อยากทราบวิธีการทำดี มีอะไรบ้างครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Genial, 25 พฤศจิกายน 2012.

  1. Genial

    Genial Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +82
    เป็นคำถามที่ดูง่ายๆ แต่บางทีก็นึกไม่ออกเหมือนกันครับ ซึ่งนอกเหนือจากการเจริญสติ ภาวนาแล้ว บ่อยครั้งเหลือเกินที่มีความรู้สึกอยากทำดี ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมขึ้นมา แต่มักจะคิดไม่ออก หรือใช้เวลาคิดนาน จึงอยากขอความกรุณาสมาชิกทุกท่านช่วยเสนอแนะ วิธีการทำดี ยิ่งมากก็ยิ่งดีครับอยากได้หลายๆตัวเลือก ลิสมาเป็นข้อๆเลยก็ได้ครับ จะได้เร่งสร้างผลบุญกุศลไว้ รบกวนด้วยครับ


    ภาพประกอบจาก http://img375.imageshack.us/img375/1016/1136441388426c74cp1.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤศจิกายน 2012
  2. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    1.การไม่ทำบาปทั้งปวง
    2.ทำกุศลให้ถึงพร้อม
    3.ทำจิตให้ขาวรอบ

    (1)การไม่ทำบาปทั้งปวง คิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดี ลด,ละ,เลิก
    (2)ทำกุศลให้ถึงพร้อม บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำดังต่อไปนี้

    ๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

    ๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

    ๓. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

    ๔. บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) คือการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์

    ๕. บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา เช่น การชักนำบุคคลให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ในฝ่ายสัมมาทิฎฐิ

    ๖. บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป

    ๗. บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

    ๘. บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

    ๙. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ชอบ ตามรอยบาทองค์พระศาสดา ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น หรือการนำธรรมไปขัดเกลากิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

    ๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งอันควรประพฤติสิ่งอันควรละเว้น ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ
    (3)ทำจิตให้ขาวรอบ คือการฝึกสติให้กล้าแข็ง จนสติสามารถกำกับดูแลรักษาจิตได้
    รายละเอียดไปศึกษาเพิ่มเติมน่ะครับ ที่สำคัญต่อให้รู้มากแค่ไหน ศึกษามากแค่ไหน มันก็แค่ธรรมสัญญาไม่ใช่ธรรมปัญญา ถ้าไม่ปฏิบัติให้ตรง ให้ถึง

    มันก็มีค่าเท่ากับไม่รู้
    ขอให้ทุกท่านจงเจริญในธรรม
     
  3. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้ มั่นคงในศีล มีสมาธิในการทำงาน ใช้ปัญญาใน
    การแก้ไขปัญหา ถ้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยธรรมได้จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้มาก โดย
    เฉพาะกับคนรอบข้าง คนที่เราได้รู้จักเขาจะเห็นทางเลือกใหม่ที่เขาไม่เคยคิดว่ามันมี
    อยู่ มีคนอยู่มากมายที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัว มีความความสับสนวุ่นวาย คนที่ไม่
    สามารถจะหาทางออกที่ลงตัวให้กับชีวิต เมื่อคนเหล่านี้ได้เห็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยธรรม
    เขาจะเห็นความเป็นไปได้ที่เขาจะได้พบความสุขสงบแบบเดียวกับเรา เหมือนเป็นการ
    ปลูกเมล็ดแห่งธรรมสำหรับผู้ที่รู้จักเรา นั่นเป็นการช่วยเหลือคนอื่นด้วยการใช้ชีวิตตาม
    ปกติ
     
  4. oJOEo

    oJOEo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +136
    เปลี่ยนความคิดและการกระทำง่ายๆ ที่นอกเหนือจากการเจริญสติ สมาธิ ปัญญา
    คือ ลองเปลี่ยนเป็น คิดและทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยไม่หวังผลอะำไรกลับมาหาเราเลย
    แต่คงต้องเปลี่ยนใจให้ปารถนาดีกับผู้อื่นอย่างแท้จริงให้ได้ก่อนอ่ะนะ
     
  5. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ก็ทำตามที่คุณทำอยู่ทุกวันนั่นแหละ ไม่ต้องไปคิดมาก
     
  6. ...คนสู้กรรม...

    ...คนสู้กรรม... เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +967
    ธรรมดาของมนุษย์ผู้มีภูมิปัญญา และมีประสบการณ์มากพอนั้น จะสามารถแยกแยะเองได้ว่า สิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว ดังนั้นสิ่งที่ท่านผู้ถามสงสัยนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย ก็แค่ "อย่าไปทำชั่ว" แค่นั้นก็ถือว่าดีแล้วครับ ยิ่งคิดมาก ยิ่งสับสน คราวนี้ทุกข์อีก แต่ก็หลักการง่ายๆ คนเราอ่ะ แค่ไม่ทุกข์ ก็เป็นสุขแล้ว...

    ถ้าเรามองโลกผ่านรูกะลา สิ่งที่เห็นมันก็ไม่มีอะไรไปมากกว่า "สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า" หรอกครับ แต่ถ้าเรามองออกไปให้กว้าง โดยไม่ต้องมานั่งจดจ่ออยู่ในรูกะลาเล็กๆนั้น มันจะง่ายซะกว่าด้วยซ้ำ และเราจะเห็นอะไรดีๆรอบกายเราอีกเยอะ บางครั้งการที่เราไปกำหนดมันว่า ฉันต้องปฏิบัติให้เคร่งเข้าไว้ ฉันต้องบรรลุให้ได้ ฉันต้องนั่น ฉันต้องนี่ให้ได้... อันนี้ "กิเลสเกิด" ซะอีกครับ แทนที่จะสบายใจ กลับทุกข์เข้าไปอีก ทางสายกลางดีที่สุดครับ...

    ละชั่ว ทำดี ทำกุศลให้ถึงพร้อม ไม่ได้หมายความว่าต้องปฏิบัติซะตึง อะไรก็ไม่เอา ทำนั่นทำนี่ก็มองว่าผิด แต่ไม่คิดที่จะออกจากทางโลก ยังสวดมนต์ ยังพร่ำธรรม อ้างหัวข้อธรรมซะงง ในขณะที่ยังถือสากไว้ในมืออยู่เลย อันนี้นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังถือเป็นการหลอกตัวเองไปซะอีก ธรรมะ มันก็คือหลักธรรมชาติแหละครับ คือสิ่งที่พึงเป็น เป็นไปตามกระแสความ "ปกติ" ของสรรพชีวิต

    บางคน... บอกว่า ทำนั่น ทำนี่ บาป บาป บาป!! แต่พอสบโอกาสเข้าหน่อย โน่น นั่งกินเหล้า จีบสาว (บางกรณีก็จีบสาวคราวลูก) มีเมียน้อย เล่นการพนัน พูดจาหยาบคาย ว่างไม่ได้ต้องไปเอี่ยวกับพวกทรงเจ้าเข้าผี สร้างมิจฉาทิฏฐิในใจอีก ??? เนี่ยหรอเรียกว่า "ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ" ?

    บางคน... บอกว่า ผมทำนั่นมา ผมทำนี่มา ผมบาปใช่ไหม? แต่พอผ่านตรงนั้นไป ก็ดันกลับไปทำอย่างเดิมอีก เจริญยากและครับทีนี้ รู้ทั้งรู้ว่านั่นเป็นบาป ก็ยังทำ

    บางคน... ไม่พูดอะไรซักคำ เดินเอาเหรียญไปหยอดตู้บริจาค โดยไม่ไหว้ขอพรอะไรเลย ให้ไปโดยไม่คิด ไม่หวังอะไร จูงคนแก่ข้ามถนน โดยไม่คิดหวังให้ผลบุญนั้นหนุนนำตนแต่อย่างใด ทำไปเพราะอยากช่วยเท่านั้น ลุกให้คนแก่ คนท้อง หรือผู้อื่นได้นั่งบนรถสาธารณะ ก็ไม่คิดอะไร เพียงเพราะเกิดจิตสำนึกของความเป็น "คน" ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เท่านั้นเอง... นี่แหละครับ ที่เรียกว่า "ทำดี" จิตสำนึกเรามันจะบอกเอง ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว

    บางคนไม่มีศาสนาด้วยซ้ำ แต่กลับทำครบศีล 5 โดยไม่ขาดทะลุแบบไม่รู้ตัวก็มี บางคนมีศาสนา ศึกษาจนรู้อะไรเยอะแยะ ยังฝ่าฝืนจนศีลทะลุเป็นรูพรุนก็มีถมเถไป เรื่องนี้ท่านผู้ถามคงตัดสินใจเองได้แล้วใช่ไหมครับ ว่าการทำดีต้องทำอะไรบ้าง ไม่ต้องไปเน้นเป็นข้อๆหรอกครับ แค่เพียงว่าทำอะไรแล้วตัวเองไม่เดือดร้อน แล้วคนอื่นได้รับสิ่งดีๆจากเราไป นั่นแหละครับคือการทำดี แต่ในทางกลับกัน ถ้าผู้อื่นได้รับความชั่วจากเราไป นั่นแหละครับคือการทำความชั่ว

    นิทานสอนใจ...

    มีกระเทยนางหนึ่ง ใช้บริการ บขส. ในเมืองกรุง บนรถมีแต่ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด บางคนได้นั่ง แต่หลายคนต้องยืน แต่กระเทยคนนี้ได้ที่นั่งแล้ว ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสนี้... จู่ๆมีผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่ง ขึ้นมาบนรถ แต่ไม่มีใครเสียสละที่นั่งให้เธอเลย คนที่ได้ที่นั่งแล้ว ถ้าไม่แกล้งหลับ ก็ทำเป็นมึนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มองวิวนอกรถราวกับว่าเมืองหลวงมีอะไรให้น่าดูนักหนา

    แต่กระเทยคนนั้นลุกขึ้น แล้วพูดกับผู้หญิงท้องแก่ว่า... "พี่คะ มานั่งที่หนูก็ได้ค่ะ" ...สาวท้องแก่เห็นว่าคนที่พูด เป็นกระเทยตัวเล็กๆ หน้าปลวกๆ ก็คิดเกรงใจ กลัวว่ากระเทยจะยืนเมื่อย เลยพูดไปว่า... "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกไม่กี่ป้ายพี่ก็ลงแล้ว" ...แต่ทั้งๆที่จริง จุกหมายของเธอมันคืออีกหลายสิบป้าย กระเทยคนนั้นยิ้ม แล้วพูดว่า... "ไม่เป็นไรค่ะพี่ พี่มานั่งที่หนูเถอะ ถึงยังไงหนูก็เป็น 'ผู้ชาย' คนนึงค่ะ...

    ................................................................................
     
  7. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    :cool::cool:
    ศีล สมาธิ ปัญญา นี่สั้นสุด ขยายยาวอีกหน่อยก็
    ศีล5-สมาธิตั้งมั่น-ปัญญาเห็นคุณแห่งศีล5 ว่าจะนำพาเราไปสู่พระนิพพาน ดีขึ้นมาอีกหน่อยก็
    กรรมบถ 10-สมาธิตั้งมั่น-ปัญญาเห็นคุณแห่งกรรมบถ 10 พยายามละเว้นกาม ตั้งใจแน่วแน่ว่าไปพระนิพพาน ไม่เห็นภพใดๆดีกว่า ดีมากขึ้นก็
    อุโบสถศีล-สมาธิอุกฤษ-ปัญญาเห็นโทษแห่งวัฏสงสาร ตั้งใจไปนิพพาน ทุกนาที ทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าออก
    แค่นี้ก็เหลือแหล่ จขกท อยากได้สั้นๆ ก็จัดให้ได้แบบนี้ครับ โชคดี
     
  8. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    1. เริ่มทำประโยชน์ส่วนตนก่อนด้วยกุศลที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลาคือ"ประพฤติศีล๕" ครับ

    2. เมื่อมีศีลแล้วก็ย่อมทำประโยชน์แก่คนอื่นได้ดียิ่ง เริ่มตั้งแต่คนใกล้ตัวหรือบริวาร ไปจนถึงคนอื่นๆในชุมชนที่ตนอยู่ เรียกว่าทำประโยชน์ให้คนอื่นแล้วอย่างยิ่ง เพราะไม่เป็นผู้ที่เบียดเบียนใครๆให้เดือดร้อน

    3. ครั้นเป็นผู้มีศีลอยู่เป็นปรกติ ก็หาความเดือดร้อนใจอะไรๆให้ตนไม่ได้ ย่อมมีสมาธิดีตั้งมั่น เหมาะควรแก่การงานคือสมถะและวิปัสสนาเพื่อความพ้นทุกข์ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ ..

    4. ผู้ประพฤติศีลอยู่ย่อมไม่ถึงทางตันในการเจริญกุศลอื่นๆ เพราะจิตที่เป็นไปกับศีลย่อมแคล่วคล่องเอื้อเฟื้อต่อบุญต่างๆโดยง่าย..ผิดกับคนไม่ประพฤติศีล ย่อมชำนาญในการเบียดเบียนคนอื่นและคิดเรื่องที่เป็นกุศลไม่ออกเลย..
     
  9. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ทรงศีลห้าทุกลมหายใจเข้าออก
    มีหิริโอตตัปปะประทับอยู่ในดวงจิตคอยกำกับในทุกๆการคิด การพูด การลงมือกระทำ
     
  10. uttitho

    uttitho สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +9
    สำหรับผมนะครับ ทุกอย่างต้องออกมาจากใจ คือ เริ่มจาก
    -การคิดดี คิดอย่างมีสิ
    -มาสู่ การพูดดี พูดอย่างมีสติไตร่ตรอง
    -และสุดท้าย คือ ลงมือทำ ทำดี
    ทุกอย่างต้องต้องเริมมาจากใจ
     
  11. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    [​IMG]
    ไม่ต้อง "โดดเด่น" จนสูงสุดฟ้า
    ขอแค่สูงกว่า "ยอดหญ้า" แต่รู้ "คุณค่าของดิน" ก็พอ​
     
  12. อริยะ ชน

    อริยะ ชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,042
    ที่บอกว่า ทุกวันนี้เจริญ สติ ภาวนาอยู่ นั่นก็เป็นที่สุดแล้ว..ดีกว่านี้ไม่มี..
     
  13. พุืทธวจน000

    พุืทธวจน000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +1,051
     
  14. narong_

    narong_ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +8
    สัญญาอะไรกับใครไว้ บอกอะไรกับใครไว้ ทำให้ได้อย่างที่พูด
    เป็นการทำความดี แบบง่ายที่สุดดดดด
     
  15. llnuhyper

    llnuhyper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +885
    ทุกๆครั้งที่เราทำสิ่งดีๆ อย่าคิดถึงค่าตอบแทนหรือผลพลอยได้ที่จะตามมา
    สนองคืน อย่ายึดติดในคำที่คนเค้าว่า"ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป"
    เพราะการที่คนๆหนึ่งทำชั่วแล้วยังได้ดีอยู่นั้น เป็นเพราะผลของกรรมชั่วยังไม่
    ส่งผลเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้าม คนที่ทำดีแล้วยังไม่ได้ดี ก็เพราะกรรมดี
    นั้นยังไม่ส่งผล เหมือนเราปลูกพืชเพื่อรอผลของมัน ต้องใช้เวลาดูแลให้ดีและ
    เอาใจใส่ตลอดเวลา หากดูแลไม่ดี พืชนั้นก็เหี่ยวไปตายไป ความดีก็เช่นกันก็
    ต้องการดูแลเอาใจใส่ทำให้เสมอต้นเสมอปลาย หลายๆครั้งที่เราทำดีแต่
    ไม่มีคนรู้ แท้จริงแล้วมีสิ่งที่คอยมองการกระทำของเราอยู่ตลอดเวลา

    หมั่นทำดีเข้าไว้ให้สม่ำเสมอโดยไม่คาดหวัง
    แล้วผลแห่งความดีงามจะตอบแทนเรามากเกินกว่าที่เราจะคาดคิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. มะบอม

    มะบอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,255
    ค่าพลัง:
    +5,352
    ทำประโยชน์ให้ส่วนรวม คือการสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม อย่างการยอมเสืยเวลา เสืย โอกาสในบางอย่างของเรา ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อไปสงเคราะห์คนหรือสัตว์รอบข้างใกล้ๆตัวเรา ไปจนถึงสัตว์โลกโดยทั่วไปตามความสามารถ ให้ทำโดยใช้ปัญญา เห็นถึงประโยชน์ที่สมควรพอ และไม่เกินกำลัง คือไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่ทำให้จิิตเศร้าหมอง ไม่ดันทุรังทำในสิ่งที่ตนยังไม่มีกำลังมากพอที่ควรแก่การนั้น เพราะจะกลายเป็นอวดเก่งและไม่ได้ประโยชน์อะไรและอาจเกิดโทษตามมาอีกได้ การอบรมศรัทธาและปัญญาที่สามารถนำมาเข้าคู่กัน ให้เสมอกันได้นั้นสำคัญมากที่สุด สามารถใช้พลิกแพลงปัญหาต่างๆได้ดีอย่างคาดไม่ถึง ขอให้มีความตั้งมั่นในศีลเป็นเบื้องต้น มีการฝึกอบรมจิตใจให้สงบเกิดสมาธิสงบไม่ฟุ้งซ่าน จงพิจารณาให้เกิดปัญญาถึงพร้อมซึ่งคุณธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลายทั้งมวล
     
  17. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ยินยอมที่จะเสียเปรียบผู้อื่นเล็กๆน้อยๆ
    ดีกว่าที่เราจะได้เปรียบเหนือผู้อื่น
     
  18. d_thep

    d_thep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +170
    ผมอนุโมทนา สาธุกับทาน ระบำมาร อย่างแรงครับ...และขอยืมบทความของท่านขึ้นเฟ็สบุคหน่อยครับ เพื่อเป็นประโยชน์ธรรม แต่ปวงชนครับ....
     
  19. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    เจริญสติ ภาวนา ถือเป็นการทำบุญสูงสุดของพุทธศาสนาแล้วครับ

    การที่เราไม่เบียดเบียดคนอื่น(ศึล) ก็ถือเป็นการทำบุญ

    ______________________________________________

    แต่ผมเข้าใจครับ คนที่ชอบทำความดี

    บุญมีหลายอย่างมาก
    ทั้งบุญกิริยาวัตถุ รักษาศีล ฯลฯ
    เพิ่มหลัก พรหมวิหาร๔ ฆราวาสธรรม ๔ สังคหวัตถุ ๔ ในใจด้วยก็ดี
    ดีมากเลยล่ะครับ

    _____________________________________

    ผมบอกไม่ถูกว่าคุณควรจะทำอะไร

    ส่วนตัวผม ถ้าคิดอยากจะทำบุญ ก็ทำทันทีเลยครับ (โดยที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น)

    แล้วสมองเราจะจำเองว่าเราทำอะไรไปแ้ล้ว และเราอยากทำอะไรอีก

    ทำไปเถอะครับ เก็บเล็ก ผสมน้อย จนมันมาก แล้วเดี๋ยวมันก็เต็มเอง

    ___________________________________________

    โมทนาบุญ ด้วยนะครับ
     
  20. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    เอาง่ายๆ ครับ ..ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น

    ขยายความอีกนิดหนึ่ง..

    1)ไม่เบียดเบียนฆ่าฟัน ทำร้าย สัตว์ร่วมโลก

    2)ไม่เบียดเบียนทรัพย์สินของผู้อื่น ด้วยการยักยอก แย่งชิง ฯลฯ

    3)ไม่เบียดเบียนทำลาย ทำร้าย ความรู้สึกของผู้อื่นโดยการไม่แย่งชิงครอบครอง ลูก เมีย ของผู้อื่น

    4)ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยคำพูดที่ไม่จริง คำพูดที่หลอกลวง

    5)ไม่เบียดเบียนตนเอง โดยการดื่มสุราของมึนเมา ผลแห่งการดื่มอาจจะไปเบียดเบียดผู้คนรอบข้างไปด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...