{[พระสายหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง}]แบ่งให้ผู้มีศรัทธาได้บูชาครับ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย dekpra, 18 ตุลาคม 2010.

  1. dekpra

    dekpra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,470
    ค่าพลัง:
    +2,484
    ฟรี ! รับพระคำข้าวไปบูชา
    ข้าพเจ้ามีคำถามอยู่ ๓ ข้อ
    ..จะถามกับพี่น้องชาวพุทธที่รัก...เคารพ
    ท่านใดตอบได้รับไปเลยพระคำข้าวรุ่น ๒ สวยคมชัดหน้าและหลัง
    ข้อที่ ๑.อธิบายคำว่าโลกของจักรวาล
    ข้อที่ ๒.อธิบายคำว่าโลกของกาแลกซี่
    ข้อที่ ๓.อธิบายคำว่าโลกของโลกธาตุ ๓ ข้อแบบสบายๆ รับพระไปเมื่อตอบได้ครับ...
    อย่าลืมไปร่วมบุญกันนะครับ ข้าพเจ้าโฆษกผู้ยากไร้ของพระพุทธศาสนาขอรับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ธันวาคม 2012
  2. popo4444

    popo4444 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +103
    อยากได้ๆๆๆๆๆๆ จะตอบถูกมั้ยนะ ขอตอบว่า พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งค่ะ อิอิ แบบว่าไม่ว่าจะโลกไหน ก็สู้เมืองที่ชื่อว่า พระนิพพานไม่ได้ ปล. ตอบผิดอย่าว่ากันน้าาาาา และโปจะไปบวชฯ วันที่11-14 นี้คร้าาาา แล้วจะเอาบุญมาฝากนะคร้าาา
     
  3. popo4444

    popo4444 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +103
    เท่าไรคะพี่
     
  4. intarawimon

    intarawimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,287
    ค่าพลัง:
    +1,844
    นอนดึกครับ สงสัยพระหลวงพ่อจะมาโปรดครับฮ่าๆๆๆ
    1.โลกของจักรวาล จักรวาลนั้นมีเป็นล้านๆจักรวาลซึ่งแบ่งออกเป็น จักรวาลขนาดเล็ก เช่นระบบสุริยะจักรวาลขนาดกลาง เช่นกาแลกซี่ จักรวาลขนาดใหญ่หรือเรียกว่าเอกภพ
    2.โลกของกาแลกซี่ จัดเป็นจักรวาลขนาดกลาง ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยกลุ่มดาวต่างๆรวมกันอยู่มากมาย
    3.โลกของโลกธาตุ3
    จากที่อ้างมาข้างต้นสรุปได้ ตามโลกธาตุทางพระพุทธศาสนาดังนี้
    ในหนึ่งโลกธาตุขนาดเล็กจะประกอบไปด้วยจักรวาลขนาดเล็กหนึ่งพันจักรวาล
    ในหนึ่งโลกธาตุขนาดกลาง ก็จะประกอบไปด้วยจักรวาลขนาดกลางหนึ่งพันจักรวาล
    และสุดท้ายโลกธาตุขนาดใหญ่ก็จะประกอบไปด้วยจักรวาลขนาดใหญ่หนึ่งพันจักรวาลครับ
    ถูกผิดไม่แน่ใจครับ ถ้าโชคดี หลวงพ่ออาจสงเคราะห์เปนได้ครับ
    ขอบพระคุณมากครับ
     
  5. ระงับ

    ระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +3,530
    ร่วมตอบด้วยคนครับพี่เด็กพระ ขอบคุณที่ถามครับ เพราะได้ค้นคว้าและเพิ่มความรู้อีกเยอะเลย พระพุทธองค์ทรงเป็นอัจฉริยะมนุษย์จริงๆ น้อมกราบพุธโธอัปปมาโน -/\-

    โลกของจักรวาล

    [​IMG]

    แม้ว่าทุกจักรวาลจะประกอบด้วยภพภูมิต่างๆ ดังกล่าวแล้วเหมือนๆ กัน แต่ก็ใช่ว่าทุกจักรวาลจะมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ เนื่องจากมีจักรวาลหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากจักรวาลอื่นๆ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งจักรวาลออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ
    ๑. อนันตจักรวาล
    จักรวาลทั่วๆ ไป ซึ่งมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เรียกว่า อนันตจักรวาล ในทุกอนันตจักรวาลจะไม่มี วิวัฏฏบุคคล คือ บุคคลผู้เจริญ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระนิยตโพธิสัตว์ หรือพระเจ้าบรมจักรพรรดิ ไปบังเกิดเลย จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อมงคลจักรวาล
    ๒. สมมันตจักรวาล
    ในแสนโกฏิอนันตจักรวาลนั้น มีอยู่จักรวาลหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นจักรวาลที่มีบุคคลผู้เจริญ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระนิยตโพธิสัตว์ และพระเจ้าบรมจักรพรรดิ ไปบังเกิด จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มงคลจักรวาล

    ที่มา : จูฬนีสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓

    โลกธาตุ(กาแลกซี่)

    จักรวาลนั้นมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน โดยแต่ละจักรวาลมีอาณาเขตสิ้นสุดที่แน่นอนล้อมรอบด้วยภูเขาจักรวาลเป็นปริมณฑล และจักรวาลก็อยู่ชิดติดกันรวมเป็นกลุ่ม เรียกกลุ่มจักรวาลนี้ว่า โลกธาตุ
    โลกธาตุ คือ กลุ่มของจักรวาลหลายๆ จักรวาลรวมกัน โลกธาตุมีหลายขนาด การเรียกชื่อของโลกธาตุเป็นไปตามจำนวนของจักรวาล คือ
    ๑. สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ คือ โลกธาตุ,กาแลกซี่(อย่างเล็ก)ประกอบด้วยพันจักรวาล
    ๒. ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ คือ โลกธาตุ(อย่างกลาง)ประกอบด้วยล้านจักรวาล
    ๓. ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ คือ โลกธาตุ(อย่างใหญ่)ประกอบด้วยแสนโกฏิจักรวาล

    เวลาถือกำเนิดจนสิ้นสลายไปของจักรวาลขนาดเล็กเป็น1จุลกัปป์ จักรวาลขนาดเล็กแตก 7 ครั้งในครั้งที่8จักรวาลขนาดกลางจะแตกเรียกมัชฌิมกัปป์ จักรวาลขนาดกลางแตก 7 ครั้งในครั้งที่ 8 จักรวาลขนาดใหญ่จะแตกเรียกมหากัป จักรวาลขนาดเล็กแตกด้วยธาตุไฟ จักรวาลขนาดกลางแตกด้วยธาตุน้ำ จักรวาลขนาดใหญ่แตกด้วยธาตุลม

    ในวันสิ้นโลกในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่างว่าดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น 7 เท่า หรืออาจมี 7 ดวง (ในคัมภีร์ สัตต แปลว่า 7 อาจ 7 เท่า หรือ 7 ดวงก็ได้)

    อ้างอิง...
    จูฬนีสูตร สุตตันตะปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม 1 ภาค 3 หน้า 431
    สุริยสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 214
    สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพาน
    ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org
    หมวดหมู่: ตรวจแก้โดยผู้เชี่ยวชาญ | ศาสนาพุทธ
     
  6. ล้าน9

    ล้าน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +745
    ขอทราบราคาหน่อยครับ
     
  7. dekpra

    dekpra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,470
    ค่าพลัง:
    +2,484
    คำตอบ ทั้ง ๓ ท่าน ๓ คำตอบ (เกี่ยวข้องกับคำถามครับ) ทำได้ดีมากครับพี่น้องเรา
    [COLOR="R[COLOR="DarkRed"]ed"]ที่ตอบมามีอยู่ในนั้นทั้งหมด แต่คุณระงับตอบได้ใกล้เคียงมากแต่ยังไม่ครบครับ...[/COLOR]
    ใบ้ให้ก็ได้นำมาจากพระไตรปิฏก ครับ ขอเชิญศิษย์พี่ศิษย์มาร่วมตอบกันนะครับ[/COLOR]



    มีคำถามมาอีกครับ...พี่น้องชาวพุทธที่รัก...เคารพ

    ตอบถูกรับไปเลย...พระหางหมากสวยคมชัดทั้งหน้าและหลัง มีพระเกษาหลวงพ่อ ๑ เส้น (ยังไม่ได้ถ่ายรูปครับ)


    ๑.ทานมีกี่แบบ ? เริ่มต้นจากสังฆทาน - - -
    ๒.ทานมีกี่ระดับ ? ทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นปรมัตถะบารมี
    ๓.ทำทานอย่างไรถึงจะถือว่า เต็ม (นี่ยังอยู่ในทานบารมีต้น)

    (ใบ้ให้ก็ได้ทานชุดที่ถาม ๓ ข้อนี้ยังอยู่ในคำว่า เสียสละ )

    และก็ยังมีทานที่สูงกว่านี้อีก ตรงกับคำว่า สละ ตัด เสีย ออกไป
    และก็ยังมีทานตัวสุดท้าย ตัด สะออกไป เหลือคำว่า ละ ๒ ข้อนี้จะไว้ถามวันหน้า
    ปล.ถ้าท่านเป็นนักเรียนนักศึกษาวิชาพุทธศาสตร์คำถามทั้งหมดนี้ตอบได้ง่ายๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ธันวาคม 2012
  8. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
    มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
    "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
    เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
    ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
    นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
    เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"
    (ร่วมแจมครับศิษย์พี่...อิอิอิ):VO
     
  9. kanus

    kanus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,214
    ในพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสถึงจักรวาลและโลกธาตุมาแล้ว มีการระบุเอาไว้ว่า จักรวาลไม่ได้มีอยู่หนึ่งเดียว แต่ว่ามีหลายหมื่นแสนจักรวาลจนประมาณมิได้ เมื่อครั้งตรัสรู้ ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ได้เกิดการสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อความข้างบน แสดงว่าจักรวาลมีจำนวนมาก ไม่ได้มีแค่โลกเดียว

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวกับพระอานนท์ถึงโลกธาตุและจักรวาลไว้ดังนี้ ? ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจรทั่วทิศ สว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน
    ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง
    มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กที่มีพันจักรวาล??
    .โลกคูณด้วยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็กซึ่งมีพันจักรวาลนี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล ??
    โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาลนี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ มีประมาณแสนโกฏิจักรวาล
    ?ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ?

    ซึ่งความหมายในพุทธดำรัสก็คือ ในมหาสากลจักวาล ประกอบด้วย สากลจักรวาล (โลกธาตุ) ที่ปัจจุบันเรียกว่า กาแลกซี่ มี ๓ ขนาดด้วยกัน คือ
    กาแลกซี่ขนาดเล็ก มี ๑ พันสุริยจักรวาล
    กาแลกซี่ขนาดกลาง มี ๑ ล้านสุริยจักรวาล
    กาแล็กซี่ขนาดใหญ่ มี ๑ แสนโกฏิสุริยจักรวาล


    ทั่วทั้งมหาสากลจักรวาล ล้วนยึดโยงกัน เรียงรายกัน และหมุนตามกันเป็นธรรมจักร ซึ่งบรรจุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

    จะเห็นได้ว่า โลกแบบที่เราอยู่นี้มีมากมายในจักรวาล โลกนั้นเกิด โลกนี้ดับ สลับกันไปมาในอวกาศตลอดเวลา พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็อาจจะตรัสรู้ในโลกอื่น ที่มีอยู่ก่อนหน้าโลกนี้ก็เป็นได้ ถึงพวกเราเองก็เถอะ อาจจะตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ในโลกอื่นๆมาแล้วหลายที่เช่นกัน
    ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ยังค้นคว้าไม่พบดาวดวงอื่น นอกจากโลกของเราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่ในความรู้อันไม่มีขอบเขตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และด้วยพระญาณทัสสะอันบริสุทธิ์ ทรงพบว่าในแต่ละจักรวาล มีโลกมนุษย์อยู่อย่างเราๆ นี้ ๔ โลก เป็นโลกแห่งความเดือดร้อน คือ โลกนรก โลกเปรต อสุรกาย และดิรัจฉาน ภพต่างๆ อันเป็นที่ตั้งของภูมิเหล่านี้ เกิดขึ้นเองตามความจำเป็นของสรรพสัตว์ เมื่อสัตว์ถูกกิเลสบีบคั้นใจ สัตว์ก็จะลงมือกระทำกรรมชนิดต่างๆ ตามความบีบคั้นนั้น เมื่อทำกรรมสำเร็จลง จะเป็นกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม หรือไม่ดีไม่ชั่วก็ตามผลของกรรมจะเกิดตามมา ซึ่งภพเป็นที่รองรับสรรพชีวิตตามภูมิ ตามผลกรรมเหล่านั้น

    ความจริงในบรรดาดวงดาวทั้งหลายที่นักดาราศาสตร์ค้นพบว่า ไม่มีสิ่งชีวิตอยู่เพราะเข้าใจเอาว่าสิ่งชีวิตมีเพียงมนุษย์และสัตว์ ซึ่งความจริงแล้วในจักรวาลหนึ่งๆ มีดวงดาวชนิดต่างๆ นับไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี้ไม่มีดวงใดว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่ดวงเดียว ไม่ว่าดวงดาวนั้นจะลุกโพลงเป็นเปลวไฟอยู่ หรือเต็มไปด้วยน้ำแข็งเย็นเฉียบ มิติหยาบกับมิติละเอียดไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์กัน จะเกี่ยวข้องก็เพียงมีสถานที่ตั้งเป็นที่แห่งเดียวกันเท่านั้นเอง ความร้อนเย็นมีอากาศ หรือไม่มีของมิติหยาบไม่กระทบกระเทือนมิติละเอียด




    ถ้านักดาราศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์ เหล่านั้นสามารถฝึกจิตให้มีคุณภาพพิเศษดังกล่าวไว้ได้ ก็ย่อมจะเห็นสิ่งมีชีวิตมากมาย อยู่ในดวงดาวเหล่านั้น เพียงแต่ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นโปร่งใสจนสายตาของมนุษย์มองไม่เห็น ซึ่งจัดอยู่ในเทวภูมิชั้นที่หนึ่ง สัตว์เหล่านี้ มีที่อยู่บนดวงดาวต่างออกไปอีกมิติหนึ่ง ที่อยู่เหล่านั้นสุขสบายจนเรียกกันว่าเป็นสมบัติทรัพย์ โดยไม่เกี่ยวกับเนื้อดินหรือหินที่เห็นได้ด้วยตา มนุษย์ในดวงดาวนั้นๆ เป็นมิติละเอียดที่ซ่อนอยู่ในของหยาบ

    จากญาณทัสสนะของจิตอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ทรงแบ่งขอบเขตของห้วงอวกาศเป็นจักรวาล ลักษณะของจักรวาล ยกเว้นโลกมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน และดาวนพเคราะห์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ ทั้งหลายแล้ว มีสภาวะที่เป็นทิพย์ทั้งสิ้น คือไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเนื้อ หรือไม่อาจสัมผัสรู้ได้ด้วยอายตนะหยาบของมนุษย์หรือของสัตว์เดรัจฉานที่อาศัยอยู่ร่วมกับโลกมนุษย์นี้


    แต่ละจักรวาลมีส่วนประกอบอย่างเดียวกันหมด คือในจักรวาลหนึ่งๆนั้น จะ มี ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ภพอสูร อเวจีมหานรก และ ชมพูทวีป, อปรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีปก็แล ทวีปใหญ่ๆ ในโลกธาตุนี้ แต่ละทวีปๆ มีทวีปเล็กๆ เป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐ๆ หนึ่งจักรวาลคือ หนึ่งโลกธาตุ และระหว่างจักรวาลนั้นๆ เป็น ?โลกันตริกนรก?อันมืดมิด

    ลักษณะของจักรวาลในพระไตรปิฏกกล่าวโดยย่อดังนี้

    ๑ . ขอบเขตของจักรวาล มีรูปร่างเหมือนทรงกระบอก มีภูเขาล้อมรอบ จักรวาลนี้ มีปริมณฑลทั้งหมด ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ๒ . ตรงกลางจักรวาล มีภูเขาเป็นแกน รูปร่างเหมือนกลองตะโพนมีชื่อว่า ? เขาสิเนรุ? หรือ ?เขาพระสุเมรุ? มี ความสูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ ครึ่งบน ๘๔,๐๐๐ โยชน์อยู่เหนือพื้นน้ำ (คือมหาสมุทรสีทันดร) ขึ้นไป ครึ่งล่าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ตั้งอยู่บนฐานที่เป็นภูเขา ๓ ลูก

    ๓ . มีภูเขารอบเขาสิเนรุอีก ๗ รอบ ระหว่างรอบมีน้ำทะเลคั่นอยู่ทุกรอบ ภูเขาทั้ง ๗ เหล่านี้ คือ เขายุคันธร ๑ เขาอิสินธร ๑ เขากรวิกะ ๑ เขาสุทัสสนะ ๑ เขาเนมินธร ๑ เขาวินัตตกะ ๑ เขาอัสสกัณณะ ๑ เป็นของทิพย์ วิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ หยั่งลง ในห้วงมหรรณพ

    ๔ . พ้นจากภูเขาทั้ง ๗ รอบ เป็นทะเลใหญ่ เป็นทั้งตั้งของโลกมนุษย์ ทิศละ ๑ แห่งรอบเขาสิเนรุ

    ๕. มีดวงอาทิตย์ ๑ ดวง และดวงจันทร์ ๑ ดวง ลอยอยู่ระดับกึ่งกลางระหว่างระดับพื้นทะเลกับยอดเขาสิเนรุ

    ๖. ฐานล่างที่รองรับจักรวาลไว้ ชั้นแรกเป็นพื้นดิน ถัดจากดินเป็นน้ำ ถัดจากน้ำจึงเป็นลม ต่อจากลมเป็นความว่างเปล่า มีแต่ความมืด แผ่นดินในจักรวาลนั้น กล่าวไว้ว่ามีความหนาประมาณ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์.น้ำสำหรับรับรองแผ่นดิน หนาประมาณ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ ลม พุ่งขึ้นจดท้องฟ้าสูง ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์, ความตั้งอยู่แห่งโลกเป็นดังนี้.

    ๗. และสูงขึ้นไปเบื้องบนตามลำดับโดยประมาณกึ่งหนึ่งๆ จากประมาณแห่งสิเนรุที่กล่าวแล้ว ทั้งเบื้องล่างและเบื้องบนนั้น เป็นสถานที่อยู่ของท้าวมหาราช ทั้ง ๔ มีเทวดาและยักษ์อาศัยอยู่แล้ว ตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบภูเขาสิเนรุ ด้วยอำนาจเป็นเครื่องล้อม.

    ๘.จากตอนกลางของภูเขาสิเนรุลงมาจนถึงใต้พื้นน้ำมหาสมุทร มีฐานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ ชั้นที่ ๑ อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค, ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของพญาครุฑ, ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของกุมภัณฑเทวดา, ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักขเทวดา, ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของท้าวจตุโลกบาล

    พระพุทธองค์ตรัสว่าระบบสุริยะของเราจะถึงวาระสุดท้ายโดยการชนกันกับดวงอาทิตย์อื่น ๆ กลายเป็นดาวอาทิตย์ ๗ ดวง ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าทีละดวงๆ แต่กว่าจะถึงเวลานั้นก็คงยาวนานประมาณมิได้

    หมายเหตุ ข้อมูลจากพระไตรปิฏกออนไลน์ ท่านจะใช้คำว่า จักรวาลและโลกธาตุแทนสุริยจักรวาล

    ลองดูบางค่ะ
     
  10. intarawimon

    intarawimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,287
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ถามว่า ทานมีกี่ประเภท คำตอบ คือ มี 3ประเภทด้วยกัน...โดยย่อนะ ได้แก่
     
    1.ให้สิ่งของเป็นทาน เรียกกันว่า อามิสทาน เช่น ให้ข้าวปลาอาหาร ผ้าผ่อนท่อนสไบ เป็นต้น
     
    2.ให้ความรู้เป็นทาน หรือ ธรรมทาน ให้ความรู้ ทางโลกท่านเรียกว่า วิทยาทาน ให้ความรู้ ทางธรรม ท่านเรียกว่า ธรรมทาน
     
    3.ให้...อภัยทาน คือ ไม่จองเวรจองกรรมอะไรกับใคร ใครเข้าใกล้เราถือว่าปลอดภัย
     
    นี้ก็เป็นการทำทานในพระพุทธศาสนาของเรา ซึ่งได้บุญได้กุศลกันเยอะๆ ทั้งชาตินี้และติดตัวข้ามชาติกันทีเดียว
    ทานมี 3ระดับ โดยย่อ
    1.ทานระดับบารมี ให้กำลังสละแรงกายและเวลาของตน
    2.ทานระดับอุปบารมี 3อย่าง คือ
    1.ให้เลือดเนื้ออวัยวะในร่างกายตน 2.ให้ภรรยาของตน 3.ให้บุตรธิดาของตน
    3.ทานระดับปรมัตถบารมี คือให้ชีวิตของตน


    3.ปัจจัยที่ส่งผลให้ทานได้ผลมากหรือน้อย มี 3 ประการใหญ่ๆ คือ

    1. ผู้ให้ทาน

    2. วัตถุทาน

    3. ผู้รับทาน

    ผู้ให้ทาน

        ในแง่ของผู้ให้ทานนั้น สิ่งที่จะมีผลต่อผลของทานนั้น หลักๆคือ การกระทำทางกาย และ จิตใจ  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนถึงการทำทานที่สัปบุรุษ (คนดี คนสงบ คนที่พร้อมด้วยธรรม) พึงกระทำ มีดังนี้  เรียกว่า "สัปปุริสทาน 5"

        1.1 ให้ทานด้วยศรัทธา  คำว่า "ศรัทธา" หมายถึง ความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา  นั่นคือ ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงาย แต่เชื่อด้วยเหตุผล ต้องพิจารณาแล้วเห็นตามความเป็นจริง จึงจะเชื่อ การศรัทธาจึงรวมถึง ศรัทธาว่าการให้ทานนั้นดี ศรัทธาในผลแห่งทาน  และศรัทธาในบุคคลที่สมควรศรัทธา

    อานิสงส์ที่ได้  คือ ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปร่างงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยเป็นผู้มีผิวพรรณงดงามอย่างยิ่ง

        1.2 ให้ทานด้วยความเคารพ  ที่่ว่าเคารพนั้น คือ

             -  เคารพในบุคคลที่รับทาน คือ ให้ด้วยกิริยานอบน้อมทั้งกายและใจ  ไม่เว้นแม้จะให้กับขอทาน (คงไม่ต้องไหว้ก่อนให้ เพียงแต่ให้ด้วยกิริยาไม่ดูหมิ่น ไม่สักแต่โยนๆไปให้)

             -  เคารพในวัตถุทานที่ให้   คือ เคารพในบุญของเรา  เพราะการที่เรามีวัตถุทานอยู่ในความครอบครองของเราก็เพราะเรามีบุญ จึงทำให้มีสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นหากจะให้ ก็ควรให้ด้วยมือของตนเอง เพราะเราเป็นเจ้าของบุญ  ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรฝากคนอื่นทำ  และต้องไม่ลืมที่จะอธิษฐานกำกับเพื่อให้ผลบุญจากทานของเรานั้นไม่ตกหล่นข้างทางซะก่อน

    อานิสงส์ที่ได้ คือ   ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเขามีบุตร ภรรยา คนรับใช้ บุคคลเหล่านั้น ย่อมสนใจฟัง และเชื่อถ้อยฟังคำ

        1.3 ให้ทานตามกาล  คือ ให้ในสิ่งที่ผู้รับต้องการในเวลานั้นๆ  เช่น เกิดเหตุอุทกภัย มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน เครื่องอุปโภคบริโภค  ก็ควรจัดหาสิ่งที่เขาต้องการไปให้ ให้ตรงตามความต้องการ

             อานิสงส์  คือ  ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และความต้องการทั้งหลายที่เกิดขึ้นตามกาลย่อมบริบูรณ์

        1.4 ให้ทานด้วยจิตอนุเคราะห์ คือ  ให้ด้วยใจเมตตา กรุณา ต้องการให้ผู้รับได้พ้นจากความทุกข์ และได้รับความสุข จากทานที่ให้ไป เช่น  ให้อาหารก็ด้วยหวังให้เขาพ้นจากความหิว และ สุขใจจากความเอร็ดอร่อยของอาหาร   การคิดด้วยคาดหวังผลตอบแทน จัดว่าไม่ได้มีจิตอนุเคราะห์

    อานิสงส์ที่ได้  คือ  ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก  และจิตของเขาย่อมน้อมไปเพื่อการบริโภคอันโอฬาร (หมายถึง บริโภคตามกำลังฐานะ  เช่น เศรษฐีบางคน รวยล้นฟ้า แต่ก็กินแค่ข้าวต้ม ผักดอง  อย่างนี้ไม่ถือว่าบริโภคตามกำลังฐานะ เพราะเคยให้ทานแต่ขาดจิตอนุเคราะห์นั่นเอง) 

        1.5 ให้ทานโดยไม่กระทบตนเอง และ ผู้อื่น 

             -  ไม่กระทบตนเอง คือ ให้ทานแล้วไม่ทำให้ต้องตนต้องทุกข์ยากลำบาก เพราะไม่มีกิน จนอาจต้องไปลักไปขโมยใคร หรือ ไปกู้เงินเพื่อเอาเงินมาทำบุญ  อย่างนี้ก็ถือว่ากระทบตนเอง (รวมถึงคนในครอบครัวด้วย)

             -  ไม่กระทบผู้อื่น คือ ให้ทานแล้วไม่ทำให้ผู้อื่นต้องลำบากเพราะเรา  เช่น โรบินฮู้ด ขโมยเงินคนรวยมาให้คนจน เป็นทานก็จริง แต่กระทบผู้อื่น  ทานเช่นนี้แม้จะมีมากแต่ก็ได้ผลไม่มาก และ ล่มจมได้ในภายภาคหน้า

    อานิสงส์ที่ได้  คือ  ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก   และความล่มจมแห่งโภคะของเขา ย่อมไม่มาจากที่ใหนๆ คือจากไฟ จากน้ำ จากโจร หรือจากทายาท (ผู้รับมรดก) ซึ่งไม่เป็นที่รัก



     นอกเหนือจาก สัปปุริสทาน 5 แล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องคำนึงอีกคือ  

    1.  ควรมีจิตผ่องใส เบิกบาน ปีติยินดี ในการทำทานทั้ง 3 วาระ คือ 

        -  ก่อนให้  ก็ดีใจว่าจะได้ทำทาน

        -  ขณะให้  หากมีอารมณ์ขุ่นมัว ไม่ว่าจะจากความโกรธ หงุดหงิดไม่พอใจ หรือ จากความเสียดายในทรัพย์ที่บริจาคไป  หรือ จากความลังเลสงสัยในทาน และผลของทาน   ไม่ว่าจะวาระใด ย่อมทำให้ผลแห่งทานนั้น ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย  (พูดภาษาชาวบ้าน คือ บุญกระฉอกหกหล่นตามข้างทาง) 

         ที่สำคัญ คือ ต้องไม่คิดเสียดายในทานนั้นๆ  (บางคนไปตามทวงคืนด้วยซ้ำ)  เพราะนอกจากจะได้บุญไม่เต็มที่แล้ว  ในภายภาคหน้าเมื่อบุญส่งผล  แม้จะได้โภคทรัพย์ แต่ก็อาจจะต้องเสียทรัพย์นั้นในภายหลัง

        -  หลังให้   ไม่ควรคิดเสียดาย แม้กาลเวลาจะผ่านล่วงเลยมาแล้ว ก็ไม่ควรคิดในทางไม่ดี  ในทางกลับกัน คือ ควรระลึกถึงบ่อยๆครั้งในทางที่ดี และปลื้มใจในการทำทานนั้นๆด้วย
    2.  ให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทน 

         คนจำนวนไม่น้อย ทำทานแล้วหวังผล ไม่ว่าจะให้ถูกหวย หรือ หวังได้รับการเลือกตั้ง หรือ หวังให้คนนับหน้าถือตา ช่วยให้ชื่อเสียงกิจการดีขึ้น  เช่นนี้เรียกว่า ทำบุญเจือด้วยกิเลส (โลภะ)  การทำบุญปนบาป ย่อมทำให้ได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแน่นอน   แม้แต่บุญ ก็ควรจะระลึกรู้ไว้ว่า ถ้าทำบุญ ย่อมต้องได้บุญอยู่แล้ว  จึงไม่ควรที่จะคิดโลภหวังได้บุญมากๆ   เพราะมันก็คือ บุญปนความโลภนั่นเอง   ควรที่จะอธิษฐานเพื่อกำกับให้ผลบุญจากทานนั้น ส่งผลในทางที่ถูกทำนองคลองธรรม ไม่เอาไปใช้ในทางที่ผิด ไม่เอาบุญมาซื้อบาป  และเพื่อเข้าสู่พระนิพพานในภายภาคหน้า

    3. ให้ทานโดยตัดความอาลัยในทรัพย์นั้น   คือ  หากคิดจะบริจาค ก็ให้คิดสละออกไปโดยไม่รู้สึกเสียดาย  แม้ผู้ได้รับจะนำทานนั้นๆไปทำอย่างไรก็ไม่ใส่ใจ  เปรียบเหมือนกับถ่มน้ำลายออกไปแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่าเสียดายน้ำลายนั้น   เพราะการบริจาค หรือ ให้ทานนั้น เป้าหมาย คือ การละความตระหนี่  ถ้าเรายังอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์นั้น ก็จะเกิดความเสียดาย บุญที่ควรจะได้เต็มก็จะลดทอนลง  เช่นเดียวกับพระเวสสันดร เมื่อตั้งใจจะบริจาคบุตร (คือ กัณหา ชาลี) ให้แก่ชูชกแล้ว  แม้ชูชกจะทุบตีต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์ก็ไม่ทรงเสียดาย หรือ อาลัยอาวรณ์  เพราะได้ทรงสละออกไปจากใจแล้วนั่นเอง  

       
    4. ก่อนและให้ทาน ควรเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ และ ควรมีจิตสงบเป็นสมาธิ  จะสังเกตได้ว่า ก่อนถวายสังฆทาน พระท่านจะให้เราสมาทานศีล 5 เสียก่อน เพื่อให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ บางวัดอาจให้นั่งสมาธิเพื่อกลั่นกาย วาจา ใจ ให้ใสสะอาด ก่อนถวาย  ก็เพื่อให้กาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ก่อนทำทานนั่นเอง 

    5. ให้ทานอย่างเต็มกำลัง  ไม่ให้อย่างขยักขย่อน  เปรียบเหมือน น้ำที่ปล่อยจากเขื่อนกักน้ำ หากปล่อยเพียงเล็กน้อย ย่อมได้ปริมาณน้อย และไม่รุนแรง  แต่หากเปิดประตูน้ำเต็มที่ น้ำที่ไหลก็จะออกมามาก และ เชื่ยวแรง  ทานที่เราให้อย่างเต็มกำลัง  ย่อมให้ผลที่เต็มกำลังเช่นกัน

    ตอบสุดความสามารถแล้วครับ ขอบพระคุณมากครับที่ทำให้มีกำลังใจในการศึกษาธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2012
  11. dekpra

    dekpra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,470
    ค่าพลัง:
    +2,484
    เรียนพี่น้องชาวพุทธที่รัก..เคารพ..
    มาร่วมสนุก...สืบทอดจรรโลงพระศาสนาด้วยการนำความรู้ในพระไตรปิฏก พระชาดก พระสูตร มาสนทนาพูดคุยกันเป็นการบูชาพระธรรมได้บุญได้ความรู้แก่เราและชนรุ่นหลัง ตอบปัญหามาได้เลื่อยๆ สัก ๒-๓ จะมาเฉลยคำตอบคำ ท่านใดตอบได้ถูกและสมบูรณ์มากรับพระไปบูชาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ธันวาคม 2012
  12. popo4444

    popo4444 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +103
    เนื่องจากพิมพ์ในมือถือตอบยาวไม่ไหว ขออนุญาตลอกคำตอบคุณ intarawimon และขอเติมว่า จาคะ หรือทานการบริจาคเป็นตัวช่วยตัดความโลภ แต่การจะให้ได้นั้น ย่อมประกอบไปด้วยเมตตา กรุณาฯ ที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ โดยเฉพาะบุญที่ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศล เป็นบุญใหญ่ที่หลวงพ่อกล่าวไว้ว่าจะนำเราไปพระนิพพานได้เร็วขึ้น เพราะบารมีจะเต็มเร็ว (จากความจำอาจไม่เป๊ะๆนะคะ)
    ปล เมื่อเช้าไปตลาดเห็นแม่ค้ากำลังตีหัวปลา เลยขอเหมาที่เหลือทั้งหมดมาปล่อย ก็เอาบุญเล็กๆน้อยๆมา
    ฝากพี่ๆเพื่อนๆทุกท่านนะคร้าาา
     
  13. Pornprawit

    Pornprawit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอทราบราคาองค์นี้ด้วยนะครับพี่
     
  14. Pornprawit

    Pornprawit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอทราบราคาชุดนี้ด้วยนะครับ
     
  15. ระงับ

    ระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +3,530
    เพิ่มเติมครับพี่เด็กพระและพี่น้องร่วมสายหลวงพ่อของเราและหลวงปู่ปาน
    เพิ่งค้นเจออีกครับ -/\-

    "ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกร
    อานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก
    ทำให้พันโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันต-
    *สัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระ-
    *สุรเสียง ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ
    อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่ง
    เทศนาที่พระองค์จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาค
    แล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
    ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกร
    อานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศ
    สว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์
    พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มี
    อปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มี
    มหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มี
    เทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพัน
    หนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มี
    พรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลก
    คูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุ
    อย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้าน
    จักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์
    ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้
    ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ"

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๕๙๘๕ - ๖๐๕๖. หน้าที่ ๒๕๖ - ๒๕๘.
     
  16. ระงับ

    ระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +3,530
    ตอบต่อครับพี่เด็กพระ

    ทานมีกี่แบบ

    1. อามิสทาน คือการให้วัตถุสิ่งของ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ข้าว(อาหาร)และน้ำเป็นทรัพย์โดยปรมัตถ์ สิ่งอื่นเป็นทรัพย์โดยบัญญัติเพราะเกิดจากการสมมุติของของคนที่ทำให้เกิด ความจำเป็น
    ใน ทักขิณาวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกอานิสงส์
    ของทานที่ให้โดยเจาะจงและไม่เจาะจงไว้ตามลำดับขั้น ถึง ๒๑ ประเภท คือ
    ๑. ให้ทานแก่ดิรัจฉาน มีอานิสงส์ร้อยชาติ คือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
    ถึง ๑๐๐ ชาติ
    ๒. ให้ทานแก่ปุถุชนทุศีล มีอานิสงส์พันชาติ
    ๓. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้มีศีล มีอานิสงส์แสนชาติ
    ๔. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้ปราศจากความยินดีในกาม นอกพุทธศาสนา อย่างพวกนักบวชหรือฤาษี
    ที่ได้ฌานเป็นต้น แม้ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังมีอานิสงส์ถึงแสนโกฏิชาติ
    สี่ประเภทนี้เป็นปาฏิปุคคลิกทาน เป็นทานที่ให้โดยเจาะจง คือให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดย
    เฉพาะ และมีผลจำกัด ยังมีปาฏิปุคคลิกทานที่มีผลไม่จำกัด คือให้ผลนับประมาณชาติไม่ได้ มากน้อย
    ตามลำดับขึ้นอีก ๑๐ ประเภท ดังต่อไปนี้
    ๑. ให้ทานแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่ง โสดาปัตติผล
    ๒. ให้ทานแก่พระโสดาบันบุคคล คือผู้ที่บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว
    ๓. ให้ทานแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล
    ๔. ให้ทานแก่พระสกทาคามีบุคคล
    ๕. ให้ทานแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล
    ๖. ให้ทานแก่พระอนาคามีบุคคล
    ๗. ให้ทานแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล
    ๘. ให้ทานแก่พระอรหันต์
    ๙. ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
    ๑๐. ให้ทานแก่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    รวมเป็นปาฏิปุคคลิกทาน คือทานที่ให้โดยเจาะจง ๑๔ ประเภท ใน ๑๔ ประเภทนี้
    ประเภทที่ ๑ มีผลน้อยที่สุด ประเภทที่ ๑๔ มีผลมากที่สุด
    ทานที่ให้โดยไม่เจาะจงผู้ใดผู้หนึ่งที่เรียกว่า สังฆทาน มี ๗ อย่าง
    ๑. ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย (คือภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    ๒. ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานไปแล้ว
    ๓. ให้ทานในภิกษุสงฆ์
    ๔. ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์
    ๕. ให้ทานในบุคคลที่ขอมาจากสงฆ์ ๒ ฝ่าย ด้วยคำว่าขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวน
    เท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า
    ๖. ให้ทานในบุคคลที่ขอมาจากภิกษุสงฆ์ ด้วยคำว่าขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็น
    สงฆ์แก่ข้าพเจ้า
    ๗. ให้ทานในบุคคลที่ขอมาจากภิกษุณีสงฆ์ ด้วยคำว่าขอได้โปรดจัดภิกษุณีสงฆ์จำนวนเท่า
    นี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า

    สังฆทานทั้ง ๗ อย่างนี้ ปัจจุบันเราทำได้เพียง ๒ อย่าง คือให้ทานในภิกษุสงฆ์ และให้ทาน
    ในบุคคลที่ขอมาจากภิกษุสงฆ์เท่านั้นเพราะพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว ภิกษุณีสงฆ์ก็สูญวงศ์แล้ว
    ขึ้นชื่อว่าสังฆทานย่อมมีผลมาก มากจนประมาณไม่ได้ว่าเท่านั้นเท่านี้ชาติ แม้ในอนาคตกาล
    จักมีแต่ โคตรภูภิกษุ มีผ้ากาสาวะพันที่คอ หรือผูกข้อมือ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก พระพุทธองค์
    ก็ยังตรัสว่า คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
    แม้ในเวลานั้นก็มีผลนับประมาณไม่ได้ ปาฏิปุคคลิกทานจะมีผลมากกว่าสังฆทาน คือทักษิณาที่ถึง
    แล้วในสงฆ์แม้โคตรภูสงฆ์ หาเป็นไปได้ไม่
    แต่ว่าสังฆทาน จะเป็นสังฆทานได้ก็ต่อเมื่อผู้ถวายมีความเคารพยำเกรงต่อสงฆ์เท่านั้น
    วางใจในสงฆ์เสมอเหมือนกันหมด ไม่ยินดีเมื่อได้พระหรือสามเณรที่ชอบใจ หรือไม่ยินร้ายเมื่อได้พระหรือ
    สามเณรที่ไม่ชอบใจ หรือต้องการผู้แทนของสงฆ์ที่เป็นพระเถระ แต่ได้พระนวกะหรือสามเณรก็เสียใจ หรือ
    ได้พระเถระผู้ใหญ่ก็ดีใจอย่างนี้ ทานของผู้นั้นก็ไม่เป็นสังฆทานเพราะขาดความเคารพในสงฆ์ หรือผู้แทนที่
    สงฆ์ส่งไปในนามของสงฆ์ ด้วยเหตุนี้การถวายสังฆทานที่ถูกต้องจึงทำได้ไม่ง่ายนัก
    ในทางพระวินัย ภิกษุ ๔ รูปขึ้นไป จึงเรียกว่า สงฆ์แต่การถวายไทยธรรมแก่ภิกษุแม้รูปเดียว
    ที่สงฆ์จัดให้เป็นองค์แทนของสงฆ์ ก็จัดเป็นสังฆทานเหมือนกัน
    ส่วนทานที่ยิ่งขึ้นไปในอามิสทานก็คือวิหารทาน การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค อ้างอิง”เวลามสูตร”

    2. อภัยทาน คือการยกโทษด้วยการไม่พยาบาทจองเวร บัณฑิตกล่าวเป็นทานที่ให้ได้ยากที่สุด โดยเฉพาะการให้อภัยศัตรูหรือผู้ที่ทำร้ายตนอย่างสาหัส
    3. วิทยาทาน คือการให้ความรู้ทางโลก
    4. ธรรมทาน คือการให้ความรู้ทางธรรม คือการให้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ทางพุทธศาสนา ชื่อว่าให้ทุกอย่าง

    ใน 4 อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ ทานอื่นๆช่วยค้ำจุนชีวิตทำให้เขามีที่พึ่งอาศัยในชาตินี้ แต่ธรรมทานช่วยให้เขารู้จักพึ่งตนเองได้ต่อไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า

    ทานมีกี่ระดับและอย่างไรจึงเป็นปรมัตถบารมี

    พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิโพธิญาณ ได้ทรงบำเพ็ญทาน ทรงสั่งสมเป็นทานบารมีมาช้านาน ทานบารมีของพระองค์ ได้เต็มยิ่งขึ้นตามลำดับ ๓ ขั้น ดังนี้

    (๑) ทานบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละทรัพย์ โดยมีพระโพธิญาณเป็นเป้าหมาย หวงแหนพระโพธิญาณยิ่งกว่าหวงแหนคนรักและทรัพย์สมบัติ เพื่อพระโพธิญาณจึงยอมให้ทานได้แม้กระทั่งคนรักและทรัพย์สมบัติ

    (๒) ทานอุปบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละอวัยวะ หวงแหนพระโพธิญาณยิ่งกว่าหวงแหนอวัยวะร่างกาย เพื่อพระโพธิญาณจึงยอมให้ทานได้แม้กระทั่งอวัยวะร่างกาย

    (๓) ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละชีวิต หวงแหนพระโพธิญาณยิ่งกว่าหวงแหนชีวิต เพื่อพระโพธิญาณจึงยอมให้ทานได้แม้กระทั่งชีวิต

    ทำทานอย่างไรถึงจะถือว่าเต็ม(อ้างอิงจากหลวงพ่อมาครับ)

    คำว่า จาคะ ตัวนี้ถ้าเป็นกรรมฐานเรียกว่า จาคานุสสติกรรมฐาน แปลว่า นึกถึงทานการบริจาค ในการที่จะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้เป็นสุขไว้เสมอ จิตใจนึกอย่างเดียวว่าเราจะเป็นผู้ให้ จะทิ้งอารมณ์ที่นึกว่าเราจะเป็นผู้แย่งคือว่าแย่งหรือว่าโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของตน อันนี้ไม่มีในจิตใจของเรามีอารมณ์นึกอย่างเดียวว่าเราต้องการให้เท่านั้นคือให้ให้เขามีความสุข
    สำหรับอารมณ์ที่เราจะให้นี้ต้องแบ่งเป็น ๓ ขั้น ตามที่กล่าวมา(ตัดมาเฉพาะขั้นแรกครับผม)
    ถ้าให้ด้วยการเสียสละ เป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์ หรือว่าถ้าจะว่ากันยังไม่ตาย ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรักแก่บุคคลผู้รับ เมื่อเรามีความรักมากเราก็มีความสุขมาก ไปไหนก็มีแต่รอยยิ้มแย้มแจ่มใสมีความเคารพซึ่งกันและกัน แสดงความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน นี่จาคะตัวต้นให้ผลปัจจุบันในชาตินี้มีความสุข ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้วก็ไปสวรรค์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราว่ายังมีคำว่าเสียดายอยู่มาก เสียสละจิตใจมันยังดึงจัด ต้องใช้กำลังสูงจึงจะดึงออกได้
    จนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว เรียกว่า ได้ฌานในจาคานุสสติกรรมฐาน เวลาให้ใจก็สบาย สละไปเสีย ของประเภทนี้ไม่หวังผลในการตอบแทน
    สำหรับข้อต้นที่เสียสละนั้นยังหวังผลในการตอบแทน เราให้เขาแล้วก็คิดว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าถ้าเราขัดข้องเขาคงจะให้เราบ้าง อาการอย่างนี้เรียกว่า เสียสละ จิตยังดึงอยู่มากยังมีความเสียดาย กำลังใจประเภทนี้จึงชื่อว่ากำลังใจยังอ่อนอยู่ สมเด็จพระบรมครูจึงทรงตรัสว่า ยังไปนิพพานไม่ได้ ไปได้แค่สวรรค์ พรหมก็ยังไปไม่ได้

    -/\-
     
  17. dekpra

    dekpra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,470
    ค่าพลัง:
    +2,484
    เรียญพี่น้องชาวพุทธ...ที่เคารพรัก..คำตอบที่กระผมถามไปนั้นคำตอบไม่ยาวนะครับ เป็นข้อๆสั้น เป็นการสนทนาระหว่างองค์สมด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีฯ หลังจากลาพุทธภูมิแล้ว และเรื่องโลกธาตุ องค์สมเด็จปัจจุบันท่านพาหลวงพ่อฤาษีไปเที่ยวมาแล้วครับ ใบ้ให้อีกแล้ว ?
     
  18. warin874

    warin874 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +540
    ร่วมสนุกตอบปัญหาธรรม ครับ
    ข้อที่ ๑.อธิบายคำว่าโลกของจักรวาล
    ข้อที่ ๒.อธิบายคำว่าโลกของกาแลกซี่
    ข้อที่ ๓.อธิบายคำว่าโลกของโลกธาตุ

    ขอตอบครับ
    ตามหลักวิทยาศาสตร์(หลักธรรมชาติ) โลกธาตุ เป็นส่วนหนึ่งของกาแลกซี่
    และกาแลกซี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ดังนั้นหากส่วนใดส่วนหนึ่ง
    เกิดย่อมดับไป และเป็นส่วนหนึ่งในองค์ประกอบที่ใหญ่ขึ้น เช่นโลกธาตุแตก
    ก็เป็นธาตุทั้ง 4 ใน กาแลกซี่ และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะแปลง ธาตุทั้ง 4กลับมาเกิดเป็นสิ่งใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนั้น ไม่มีอะไรมั่นคงถาวร และ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ในโลกธาตุ กาแลกซี่ และจักรวาล มีเกิด มีดับ มีเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา
    (เกิดมา ตายไปก็เอาสมบัติโลกไปไม่ได้ ก็ต้องคืนโลกไปอยู่ดี: ลพ.ชา)

    ข้อ 2 ครับ
    ๑.ทานมีกี่แบบ ? เริ่มต้นจากสังฆทาน - - -
    ๒.ทานมีกี่ระดับ ? ทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นปรมัตถะบารมี
    ๓.ทำทานอย่างไรถึงจะถือว่า เต็ม (นี่ยังอยู่ในทานบารมีต้น)

    ขอตอบเฉพาะข้อ 3 นะครับ ข้อ1 ข้อ2 เหมือนๆกับทุกท่านครับ
    ๓. ทำทานอย่างไรถึงจะถือว่า เต็ม
    ทำทานเพื่อ ลด ละ เลิก กิเลส (อยากมี อยากได้) เพื่อให้มีศีลครบถ้วน
    (ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา)
    เมื่อไม่มีกิเลส ไม่มีความโลภ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการตัดทุกข์
    จากความ รัก โลภ โกรธ หลง ให้น้อยลง
    เมื่อมีทุกช์น้อยลง ยามต้องปฎิบัติ เมื่อศีลบริสุทธ์ ย่อมเข้าถึงวิธีพ้น
    ทุกข์(มรรค)ได้เร็วขึ้น เมื่อไม่อยากมี ไม่อยากเกิด ย่อมเข้าสู่การบรรลุ
    พระนิพพานได้เร็วกว่าคนที่ยังยึดติดกิเลสอยู่
    จึงเป็นที่มาว่าทำทานใหญ่ ยังได้บุญน้อยกว่า
    การปฎิบัติเพื่อเข้าถึงปัญญาแห่งธรรม เพียงแค่เสี้ยวอึดใจ

    ***ต้องขออภัยครับหากไม่มีการอ้างอิงทฤษฏีมากนัก
     
  19. Looksitroonjiew

    Looksitroonjiew เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +1,681
    ร่วมตอบปัญหาครับ
    ๑.ทานมีกี่แบบ ? เริ่มต้นจากสังฆทาน - - -
    ตอบ: ทานมี 5 แบบ (ถ้าใบ้ให้เริ่มต้นจากสังฆทาน)
    ขอตอบว่า
    1.สังฆทาน
    2.วิหารทาน
    3.กฐินทาน
    4.ธรรมทาน
    5.อภัยทาน

    หรือ
    แต่ถ้าถามว่า ทานมีกี่ประเภท ขอตอบว่า มี 3ประเภทครับ...โดยย่อนะ ได้แก่

    1.ให้สิ่งของเป็นทาน เรียกกันว่า อามิสทาน เช่น ให้ข้าวปลาอาหาร ผ้าผ่อนท่อนสไบ เป็นต้น

    2.ให้ความรู้เป็นทาน หรือ ธรรมทาน ให้ความรู้ ทางโลกท่านเรียกว่า วิทยาทาน ให้ความรู้ ทางธรรม ท่านเรียกว่า ธรรมทาน

    3.ให้...อภัยทาน คือ ไม่จองเวรจองกรรมอะไรกับใคร ใครเข้าใกล้เราถือว่าปลอดภัย

    ๒.ทานมีกี่ระดับ ? ทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นปรมัตถะบารมี
    ตอบ : ทาน ๓ ระดับคือ
    ๑. ทาสทาน เวลาที่เราจะให้ทาน เราก็ให้ของเลวกว่าของที่เรากินเราใช้
    ๒. สหายทาน เวลาที่เราให้เราก็ให้ของเสมอกับที่เรากินเราใช้
    ๓. สามีทาน เวลาที่เราจะให้เราให้ของดีกว่าที่เรากินเราใช้
    ทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นปรมัตถะบารมี
    ตอบ: เวลาที่เราจะให้ทานก็ต้องดู ไอ้ของนี่มันช้ำแล้วให้กันไม่ดี เขาจะตำหนิเอาหรือประการหนึ่ง ไหนๆ เราจะให้ของดี เพราะว่าทุกคนต้องของดี ส่วนของบริโภคเหมือนกัน ปกติเรากินน้ำพริกผักต้มได้ แต่ เวลาเราจะทำบุญหรือเราจะให้ทาน ต้องใช้ของดีๆ ทำบุญด้วยของดีๆ อย่างนี้จัดว่า เป็นปรมัตถบารมี

    ๓.ทานทำอย่างไรถึงจะถือว่าเต็ม (นี่ยังอยู่ในทานบารมีต้น)
    ตอบ :ถ้าเราให้ด้วยความเต็มใจ เราให้จริงๆ เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ทานตัวนี้ต้องมีจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยการสงเคราะห์ ปรารถนาให้เขามีความสุขจากวัตถุที่เราให้ หรือว่ากำลังใจที่เราให้ ถ้าเราให้ไปด้วยการสงเคราะห์จริงๆ จึงจะถือว่าเต็ม
     
  20. dekpra

    dekpra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,470
    ค่าพลัง:
    +2,484
    ต้องกราบขออภัย...พี่น้องนักบุญทุกท่านด้วย ที่ผมไม่ค่อยมีเวลามาสนทนา อัปเดสด้วย เนื่องจากต้องทำงานป้ายโฆษณาครับ

    มีหลายท่านตอบได้ใกล้เคียงมาก แสดงถึงความเป็นแฟนพันธ์แท้ เป็นสายเลือดพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อฤาษีฯอย่างแท้จริง
    ตอบถูกทุกคนแต่ไม่ครบ หรือยังไม่ตรงประเดนเท่าไรนัก มาร่วมกันสรรเสริญ พุทธคุณ ธรรมะคุณ สังฆคุณ กันเทอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...