ความต่าง

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย anne23, 19 ธันวาคม 2012.

  1. anne23

    anne23 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +64
    บุญ คือ อะไร
    กุศล คือ อะไร
    อานิสงส์ คือ อะไร รบกวนผู้ร็ช่วยตอบดวยนะคะ
     
  2. ปิยะราช

    ปิยะราช Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +85
    อานิสงส์ หมายถึงผลแห่งกุศลกรรม, ผลบุญ, ประโยชน์ที่เกิดจากการทำบุญ ใช้ว่า ผลานิสงส์ หรือผลอานิสงส์ ก็มี

    อานิสงส์ เป็นผลผลิตจากการประกอบความดีต่างๆ ตามคติที่ว่า ทำดีได้ดี หมายความว่าเมื่อทำความความดี ความดีย่อมให้อานิสงส์เป็นคุณความดีก่อน ลำดับต่อมาคุณงามความดีนั้นจึงให้ผลที่น่าชื่นใจไหลออกมาสนองผู้ทำในรูปแบบต่างๆ ตามเหตุปัจจัยที่ทำ เปรียบเหมือนปลูกต้นมะม่วงย่อมจะได้ผลเป็นลูกมะม่วงก่อน ต่อมาลูกมะม่วงนั้นจึงให้ผลที่น่าชื่นใจต่อไปเมื่อนำไปเป็นอาหาร นำไปแลกเป็นของหรือนำไปขายเป็นเงิน

    กุศล คือ สภาพจิตที่ดี

    ดีอย่างไร ดี คือ ขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีกิเลสอกุศล ซึ่ง

    ถ้าพูดอย่างนี้ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ก็จะบอกว่า ท่านไม่มี

    โลภะ โทสะ โมหะ แต่ความจริง ขอให้ทราบว่า ทุกคนมีโลภะ โทสะ

    โมหะ ทุกวัน ตั้งแต่ตื่น ก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ตื่นมาแล้วเป็นโลภะ เพราะทันทีที่

    ตื่น ก็ทำทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่การเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย

    ลุกขึ้นบริหารร่างกายด้วยความต้องการ ถ้าไม่ต้องการ ก็คงไม่ทำอย่างนั้น


    ฉะนั้น วันหนึ่ง ๆ จิตเป็นอกุศล คือ เป็นโลภะอยู่เสมอ เช่นเดียวกับ

    มือถ้ามองดูก็เหมือนไม่เปรอะเปื้อนอะไร แต่เมื่อล้างมือฟอกสบู่ ก็จะเห็นได้

    ว่า มือที่มองดู สะอาดนั้น ความจริงสกปรก เพราะมีฝุ่นละออง ทีละน้อย

    อย่างบางเบาอยู่เรื่อยๆ ฉันใด วันหนึ่งๆ จิตใจ ก็เต็มไปด้วยโลภะความต้อง

    การโดยไม่รู้สึกตัวเลย ฉันนั้น จนกว่าความต้องการนั้น มีกำลังปรากฏเป็น

    ความกระสับกระส่าย เป็นความปรารถนาดิ้นรน กระวนกระวายเดือดร้อน ที่

    อยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา ขณะนั้นจึงจะรู้ตัวว่ามีโลภะหรือเป็นโลภะ แต่ความ

    จริงแล้วทุกชีวิตมีอกุศลเป็นประจำ คือ ไม่โลภะ ก็โทสะ หรือโมหะ วันนี้มี

    ใครสบายใจตอนตื่นนอนบ้าง ขณะที่ตื่นขึ้นมา แล้วสบายใจก็ยิ้มชอบ ว่า

    วันนี้อากาศดี สดชื่น แจ่มใส ขณะที่ชอบนั้นก็เป็นโลภะแล้ว แต่ถ้าเห็นฝุ่นแม้

    เพียงเล็กน้อยตามเก้าอี้ หรือเครื่องแต่งบ้าน ขุ่นใจ แม้เพียงนิดเดียวไหม

    หรือเกิดมีสิ่งของในบ้านผิดปกติ แตกเสียหาย รสอาหารเค็มไปนิด หวานไป

    หน่อย ขณะนั้นก็ไม่ชอบ เป็นอกุศลคือโทสะเสียแล้ว วันหนึ่ง ๆ ก็มีโลภะ

    บ้าง โทสะบ้าง ล้วนเป็นอกุศล



    บุญคืออะไร ?


    ...บุญ คือ สิ่งซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจใสสะอาด ปารศจากความเศร้าหมอง
    ขุ่นมัว ก้าวขึ้นสู่ภูมิที่ดี เกิดขึ้นจากการที่ใจได้เพื่อนคิดที่ดี คือ พระธรรม ทำให้เลือก
    คิดเฉพาะสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร ที่เป็นประโยชน์แล้ว พูดดี ทำดี ตามที่คิดนั้น

    ...บุญ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมส่งผลปรุงแต่งใจของเราให้มีคุณภาพดีขึ้น คือ ตั้งมั่นไม่
    หวั่นไหว บริสุทธิ์ผุดผ่องสว่างไสว โปร่งโล่งไม่อึดอัด อิ่มเอิบ ไม่กระสับกระส่าย ชุ่มชื่น
    เบาสบาย ผ่อนคลายมไม่ตึงเครียด นุ่มนวลควรแก่การใช้งาน และบุญที่เกิดขึ้นนี้ยัง
    สามารถสะสมเก็บไว้ในใจได้อีกด้วย

    ...คนเราแม้จะมองไม่เห็น "บุญ" แต่ก็สามารถรู้อาการของ บุญ หรือ ผลของบุญได้
    คือเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำให้จิตใจชุ่มชื่น เป็นสุข เปรียบได้กับ "ไฟฟ้า" ซึ่งเรามองไม่เห็น
    ตัวไฟฟ้าโดยตรง แต่เราสามารถสัมผัสกับอาการของไฟฟ้าได้ เช่น มองเห็นแสงสว่าง
    จากหลอดไฟ ได้รับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

    .......คุณสมบัติของบุญ.......

    ๑. ชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดได้
    ๒. นำความสุขความเจริญก้าวหน้ามาให้
    ๓. ติดตามตนไปทุกฝีก้าว แม้ไปเกิดข้ามภพข้ามชาติ
    ๔. เป็นของเฉพาะตน ใครทำใครได้ โจรลักขโมยไม่ได้
    ๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
    ๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ นิพพานสมบัติ แก่เราได้
    ๗. เป็นปัจจัยให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
    ๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฎสงสาร


    .......ผลของบุญ......


    บุญเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีผลกับตัวเรา ๔ ระดับ คือ

    ๑. ระดับจิตใจ เป็นบุญที่เกิดผลทันที คือ ทำความดีปุ๊บก็เกิดปั๊บไม่ต้องรอชาติหน้า
    เกิดขึ้นเองในใจของเราทำให้

    - สุขภาพทางใจดีขึ้น คือ มีใจเยือกเย็น ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่อคำยกยอ หรือ
    ตำหนิติเตียน

    - สมรรถภาพของใจดีขึ้น คือ เป็นใจที่สะอาด ผ่องใส ใช้คิดเรื่องราวต่างๆได้
    รวดเร็ว ว่องไว ลึกซึ้ง กว้างไกล รอบครอบ เป็นระเบียบ และตัดสินใจได้ฉับพลันถูก
    ต้องไม่ลังเล

    ๒. ระดับบุคคลิกภาพ คนที่ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้
    มีใจที่สงบ แช่มชื่น เบิกบาน ชุ่มเย็น นอนหลับสบาย ไม่มีความกังวลหม่นหมอง หน้า
    ตาผิวพรรณจึงผ่องใส ใจเปี่ยมไปด้วยบุญไม่คิดโลภอยากได้ของใคร ไม่คิดสร้างความ
    เดือดร้อนให้ใคร มีแต่ช่วยเหลือเขา จึงมีความมั่นใจในตัวเอง มีความองอาจสง่างาม
    อยู่ในตัว ไปถึงไหนก็สามารถวางตัวได้พอเหมาะพอดี บุคลิกภาพย่อมดีขึ้นเป็นลำดับ

    ๓. ระดับวิถีชีวิต วิถีชีวิตของคนเรา เกิดจากการสรุปผลบุญและผลบาป ที่เราได้ทำ
    มาตั้งแต่ภพชาติก่อนๆ จนถึงภพชาติปัจจุบัน เป็นผลของบุญระดับจิตใจ และระดับ
    บุคลิกภาพ รวมกันชักนำให้เราได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา ตอบสนองมาจากภายนอก เช่น
    ได้รับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข การที่เราทำดี แล้ววิถีชีวิตของเราจะดีเต็มที่หรือไม่นั้น
    ขึ้นกับบุญเก่า หรือบาปในอดีต ที่เราเคยทำไว้ด้วย จึงเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน ทำให้
    บางคนเข้าใจผิด คิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะบางครั้งขณะที่เราตั้งใจทำความดีอยู่
    กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือ ประสบเคราะห์กรรม ทำให้หมดกำลังใจในการทำความดี

    ..........แท้จริงแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในขณะนั้น ผลบาปที่เราเคยทำในอดีตกำลัง
    ส่งผลอยู่ แต่บุญที่กำลัง ทำอยู่ปัจจุบันย่อมไม่ไร้ผล เมื่อเราตั้งใจทำบุญไปโดยไม่ย่อ
    ท้อ บุญย่อมจะส่งผลให้ในเวลาที่สมควรต่อไป

    ๔. ระดับสังคม เมื่อเราทำความดีมาแล้วอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะไปอยู่สังคมใด บุญก็จะ
    ส่งผลให้เป็นบุคคลที่สังคมยอมรับนับถือ ได้เป็นผู้นำของสังคมนั้น และจะเป็นผู้ชัก
    นำสมาชิกในสังคมให้ทำความดีตามอย่าง ทำให้เกิดความสงบร่มเย็น ความเจริญ
    ก้าวหน้าขึ้นในสังคมนั้นๆ โดยลำดับ..

    ตัวอย่างผลของบุญ

    ผู้ที่มีอายุยืน.........................เพราะในอดีตไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่นล
    ผู้ที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ..............เพราะในอดีตไม่รังแกหรือทรมานสัตว์
    ผู้ที่มีพลานามัยสมบูรณ์.........เพราะในอดีตให้ทานด้วยข้าวปลาอาหารมามาก
    ผู้ที่มีผิวพรรณงาม.................เพราะในอดีตรักษาศีล และ ให้ทานด้วยเสื้อผ้า เครื่อง
    นุ่งห่มมามาก
    ผู้ที่มีอำนาจมีคนเกรงใจ..........เพราะในอดีตมีมุทิตาจิต ใครทำความดีก็อนุโมทนา
    ไม่อิจฉาริษยาใคร
    ผู้ที่ร่ำรวยมีโภคทรัพย์มาก.......เพราะในอดีตให้ทานมามาก
    ผู้ที่เกิดในตระกูลสูง...............เพราะในอดีตบูชาบุคคลที่ควรบูชามามาก
    ผู้ที่ฉลาดมีสติปัญญาดี..........เพราะในอดีตคบบัณฑิต ฝึกสมาธิ เจริญภาวนามา
    มากและไม่ดื่มสุรายาเมา

    วิธีทำบุญ.........


    การทำความดีทุกอย่างล้วนได้ผลออกมาเป็นบุญทั้งสิ้น แต่เพื่อให้ง่ายต่อ
    การเข้าใจ และนำไปปฎิบัติเราสามารถแบ่งวิธีทำบุญออกได้ ๑๐ วิธีเรียกว่า

    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ได้แก่

    ๑. ทานมัย ...............................คือ ทำบุญด้วยการให้ทาน
    ๒. สีลมัย..................................คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย.............................คือ ทำบุญด้วยการอบรมจิตใจ ทำสมาธิ
    ๔. อปจายนมัย...........................คือ บุญที่เกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตน
    ๕. เวยยาวัจมัย...........................คือ บุญที่เกิดจากการช่วยเหลือผู้อื่น
    ๖. ปัตติทานมัย..........................คือ บุญที่เกิดจากการแผ่ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย..................คือ บุญที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย........................คือ บุญที่เกิดจากการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย.......................คือ บุญที่เกิดจากการแสดงธรรม
    ๑๐. ทิฎฐุชุกรรม ........................คือ บุญที่เกิดจากการทำความเห็นให้ถูกต้อง

    อันนี้เป็นขอ้มูลแบบคร่าวๆ หรือท่านสามารถส่งคำถามหรือข้อสงสัยของท่านได้ที่ question@kanlayanatam.com ท่านอาจารย์จะตอบคำถามของท่าน และแนะนำแนวทางที่ถูกต้องตามธรรมให้ทุกท่าน ด้วยความเมตตา
     
  3. Stabilo

    Stabilo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +760
    บุญคือเพิ่มครับ

    กุศลคือตัดครับบ
     
  4. Stabilo

    Stabilo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +760
    ท่านพุทธทาส
     

แชร์หน้านี้

Loading...