3 “ไฟรักในอากาศ”
    กิตติศัพท์ความงามของ “นางขาว” ได้ยินไปถึงหูของ “พ่อตารัศมี” ทำให้เกิดหลงรักนางทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้า จึงประสงค์จะแต่งงานกับนาง และได้อ้อนวอนพ่อแม่ของตนให้ไปสู่ขอ “นางขาว” ให้กับตน....



    ตอนที่ 4 “จัดเตรียมขบวนขันหมาก”
    ฝ่ายพ่อแม่ของ “พ่อตารัศมี” อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา จึงได้จัดเถ้าแก่และขบวนขันหมาก ประกอบด้วยขบวนช้างหลายเชือก เดินทางบุกป่าฝ่าดงไปเพื่อสู่ขอ “นางขาว” และได้แวะหยุดพักเพื่อจัดเตรียมขบวนขันหมากที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาหมู่บ้านแห่งนั้นได้ชื่อว่า “บ้านเตรียม” สืบมาถึงปัจจุบัน
    ขบวนขันหมากได้เคลื่อนออกจาก “บ้านเตรียม” เดินทางมุ่งหน้าลงทางทิศใต้ แล้วแวะหยุดพักที่ภูขาลูกหนึ่ง มีการสร้างที่พัก และสร้างคอกสำหรับช้างซึ่งต่อมาภูเขาลูกนั้นมีชื่อเรียกว่า “เขาคอก” สืบมาจนถึงปัจจุบัน ....(ปรากฏอยู่ด้านหน้าหมวดการทางคุระบุรีในปัจจุบันตอนที่ 5 “พิธีสู่ขอ” ...
    เขาคอก ตาม ภาพ ที่ ๑๓ ,๑๔ มีสถูปเก่า ตามตำนาน น่าจะ เป็น ชุมชนเก่า

    ในวันต่อมา ขบวนขันหมากเดินทางไปถึงบ้านของ “นางขาว” พิธีสู่ขอเป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพ ฝ่ายหญิงให้การต้อนรับด้วยน้ำใจอันอบอุ่น
    ผลของการเจรจาสู่ขอ ปรากฏว่า “นางขาว” ปฏิเสธอย่างนิ่มนวล ไม่รับรักของ “พ่อตารัศมี” เพราะได้ทราบมาว่าฝ่ายชายเป็นคนเจ้าชู้ เคยมีคนรักมาก่อนเป็นจำนวนมาก และยังเคยได้เสียกับหญิงอื่นมาก่อน
    “นางขาว” จึงปฏิเสธ และตั้งสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อจะบำเพ็ญความดี ไม่คิดชิงรักหักสวาทกับใครเพราะกลัวว่าจะต้องทุกข์โศกจากความรักในภายหลัง นางจึงปฏิเสธเหมือนเช่นที่เคยปฏิเสธชายหนุ่มจำนวนมากมาก่อน


    ตอนที่ 6 “หายไปในความมืด”
    แม้จะถูกปฏิเสธไม่รับรัก “พ่อตารัศมี” ก็ยังคงเฝ้าติดตามขอความรักจาก “นางขาว” อยู่ต่อไปฝ่าย “นางขาว” เมื่อถูกติดตามหนักเข้า ก็คิดว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้คงห้ามใจตนเองไม่ได้เข้าสักวัน คำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้อาจจะสิ้นสลาย จึงคิดจะหนไปอยู่ที่อื่น
    ในความมืดของคืนวันหนึ่ง “นางขาว” จึงแอบหนีไป โดยไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ไหน วันรุ่งขึ้น “พ่อตารัศมี” จึงสั่งให้คนออกตามหา “นางขาว” แต่ไม่มีใครพบหรือได้ข่าวทำให้ “พ่อตารัศมี” เกิดความเสียใจเป็นอันมาก และเฝ้ารอการกลับของ “นางขาว” อยู่เป็นเวลาหลายปี โดยไม่ยอมกลับบ้านเดิม....

    ตอนที่ 7 “ถือศีลบำเพ็ญพรตชั่วชีวิต”
    “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” คำกล่าวนี้คงเป็นความจริง เมื่อความรักแท้ไม่เป็นผล สร้างความเศร้าให้กับ “พ่อตารัศมี” เป็นอันมาก พ่อแม่พยายามอ้อนวอนให้กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ
    เมื่อ “พ่อตารัศมี” เห็นว่า “นางขาว” ไม่กลับมาแน่นอนแล้ว จึงตัดสินใจกลับบ้าน และได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า ชาตินี้จะไม่รักใครอีก โดยจะขอบวชถือศีลบำเพ็ญพรตชั่วชีวิต เพื่อเป็นการทดแทนล้างบาปในความผิดที่ตนได้ก่อไว้ในอดีตและจะเป็นการสร้างสมความดี เพื่อจะได้พบกัน “นางขาว” ในภพชาติต่อไป ....
    “พ่อตารัศมี” จึงให้บริวารยกขบวนกลับบ้านส่วนตนเองถือศีลบำเพ็ญพรตอยู่บนภูเขาสูงลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า “เขาพระหมี” สืบมาจนถึงปัจจุบัน....

    ตอนนี้ 8 “ทุ่งนางดำ”
    ฝ่าย “นางดำ” เมื่อ “พ่อตารัศมี” สลัดรักไปรักนางขาว ก็เกิดความเสียใจและอับอายผู้คนที่ตนประพฤติผิดประเพณีอันดีงาม
    “นางดำ” จึงตัดสินใจไปตั้งหลักฐานทำกินอยู่ในที่ห่างไกลจากผู้คน โดยไปอาศัยอยู่ในบริเวณทุ่งแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับ “บ้านหินลาด” จนกระทั่งนางเสียชีวิตลง บริเวณแห่งนั้นจึงมีชื่อเรียกว่า “ทุ่งนางดำ” (หาดทุ่งนางดำในปัจจุบัน)

    ตอนที่ 9 “นางย้อน”
    ฝ่าย “นางขาว” ได้ติดตามข่าวคราวตลอดมา จนได้ทราบว่าเรื่องราวต่างๆ สงบลง คนที่เคยทำความผิดก็หันมาปฏิบัติความดีทดแทน “นางขาว” จึงย้อนกลับมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนทั้งหลายได้เห็นรูปโฉมงดงามของนางอีกครั้งก็เกิดเสียงเล่าลือกล่าวขานทั่วไปเป็นเสียงเดียวกันว่า “นางย้อน” กลับมาแล้ว หมู่บ้าน “นางขาว” ย้อนกลับมาปรากฏกายจึงได้ชื่อว่า “บ้านนางย้อน” ซึ่งต่อมาแผลงเป็น “บ้านนางย่อน” อันเป็นชื่อเรียกสามัญของอำเภอคุระบุรีอยู่ในปัจจุบัน....



    ตอนที่ 10 “เขาแม่นางขาว”
    จากนั้น “นางขาว” ก็เดินทางไปพักอาศัยถือศีลบำเพ็ญพรตบนภูเขาแห่งหนึ่งจนตลอดชีวิต ภูเขาลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า “เขาแม่นางขาว” สืบมาจนถึงปัจจุบันและเป็นชื่อเรียกของตำบล “แม่นางขาว” อยู่ในปัจจุบัน


    ตำนานชื่อหมู่บ้านในอำเภอคุระบุรี
    เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ได้จารึกอยู่ในความทรงจำของคนทั้งหลาย วันเวลาได้ผ่านล่วงเลยมาจนกระทั่ง....


    ตอนที่ 11 “บ้านห้วยทรัพย์”
    มีชายคนหนึ่งนามว่า “ตา ยมดึง” มีอาชีพรับซื้อโค(วัว) เพื่อนำไปขายโดยเดินทางรับซื้อเรื่อยมาจากอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เพื่อนำไปขายที่ “เมืองตะโกลา” (ปัจจุบันคือ อำเภอตะกั่วป่า) ได้เดินทางผ่านมาถึง “บ้านห้วยทรัพย์” ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือสุดของอำเภอคุระบุรี และของจังหวัดพังงา ต่อเขตกับกิ่งอำเภอสุขสำราญ จ.ระนอง บริเวณนั้นมี “ห้วยน้ำซับ” ซึ่งเกิดจาก “น้ำตกโตนจิก” จึงได้ชื่อว่า “ห้วยซับ” และแผลงมาเป็น “ห้วยทรัพย์” ซึ่งเป็นชื่อของหมู่บ้าน ดังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน...

    ตอนที่ 12 “บ้านหินลาด”
    “ตา ยมดึง” ต้อนฝูงโคผ่าน “บ้านห้วยทรัพย์” เข้าสู่เขต “บ้านเตรียม” (บ้านที่ตั้งขันหมากของ “พ่อตารัศมี) ผ่านเข้าสู่เขตหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งระหว่างทางจะมีภูเขากั้นกลาง การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องปีนป่ายผ่านแนวหินที่ทอดลาดเป็นทางยาว หมู่บ้านนั้นจึงได้ ชื่อว่า “บ้านหินลาด” สืบมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นจึงเดินทางมุ่งเข้าสู่เขต “บ้านนางย่อน”


    ตอนที่ 13 “โคเริ่มป่วย”
    ก่อนเข้าสู่ “บ้านนางย่อน” มีลำคลองลึกกั้นขวางอยู่ ซึ่งเคยเป็นเส้นทางผ่านเข้า – ออก ของเรือใหญ่ในอดีต น้ำในลำคลองนั้นใสและเย็นจัด “ตา ยมดึง” ต้องใช้ความพยายามไล่ต้อนฝูงโคให้ว่ายน้ำผ่านคลองด้วยความลำบาก
    แต่เนื่องจากฝูงโคเดินทางมาไกล จึงเหนื่อย ประกอบกับอากาศที่ร้อนจัดเมื่อลงน้ำที่เย็นจัดในทันที โคจึงไม่สามารถปรับตัวได้ทัน โคจำนวนมากจึงล้มป่วยลง
    “ตา ยมดึง” พยายามต้อนฝูงโคเดินทางต่อไป และได้แวะพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นโคมีอาการป่วย น้ำมูกไหล ขี้ตาเกรอะกรัง และมีอาการ “อาเจียน” (ภาษาใต้เรียกว่า “ราก” ) สร้างความตกใจให้ “ตา ยมดึง” เป็นอย่างมาก หมู่บ้านแห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า “บ้านคุระ” ซึ่งแผลงมาจาก “โคราก” ตามอาการที่โคป่วย เป็นชื่อของหมู่บ้านหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
    ข้อสันนิษฐานอีกอย่างหนึ่ง คือคำว่า “คุระ” เป็นคำภาษามลายู แปลว่า “ต้นสมอทะเล” เพราะพื้นที่บริเวณนั้นมีต้นสมอทะเลเกิดขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่บริเวณ “บ้านคุระ” และ “คลองนางย่อน”


    ตอนที่ 14 “โครอดชีวิต”
    หลังจากได้หยุดพักที่ “บ้านคุระ” ฝูงโคเริ่มเดินทางต่อทั้งๆ ที่ไม่สบายจนกระทั่งถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง “ตา ยมดึง” จึงให้ฝูงโคหยุดพัก เช้าวันรุ่งขึ้น โคมีอาการดีขึ้น หายป่วยเป็นปกติ ดังเดิม ทำให้ “ตา ยมดึง” ดีใจมาก รีบต้อนฝูงโคเดินทางต่อ หมู่บ้านที่โคหายป่วยนั้นจึงได้ชื่อว่า “บ้านโครอด” ซึ่งแผลงเป็น “บ้านคุรอด” ดังปรากฏเป็นชื่อหมู่บ้านอยู่ในปัจจุบัน..


    ตอนที่ 15 “โคคลุ้มคลั่ง”
    ฝูงโคเดินทางผ่านป่าดง จนไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง อาการป่วยของโคเริ่มทรุดลงอีกและมีอาการ “คลุ้มคลั่ง” เป็นบางครั้ง ส่งเสียงร้องโหยหวนในบางขณะ และมีน้ำตาไหลเป็นทาง “ตา ยมดึง” ทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ได้แต่รีบต้อนฝูงโคให้เดินทางถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด...
    หมู่บ้านที่โคเกิดอาการคลุ้มคลั่งนี้ ต่อมาได้ชื่อว่า “บ้านบางครั้ง” ซึ่งแผลงมาเป็น “บ้านบางครั่ง” ดังปรากฏเป็นชื่อหมู่บ้านอยู่ในปัจจุบัน


    ตอนที่ 16 “โคล้มตาม แล่หนังโคขาย”
    ฝูงโคที่กำลังป่วยหนักถูกต้อนให้เดินทางไปด้วยความลำบาก จนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งโคไม่สามารถทนพิษจากโรคร้ายได้อีกต่อไป พากันล้มตายลง “ตา ยมดึง” เสียใจเป็นที่สุด ที่ไม่สามารถช่วยชีวิตโคได้ จึงช่วยกันกับชาวบ้านแล่หนังโคออก และทำการ “ทุบ ตี นวด” หนังโค(ซึ่งภาษาใต้เรียกว่า การ “ตำ” หนัง) หมู่บ้านแห่งนั้นจึงได้ชื่อเรียกว่า “บ้านตำหนัง” ดังปรากฏเป็นชื่อหมู่บ้านสืบมาจนถึงปัจจุบัน...


    ตอนที่ 17 “แดดออกเป็นบางวัน”
    หลังจากแล่หนังโคเสร็จ “ตา ยมดึง” ให้คนช่วยหาบหนังโคเดินทางต่อเพื่อนำไปที่เมืองตะโกลา จนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นมีแดดออกดี จึงหยุดพักเพื่อทำการตากหนังโค ปรากฏว่าแดดที่เคยออกดี กลับออกเป็น “บางวัน” ในบางวันกลับมืดครึ้ม หนังโคที่ตากแล้วจึงแห้งช้า ทำให้มี “แมลงวัน” และมาตอมหนังโคที่ตากไว้เป็นจำนวนมาก จากการที่มีแดดออกเป็น “บางวัน” และมี “แมลงวัน” มากหมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อว่า “บ้านบางวัน” ดังปรากฏเป็นชื่อหมู่บ้านอยู่ในปัจจุบัน...


    ตอนที่ 18 “ชีวิตเร่ร่อน”
    “ตา ยมดึง” เดินทางต่อไปจนถึง “เมืองตะโกลา” (อำเภอตะกั่วป่าในปัจจุบัน) ก็หยุดเพื่อขายหนังโค แต่ก็ต้องขาดทุน ไม่มีทุนพอที่จะซื้อโคมาขายได้อีก
    “ตา ยมดึง” จึงเดินทางเร่ร่อนต่อไป จนหลายปีต่อมาได้เดินทางไปถึงเมืองพังงา ได้พักอาศัยอยู่กับ “ตาโจงโตง” ช่วยเหลือทำงานอยู่กับ “ตาโจงโตง” อยู่ที่เมืองพังงานั้นเอง

    ภาพ ๑.ขุนเขาพระหมี
    ภาพ ๒.หินทรายขาว ที่เจอข้างลำธาร ทางขึ้นเขาพระหมี ที่ระดับสูงประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ม.เหนือระดับน้ำทะเล
    ภาพ ๕-๘ หน้าผา ที่ ต้องปีนป่าย ข้าม ไป
    จาก ตำนาน ผาดำ ถ้ำมรกต ( ผ่าน หน้าผา นี้ไป จะ เจอ หน้าผาดำซึ่งกว้างใหญ่ จนถึง ยอดเขาจะมีถ้ำใหญ่ ในถ้ำคาดว่า มี...)..
    ติดต่อ พราน ชาวบ้านแถวนั้น บอกว่า มีเสือ,หมี ,งูใหญ่ ถ้าจะ ขึ้นไป ต้อง ติด ปืนไป...ซึ่งไม่ต้องกับ การเดินทาง ของกลุ่มเรา ใช้การ เยือนด้วย เมตตาเป็นหลัก..
    เพราะ ที่ผ่านมา มีคนพบ ผ้าขาว หรือฤาษีบำเพ็ญ อยู่..
    ภาพ ๑๐ สถูปเก่า ที่ล่ม...ผม,น้อง ขึ้นมาครั้งแรก ๑๕ เมษา ๒๕๕๑ รวบรวมก้อนอิฐเก่าแถวนั้น มาต่อเรียงขึ้นใหม่ พร้อม สื่อจิตภาวนา..

    ภาพ ๑๓ .เขาด้านซ้าย คือ เขาคอก มีสถูปเก่า (ดังภาพ ๑๐ ) เป็นชุมชนเก่ามีการค้นหาลูกปัด ,เขาด้านขวา คือ เขาแม่นางขาว มีสำนักสงฆ์สวนวาง (บ้านทุ่งรัก )อยู่ตีนเขา..

    ครั้งที่ ๒ เมื่อ กพ. ๒๕๕๔ เก็บอิฐเก่าแถวนั้น ก่อขึ้นใหม่ พร้อม อัญเชิญเหรียญทำน้ำมนต์ ใว้..
    จากนั้น ปักกลด ณ.สถานที่ สร้าง เรือนธรรม ภาวนาในภาพ ๑๓
    ภาพ ๑๔ ขึ้น สถูป ที่เขาคอก เมื่อ ๑๕ เมษา ๒๕๕๑ ครั้งแรก
    Nicky TreeUncle - ทริปเดินป่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  11. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    วันนีั้ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑ (อ้าย )..

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MzbcO4lAj5w]วันนี้ วันพระ.wmv - YouTube[/ame]

    เจ้าหน้าที่กลุ่มสัตว์ทะเลหายากช่วยยื้อชีวิตโลมาลายแถบ 2 แม่ลูกป่วยติดเชื้อ (ชมคลิป)

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 มกราคม 2556 12:09 น.

    ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน เฝ้ารักษาโลมาลายแถบ 2 แม่ลูก หลังถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้น ตรวจพบมีการติดเชื้อภายในอย่างรุนแรง ตัวแม่ถ่ายเป็นเลือด ขณะที่ลูกมีอาการติดเชื้อแต่ยังสามารถว่ายน้ำเองได้

    วันนี้ (10 ม.ค.) นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ หัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก กำลังช่วยกันดูแลรักษาโลมาลายแถบ 2 แม่ลูก ซึ่งถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้นที่บริเวณชายหาดบ้านทุ่งมะพร้าว ต.ทับละมุ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่รับมาดูแลรักษาอาการป่วยที่กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันพยุงให้แม่โลมาว่ายน้ำในบ่ออนุบาล เนื่องจากโลมาตัวแม่ไม่สามารถว่ายน้ำเองได้ โดยจะมีลูกโลมาคอยว่ายน้ำคลอเคลีย และพยายามดันลำตัวของแม่โลมาให้ว่ายน้ำ

    สำหรับโลมาทั้ง 2 ตัวนั้น ทางกลุ่มสัตว์ทะเลได้รับแจ้งจากชาวบ้านให้รับมาดูแลรักษา หลังชาวบ้านไปพบถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้นที่บริเวณชายหาดทุ่งมะพร้าว จ.พังงา จากการตรวจสอบพบว่า แม่โลมามีอายุประมาณ 20-25 ปี ยาว 2.07 เมตร หนัก 70 กิโลกรัม สภาพในช่วงแรกที่รับเข้ามาดูแลมีอาการอ่อนแรง ไม่ว่ายน้ำ มีแผลเปื่อยตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณครีบหลัง รอบดวงตา รวมทั้งมีแผลในปาก ภายในกระเพาะไม่มีอาหาร คาดว่าไม่กินอาหารมาหลายวันแล้ว นอกจากนั้น ยังพบว่าอุจจาระเป็นเมือกสีเหลืองปนเขียว น่าจะมีอาการป่วยติดเชื้อภายในมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่ลูกโลมาจากการตรวจสอบคาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 1 ปี มีฟันขึ้นครบ เพศผู้ น้ำหนัก 16 กิโลกรัม ยาว 1.23 เมตร พบภายในปากมีแผล ยังสามารถว่ายน้ำได้ แต่ไม่ค่อยกินอาหาร

    นายก้องเกียรติ กล่าวขณะเฝ้าติดตามการดูแลโลมา 2 แม่ลูกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาการของโลมาทรุดลง โดยในส่วนของแม่นั้นพบว่ามีการถ่ายออกมาเป็นเลือด ขณะที่ลูกไม่ยอมกินอาหาร ซึ่งตั้งแต่วันที่รับมาจนถึงขณะนี้พบว่า ทั้ง 2 ตัวมีน้ำหนักลดลง ทางสัตวแพทย์ก็ได้ทำการรักษาไปตามอาการที่ตรวจพบ ซึ่งมีการเจาะเลือดไปตรวจเพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อ ในเบื้องต้น ให้ยาปฏิชีวนะในการรักษา รวมทั้งให้ยาบำรุงเพื่อฟื้นร่างกายให้โลมามีความแข็งแรงโดยเร็ว ถ้าร่างกายแข็งแรงก็จะสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ เพราะไวรัสที่พบในโลมาจะระบาดไปทั่วทั้งตัวและไม่มียารักษา

    อย่างไรก็ตาม การรักษานั้นจะมีการประเมินตลอดเวลา ถ้าพบว่าโลมาไม่ยอมกินอาหารเอง หรืออาหารที่กินเข้าไปไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายก็จะต้องให้อาหารทางท่อด้วย ซึ่งขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยให้โลมาทั้ง 2 ตัวอยู่ในบ่อเดียวกันเพื่อลดความกดดัน ซึ่งโลมาทั้ง 2 ตัวมีความผูกพันกันมาก ลูกโลมาจะพยายามเข้าไปช่วยดันลำตัวของแม่เพื่อให้ว่ายน้ำอยู่ตลอดเวลา และจะมีการเรียกหากันตลอด ส่วนช่วงกลางคืนนั้นจะแยกตัวแม่กับลูกออกจากกันเพื่อลดการติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูก ขณะที่การให้อาหารโลมานั้น จะให้วันละ 5 เวลา

    สำหรับการดูแลรักษาโลมาทั้ง 2 ตัวนั้น ทางเจ้าหน้าที่พยายามอย่างเต็มที่ แต่จากสภาพของโลมาทั้ง 2 ตัว โดยเฉพาะตัวแม่พบว่าอาการแย่มาก เนื่องจากมีการติดเชื้อมาเป็นเวลานาน โอกาสที่จะหายนั้นมีน้อยมาก ขณะที่ตัวลูกก็มีการติดเชื้อเช่นกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าโลมา 2 แม่ลูกหายเป็นปกติก็จะนำไปปล่อยในทะเลต่อไป ซึ่งขณะนี้ การดูแลต้องจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าดูแลตอลด 24 ชั่วโมง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=x87HfavowuM&feature=player_embedded]โลมาลายแถบ 2 แม่ลูก .MOV - YouTube[/ame]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    สภาวะ เรือนธรรมภาวนา บนเนินเขา สูง ๗๐ม.อ.คุระบุรี จ.พังงา

    ๒๙ ธค.เดินทาง สู่ เรือนธรรมภาวนา บนเนินเขา อ.คุระบุรี จ.พังงา ...
    แวะบ้าน พี่ชาย ที่ บ้านปาก-วีป ..นำต้นกล้า กล้วยไม้ มาใว้ ..
    เจอ งูเขียว ๒ ตัว ตามภาพ ๑ ..กำลังเลื้อย ...พอดี หยอกเล่น ตามประสา ..
    .

    ขับรถ รู้สึก ง่วง พยายาม ฝืน ให้ถึงบ้านคุณพ่อ เพราะ เหลือ ระยะทาง ประมาณ ๕ กม...

    ทานข้าว จากนั้น พักผ่อน หลับสนิท จากการ ประคองกาย ทำงานทางโลก ซึ่งมีหน้าที่ นำปัจจัย เพื่อการศึกษา ลูกสาว ...
    รายใด้ ส่วนหนึ่ง น้อมนำ เข้าสู่ สภาวะบุญ ธรรม ในการ ใช้ความ เพียรพยายาม ,อดทน วิริยะ ขันติ ในการ สร้าง เรือนธรรมภาวนา บนเขา ...
    และ สร้าง องค์แทน พระพุทธสัมมาพระศาสดา (สมเด็จองค์ปฐมฯ )..
    เพื่อ น้อม บุญภายนอก ภายใน แด่ มนุษย์ เทวา กราบสักการะบูชา ด้วย จิตตภาวนา เพื่อ ความหลุดพ้น จาก วัฎฎะ..
    เทพ เทวา ก็ จำเป็นต้องเข้า สภาวะธรรม ...


    ด้วยสภาวะ อากาศแห้ง ฝนไม่ตก น่้าจะประมาณ เกือบ ครึ่งเดือน จึงนำรถกะบะคู่ใจ ขึ้นถนน ที่ ทำใว้แล้ว (แต่ ขึ้นใด้เฉพาะ รถ 4 WD )..
    วันนี้ รถ ขึ้นถึงหน้า เรือนธรรมภาวนา แบบสะบายๆๆ..

    แดดออก จ้า...ขนตัวหนอน หลังรถ มาใว้ ประมาณ ๑๑๐ ก้อน..
    เมื่อ รถขึ้นใด้ แล้ว กำลังใจ มีมากขึ้น จึง กลับรถ บรรทุก อิฐคาน,เสาปูน ๑ ม. ,ถุงทราย,ถุงปูนซิเมนต์ ที่เตรียม ใว้ ก่อสร้าง แท่นประดิษฐาน องค์พระ..

    [COLOR="Blue"[B]][COLOR="RoyalBlue"]๑.สมเด็จองค์ปฐมปางลีลาเปิดโลก ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ สูง ๒.๕๐ ม.( "สมเด็จพระพุทธสิกขี มณีนพรัตนะ พุทธลีลาเปิดโลก ปฐมสมโภชน์ อนันตชัยยะมิ่งมงคล [/COLOR]"[/B])[/COLOR]

    ๒.องค์พระพุทธสัมมาปางมารวิชัย หน้าตัก ๑๙ นิ้ว " พระพุทธเมตตา ศากยมุนี มณีนพรัตนะ ชัยยะมิ่งมงคล ทศพลพุทธชยันตี "( พระอาจารย์โป่ง ธุดงคสถานตาลสามต้น เชิงเขาไม้เท้าสิบสอง เขาเรดาห์ ทหาร ภูเก็ต ท่านเมตตา อัญเิชิญ ประดิษฐาน ที่ เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี อ.คุระบุรี จ.พังงา )

    ๓.องค์ นาคราช ๙ เศียร พญาอนันตนาคาธิบดี (ซึ่งในกาลเพลา ข้างหน้า จะ อัญเิชิญ องค์พระพุทธสัมมา ปางประทานพร ประดิษฐาน คล้ายดัง พระพุทธสัมมาปางประทานพร นาคปรก ๙ เศียร...)

    ๓๐ ธค. ขนอิฐคาน มาใว้ เช่นเดิม จากจำนวน ๑๗๐ ก้อน ซึ่งมี น้ำหนักมากพอสมควร..ขณะ ยกถุงทราย จากท้ายรถกะบะ ขึ้น ใว้ใต้ถุน เรือนธรรม ..
    ใด้ยินเสียง ดัง เปาะ....
    พยายาม ฝืน กายสังขาร ยกถุงทรายลง เพราะ ยกลงผิดท่า..น่าจะเป็นไปใด้ ที่ กระดูก หรือ กล้ามเนื้อ บิดผิดจังหวะ..


    นั่งพิงเสา เรือนธรรม ใต้ถุน เดินธาตุ ตาม ที่ หลวงปู่สุภา กันตสีโล ศิริวัฒนะ ที่ ๑๑๘ ปี เมื่อ ๑๗ กย. ๒๕๕๕ ปีที่แล้ว (ขณะนี้ หลวงปู่สุภา ท่้าน เมตตา หลาน,เหลน ที่วัดคอนสวรรค์ สกลนคร )..

    ตั้งจิต ขอบารมี องค์พระฯฯ..เทพเทวา ที่เกี่ยวเนื่องกันมา เมตตา ปรับธาตุขันธ์..จากนั้น นั่งสงบจิต ประมาณ ๓๐ นาที จึงลอง ขยับกายสังขาร ใด้..
    แต่ ยืนให้ตัวตรงไม่ใด้..

    ค่ำคืน ตั้งจิต ขอสวดมนต์เล็กน้อย แต่ ก็ใด้ จึงสวดมนต์ทำวัตร์เย็น สวด...พระคาถาต่างๆ ..ภาวนา จนใด้เวลา่ จึงพักผ่อน บนเรือนธรรรม ภาวนา..

    ๓๑ ธค. ขนอิฐคาน ขึ้นใว้ เหมือนเดิม..เผอิญ ฝนจะตก รีบเร่ง นำถังน้ำ ขึ้นไป แต่ ฝนตก แล้ว ..ดินเปียก ..
    รถ ขึ้นเ้ขา ไม่ใด้่ พยายามฝืน ล้อรถถอยลง มาชิดขอบข้างถนน (ขึ้นไม่ใด้ ถอยลง ไม่ใด้่ เพราะถ้าล้อ ปีนขอบทาง รถจะล่วง ทันที..
    ดังภาพ ๔ ...

    สวดมนต์ข้าม ปี บนเรือนธรรม ตามปกติ...

    http://palungjit.org/threads/บุญถนน...นินเขาสูง70ม-อ-คุระบุรี-จ-พังงา.338716/page-2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_5836.jpg
      IMG_5836.jpg
      ขนาดไฟล์:
      168.7 KB
      เปิดดู:
      50
    • IMG_5837.jpg
      IMG_5837.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153.8 KB
      เปิดดู:
      45
    • IMG_5838.jpg
      IMG_5838.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167.5 KB
      เปิดดู:
      43
    • IMG_5841.jpg
      IMG_5841.jpg
      ขนาดไฟล์:
      216.9 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  13. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=mnVGQvJ1IxY]03-คำไหว้พระเจ้า 10 ชาติ - YouTube[/ame]

    วันนี้ วันครู (ครู ผู้สร้าง ศิษย์ )

    ๑ มค. ๒๕๕๖ หลังจาก ภาวนาแผ่เมตตา ..ตามวาระเพลา ที่มี ..
    ลงมา ถากถางหญ้า บริเวณ เรือนธรรม ..(หญ้า ขึ้นเร็ว )..

    ติดต่อ น้องเขย (ทหาร )ช่วยนำรถ ที่ติดค้างบนทางขึ้น ใช้เวลา ประมาณ ๓ ชม.กว่าจะ ดันรถ ด้วยกำลังขับของตัวเครื่อง และ ประสบการณ์ ของ น้องทหาร...ต้องลุ้นในใจ เพราะ พลาด เมื่อไหร่ ล้อหลัง ปีนลง ขอบทาง ร่วงทันที กว่้า จะ ขยับใด้ ล้อรถสบัด เลื่อน ไปมา ..
    โชดดี ที่ ล้อสบัด เลื่อนไปทางด้านซ้าย (กลางถนน ) ดัน ขึ้น เนิน ใด้อีกประมาณ ๑ เมตร..

    ลงมาทานข้าว พักผ่อน จากนั้น นำรถลงมา ทางหลานๆ ไปเที่ยวพักผ่อน ที่น้ำตกเล็กๆ ซอยแสงทอง (ข้างสำนักสงฆ์ ที่มีพระธาตุเจดีย์)..

    ค่ำๆ พักผ่อน ,สวดมนต์ทำวัตร์เย็น ภาวนา แผ่เมตตา ตามวาระ จากนั้น รอเพลา ในการสวดมนต์ ข้ามปี เรียบร้อย ประมาณ ๐๑.๔๐ น.ของ วันที่ ๒ มค.๒๕๕๖..

    วันที่ ๒ มค. รถที่ ยืนยัน ในการตัดถนน เนินเขาทางขึ้น เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี ..
    ๒ วัน ในการ ตัดถนน ทางขึ้น ( ๒-๓ มค.) ทั้ง มี น้อง อีกท่าน ช่วย ขับรถ เพื่อ ตัดไลน์ ทาง ให้ แน่นอน เนื่องจาก คนขับรถประจำ ท่านนั้น ไม่ค่อย ชัดเจน ในเส้นทาง นัก..มักจะ กินเวลา ไปพอสมควร ..

    เมื่อตัดถนน เส้นทางบุญ เพื่อ น้อมอัญเชิญ ประดิษฐาน องค์พระ..

    ๑.สมเด็จองค์ปฐมปางลีลาเปิดโลก ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ สูง ๒.๕๐ ม.( "สมเด็จพระพุทธสิกขี มณีนพรัตนะ พุทธลีลาเปิดโลก ปฐมสมโภชน์ อนันตชัยยะมิ่งมงคล ")

    ๒.องค์พระพุทธสัมมาปางมารวิชัย หน้าตัก ๑๙ นิ้ว " พระพุทธเมตตา ศากยมุนี มณีนพรัตนะ ชัยยะมิ่งมงคล ทศพลพุทธชยันตี "( พระอาจารย์โป่ง ธุดงคสถานตาลสามต้น เชิงเขาไม้เท้าสิบสอง เขาเรดาห์ ทหาร ภูเก็ต ท่านเมตตา อัญเิชิญ ประดิษฐาน ที่ เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี อ.คุระบุรี จ.พังงา )

    ๓.องค์ นาคราช ๙ เศียร พญาอนันตนาคาธิบดี (ซึ่งในกาลเพลา ข้างหน้า จะ อัญเิชิญ องค์พระพุทธสัมมา ปางประทานพร ประดิษฐาน คล้ายดัง พระพุทธสัมมาปางประทานพร นาคปรก ๙ เศียร...)

    ถนน เส้นทางบุญ เส้นนี้ ใด้บุญทันใจ เมื่อ ญาติๆ ,เพื่อนบ้าน นำรถมอเตอร์ไซด์ ทดสอบขึ้น และ นำรถมา รับน้ำยางพารา..เพื่อ การเลี้ยงชีพ ของแต่ละท่าน...
    และ บุญสาธาณะประโยชน์ ใน สาธุชน ใด้ กราบสักการะ องค์สมเด็จองค์ปฐม..
    พร้อม นำจิต เข้าสู่ ..

    ธรรมะ ของพระสัมมาพระศาสดา เบื้องต้น อย่างน้อย องค์พระโสดาบัน ..ด้วย อริยสัจธรรม ,พรหมวิหารธรรม นำ จิตตภาวนา เข้า ข้าม วัฏฏะ เข้า สู่สภาวะ วิมุตติ อาสวักขญาณ น้อมนำจิต สู่ การดับสิ้น ซึ่ง กิเสล ..

    สู่ พระนิพพาน ในที่สุด...ตามเป้าหมาย ที่ สาธุชน ตั้งจิต ใว้ ก่อนจะลงมา สร้าง บารมี ในภพชาติปัจจุบัน...

    หน้าที่ แต่ละ ท่าน มีอยู่แล้ว ..
    สาวกพุทธะ
    พระโพธิญาณ พุทธภูมิ..

    ภาพ ๙ . สายอากาศ (เสา )วิทยุสื่อสาร ข่าย สมัครเล่น เพื่อ เฝ้าฟังสถานการณ์ ต่างๆ จาก การ รับระบบทวนสัญญาณ (รีพีทเตอร์ ) จาก..
    ภูเก็ต ,ระนอง ,สุราษฏร์ ,นครศรีธรรมราช ...
    สถานีวิทยุ VR คุระบุรี,ตะกั่วป่า ,ทุ่งละออง , ..
    ระบบ link เครื่อง แดง ข่าย ประชาชน จาก ระนอง, ภูเก็ต .

    และ...
    เพื่อ เท่าทัน ต่อ เหตุการณ์ ..
    จำเป็น หรือ ไม่ ..

    stand by ใว้ ...รับทราบข่าวสาร ทันท่วงที ...เพราะ เกือบทุกครั้ง ที่ ผม นาคา มาพักกาย พักจิต จิตตภาวนา ...ลูกสาว ,แม่บ้าน ยังคง อยู่ ภูเก็ต เสมอ ง....การ ติดต่อ สื่อสาร ทาง โทรศัพท์ อาจจะ...

    น้อม โมทนาบุญ กับ ทุกท่าน ที่ เมตตา ในการ ร่วมบุญ ในครั้งนี้ และ ที่ผ่านมา ...
    สรุป รายจ่าย ในการ ทำถนน ๒-๓ มค. ๒๕๕๖....
    ตัดถนน ชม.ละ ๑,๔๐๐ บ.
    จำนวน๑๕ ชม * ๑,๔๐๐ = ๒๑,๐๐๐ บ. แต่ เจ้าของ รถ คิดเพียง ๒๐,๐๐๐ บ
    .

    http://palungjit.org/threads/เชิญร่...สมโภชน์อนันตชัยมิ่งมงคลสูง2-50ม.344339/page-8
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  14. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    คุณนาคาสบายดีนะครับ ไม่ได้ทักทายกันนานเป็นปี เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับท่าน
     
  15. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ยินดียิ่งครับ คุณหมอ ...มีน้องสาว (เพื่อนแม่บ้านผม ) บ้านเธอ อยู่ด้านข้าง สถานีตำรวจ อ.กะเปอร์ ครับ .. คาดว่า มาฆะบูชา นี้ จะให้เธอช่วย น้อมจิต ประดิษฐ์ บายศรีปากชาม ถวาย เป็นพุทธบูชา แด่ องค์พระศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ขอรับ..
    แฮะๆๆๆ...

    ใว้มีโอกาส เดินทาง เยี่ยมเยือน คุณหมอ ครับ...

    เพิ่งเดินทางกลับ จาก เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี เนินเขา อ.คุระบุรี จ.พังงา เมื่อ วานนี้ ถึงบ้านภูเก็ต ประมาณ ๑๙.๐๐ น. ...ด้วย..

    น้องสาว คุณ ทารา (บ้านลิพอน ภูเก็ต ) เมตตา นำ คนงาน ก่อสร้างแท่นประดิษฐาน ...

    ๑.สมเด็จองค์ปฐมปางลีลาเปิดโลก ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ สูง ๒.๕๐ ม.( "สมเด็จพระพุทธสิกขี มณีนพรัตนะ พุทธลีลาเปิดโลก ปฐมสมโภชน์ อนันตชัยยะมิ่งมงคล ")

    ๒.องค์พระพุทธสัมมาปางมารวิชัย หน้าตัก ๑๙ นิ้ว " พระพุทธเมตตา ศากยมุนี มณีนพรัตนะ ชัยยะมิ่งมงคล ทศพลพุทธชยันตี "( พระอาจารย์โป่ง ธุดงคสถานตาลสามต้น เชิงเขาไม้เท้าสิบสอง เขาเรดาห์ ทหาร ภูเก็ต ท่านเมตตา อัญเิชิญ ประดิษฐาน ที่ เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี อ.คุระบุรี จ.พังงา )

    ๓.องค์ นาคราช ๙ เศียร พญาอนันตนาคาธิบดี (ซึ่งในกาลเพลา ข้างหน้า จะ อัญเิชิญ องค์พระพุทธสัมมา ปางประทานพร ประดิษฐาน คล้ายดัง พระพุทธสัมมาปางประทานพร นาคปรก ๙ เศียร...)

    กับ เืรื่องราว ประสบการณ์ ของคนงาน ๑ ท่าน ที่ เจอ...

    และ น้อม โมทนาบุญ ด้วย วาระ ..
    คุณ ตะกั่วป่า, คุณ ถาวโร(ถา-วะ-โร) ที่ เมตตา ร่วมบุญ ครับ..
    .
    แล้วจะนำภาพ โพสส์ ครับ...
     
  16. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    อาทิตย์ ๒๐ มค. น้อมนำ องค์นาคาธิบดี ๙ เศียร จากร้าน ใว้หลังรถกะบะ ไม่นานประมาณ ๑ ชม. มี ญาติธรรมท่านหนึ่ง มาถาม แม่บ้าน ว่า นำ ปู่นาคา มาจากร้านไหน สวยงามมาก และ มีพลัง มาก..

    ผมกำลังทานข้าวก่อนเที่ยงพอดี จึงออกมา สนทนาด้วย..สื่อสัมผัส ญาติธรรม ท่านนี้ เป็น ร่าง..(ทรง ,ผ่าน ) ด้วยหน้าตา คล้ายไปทาง อินเดีย,เนปาล
    ...เธอบอกว่า ปู่นาคา องค์นี้ ปลุกเสก หรือยัง..
    ก็ บอกว่า ยังไม่ใด้ปลุกเสก เพิ่งนำมาจากร้าน เมื่อกี้ แล้ว เข้าไปทานข้าว..

    เธอบอกว่า มีพลังมาก ขณะไม่ใด้ปลุกเสก นะ..ก็ แจ้งญาติธรรม ท่านนี้ว่า จะน้อมนำอัญเชิญ ประดิษฐาน ที่ เรือนธรรมภาวนา บนเนินเขา อ.คุระบุรี จ.พังงา ( เลยตะกั่วป่า ไป ) เธอจึง บอกว่า ซอยด้านหลัง บ้านผม มีตำหนัก ปู่นาคา ..

    วันจันทร์ ๒๑ มค. น้อมนำ องค์ปู่นาคาธิบดี เดินทาง ขึ้นเรือนธรรมภาวนา บนเขา ที่ อ.คุระบุรี..
    แวะ รับ คุณ ทารา ที่บ้านลิพอน ภูเก็ต (ด้วย วาระ สื่อทางทิพย์ ปู่นาคา ด้วยกัน ) พร้อม คนงาน อีก ๒ ท่าน ในการก่อสร้าง ลานธรรม ประดิษฐาน..

    ๑.สมเด็จองค์ปฐมปางลีลาเปิดโลก ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ สูง ๒.๕๐ ม.( "สมเด็จพระพุทธสิกขี มณีนพรัตนะ พุทธลีลาเปิดโลก ปฐมสมโภชน์ อนันตชัยยะมิ่งมงคล ")

    ๒.องค์พระพุทธสัมมาปางมารวิชัย หน้าตัก ๑๙ นิ้ว " พระพุทธเมตตา ศากยมุนี มณีนพรัตนะ ชัยยะมิ่งมงคล ทศพลพุทธชยันตี "( พระอาจารย์โป่ง ธุดงคสถานตาลสามต้น เชิงเขาไม้เท้าสิบสอง เขาเรดาห์ ทหาร ภูเก็ต ท่านเมตตา อัญเิชิญ ประดิษฐาน ที่ เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี อ.คุระบุรี จ.พังงา )
    ๓.องค์ นาคราช ๙ เศียร พญาอนันตนาคาธิบดี (ซึ่งในกาลเพลา ข้างหน้า จะ อัญเิชิญ องค์พระพุทธสัมมา ปางประทานพร ประดิษฐาน คล้ายดัง พระพุทธสัมมาปางประทานพร นาคปรก ๙ เศียร...)

    จากนั้น แวะ บ้านหลักแก่น (ทับละมุ ) ด้วยวาระ ที่ ท่าน ถาวโร(ถา-วะ-โร)..
    เมตตา น้อมนำ น้ำดื่ม หลายขวด เพื่อ ใช้ ดื่ม ,บริโภค ที่ เรือนธรรม บนเขา..

    เมื่อ มาถึง เรือนธรรม บนเขา อ.คุระบุรี พี่ๆน้องๆ คนงาน รีบ ขุดดิน ก่อรากฐาน ลานธรรม ประดิษฐาน...

    เย็นๆ ประมาณ ๑๘.๐๐ ญาติธรรม (ญาติพี่ๆน้อง ),น้องชาย พร้อม เด็กๆ ข้างบ้าน รวม ๙ คน ช่วยกัน น้อมนำ อัญเชิญ ....

    องค์ปู่นาคา ลงจาก รถกะบะผม (นาคา ) ด้วยน้ำหนัก มาก ๙ คน ยกไม่ค่อยใด้..จึงน้อมนำ อัญเชิญ ใว้ บนคันดิน ทางขึ้น ลานธรรม เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี ก่อน...
    อาทิตย์ ๒๗ มค. ท่าน ถาวโร(ถา-วะ-โร) พร้อม น้องญาติธรรม จากภูเก็ต เดินทาง มาเยือน ด้วย ..
    พวงมาลัย ,หมากพลู ,กำยาน น้อมนำถวาย องค์ปู่นาคาธิบดี..

    และ ทราบว่า ...
    ท่านตะกั่วป่า เมตตา ร่วมบุญ ................................๑,๐๐๐ บ.
    ท่าน ถาวโร(ถา-วะ-โร) เมตตา ร่วมบุญ.....................๑,๐๐๐ บ.

    น้อม โมทนาบุญ ที่ ท่าน เมตตา ร่วมบุญ ในบัญชีบุญ สร้าง ปั้น

    .สมเด็จองค์ปฐมปางลีลาเปิดโลก ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ สูง ๒.๕๐ ม.( "สมเด็จพระพุทธสิกขี มณีนพรัตนะ พุทธลีลาเปิดโลก ปฐมสมโภชน์ อนันตชัยยะมิ่งมงคล ")และ บุญ ต่างๆ ในวาระ เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี บนเนินเขา สูง ๗๐ ม.อ.คุระบุรี จ.พังงา ...ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  17. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    องค์ปู่นาคาธิบดี ๙ เศียร สู่ ๔ ภาค สยาม จาก พี่ๆน้องๆ ญาติธรรม ฟินแลนด์ ,สยาม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    น้อมนำ พระบรมสารีริกธาตุ ,พระธาตุข้าวบิณฑ์ ,เหรียญทำน้ำมนต์ ในทางคุณกุ๊ก ธิดา (Tida Charoenpornpimonkul ) พลอยสี สื่อ ทาง นาคราช เพื่อน้อมนำ ให้ญาติธรรม ทั้งสยามประเทศ ,ฟินแลนด์ ..และทาง กุ๊ก ใด้นำ เหรียญเก่า สะสมทางฟินแลนด์ มาฝาก ใว้ให้..
    [​IMG]
    ด้วยวาระ ทางคุณน้อง สุนันท์ธา เดินทาง จากฟินแลนด์ กลับมาเยี่ยมบ้าน ที่ภูเก็ต และ
    ++คุณกุ๊ก (Tida Charoenpornpimonkul ) น้อมนำ ปัจจัย ร่วมบุญ ทุกอย่าง ณ .เรือนธรรม เวียงนาคาธิบดี ศรีอริยะ มณีรัตนฯ..
    บุญ เพิ่ม ครั้งที่ ๒ อีก.................................... ๔,๐๐๐ บ.(4ตค55)
    ++คุณ สุนันท์ธา นวนกุล เมตตา ร่วมบุญทุกอย่าง.........๕๐๐ บ.(4ตค55)

    พร้อม ขนม ของฝาก..

    ขออนุญาต น้อม..
    ขอน้อม บารมี อัปมาโณพุทโธ อัปมาโณธัมโม อัปมาโณสังโฆ ขององค์สมเด็จองค์ปฐม ,พระสัมมาสัมพุทธองค์ ทุกๆพระองค์ ,องค์พระพุทธสัมมาสัมพุทธศรีศากมุนี องค์ปัจจุบัน
    พระปัจเจกโพธิเจ้าองค์ปฐมต้นพุทธเจ้า , พระปัจเจกโพธิเจ้า ทุกๆพระองค์ พระอริยะสงฆ์ อำนวยพร .....ให้...ท่าน
    ++คุณกุ๊ก (Tida Charoenpornpimonkul )
    ++ คุณ สุนันท์ธา นวนกุล พร้อมครอบครัว
    ใด้จตุรพรชัยมงคล ทุกประการ ก้าว สู่ ความคล่องตัว มีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ บุญธรรมรักษาท่านให้เจริญสุข เจริญธรรม เจริญปัญญา เจริญปณิธาน สำเร็จบรรลุธรรม ตามเหตุปัจจัยที่ได้สร้างไว้ดีแล้วทุกประการ ...
    สร้างสมบารมี อุปปารมี ประมัตถบารมี ให้มีกำลัง ในการสร้างบารมี ด้วย สมบัติมหาจักพรรดิ์ ตักไม่พร่อง และใด้ นิพพานสมบัติ เข้าถึง อริยสัจธรรม , อริยะบุคคล ๘ จำพวก ตราบ ท้าวเข้าสู่พระนิพพาน ....เป็นที่สุด

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->

    [/QUOTE]

    ซึ่ง ต่อมา ผม นาคา ใด้ พยายาม ติดต่อ ทางร้านปั้น องค์นาคราช ปั้นแบบเก่า ที่ใด้ติดต่อ ก่อนหน้านี้ ...
    ต่อมา ทางร้าน เมตตา คืน ปัจจัย มัดจำ จำนวน ๕,๐๐๐ บ. คืนให้
    และรวม กับ ที่คุณ น้อง กุ๊ก เมตตา ให้ใว้จำนวน ๓,๙๐๐ บ.
    ...................................๕,๐๐๐ + ๓,๙๐๐ = ๘,๙๐๐ บ.
    สำหรับ ปัจจัย องค์พญานาค ที่จะ อัญเชิญ สู่ เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี บนเนินเขา อ.คุระบุรี จ.พังงา

    และ ผม ใด้ ติดต่อร้านทาง ภูเก็ต ใด้ตามแบบ ที่ โพสส์ในกระทู้ ครับ
    ...รวมปัจจัย องค์ปู่นาคาธิบดีที่ ...................................๑๘,๐๐๐ บ.
    และ ผมใด้ เพิ่มเติม ปัจจัย องค์นาคาธิบดี รวม ที่ ๑๘,๐๐๐ บ. เมื่อ ๒๐ มค.๒๕๕๕

    ภาพ1. แบบเก่า ที่ติดต่อใว้
    ภาพ 2.แบบที่อัญเชิญ สู่ ๓ ภาค (ลำปาง,มุกดาหาร,สุพรรณ)
    ภาพ 3-5 องค์นาคราช ที่อัญเชิญ สู่ วัดป่าถ้ำผากล้วย ลำปาง
    พร้อม บายศรีบวงสรวง ถวาย พุทธบูชา แด่ พระพุทธหยกขาว ,พ่อแม่คุรุอาจารย์ ในวาระ เข้าพรรษา ๒๕๕๕ ในทริปถวายเทียนพรรษา,ผ้าอาบน้ำ

    http://palungjit.org/.178/กลุ่มปฎิบ...*finland-tampere-**.237321/page-3#post6797993
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2013
  18. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    .......จันทร์ ๒๑ มค.๒๕๕๖ เมื่อเดินทาง มาถึง เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี ทาง ช่างคนงาน รีบดูแล สถานที่ และ ลงมือ ขุดปรับดิน เล็กน้อย จากนั้น ผสมปูนวีเมนต์ เทรากฐาน ลง เสา ใว้ก่อน เพื่อจะใด้ ก่ออิฐคาน ในวันรุ่งเช้า วันอังคารใด้ พอดี..

    การก่อสร้าง กันดินไถล และ ลานธรรม ประดิษฐาน...

    ๑.สมเด็จองค์ปฐมปางลีลาเปิดโลก ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ สูง ๒.๕๐ ม.( "สมเด็จพระพุทธสิกขี มณีนพรัตนะ พุทธลีลาเปิดโลก ปฐมสมโภชน์ อนันตชัยยะมิ่งมงคล ")
    ๒.องค์พระพุทธสัมมาปางมารวิชัย หน้าตัก ๑๙ นิ้ว " พระพุทธเมตตา ศากยมุนี มณีนพรัตนะ ชัยยะมิ่งมงคล ทศพลพุทธชยันตี "( พระอาจารย์โป่ง ธุดงคสถานตาลสามต้น เชิงเขาไม้เท้าสิบสอง เขาเรดาห์ ทหาร ภูเก็ต ท่านเมตตา อัญเิชิญ ประดิษฐาน ที่ เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี อ.คุระบุรี จ.พังงา )
    ๓.องค์ นาคราช ๙ เศียร พญาอนันตนาคาธิบดี (ซึ่งในกาลเพลา ข้างหน้า จะ อัญเิชิญ องค์พระพุทธสัมมา ปางประทานพร ประดิษฐาน คล้ายดัง พระพุทธสัมมาปางประทานพร นาคปรก ๙ เศียร...)
    ดำเนิน จนเรียบร้อย ..กระทั่ง แม้ แต่ ความลำบาก อุตสาหะ ในการ ต้อง แบกขน หิน ,ทราย ,ถุงปูนวิเมนต์ จาก ถนด้านล่าง (เนื่องจาก รถที่มาส่ง ทราย,หิน เขา ขึ้นมาไม่ถึง )..

    จึงต้อง ใช้ ขันติ วิริยะ ในการแบกขน เพื่อ งานสำเร็จลุล่วง...
    และ ต้องหาทาง นำ แผ่นพื้นปูนสำเร็จ จำนวน ๖ แผ่น ขนาด ยาว ๒ เมตร จากระดับความสูง ประมาณ ๕ เมตร กว่าจะแบก ขน มาประกอบ ตั้งบน ฐานแท่นประดิษฐาน องค์พระ ,,ลานธรรม

    เมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วง ใด้ตามระดับ ตามเหตุ ผล ปัจจัย ..
    คืนวันเสาร์ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนเพ็ญ จึงน้อม แขวนกลด นอนกลด ตามวาระ ..

    พร้อม ดวงศีลดวงธรรม ตามวาระ
    ทั้ง การ ถ่ายทอด พลังงาน ในยามค่ำคืน ให้ คุณน้องทารา ,คนงาน ใด้เห็น ดวงศีล ดวงธรรม ใกล้ๆต้นกล้วย ,ต้นอ้อย (อัญเชิญ เมื่อ ฤกษ์เสาเอก )ในบริเวณ ลานธรรม ประดิษฐาน องค์พระ ฯ...

    ในภาพ อาจจะ ไม่ชัดเจน ถ้ามีวาระ เรียนเชิญ พี่ๆ น้องๆ เพื่อน มาเยือน พักกาย พักจิต ท่ามกลาง อากาศเย็น ลมเย็น ที่ระดับ ความสูง ๗๐ ม.เหนือระดับน้ำทะเล ครับ แล้ว ท่านจะทราบ ถึง ภาวะทิพยะ บางประการ...

    ปลายปีที่แล้ว ญาติ บอกว่า มีคน ยิงกวาง ใด้ พร้อมแล่....แต่ คนยิง ,คนแล่ สติ กลับไม่ดี ต้องเข้า รพ... กวาง สมัยนี้ ยังมีอยู่เหรอ..ในป่ายางพารา..ป่าใกล้ เมือง..ชุมชน...

    อาจจะ เนื่องด้วย เนินเขา ติดต่อ เทือกเขา สูง ซึ่งด้านหลัง คือ ซอยแสงทอง มีการขุดค้นหา ลูกปัด ,และ มี สำนักสงฆ์ (พระธาตุเจดย์ )..

    เทือกเขา ชุดนี้ มี ทาง เชื่อม ต่อ ถึง เขาพระหมี (ตำนาน หน้าผาดำ ถ้ำมรกต ) หรือตำนาน เมื่องคุระบุรี ...
    เมืองท่าเก่า... ที่ผม นาคา ลง เรื่อง เขาพระหมี ..

    และ หลวงปู่สุภา กันตสีโล ศิริวัฒนะ ที่ ๑๑๙ ปี ในวันที่ ๑๗ กย. ๒๕๕๖ ท่าน เมตตา บอกผม ในเรื่อง ที่ผมใด้กราบเรียน หลวงปู่ ในการ ปักกลด ที่ เมืองเก่าผม เอง ...
    ภาพ ๕ รถขึ้นใด้เพียงนี้ จากนั้น แบกขน หิน,ทราย ,ปูน
    ภาพ ๖ อัญเชิญปู่พญานาคษะบดี ๙ เศียร ใว้ที่คันดิน ก่อน เพราะ ต้อง อัญเชิญ ขึ้นที่ความสูงอีก ๕ เมตร ..
    และ สังเกตุ แผ่นพื้นปูนสำเร็จ จำนวน ๖ แผ่น ที่ต้อง นำมาประกอบนฐานลานธรรม ประดิษฐาน องค์พระฯ..
    ภาพ ๘ แบก ขน หิน ทราย ปูน ขึ้นมา..ภาพ ๙-๑๐ คุณทารา พร้อมคนงาน ตั้งแผ่นพื้นปูนสำเร็จ ,เทปูน ลานธรรมประดิษฐาน องค์พระ ช่วยกัน ทั้ง ผม นาคา ,คุณน้องทารา ,คนงาน โดยไม่เกี่ยง ว่า เป็นใคร ช่วยให้งานสำเร็จ ลุล่วง..

    น้อมโมทนาบุญ ทั้งคุณน้องทารา ,ท่านถาวโร(ถา-วะ-โร) ,ท่านตะกั่วป่า ,คุณน้องสาวกพุทธะ ,พี่ๆน้องคนงาน และ พี่ๆน้องๆเพื่อนๆ ,พี่ๆน้องๆเพื่อนๆ กายทิพย์ ที่ ทุกท่านที่ เมตตา น้อมบุญ ช่วยเหลือ กัน ทั้งภายใน และภายนอก จนสำเร็จลุล่วง


    วันนี้ วันเสาร์ อัญเชิญ องค์พระพุทธสัมมาปางมารวิชัย หน้าตัก ๑๙ นิ้ว เพื่อ น้อมนำ อัญเชิญ สู่ ลานธรรม เรือนธรรมภาวนา เวียงนาคาธิบดี บนเนินเขา อ.คุระบุรี จ.พังงา ในวาระ วันจันทร์ ที่ ๔ กพ....

    รวมค่าใช้จ่าย ในการ ก่อสร้าง ลานธรรม ประดิษฐานองค์พระ ฯ.. ดังในภาพ ๑๖-๒๐
    พจชนะ ทองทวีวิวัฒน์ รวมค่าใช้จ่าย ..

    ลานธรรมประดิษฐานองค์พระ...16,138 บ.(รวมค่าแรง=6,750 บ.)

    ลานธรรมประดิษฐานองค์พระ...16,138 บ.(รวมค่าแรง=6,750 บ.)
    ห้องปลดทุกข์ (ห้องน้ำ )...........3,890 บ.(รวมค่าแรง=15,00 บ.)
    รวมทั้งหมด........................20,028 บ

    http://palungjit.org/threads/เชิญร่...ชัยมิ่งมงคลสูง2-50ม.344339/page-8#post7439878
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2013
  19. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน" วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดย ตรุษจีน 2556 นี้ ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ก่อนวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ 1 วัน มีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด ว่าแต่ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้างล่ะ ใครกำลังอยากรู้ว่า จัดของไหว้ตรุษจีน ต้องใช้อะไรบ้าง กระปุกดอทคอม มีคำตอบมาบอกค่ะ

    สำหรับในวันตรุษจีนนั้น จะมีการเตรียมของไหว้อย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็นเนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมหวาน กับข้าวคาว กับข้าวเจ อย่างละ 3 หรือ 5 ชนิด พร้อมสุรา น้ำชา ข้าวสวย และกระดาษเงินกระดาษทองประเภทต่าง ๆ โดยจะจัดเรียงตามลำดับความสำคัญตามชนิดของอาหาร ซึ่งจะมีเสียงเรียกพ้องกับเสียงของคำมงคล และผลไม้ที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะไหว้ก็คือ ส้มมหามงคลสีทอง ที่ชาวจีนเรียกว่าส้มไต่กิก เพราะมีความหมายหมายถึงความสวัสดีมงคลอย่างยิ่ง

    ทั้งนี้ "วันไหว้" จะทำกันในวันสิ้นปี ซึ่งปกติมีการไหว้ 3-4 ชุด เริ่มจาก "ไหว้เจ้าที่" ในช่วงเช้าด้วยชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่ ที่อาจเปลี่ยนเป็นไข่ย้อมสีแดงได้ ขนมเทียน และขนมถ้วยฟู หรือขนมอื่น ๆ ผลไม้ไหว้มีส้มสีทอง องุ่น แอปเปิ้ล พร้อมกับกระดาษเงิน กระดาษทอง ต่อด้วยช่วงสาย ๆ ไม่เกินเที่ยง "ไหว้บรรพบุรุษ" เครื่องไหว้จะประกอบด้วยชุดซาแซ อาหารคาวหวาน ส่วนมากก็ทำตามที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ เต็มที่จะมี 10 อย่าง นิยมว่าต้องมี น้ำแกง เพื่ออวยพรให้ชีวิตราบรื่น และกับข้าวเลือกที่มีความหมายมงคล ส่วนขนมไหว้บรรพบุรษต่าง ๆ ก็มีความหมายมงคลเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม หลังจากไหว้บรรพบุรษแล้ว ช่วงเที่ยงหรือบ่ายก็จะไหว้ผีไม่มีญาติ จากนั้นก็เป็นช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปีย่างเข้าตรุษจีน ที่จะมีการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้หันโต๊ะไหว้ไปทางทิศตะวันตก ทั้งนี้ ชาวจีนจะเตรียมจัดของไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างพิถีพิถัน เพราะในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าวันตรุษจีน โลกกำลังหมุนไปทางทิศนี้ แล้วเมื่อย่างเข้าวันปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน ก็ยังนิยมไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ โดยจะนำส้มสีทองจำนวน 4 ใบ ไปมอบให้ด้วยเสมือนนำโชคดีไปให้ เพราะเสียงไปพ้องกับคำว่าทองในภาษาจีนแต้จิ๋ว

    ทั้งนี้ สำหรับความหมายของ "ของไหว้วันตรุษจีน" ได้แก่...

    ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน

    - กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

    - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ
    - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

    - ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล
    - องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน
    - สับปะรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา


    ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน

    - ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์
    - เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

    - ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

    - หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

    - ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)

    - บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว

    - เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก

    - ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน

    - สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย

    - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก

    สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า
    ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน

    - ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

    - ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

    - ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต
    - ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู
    - ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู
    - ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค โดย หมั่นโถว มีแบบที่ทำจากหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี ส่วนถ้ามีไส้ เรียก "ซาลาเปา" นิยมไส้เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี

    นอกจากนี้ยังมี ซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ไส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาว

    - จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด, มั่วปัง คือ ขนมงาตัด, ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล, กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม และโหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง

    กระดาษเงินกระดาษทอง

    นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ในการไหว้ตรุษจีนนั้น จะต้องมีการเตรียมกระดาษเงินกระดาษทอง สำหรับใช้ไหว้ด้วย เพราะคนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองด้วยการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพบุรุษได้ใช้ เพื่อแสดงความกตัญญู ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองก็ทั้งแบบที่ใช้ไหว้เจ้า และแบบที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษ คือ

    - กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดี ใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

    - กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานต้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

    - กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

    - กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

    - ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะได้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่น ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

    - อิมกังจัวยี่ คือ แบงก์กงเต๊ก

    - อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทางไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

    - เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

    - ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตาย การเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ทุกคนได้เส้นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิษฐานขอพรไปด้วย แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี

    รู้แล้วว่า "ของไหว้ตรุษจีน" มีอะไรบ้าง ทีนี้เราก็ควรจะมารู้จักวิธีการคัดเลือกอาหารเหล่านี้กันด้วย เพราะหลังจากไหว้ตรุษจีนเสร็จสิ้น ของไหว้เหล่านี้ก็จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารให้คนในครอบครัวทานกัน

    โดยนายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวกับเราว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลายบ้านจะมีการไหว้บรรพบุรุษ ด้วยอาหารคาวหวาน ผัก-ผลไม้มากมาย แต่พึงระวังไว้สักนิดว่าอาหารที่นำมาปรุงนั้น ถูกหลักโภชนาการและปลอดภัยหรือไม่ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจมีทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน ถ้าเข้าสู่ร่างกายเราคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่

    "ในการไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักไม่กี่ชนิด ซึ่งเราก็มีวิธีการในเลือกผักให้ปลอดภัย โดยดูที่ใบ ต้องไม่มีคราบดินหรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อราตามใบ และผักก็ควรมีรูพรุนเป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะผักลักษณะเช่นนี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการเหลืออยู่มาก และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ หรือพวกผักเกษตรอินทรีย์น่าจะดีที่สุด" อ.สง่ากล่าว

    ส่วนในขั้นตอนก่อนการปรุงนั้น เราควรล้างผักด้วยน้ำสะอาด 2- 3 ครั้ง และควรแยกผักใบและผักหัวออกจากกันเวลาล้าง โดยผักหัวควรล้างด้วยน้ำเกลือประมาณ 5-7 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่สะสมอยู่ด้านในออกบางส่วน เพราะความร้อนไม่สามารถล้างยาฆ่าแมลงออกได้ เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะเกิดการสะสมและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และอาหารเป็นพิษตามมาได้

    "ผักประเภทหัวก็เช่นกัน อย่างกะหล่ำปลีก็ควรเอาเปลือกข้างนอกออก และพยายามล้างให้ถึงแกนด้านใน เพราะยาฆ่าแมลงจะตกค้างอยู่ภายใน รวมถึงแตงกวา ถั่ว ก็ควรแช่น้ำเกลือ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมล้างก่อน แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ ที่สำคัญผักทุกชนิดเราควรล้างก่อนที่จะนำมาหั่น เพื่อไม่ใช้น้ำชะล้างคุณค่าทางโภชนาการออกหมด"

    ในส่วนของวิธีการปรุงนั้น ผักทุกชนิดเราไม่ควรต้มจนเละ เพราะนั่นจะทำให้ผักที่เรารับประทานเข้าไปมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย รับประทานสด ๆ น่าจะดีที่สุด

    ผลไม้ก็เช่นกัน ควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้ ผลมันต้องสด ๆ และเลือกผลที่ไม่ช้ำ บางรายคัดแต่ลูกใหญ่ ๆ เพราะคิดว่าจะได้คุณค่าทางโชนาการมากกว่าลูกเล็ก ๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ได้คุณค่าในปริมาณที่เท่ากันทั้งหมด

    "ผลไม้ที่ประชาชนใช้ไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม แก้วมังกร แอปเปิ้ล หรือส้มโอ ซึ่งก็ควรเลือกแบบสด ๆ ผลไม่มีรอยช้ำ และควรล้างก่อนรับประทาน เพราะยาฆ่าแมลงมักจะสะสมอยู่บริเวณผิวเปลือก เมื่อเราใช้มือแกะส้ม ยาฆ่าแมลงนั่นก็จะมาติดที่มือเรา และเราก็หยิบเข้าปากรับประทาน ซึ่งนั่นอันตรายมาก" อ.สง่า กล่าว

    ผลการค้นหารูปภาพโดย Google สำหรับhttp://img.kapook.com/u/annira/chinese-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-02.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  20. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ข่าวรอบเมืองพังงา
    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์ พอ.สว. และราษฎร จ.พังงา ณ โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา---------------------------------------------------------------
    วันที่ 6 ก.พ. 2556 (จำนวนคนอ่าน 9 คน)

    เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิ พอ.สว. ประทับเฮลลิคอปเตอร์พระที่นั่ง จากสนามเฮลิคอปเตอร์หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ๔๑๑ แหลมหางนาค จ.กระบี่
    ถึงสนามบินเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราวโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม จ.พังงา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพังงา ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสุราษฎร์ธานี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพังงา เฝ้ารับเสด็จ

    จากนั้น เสด็จเข้าที่ประทับ ๑ ประธานกรรมการ พอ.สว. ประจำจังหวัดพังงา กราบทูลรายงานเบิกผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน เข้ารับพระราชทานของที่ระลึก เป็นรายบุคคล ประธานกรรมการ พอ.สว. ประจำจังหวัดพังงา ทูลเกล้าถวายเงินทั้งหมดและเข้ารับพระราชทานของที่ระลึกสำหรับรายอื่นๆ เลขาธิการมูลนิธิ พอ.สว. เข้ารับพระราชทานเงินบริจาค และเบิกผู้แทนกรรมการ/อนุกรรมการ เข้ารับพระราชทานเข็มเครื่องหมายกรรมการ/อนุกรรมการ และเบิกอาสาสมัครเข้ารับพระราชทานเข็มเครื่องหมาย พอ.สว. เข็มพระนามาภิไธ ย่อ สว. และโล่ ตามลำดับ

    ผู้ใหญ่บ้านบ้านน้ำเค็มกราบทูลรายงานสภาพหมู่บ้าน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานเครื่องแบบนักเรียนแก่ผู้แทนนักเรียน หญิง ๖ คน ชาย ๖ คน พระราชทานของเด็กเล่นและเสื้อแก่ผู้แทนนักเรียนอนุบาล หญิง ๑ คน ชาย ๑ คน พระราชทานหนังสือธรรมะ ของที่ระลึกแก่ผู้ใหญ่บ้านและครู พระราชทานเครื่องนุ่งห่มและยาตำราหลวงแก่คนชรา หญิง ๑๐ คน ชาย ๑๐ คน

    ต่อจากนั้น พระองค์เสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์ พอ.สว. ราษฎร และหน่วยแพทย์พระราชทานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่มาตรวจรักษา เสด็จเข้าที่ประทับ ๒ ฉายพระรูปร่วมกับอาสาสมัคร และประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งจากสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราวโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม จ.พังงา เสด็จไปยังสนามเฮลิคอปเตอร์หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ๔๑๑ แหลมหางนาค จ.กระบี่


    ข่าวรอบเมืองพังงา
    อ.คุระบุรี ร่วมปล่อยนกตะกรุมคืนสู่ธรรมชาติ หลังประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์
    ----------------------------------------------------------------
    วันที่ 25 ม.ค. 2556 )

    เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ นายมานิต เพียรทอง นายอำเภอคุระบุรี ร่วมกับ น.ส.อุฬาริกา กองพรหม หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์วิจัย และสุขภาพสัตว์ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ ผู้เชี่ยวชาญ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และราษฎรในพื้นที่ ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา ร่วมปล่อยนกตะกรุมอายุ ๔ ปี เพศผู้ จำนวน ๒ ตัว กลับคืนสู่ธรรมชาติบริเวณบ้านทุ่งดาบ หมู่ที่ ๑ ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณนกตะกรุมในธรรมชาติให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเป็นการศึกษา ติดตาม พฤติกรรมของนกชนิดนี้ หลังพบว่าเกาะพระทองเป็นที่สร้างรังวางไข่ ๑ ใน ๒ แหล่งสุดท้ายในประเทศไทยของนกตะกรุม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเกาะพระทองเป็นแหล่งอาศัยหากิน เพื่อทำรังวางไข่ของนกตะกรุมฝูงสุดท้ายของไทย ที่พบว่ามีมากกว่า ๓๐ ตัว โดยการปล่อยนกตะกรุมคืนสู่ธรรมชาติในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในโลก ที่ปล่อยลูกนกซึ่งได้จากการเพาะขยายพันธุ์ในกรงเลี้ยง โดยพ่อแม่นกเลี้ยงเอง ทำให้ลูกนกมีพฤติกรรมระวังภัยสูง จะบินหนีทันทีที่มีคน หรือศัตรูเข้าใกล้ ทั้งนี้ ได้มีการฝึกนกให้รู้จักหากินเองตามธรรมชาติในกรงเลี้ยงขนาดสูง ๑๐ เมตร กว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๐ เมตร บริเวณบ้านทุ่งดาบ แหล่งที่พบฝูงนกตะกรุมในธรรมชาติ เพื่อให้ลูกนกสามารถปรับตัวหากินได้เอง โดยเจ้าหน้าที่จะปล่อยปลาที่มีชีวิตให้นกล่าเอง สามารถเข้ากับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้ และเตรียมพร้อมเข้ารวมฝูงกับนกในธรรมชาติที่มีอยู่ได้โดยปลอดภัย น.ส.อุฬาริกา กองพรหม หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์วิจัย และสุขภาพสัตว์ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า สำหรับลูกนกตะกรุมที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในครั้งนี้ ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ใช้เทคโนโลยีที่สามารถรับสัญญาณดาวเทียม และบันทึกพิกัดตำแหน่งโดยที่นักวิจัยสามารถติดตามข้อมูลตำแหน่งนก ได้จากเว็บไซด์ (Website) ที่มีน้ำหนักเพียง ๒๒ กรัม ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการชาร์จแบตเตอรี่ในเครื่องให้ระบบทำงาน ซึ่งพิกัดตำแหน่งนี้เครื่องสามารถรับสัญญาณได้ทั่วโลกในระยะเวลา ๓ ปี ทั้งนี้ นกตะกรุมเมื่อมีอายุประมาณ ๔-๕ ปี ก็จะเริ่มจับคู่ เพื่อร่วมกันทำรังบนยอดไม้สูง วางไข่ครั้งละ ๓-๔ ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ ๓๐-๓๖ วัน แต่จะมีลูกนกตะกรุมที่แข็งแรงที่สุดอยู่รอดเพียงครั้งละ ๑ ตัวเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะถูกลูกนกตัวที่แข็งแรงที่สุดกินเป็นอาหาร จึงทำให้ปริมาณนกตะกรุมในธรรมชาติเพิ่มจำนวนได้ช้ามาก จนปัจจุบันตกอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์
    .......... ส.ปชส.พังงา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • j1.png
      j1.png
      ขนาดไฟล์:
      176.6 KB
      เปิดดู:
      47
    • j2.png
      j2.png
      ขนาดไฟล์:
      155.3 KB
      เปิดดู:
      60

แชร์หน้านี้

Loading...