นิสัยของพระโพธิสัตว์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 6 พฤศจิกายน 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    นิสัยของพระโพธิสัตว์


    เทศน์อบรมคณะนักเรียนโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อุดรธานี

    เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๒



    พวกเราทั้งหลายให้เห็นใจพระพุทธเจ้าที่ทรงขวนขวายแทบเป็นแทบตาย สร้างพระบารมีมาเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี่ ๔ อสงไขยแสนมหากัป คำว่า ๔ อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ ๔ หน ถ้าหากเราเทียบก็อย่างเรานับ ๑, ๒, ๓ , ไปถึง ๑ ล้าน พอล้านแล้วก็หยุดที่ตรงนั้นแล้วมานับใหม่ จนถึงล้านเป็นสองล้าน สามล้าน เป็นสี่ล้าน นี่อสงไขยคือนับไม่ได้ ตั้งแต่ครั้งนั้นเขาจะถือเลขไหนเป็นสำคัญไม่รู้ แต่สำหรับเมืองไทยเรานี้ถือเลขล้าน พอถึงล้านแล้วก็หยุดมานับใหม่ ไปถึงล้านแล้วหยุด เพราะฉะนั้นจึงว่าหนึ่งล้าน สองล้าน หรือสิบล้าน ยี่สิบล้าน พันล้าน หมื่นล้าน อยู่ในจุดล้าน เป็นจุดขีดขั้นตายตัวเอาไว้ย้อนมานับใหม่ อันนี้อสงไขยนั่นก็คงหมายเลขล้านนั่นแหละ เป็นแต่ว่าเขาไม่เรียกล้าน นับไปถึงไหนไม่ทราบแล้วก็นับไม่ได้หนหนึ่ง อสงไขยแปลว่านับไม่ได้หนึ่งหนสองหน ถ้าหากว่าเราเทียบในสมัยปัจจุบันเราก็เรียกว่า ๔ ล้าน กำไรแสนมหากัป หมายความว่าพิเศษออกไปเรียกว่ากำไรๆ นี่ เหมือนอย่างเราไปซื้อของมานี่เราซื้อสิบเราขายมากกว่านั้น นั้นเรียกว่าเป็นกำไร อันนี้ต้น ๔ อสงไขย เศษออกไปอีกแสนมหากัป นี่พระพุทธเจ้าสร้างพระบารมี

    การสร้างพระบารมีของพระพุทธเจ้ามีมากน้อยต่างกัน บางองค์ ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย อย่างน้อย ๔ อสงไขย นับไม่ได้ ๔ หน นับไม่ได้ ๑๖ หน นับไม่ได้ ๘ หน เรียกว่าอสงไขยๆ แล้วก็แสนมหากัปๆ เศษด้วยกันทั้งนั้น นี่กว่าจะเต็มสมบูรณ์ความเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าน้ำกว่าจะเต็มตุ่มเต็มถังนี้ก็ ๑๖ อสงไขย กว่าจะเต็มตุ่ม ตุ่มใหญ่ ตุ่มแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า บรรจุอรรถธรรมไว้อยู่นั้นหมด พุทธวิสัยความสามารถของพระพุทธเจ้าอยู่นั้นหมด ไม่มีใครมีความสามารถเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะเวลาสร้างก็สร้างเอาหนักเอาหนา ฟังซิว่า ๔ อสงไขยนับไม่ได้ถึง ๔ หน ถ้าเราเทียบอย่างทุกวันนี้ก็เรียกว่า ๔ ล้านแล้วอีกแสนมหากัป คำว่ากัปหนึ่งนี้นานแสนนานนะ จึงเรียกว่าหนึ่งกัปอีกด้วยนะ แสนมหากัปอีกด้วย นั่นมากไหม ๔ อสงไขยแล้วยังแสนมหากัปอีก มากขนาดไหน กัปหนึ่งนี้นานแสนนานกว่าจะนับเป็นกัปหนึ่งได้ กัปหนึ่งกัลป์หนึ่ง

    นี่ละพระพุทธจ้าแต่ละพระองค์ๆ ทรงพยายามอุตส่าห์ทุกสิ่งทุกอย่าง คอก็ตัดขาดไปได้เลยเพื่อสร้างพระบารมี ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเสียดาย คิดดูอย่างพระพุทธเจ้าของเราชาติสุดท้ายที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้านี้ก็ทานกัณหา - ชาลี ใครล่ะทานได้ ทานแล้วพราหมณ์เอาไปเฆี่ยนตีต่อหน้าต่อตาอยู่นั่น ถ้าธรรมดาแล้วพราหมณ์นั้นคอขาดเลย ตีลูกให้เห็นต่อหน้าต่อตาของเจ้าของทานจะทนได้ยังไงคนเรามีกิเลส ฉวยได้ดาบก็ตัดคอพราหมณ์ ไม่ได้กัณหา - ชาลีไปเลยละ กัณหา - ชาลีก็ต้องกลับคืนมา เพราะพราหมณ์นั้นคอขาดแล้ว เนื่องจากมาเฆี่ยนต่อหน้าตีต่อหน้าต่อตาของเจ้าของทาน อับดับที่สองอีกก็ทานพระนางมัทรี พระนางมัทรีคือพระชายาคู่พึ่งเป็นพึ่งตายเหมือนเงาเทียมตัว

    ชายาๆ แปลว่าผู้เกิดพร้อมกัน พระนางมัทรีนี้เกิดพร้อมกันกับพระพุทธเจ้า นี่ละคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย พระองค์ก็สละให้ทานได้ ทีนี้ในชาติพระเวสสันดรการให้ทานก็ไม่มีใครเป็นคู่แข่งทาน จนกระทั่งชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่พออกพอใจ ขับไล่ไสส่งพระองค์หนีจากเมือง ขับออกจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เข้าอยู่ในป่าเขาวงกต พระองค์ก็ยอมไปเขาให้ไปก็ไป เรื่องของชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่พอใจเพราะการให้ทาน เอาช้างมงคลนั่นแหละทานแล้วเขาไม่พอใจ จึงขับไล่พระองค์ไปอยู่เขาคิรีวงกตโน่น พระองค์ก็ยอมไป แต่เรื่องนิสัยของพระโพธิสัตว์จะสร้างบารมีนั้นไม่ยอมถอย ไปในป่าไม่มีอะไรทานก็ยกกัณหา – ชาลีทาน ยกพระนางมัทรีทาน นั่นฟังซิ

    นี่ละวิสัยของพระโพธิสัตว์ไม่มีคำว่าถอย โลกเขาไม่ยินดีเขาขับไปไหนก็ไป แต่เรื่องพระอัธยาศัยหรือนิสัยของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ยอมปล่อยวางเลย เพราะนักทาน คำว่าโพธิสัตว์คือผู้ที่จะตรัสรู้ข้างหน้า แปลออกแล้วเป็นอย่างนั้น เป็นผู้ที่มีความเมตตาสงสารมากมาโดยลำดับลำดา ไปอยู่ในฝูงสัตว์ก็ให้อภัยแก่สัตว์ เจ้าของยอมตายแทนสัตว์ได้ เป็นหัวหน้าสัตว์ เจ้าของยอมตายทีเดียวๆ อยู่กับสัตว์ เอ้า สัตว์อดให้พระองค์อดเสียก่อนให้สัตว์อิ่ม พวกบริษัทบริวารอิ่มท้อง พระโพธิสัตว์ถึงจะอิ่มทีหลัง

    ทีนี้เวลามาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ความเมตตาสงสารนี้เราอย่ามาพูดเลยเม็ดหินเม็ดทราย ที่อื่นที่ไม่มีเม็ดหินเม็ดทรายยังมีอีก พระเมตตาของพระพุทธเจ้าไปได้หมด ถ้าว่ามีแต่เม็ดหินเม็ดทรายมันก็จะมีอยู่ในแผ่นดินนี้เท่านั้นเม็ดหินเม็ดทราย พระเมตตาของพระพุทธเจ้าก็จะมีอยู่เพียงแผ่นดินนี้ เพราะมีเม็ดหินเม็ดทรายอยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าพระเมตตาแทรกอยู่ทุกเม็ดหินเม็ดทราย เลยจากเม็ดหินเม็ดทรายไปอีก เทียบกับท้องฟ้ามหาสมุทรสุดสาคร ในสามภพนี้พระเมตตาของพระพุทธเจ้าหยั่งถึงหมด มากยิ่งกว่าเม็ดหินเม็ดทรายนี้อีก นี่ละเวลาพระองค์สร้างพระบารมี สร้างมาเต็มที่แล้ว

    เวลาขวนขวายที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบันเราก็เห็นแล้ว สลบไสล เป็นยังไงถอยไหมพระพุทธเจ้า สลบก็ยังไม่ถอย เอ้า ฟื้นขึ้นมาเอาอีก สลบลงไป ฟื้นขึ้นมาสู้อีกไม่ถอย จนได้ตรัสรู้ เก่งไหมฟังซิ เราหาใครมาเทียบมาเป็นคู่แข่ง นอกจากสลบลงไปบนหมอนดังครอกๆ อู๊ย อันนี้ทุเรศนะ พวกนี้พวกสลบบนหมอน เสื่อขาด ขาดนี่เพราะนอนทั้งวันไม่ตื่น นี่พวกเรามันพวกอย่างนี้ พระพุทธเจ้านั่นสลบเอาจริงๆ ต่อสู้จนถึงขั้นสลบ

    นี่เวลามาตรัสรู้ธรรมแล้วทรงเล็งญาณในเดี๋ยวนั้นเลย ว่าใครจะสามารถรู้ธรรมเห็นธรรมของเราตถาคตที่รู้อยู่เวลานี้ได้และทรงธรรมนี้ได้ จะมีใคร ก็เล็งไปถึงดาบสทั้งสองที่พระองค์เคยไปอาศัยอยู่ ก็ทรงทราบในพระญาณนั้นเอง พระญาณคือความหยั่งทราบ ไม่ใช่หลักฐานพยานนะ พระญาณปรีชาสามารถ ละเอียดแหลมคมยิ่งกว่าปัญญาเข้าไปอีก ท่านจึงเรียกว่าญาณ คือความซึมซาบไปหมดเลย นี่พระองค์ก็ทราบว่า โห เสียดายได้สิ้นเสียตั้งแต่เมื่อวานนี้ คือดาบสทั้งสองนั้นตายเสียเมื่อเย็นวานนี้ ถ้าหากว่ายังอยู่แล้วพระองค์จะเสด็จไปโปรดสองดาบสนี้ก่อน

    จากนั้นมาก็เล็งญาณอีก ก็เห็นเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จึงได้เสด็จไปโปรดพระเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จากนั้นก็มีเมตตาสงสารสัตว์ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าจะทรงทำได้แล้ว ยังไงก็ไม่ถอย จนกระทั่งวันปรินิพพาน ไม่มีคำว่าหยุดว่าถอยในการสงเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลาย นี่ละให้เราเห็นใจพระพุทธเจ้าที่ทรงอุตส่าห์พยายามเพื่อสัตว์ทั้งหลาย ท่านไม่ได้หวังเอาอะไรจากสัตว์เลย เห็นสัตว์ตกอยู่ในความทุกข์ความลำบากทรมานแล้วก็เมตตาสงสาร ถ้าเป็นบันไดก็ยื่นบันไดลงไปให้ ยื่นมือลงไปให้จับ ฉุดลากขึ้นมา ๆ เหนื่อยยากขนาดไหนไม่ได้คำนึงถึงพระองค์ คำนึงตั้งแต่สัตว์ทั้งหลายที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์นั้นเท่านั้น นั่นละความเมตตาของพระพุทธเจ้านี่เป็นอันดับหนึ่ง มาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก

    ธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสั่งสอนนี้ไม่มีใครจะมาสั่งสอนได้นะ ความรู้อย่างพระพุทธเจ้าไม่มีความรู้ใดเสมอได้ อันดับที่สองก็ความรู้ของพระอรหันต์ ความบริสุทธิ์นั้นเสมอกันกับพระพุทธเจ้า จิตใจนี้เปิดโล่งเหมือนกันหมด เป็นความบริสุทธิ์พุทโธ นี่เรียกว่าเต็มดวงเหมือนกัน ถ้าเป็นพระอาทิตย์ก็เต็มดวง นี่คือความสว่างกระจ่างแจ้งของจิตใจที่หลุดพ้นจากทุกข์ อันนี้เสมอกันกับพระพุทธเจ้า แต่พุทธวิสัยคือวิสัยของพระพุทธเจ้า กับสาวกวิสัยคือวิสัยของสาวก นั้นต่างกัน ถ้าเป็นภาชนะหรือถ้าเป็นถังก็ถังพระพุทธเจ้านี้ถังใหญ่ ถังของสาวกแต่ละถังๆ แต่ละองค์ ๆ นั้นลดกันลงมา แต่น้ำเต็มถังท่านเหมือนกัน ความเมตตาสงสารเต็มหัวใจท่าน จากใจที่บริสุทธิ์เต็มหัวใจเช่นเดียวกัน นี่ละให้เราเห็นใจพระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง เห็นใจของพระสาวกทั้งหลายที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ตะเกียกตะกายจนได้ตรัสรู้ หรือบรรลุธรรมได้เป็นพระอรหันต์ แล้วสั่งสอนโลกแทนพระพุทธเจ้าเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

    มาปัจจุบันนี้ก็เห็นอยู่แล้ว หนังสือนี่ออกมาจากไหน ก็ออกมาจากพระพุทธเจ้า ธรรมของพระพุทธเจ้าเอามาสอนนี่ เพราะฉะนั้นเวลาเราเอาไปอ่าน อย่าได้อ่านด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน อ่านให้กิเลสมัดคอไว้อ่าน เป็นยังไงกิเลสมัดคอไว้ คือมันไม่ปล่อยให้เป็นอิสระ ให้ได้อ่านหนังสือธรรมะสะดวกสบาย พอจับหนังสือธรรมะขึ้นมาแล้ว มันจะรัดคอรัดแข้งรัดขาไปหมดแหละ เจ็บนั้นปวดนี้ยุ่งไปหมด การงานก็ยุ่ง ถ้าเวลาจะอ่านหนังสือธรรมะนะ กิเลสมันผูกมันมัดอย่างนั้นเอง เราปล่อยทั้งหมดเรื่องเหล่านี้ เวลาเราอ่านธรรมะ อ่านพินิจพิจารณาแล้วธรรมะนี้จะซึ้งเข้าสู่จิตใจ เมื่อธรรมะซึ้งเข้าสู่จิตใจแล้ว ใจจะเย็น ใจจะมีเหตุมีผล มีการยับยั้งชั่งตัวได้ แล้วก็ได้สนุกพิจารณาแหละที่นี่ อันใดผิดอันใดถูกพิจารณา อันใดควรทำอันใดไม่ควรทำ

    เพราะการทำทั้งสองคือดีและชั่วนี้ เราเป็นผู้จะรับผลของกรรมทั้งสองประเภทนี้ ไม่มีผู้อื่นใดจะมารับแทนเราได้ เพราะฉะนั้น การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของผู้มีธรรม ต้องเป็นผู้พินิจพิจารณาเต็มหัวใจ นอกจากผู้ไม่มีธรรมแล้ว อยากอะไรก็โดดผึงๆ หัวขาดขาด้วนก็ขาดลงไปๆ ไม่ได้สนใจไม่เข็ดไม่หลาบ ก็คือคนไม่มีธรรมะในหัวใจนั่นเอง นี่เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต มีธรรมะในหัวใจ ขอให้เอาไปพินิจพิจารณา

    พระพุทธเจ้าเป็นนักใคร่ครวญที่สุด พระสาวกอรหันต์เป็นนักใคร่ครวญที่สุด นักพิจารณาละเอียดลออที่สุด ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน ถ้าพูดถึงเรื่องความละเอียดลออแห่งจิตใจ เพราะใจนั้นใจบริสุทธิ์ นี่เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต ถึงจะไม่ได้อย่างนั้นก็ตาม ขอให้ใช้ความพินิจพิจารณาเสียก่อน อยากจะทำอะไรอยากจะไปจะมา อยากจะเตร็ดเตร่เร่ร่อนไปไหนบ้างเป็นธรรมดาของคนมีหัวใจก็มีบ้าง แต่อย่าให้เป็นจนกระทั่งถึงปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเสียผู้เสียคนไปหมด ศักดิ์ศรีของมนุษย์จะไม่มีเหลือเลยให้กิเลสเอาไปกินหมด เปิดดูภายในตับไม่มีปอดไม่มีอะไรเหลือ ไส้พุงก็ไม่มี กินข้าวแล้วไม่ทราบไส้พุงมันหายไปไหน กิเลสเอาไปกินหมด

    กินก็ไม่กินธรรมดากินแบบโลภ กินจะเอาให้ตายเหมือนพราหมณ์ ถ้าว่านอนก็นอนจะเอาให้ตายจนจะให้พระไปกุสลา ใครจะไปกุสลาคนนอนหลับ ถ้าตายจริงๆ ก็จะไป อย่างเมื่อวานนี้ก็ไป เขามานิมนต์ไป นั่นมันตายจริงๆ ไม่ใช่คนนอนหลับครอกๆ ไม่มีวันตื่นแล้วให้ไปกุสลา มีแต่ค้อนแต่ไม้ที่เราจะเอาไปกุสลา เป็นยังไงฟังซิ เอาให้มันชัดเจน หลวงตาพูดให้ถึงเหตุถึงผล เรื่องของมันเป็นอย่างนี้ พูดให้เห็นเหตุเห็นผล นี่ละให้ใช้ความพินิจพิจารณา อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว

    ไม่มีอันใดมีคุณค่ายิ่งกว่ามนุษย์ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้นะ เงินจะมีเป็นกี่หมื่น ๆ แสนๆ ล้านๆ ก็ตาม ไปจากมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้ผลิตขึ้น มนุษย์เป็นผู้ใช้ ถ้าหากว่าเรามีความเฉลียวฉลาด เงินทุกบาททุกสตางค์จะมาเป็นผลเป็นประโยชน์ หนุนเราให้มีความสุขความเจริญ เป็นแก้วสารพัดนึกได้เลย แต่ถ้าเราเป็นคนชั่วคนไม่ดีเสีย เงินทั้งหลายนั้นก็กลายมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เราหมด เพราะเราไปกว้านเอามาซื้อสิ่งของที่มันจะเป็นภัยละซี

    ยกตัวอย่างเช่นเฮโรอีนเป็นยังไง ยาเสพย์ติดต่างๆ เป็นยังไง เอาไปซื้อมาดูซิ ไม่กี่บาทกี่สตางค์ละมันจะติด ทีนี้เมื่อติดแล้วไม่ซื้ออยู่ไม่ได้ นั่นแหละเงินเหล่านี้เป็นภัยทั้งหมดที่นี่ มาเสริมฟืนเสริมไฟให้เผาไหม้เจ้าของที่โง่ๆ นั่นแหละให้ตายทั้งเป็น เพราะฉะนั้นจึงต้องถือเจ้าของเป็นของสำคัญ มีคุณค่าอยู่กับเจ้าของ เจ้าของต้องพินิจพิจารณาให้ดี เป็นเจ้าของของสมบัติใด สมบัตินั้นจะเกิดประโยชน์ทั้งหมด ถ้าเราเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดในการรักษาในการใช้สอยในสิ่งเหล่านั้นแล้ว ถ้าเราเป็นคนโง่แล้วสิ่งเหล่านั้นจะกลายมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เราหมดอีกเหมือนอีก เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณา มนุษย์เราจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาตัว

    ธรรมเป็นธรรมชาติที่ปลอดภัยไร้กังวลทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมเป็นที่ฝากเป็นฝากตายได้ ธรรมคือความพอเหมาะพอดี ความถูกต้องแม่นยำทุกสัดทุกส่วนไม่มีอะไรเกินธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีธรรมเป็นพื้นไว้ในตัวของเรา จะทำอะไรอย่าลืมคำว่าธรรมความถูกต้อง คนเราทั้งคนนี่ถ้าไม่มีความถูกต้องดีงามเข้าไปประดับ เข้าไปแทรกไปซึมแล้ว จะหาคุณค่าไม่ได้ ทีนี้เราอยากเป็นคนไร้คุณค่าไหม ถ้าเราอยากไร้คุณค่าก็ปล่อยตัวไป ปล่อยตัวไปเท่าไรก็ยิ่งแหลกยิ่งเหลวเลวไปหมดเลย

    ถ้าเราพยายามรักษาตัวของเราเราก็มีคุณค่า จะทุกข์จะจนอันนั้นเป็นเรื่องของโลกอนิจจัง ไม่เป็นของแน่นอนอะไร มันเกิดมีมาก็ว่ามี มันหมดไปก็ว่าหมดเท่านั้น แต่ความดีของเราคนดีนี่อยู่ในหัวใจของเรา อยู่ในตัวของเราไม่หาย ให้รักษานี้ให้คงเส้นคงวาเอาไว้ แล้วเราจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรือง อยู่ในบ้านในเรือน ไปนอกบ้านนอกเมือง ไปคบค้าสมาคม ต่างคนต่างได้รับการศึกษาอบรมในทางที่ถูกที่ดีด้วยกันแล้ว เข้ากันได้ง่ายมนุษย์เรา

    ถ้าผีกับเปรตนี้มันเข้ากันได้ยากนะ เข้าไปคอยที่จะกัดกัน นี่ละกิเลสเข้าตรงไหนกัดตรงนั้นทะเลาะตรงนั้น อย่างน้อยซุบซิบๆ นินทาว่าร้ายเขา คนนั้นไม่ดีอย่างนี้ คนนี้ไม่ดีอย่างนั้น ปากนี้มันเก่งมาก ปากไม่มีเบรก ปากสกปรก ปากไม่มีห้ามล้อมันเสีย นี่ปากไม่มีธรรมะเป็นอย่างนั้น ถ้าปากมีธรรมะไม่ต้องบ่น บ่นไปทำไม นินทาเขาทำไม เกิดประโยชน์อะไร ดูเจ้าของนั่นซิเจ้าของเป็นยังไง ผิดถูกดีชั่วใครจะรู้ยิ่งกว่าเจ้าของรู้เจ้าของ ดูเจ้าของนี่มันไม่ดีตรงไหน แก้ไขเจ้าของอยู่เรื่อยๆ ต่างคนต่างแก้ไขเจ้าของแล้วก็ได้ของดีออกมาโชว์กันน่ะซิ

    เมื่อของดีออกมาโชว์มีเท่าไรไม่เฟ้อ ถ้าชั่วแล้วเอาแหละ เฟ้อทันที เห็นไหมคนชั่ว สมมุติว่าอย่างบ้านตาดนี้มีเพียงสามคนเป็นยังไง บ้านนี้จะแตกนี่นะ ไม่ใช่เล่นๆ นะ คนดีมีอยู่เท่าไรไม่เป็นไร ดีหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนเครื่องใช้ไม้สอยของเรา มีมากมีน้อยมีแต่ของดีเสียหมดก็ใช้ดีทั้งนั้น ถ้ามีของเสียเข้ามาดูซิในบ้านนั้นแตกบ้านอีกแหละ ให้จำเอานะ ให้เอาธรรมะนี้ไปพินิจพิจารณา อ่านให้เข้าอกเข้าใจ อ่านพินิจพิจารณา อันดับที่สองก็อย่างประวัติหลวงปู่มั่น นี่เราพยายามตะเกียกตะกายเขียนประวัติของท่านมาให้ท่านทั้งหลายได้เอาไปอ่านให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ

    ธรรมะแต่ละเล่ม ๆ ที่จัดออกมานี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้แต่เราตัวเท่าหนูนี้เราก็ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสเหมือนกันนะ ตามภูมิของเราวาสนาของเรา เมื่อมันลำบากเราก็ต้องว่าลำบาก การลำบากนี้ไม่มีอะไรเกินกว่าการฆ่ากิเลส การรบกับกิเลส การต่อสู้กับกิเลส กิเลสเป็นสิ่งที่แหลมคมมาก เป็นสิ่งที่มีอำนาจมาก กล่อมสัตว์ทั้งหลายให้หลับสนิทได้ทั้งตาลืมๆ อยู่นี่ ว่าอะไรดีหมด ๆ ถ้าลงกิเลสได้กล่อมแล้วหลับสนิทไปหมดทั้งๆ ที่ยังไม่หลับ หัวใจมันหลับแล้ว คล้อยตามไปแล้ว นี่ละกิเลสมันแหลมคมอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น การจะเรียนเพลงธรรมะ เรียนอันใดก็ตาม ถ้าไม่ใช่ธรรมะแล้วแก้กิเลสไม่ตก ฆ่ากิเลสไม่ตาย ต้องหลักธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้านี้เป็นธรรมะที่ได้ฆ่ากิเลสตายแล้ว ธรรมะเกิดขึ้นมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงเอาธรรมะอันนี้มาฆ่ากิเลส เราอย่าเอาอย่างอื่นไปฆ่า มันก็เหมือนกันกับสถานที่นี่สกปรก เอาน้ำสกปรกมาเทลงไปซี มันก็เพิ่มความสกปรกเข้าไป เพิ่มความสกปรกยิ่งขึ้น อะไรมันจะหาย เอาน้ำที่สะอาดมาเทซี มาชะมาล้าง ล้าง ๑ ถังไม่พอ ๒ ถังเข้าไป ๓ ถังเข้าไป สถานที่นั่นก็สะอาดได้ มันจะสกปรกขนาดไหนก็ไม่พ้นการชะล้างด้วยน้ำที่สะอาดไปได้เลย มันจะสะอาดจนได้

    นี่หัวใจของเรามันสกปรกด้วยอำนาจของกิเลสมันโสมมเต็มอยู่ภายในจิตใจ เอาน้ำอรรถน้ำธรรมนี้เข้าไปชะไปล้าง แก้ไขดัดแปลงตนเองไปวันละเล็กละน้อย แล้วก็ค่อยสะอาดไปๆ ก็กลายเป็นคนสะอาด เมื่อใจของเราสะอาดด้วยความสุจริตธรรมแล้ว กิริยามารยาทแสดงออกมาทางใดสะอาดไปหมด นี่ละคนมีธรรม ให้เอาธรรมนี้ไปชำระล้างนะ เพราะคำว่ากิเลสนี่ขนาดอย่างที่ว่านั่นแหละ เราพูดเต็มหัวใจลืมไม่ได้กับเรื่องของกิเลสนี่ พอพูดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ยังคันฟันให้กับกิเลสอยู่นี่ ยังจะต่อสู้กิเลสอยู่นี่ ฟังซิมันเจ็บแสบขนาดไหน ถึงได้ผูกโกรธผูกแค้นกันถึงขนาดนั้นมนุษย์เรา เจ็บแสบขนาดนั้นแหละ

    เรื่องของกิเลสนี่ทำให้เจ็บแสบขนาดนั้น ฟัดกันนี่บางทีมันจะตายอยู่ในภูเขาจะว่ายังไง เดินบิณฑบาตในบ้านไม่ถึงบ้านเขานี่จะตายแล้ว นั่งพักอยู่ตามร่มไม้ นั่งพักอยู่ตามข้างทาง มันไปไม่ถึงจะตายเสียก่อน มันทำไมถึงจะตาย ก็ไม่กินข้าวตั้งหลายๆ วัน นั่น ถ้ากินข้าวแล้วมันคึกมันคะนอง กิเลสราคะตัณหามันก็มาก คนกำลังหนุ่มกำลังน้อยเรานี่ กิเลสมันวิ่งรวดเร็วที่สุดเลย สติตามไม่ทันมัน ยิ่งกินให้มันดีนอนให้หลับสบายๆ แล้วมันตายทั้งเป็นนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ดัดกันทุกด้านทุกทาง เมื่อเวลาดัดลงไป ข้าวก็ไม่ให้กินๆ กำลังมันก็อ่อนลงทางร่างกาย

    ร่างกายเป็นเครื่องเสริมกิเลส เป็นเครื่องมือของกิเลสได้ดี ถ้าเราปล่อยให้อันนี้เป็นเครื่องมือได้ดี ก็คือว่ากินมากนอนมาก อยู่สบายๆ อันนี้ละกิเลสหัวเราะทีเดียว กิเลสสบายมาก ได้เครื่องมือที่ทันสมัย เครื่องมือนี้บอกนอนสอนง่ายที่สุดเลย ทีนี้อะไรมันก็เกิดซี ขึ้นชื่อว่าเรื่องของกิเลส มันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นเราต้องการจะไปให้กิเลสเกิดขึ้นส่งเสริมกิเลส เพาะกิเลสเหรอ หรือเราจะไปฆ่ากิเลส เมื่อเราจะไปฆ่ากิเลส อันใดกิเลสชอบเราต้องดัดกัน

    ธรรมะเราชอบกิเลสยังดัด มันไม่ให้ชอบ ทีนี้กิเลสมันชอบตรงไหน ธรรมะเราก็ดัดเข้าไปๆ ฟันเข้าไป ฟันกิเลสด้วยเหตุใดมันถึงดี เช่น ฟันด้วยการอดนอน เอ้าไม่นอน มันเป็นยังไง เมื่อไม่นอนแล้วได้ผลยังไงบ้าง ภาวนาเดินได้ผลยังไงบ้าง เอ้า อดอาหารมันได้ผลยังไงบ้าง หาอุบายวิธีการ เอาวิธีนี้ไม่ได้หาวิธีนี้มาแก้ หาวิธีนี้แก้ไม่ได้ เอาวิธีนี้มาแก้ นั่นจึงเรียกว่าเป็นความฉลาด เอาจนกระทั่งสู้ได้

    พอจับเคล็ดลับมันได้แล้ว อ๋อ กิเลสตัวนี้ต้องฆ่าวิธีนี้ เมื่อฆ่าวิธีนี้ได้ผลแล้วจะปล่อยวิธีนี้ไปเป็นวิธีอื่นซึ่งไม่ได้ผล ไปปล่อยได้ยังไงคนเรา เมื่อได้ด้วยวิธีใด ได้ผลได้ประโยชน์ด้วยวิธีใด มันก็ต้องฝืนต้องบืนซีคนเรา เช่น ได้ประโยชน์ด้วยการอดหลับอดนอน ด้วยการผ่อนอาหาร อดอาหารก็ต้องอด หิวจนจะตายก็ต้องได้อดแหละ เพราะกิเลสมันหมอบเวลาอดอาหาร ภาวนามันก็ดีดมันก็ขึ้น จิตใจสง่างาม จิตใจสว่างกระจ่างแจ้งไปทั่วแดนโลกธาตุนี่จะว่าไง ฟังซิ ตาเรามันเห็นแต่แค่นี้เท่านั้น ใจนี่อะไรจะมาปิดบังได้ สว่างกระจ่างแจ้งไปหมดทั่วแดนโลกธาตุอะไรจะไปเกินใจ เพราะฉะนั้นใจจึงเป็นของเลิศประเสริฐสุด จึงต้องให้บำรุงหัวใจเรา นี่ท่านสอนตรงนี้

    นี่เราพูดถึงเรื่องกิเลสมันแหลมมันคมมันละเอียดลออมาก อำนาจของมันนี้กล่อมตรงไหนหลับสนิทๆ ไปหมดไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด สัตว์ในสามแดนโลกธาตุนี้อยู่ในเพลงของกิเลสที่กล่อมให้หลับสนิทด้วยกันทั้งนั้น นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านกล่อมท่านไม่ได้ ท่านฆ่ามันสังหารมันแล้ว จึงได้เห็นว่าเพลงของมันนี้เก่งมาก เพลงของมันละเอียดมาก แหลมคมมากทีเดียว แล้วจึงได้มาสอนโลกทั้งหลายนี่ สอนโลกให้รู้วิธีแก้กิเลส ถ้ากิเลสยังมีบนหัวใจมากน้อย ยิ่งไม่มีธรรมะด้วยแล้ว คนนั้นจะตายทั้งเป็น กุสลา ไม่ทันนั่นแหละ ตามกุสลาไม่ทัน ถ้ามีธรรมะเข้าแทรกยังพอฟัดพอเหวี่ยง มีแพ้มีชนะกันได้ มีทีได้ทีเสียบ้าง พากันจำเอานะ

    นี่แลเรื่องกิเลสมันละเอียดขนาดนั้นละ จึงว่ามันลืมไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ลืมไม่ได้ ประวัติของท่านมีมาจนกระทั่งป่านนี้เห็นไหม พระองค์สลบ พระองค์ทำงานอะไรเคยสลบไหม เป็นพระเจ้าแผ่นดินมา ๑๓ ปีพระองค์เคยสลบไหม ไม่เห็นสลบ เวลามาฟัดกับกิเลส ๖ ปี สลบ ๓ หน นั่นฟังซิทุกข์ไหม พระสาวกก็เหมือนกัน บางองค์ฝ่าเท้าแตก เดินจงกรมนี่ เดินไปเดินมาฆ่ากิเลสจนกระทั่งฝ่าเท้าแตก กิเลสยังไม่แตก ฝ่าเท้าแตกเสียก่อน แล้วตานี้แตก โน่นพระจักขุบาล อดนอนไม่นอน ไม่ยอมนอน จนกระทั่งตาพิการขึ้นมา หมอเขาว่าต้องนอน โห นอนไม่ได้ เราได้ตั้งสัจอธิษฐานแล้วว่า ๓ เดือนนี้จะไม่นอน ท่านก็ไม่ยอมนอน ตาแตกแตกไปท่านว่ายังงั้น เอ้า ตาก็แตก กิเลสก็แตกสะบั้นออกจากหัวใจกลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาในเวลานั้นนั่นแล

    นั่นฟังซิ ทุกข์ไหมลำบากไหม นี่ท่านจะลืมได้ยังไง พระอรหันต์แทบทุกองค์ท่านเป็นอย่างนั้น ท่านก็ลืมไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ลืมไม่ได้ จึงได้เขียนประวัติมาให้พวกเราทั้งหลายทราบว่า คือกิเลสมันเก่งขนาดนั้นนะ ความหมายว่าอย่างนั้น ไม่เอาจริงเอาจังไม่ได้นะว่างั้น นี่ละท่านเอาธรรมะมาสอนพวกเรา

    ถึงเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ตาม ไม่ได้แบบนั้นก็ตาม ขอให้ได้แบบลูกศิษย์มีครู ให้เอาไปประพฤติปฏิบัติตามสติกำลังความสามารถของตน อย่าให้แต่กิเลสเอาไปถลุงเสียทั้งวันทั้งคืน นอนอยู่ก็ถลุง แล้วแต่ว่าจะตื่นเมื่อไร ตื่นขึ้นมาแล้วก็เพลิน เอาไปถลุงทางเพลิน เอ้า การจับจ่ายใช้สอยมีมากมีน้อยเอาหมดกระเป๋า เพลินเอาไปถลุงๆ เสียทั้งหมด สิ่งใดที่มีให้กิเลสเอาไปใช้และถลุงแหลกๆ ไม่มีคำว่าพอประมาณ ไม่มีคำว่าพอดิบพอดี ถ้าลงว่ากิเลสได้ถือบังเหียนแล้วเสร็จเลย เพราะฉะนั้น ให้ธรรมถือบังเหียนซิ ธรรมถือบังเหียนจะรู้จักความพอดี ใช้สอยอะไรความพอดีให้มีประจำ จะควรซื้ออะไรพิจารณาดูก่อน ซื้อนี้เป็นประโยชน์อะไร ถ้าไม่เป็นประโยชน์ไม่ซื้อ อย่างนั้นซีจึงเรียกว่าธรรม ธรรมกำกับไว้ตลอดเวลา

    อันใดที่ควรซื้อควรหาค่อยซื้อค่อยหา อันใดไม่ควรก็ไม่ต้องเอา บังคับ เรื่องความอยากมันไม่ถอย เพราะเรื่องของกิเลสมันจะถอยเมื่อไรล่ะ มันไม่ถอยแหละ เอาธรรมะสกัดความอยากด้วยเบรกห้ามล้อไว้กึ๊ก เอา อยากเท่าไรก็อยากเถอะเราไม่ซื้อ เพราะเหตุผลบอกอยู่แล้วว่าซื้อมาก็เพื่อทำลายตัวเอง คนเราจะตั้งใจซื้อเครื่องสังหารมาทำลายตัวเองมีอย่างเหรอ นั่นเท่านั้นหยุด แล้ววันหลังเบาลงๆ คราวต่อไปนี้ฟังเหตุฟังผล เราจะทำอะไร ไปมาอะไรก็ตาม ควรหรือไม่ควร มันจะบอกทันทีในหัวใจนั่นแหละ เมื่อไม่ควรแล้วหยุดไม่เสียดายๆ ไม่ได้ฝืนกันเหมือนดังแต่ก่อน นี่ละการฝึกตนต้องเป็นอย่างนี้

    ขอให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้นำธรรมะนี้ไปประพฤติปฏิบัติ เราจะเป็นคนดีมีสง่าราศีมีความสุขความเจริญทั้งปัจจุบันและอนาคต คำว่าอนาคตคือจิตดวงนี้แหละ ย้ายออกจากร่างกายนี้มันจะไปสู่ร่างกายข้างหน้า ร่างกายข้างหน้าในภพหน้านั่นมันมีความดีไหม ถ้าไม่มีความดี ความจมมันจะมีอยู่ในนั้นแหละ คนเรามันไม่ทำความดีมันมักทำชั่ว ส่วนมากมักทำแต่ความชั่ว ตายแล้วจม นี่เราอยากจมละเหรอ คิดตั้งแต่เราอยู่ในโลกกับมนุษย์เขา เราไม่ได้จมไปไหน ทุกข์เรายังรู้ว่ามันทุกข์ ลำบากเรายังรู้ว่าลำบาก จนยังรู้ว่าจน แล้วไปเมืองผีใครจะตามไปส่งเสียอะไรๆ ต่อเรา ใครจะไปสงเคราะห์สงหาเรา ไม่มีใครสงเคราะห์ใครนะ ถ้าเจ้าของไม่ได้จัดการทำเจ้าของ รับรองเจ้าของ ยืนยันเจ้าของ ด้วยความดีทั้งหลายเสียตั้งแต่บัดนี้แล้วไม่มีทาง จำให้ดีนะ

    เอาละพอ


    คัดลอกจาก Luangta.Com -
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ถ้าจำไม่ผิด สมัยโบราณ เขานับถึงโกฏิ ล้านแล้วไปโกฏิ สมัยนี้เขาว่าไม่เหมาะ เพราะคำว่า โกฏิ คล้ายโกฏิผี จึงยกเลิก ถ้าผิดขออภัย จริงๆคำว่ากัป หรือ ๑ กัป เขาอุปมาไว้ดังนี้ครับ มีภูเขา สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปีของเรา เท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วันเดือน ปี มีเหมือนมนุษย์ แต่ ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับ ๑ วันของเขา แล้วคูณไปครับ ๑๐๐ ปีของมนุษย์ เทวดา จะเอา ผ้ามาปัด ๑ ครั้ง จนกว่าภูเขาจะเหี้ยนเต้ เสมอแผ่นดินครับ เรียกว่า อายุ ๑ กัป ครับ อุปมาอีกแบบหนึ่งครับ มีถัง บรรจุเมล็ดพันธุ์ผักกาด อยู่หนึ่ง ถัง สูงหนึ่งโยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปีของเรา เทวดาเอาออกมา ๑ เม็ด จนเมล็ดพันผักกาด หมด จากถัง เรียกว่า อายุ ๑ กัปครับ

    จริงๆ ผมพูดมาหลายกระทู้แล้วครับ เห็นอุปมาไม่ค่อยจะถูกกัน เลยเข้ามาทำความเข้า ใจ ให้ฟังอีกครั้งครับ ๑ อสงขัยกัป เรียกว่า นับไม่ได้ คำนวนไม่ได้ เรียกว่า อายุ ๑ อสงขัยกัป เอาแค่กัปเดียว ก็ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นล้านปีแล้วครับ เกิดกัน เป็นพันเป็น หมื่นชาติแล้วครับ ถ้านับ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน หนึ่ง ล้านๆล้าน แล้วนับต้น ไปอีก ร้อยล้านๆ พันล้านๆ หมื่นล้านๆ แสนล้านๆๆ หนึ่ง ล้านๆๆๆไปเรื่อยๆจนนับไม่ได้ คำนวนไม่ได้ โน่น แหละครับ จึงเรียกว่า ๑ อสงขัยกัปครับ ตอนท้ายนี่ ต้องนับเป็นกัปนะครับ ไม่ใช่ปี เช่น ๑-๑๐ กัป ๑๐๐ กัป ล้านกัป ไปเรื่อยๆ จนนับไม่ได้นั่นแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2012
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    หลวงตามหาบัวท่านอุปมาคร่าวๆ ว่าขนาดล้านยังเรียกว่าเยอะเลย อสงไขยนี่มากกว่า 1 ล้านอีก

    อสงไขย ในแง่การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าเป็นคำ prefix ที่หมายถึง 10 ยกกำลัง 140 (หนึ่งแล้วตามด้วย 0 ทั้งหมด 140 ตัว)

    ก่อนเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ตอนที่ 2 : เรื่องของอสงไขย | drronenv

    ส่วนคำว่ากัปคืออายุของจักรวาลตั้งแต่กำลังจะเกิด ขยายตัว เริ่มคงตัว จนกระทั่งสลายตัวดับไป ที่คุณบุญทรง พูดถึงว่า เทวดาเอาผ้ามาลูบภูเขา กับเรื่องเมล็ดผักกาด กับกล่องลูกบาศก์ นั้น ไม่ใช่ระยะเวลา 1 กัปครับ พระพุทธเจ้าบอกว่าการทำเช่นนี้ยังไม่ถึงเสี้ยวนึงของกัปเลย


    ก่อนเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ตอนที่ 3 : เรื่องของกัป | drronenv
     
  4. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    กัปที่พูดถึงในแง่ ของอายุจักรวาล เรียกว่ามหากัป
    ส่วนอายุกัปจะหมายถึงช่วงอายุขัยของมนุษย์ เช่น อายุกัปของคนสมัยพุทธกาลก็คือ 100 ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤศจิกายน 2012
  5. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    นโม วิมุตานัง นโม วิมุตยา

    ขอนอบน้อมแด่ธรรมที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
    ขอนอบน้อมแด่ผู้ที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ตั้งแต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า จนถึง พระอรหันต์สาวกทุกองค์ไม่ว่าจะนิพพานแล้วก็ตามหรือยังดำรงขันธ์อยู่ก็ตาม
     
  6. วิปัศย์

    วิปัศย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +1,443
    คนกำลังหนุ่มกำลังน้อยเรานี่ กิเลสมันวิ่งรวดเร็วที่สุดเลย สติตามไม่ทันมัน ยิ่งกินให้มันดีนอนให้หลับสบายๆ แล้วมันตายทั้งเป็นนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ดัดกันทุกด้านทุกทาง เมื่อเวลาดัดลงไป ข้าวก็ไม่ให้กินๆ กำลังมันก็อ่อนลงทางร่างกาย

    อนุโมทนาครับ
     
  7. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,500
    สาธุ ๆ ๆ ขอน้อมกราบหลวงตา...
    และ ขออนุโมทนา ท่าน จขกท ด้วยนะครับ
     
  8. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool: ตั้งแต่อายุผม ๑๐ กว่าขวบ ผมฟังพระเทศ ท่านอุปมาอุปไม มาพอสมควร ผมว่าคุณ รณจักร อ่านไม่เข้าใจมากกว่า ผมเข้ามาดู ครั้งนี้ ครั้งที่ ๓ แล้ว เลยขี้เกียจตอบ เลยมาตอบวันนี้ครับ และไม่ได้ ฟังพระท่านเทศ อย่างเดียว ยังอ่านตำราหนัง สือ หลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุงด้วย ท่านพูด บอกคล้ายกันครับ ถ้าคุณ อ่านเข้าใจคงไม่พูด แบบนี้หรอกนะ และผมก็ยังพูดไม่ละเอียดด้วยซ้ำไป หลวงพ่อฤาษี ท่านเรียนจบมหาเปรียญ ๔ ประโยชน์ และยัง สอนกรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัฏฐาน ๔ และได้ เขียนเป็นตำหรับ ตำรา มาให้ได้ ศึกษากัน มาสอนให้เข้าใจง่ายเข้า

    [COLOR ไม่ต้องไปอ่านพระไตร ปิฎกให้ปวดหัว เข้าใจยาก เพราะ หลวงพ่อ ท่านแปล มาให้เสร็จแล้วด้วยครับ เหมือนเอา ขนมออกมาให้เรา ใกล้ปากแล้ว แต่เรานั้นจะเอามันมากินหรือเปล่า เท่านั้นเอง คือศึกษานั่นเอง แต่ใครเล่าจะเอา คำสอนมาได้หมด ยิ่งน้อยนัก ตามแต่ใครจะเอาไปได้เท่าไร ต่างหากครับ หลวงปู่มหาบัว ผมรู้จัก และได้กราบท่านที่ วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก จ. สุพรรณบุรี ผ้าป่าช่วยชาติ หลวงพ่อสังวาลย์ ท่าน ฝ่ายมหานิกาย แต่ไม่จับปัจจัย เหมือน ธรรมยุต และยิ่งเคร่งครัดพระวินัย มากกว่า ธรรมยุต บางวัด ด้วยซ้ำไป ผมน่ะ ในประเทศไทย ยังไม่ได้ไป แถวใต้เท่านั้น เองตั้งแต่ ประจวบขึ้นไป [/COLOR]


    [COLORนอกนั้นไปมาหมดแล้ว และพอจะเข้าใจอะไรได้ พอสมควร รู้มาอย่างไร จะพูดแบบนั้นถ้าผิด ก็ขออภัย เราอาจพาดพั้งได้ แต่บางอย่าง ที่รู้แน่ชัด ก็ยังยันเหมือนเดิม และแถม ให้อีก หลวงพ่อ ฤาษี ท่านบอกชัดเจน ว่า กัปนี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถึง ๑๐ พระองค์ และยังยันเรื่องกัป เหมือนเดิม อุปมาครับ แต่ ยังไม่ตายตัวนัก อาจจะมากกว่า หรือน้อยกว่าได้ ท่านว่าอย่างนั้น หลวงปู่ บุญเหลือ ท่านเป็นฆราวาส ท่านก็พูด ว่ากัปนี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๑๐ พระองค์ และบอก ชื่อทั้ง ๑๐ พระองค์ด้วย ตอนนี้มรณะไปแล้ว อยู่ จ.หนองคาย ศาลาแก้วกู่ครับ [/COLOR]

    ผมน่ะเคยได้สัมผัส พระโพธิสัตว์ พระอริยะ เจ้า ทั้งผู้หญิงผู้ชาย นักบวช แม้แต่ หมาที่เป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ต่ำกว่า ๕๐ ท่าน แต่หมา ตัวอย่างไม่ต่ำกว่า ๓ ท่านสิงห์ดอก หมาหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง พุทธภูมิ เกิดอีก ๓ ชาติ บารมีเต็ม เจ้าโทน และท่านได้บอกเรื่องพระพุทธเจ้า องค์แรกของโลก ซึ่งไม่มีใครรู้จักมาก่อนเลย นะบัดนี้ คนรู้จัก กันไปแทบจะทั้งโลกแล้วครับ และยังมีเรื่องละเอียดนี้อีกมากมายนัก ที่คุณไม่รู้ สิ่งใด คุณรู้ แต่ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมรู้ แต่คุณไม่รู้นี่ซิ ยังมีอีกเยอะ ถ้าพูดกัน ๓ วัน๓ คืนยังไม่จบเลยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2012
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    คำว่า ภัทรกัป กับคำว่า กัป มันไม่เหมือนกันนะครับ และตัวอย่าง ทศวรรค์ กับ สัตตวรรค์ ก็ไม่เหมือนกัน ผมก็รู้ไม่มาก แต่แค่รู้เค่าๆ พอจะอนุมานได้ครับ คำว่า กัป กับคำว่ามหากัป มันก็ต่างกัน มหาแปล ว่าใหญ่ กว่า คนเรียน จบ ป.๔ เหมือนกัน แต่ ความสามารถไม่เท่ากัน ตัดจบกิเลส หมดเหมือนกัน แต่ปัญญาไม่เท่านกัน และความสามารถ ก็มี ๔ แบบ ๔ แบบก็ไม่เท่ากัน ตามแต่ การอบรม สั่งสมมาครับ และการเป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เสมอกัน ต่างกัน ที่อายุ พระสาวก ลาภ และประกาศพระศาสนา เพราะว่า มนุษย์มีอายุต่ำสุด ๑๐ ปี สูงสุด ถึง ๑ แสนปี แล้วแต่ช่วง โอกาศ ยุคสมัย และการสั่งสมมามากน้อย ไม่เท่ากัน เนี่ย เห็นปล่าว
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    การเรียนอย่างเดียว ศึกษาหาความรู้ มันต้องปฏิบัติด้วยไม่มากก็น้อย ไปตามกำลังของเรา เรียนอย่างเดียว มันคอยจะค้าน วัดหลวงพ่อ ฤาษี ท่านบอก ใครอยาก สอบ ดูตำรา ฟังเทป แล้วไปสอบ ท่านไม่ให้มีสำนักเรียน ถ้าเรียนแล้ว มันไปติดยศ อำนาจมากจนเกินไป หลงกิเลส เหลิง เอาความรู้ไปบีบคนอื่น ถ้าเรียนด้วย ปฏิบัติด้วย ท่านพวกนี้เก่ง ทั้งทฤษดี และปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ ตำแหน่ง เจ้าอาละวาส ซื้อกันเป็นแสน ถ้าตำแหน่งพระครู นี่ คงหลายแสน เอาแค่นี้พอครับ

    ถ้าจะคุยกัน โดยธรรมแล้ว พูดถึง ต้นกัปยังพอได้ แต่ไม่ละเอียด ตั้งแต่โน้น เป็ปภัสสร มากินม้วนดิน แต่ถ้าถามเรื่องโลก ต้องพูดตามพระพุทธเจ้า ถ้าใครทำไม่ถึง คิดถึงเรื่องโลกมันเป็นยังไง เกิดมายังไง ท่านบอก ใครคิดแล้วบ้า แม้แต่ พุทธญาณ ของพระองค์ ยังหยั่งไปไม่ถึงเลย ท่านตรัสเองนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2012
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
     
  13. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    อ่านของลุงบุญทรงฯแล้ว งง. มันไม่ตรงกับที่อ้างอิงเลยครับลุง
    ประมาณว่า อ้างอิง พิมพ์ข้าวผัด แต่ลุงบุญทรงฯตอบส้มตำไรแบบนี้
    ผมงง. นะครับลุง อย่าว่าหลานเลยนะงับ อิอิ
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool: ก็เป็นธรรมดาแหละครับ ผมเล่าปนๆมา ถ้าคุยละเอียดมันก็ยาวเกิน และผมก็มาได้นิดหน่อยเองครับ ยกตัวอย่างในกรณี คุณ ๔๗ ไปเรียนเครื่องยนต์ อย่างเดียว เรียนตำราว่างั้นเถอะ แต่ไม่ได้ถอดดู ตบแต่งไม่เป็นว่างั้นเถอะ ตัวอะไร ทุกส่วน คุณบรร ยายรู้หมด ในตัวของเครื่องยนต์ แต่ไม่เคยลงมือทำ ได้แต่รู้อย่างเดียว แต่คุณ เรียนด้วย และแก้เอง ถอดมาดู ว่ามันเสียตรงไหน ตัวไหนเรียกว่าอะไร คุณเข้าใจ ภาษาศัพ ก็เข้าใจง่าย หมดทุกเรื่อง แต่คนแก้ เครื่องยนต์อย่างเดียว ถอด ตบแต่งเป็นหายตรงไหนแก้ได้ แต่บางที ศัพเรียก ไม่เหมือนกันครับ เรียกคนละแบบก็มี

    ตัวอย่างผมยก อายุของสวรรค์มา คุณอ่านไม่เข้าใจงงๆ ผมก็อธิบายยังไม่ละเอียด อีกแหละครับบอกตงๆเลย อายุสวรรค์ ผมเปรียบ แค่อายุมนุษย์ แต่ยังบอกไปไม่ถึง ว่าสวรรค์ มีอายุกี่พันปีทิพย์ และอายุยาวนานต่างกันไป
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ๕๐ ปี ในเมืองมนุษย์ เท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ ชั้น ต่ำสุด จาตุมหาราชิกา ท้าวมหาราชทั้งสี่ เป็นใหญ่ สี่ทิศ ๑๐๐ปี มนุษย์ เท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ชั้นดาวดึง สเทวโลก ๒๐๐ ปี มนุษย์ เท่ากับ ๑ วันชั้นดุสิต ๔๐๐ ปี มนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน สวรรค์ ชั้นยามา ๘๐๐ ปี มนุษย์ เท่ากับ สวรรค์ ชั้น นิมมานรดี ๑,๖๐๐ ปี มนุษย์เท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ชั้น ปรมิตตสาวัตตี สวรรค์มี ๖ ชั้น พรหม มี ๑๖ ชั้น อรูปพรหม มี ๔ ชั้น เลยไปก็คือ พระนิพพาน เอาแค่นี้แหละครับ ขี้เกียจบรรยายมาก ไร้สาระไปแล้ว ไม่เกิดประโยชน์


    ผมขอยกตัวอย่าง สวรรค์ชั้น ต่ำสุด ชั้น ท้าวมหาราช ชั้นจาตุม มหาราชิกา กล่าวถึงอายุ ท่านดังนี้ ๕๐ ปีของเรา เท่ากับ ๑ วันของสวรรค์ชั้นนี้ครับ วัน เดือน ปี มีเหมือนกัน ๑ เดือนมี ๓๐ วัน ๑๒ เดือน เป็น ๑ ปี ก็คูณไปสิครับ ว่าใช้เวลา กี่หมื่นปี ของมนุษย์ เท่ากับ ๑ ปีของสวรรค์ชั้นนี้ สวรรค์ ชั้นนี้ มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ครับ

    สวรรค์ชั้นดาวดึงค์ อายุของคน ๑๐๐ ปีของเรา เท่ากับ ๑ วันของท่านครับ แล้ว วัน เดือน ปี ก็เหมือนเรา คือนับคล้ายกันว่างั้นเถอะ เดือนมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒เดือน คุณก็คูณ เข้าไป ว่า ถึง ๑ ล้านปีมนุษย์ หรือเปล่า เท่ากับ ๑ ปีของท่าน อายุสวรรค์ ชั้นดาวดึง มีอายุขัย ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ครับ

    มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆครับสวรรค์แต่ละชั้นนั้นน่ะ ผมจะอนุมาน ให้คุณ ๔๗ เข้าใจว่า มันมีอายุสูงไปเรื่อยๆ จนจะอธิบายไปให้ถึงกับ แต่ผมมิอาจมาแสดงได้หมด เหมือนที่เขามาแย้ง ผมไงครับ มันใช้เวลามาก แล้ว ต้นตอ ของเจ้าของกระทู้ มันจะไปเข้ากันคุณ ๔๗ พอจะเข้าใจแล้วยังครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2012
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +70,432





    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +70,432
    [​IMG]


    นี่เราพูดถึงเรื่องกิเลสมันแหลมมันคมมันละเอียดลออมาก อำนาจของมันนี้กล่อมตรงไหนหลับสนิทๆ ไปหมดไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด สัตว์ในสามแดนโลกธาตุนี้อยู่ในเพลงของกิเลสที่กล่อมให้หลับสนิทด้วยกันทั้งนั้น นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านกล่อมท่านไม่ได้ ท่านฆ่ามันสังหารมันแล้ว จึงได้เห็นว่าเพลงของมันนี้เก่งมาก เพลงของมันละเอียดมาก แหลมคมมากทีเดียว แล้วจึงได้มาสอนโลกทั้งหลายนี่ สอนโลกให้รู้วิธีแก้กิเลส ถ้ากิเลสยังมีบนหัวใจมากน้อย ยิ่งไม่มีธรรมะด้วยแล้ว คนนั้นจะตายทั้งเป็น กุสลา ไม่ทันนั่นแหละ ตามกุสลาไม่ทัน ถ้ามีธรรมะเข้าแทรกยังพอฟัดพอเหวี่ยง มีแพ้มีชนะกันได้ มีทีได้ทีเสียบ้าง พากันจำเอานะ
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    คุณ ๔๗ อ่านให้ได้ด้วย ถ้อยทุกกระทงความ ตีความหมายให้ถูก ที่ผมบอก มา คำว่ากัป ผมได้ยินมาตั้งแต่ อายุ ๑๐ ปี กว่าโน้น และยังมาอ่านตำรา หนังสือหลวงพ่อ ฤาษีวัดท่าซุง มันไปตรงกัน คนมันรู้ไม่เท่ากัน คุณลองไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่ก็ได้ครับ อ่านให่เข้าใจ ที่ผมอุปมา อายุของกัป

    ผมอุปมาดังนี้ ๑๐๐ ปีของคนเรานี้แหละ เท่ากับ ๑ วันของสวรรค์ชั้น ดาวดึงค์ เขาเปรียบเทียบ ว่า อายุ ๑ กัป ภูเขา สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปีของคน เทวดาเอา ผ้ามาปัดออก ๑ ครั้ง กรุณาอ่านให้เข้าใจ ด้วยนะครับ จนกว่าภูเขา ลูกเนี้ย เตียนเสมอแผ่นดิน เขาเรียกว่าอายุ ๑ กัปครับ คุณก็คูณ เข้าไปสิ ว่ามันกี่ หมื่น กี่แสน กี่ ล้าน ปีในเมืองของคน เท่ากับ ๑ กัป เราอาจจะนับ ไปไม่หมด ก็ได้ เพราะมัน เยอะมาก

    และเปรียบอีกแบบหนึ่ง มีถัง สูงหนึ่งโยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ มีเมล้ด พันธ์ ผักกาด หรือเปรียบ เป็นทรายก็ได้ อยู่ในถัง นั้น ๑๐๐ ปี ของคน มีเทวดา เอาเม็ด ทราย หรือ เม็ดผักกาด เอาออก ๑ เม็ด จนหมดถัง เรียกว่า อายุ ๑ กัปครับ แค่กำมือเดียว ก็เป็นพันเม็ด แล้ว และนี่ ตั้ง ๑๐๐ ปีของเราเอาออก ๑ เม็ด แล้วคุณ รู้หรือยัง ว่า โยชน์ หนึ่ง นั้น เขาวัด กันยังไง


    เขาวันกันดังนี้ครับ ๒ คืบ เป็น ๑ ศอก ๔ ศอกเป็น ๑ วา ๒๐ วาเป็นหนึ่ง เส้น ๔๐๐ เส้น เป็น ๑ กิโลเมตร ๑๖ กิโลเมตร เป็น ๑ โยชน์ ถ้าผิดก็ขออภัยนะครับ อายุหนึ่งกัป ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า อายุ ๑ กัป บางทีก็มากกว่า บางที่น้อกว่านิดหน่อย แค่อายุ ๑ กัป ก้เกิดกันไม่รู้กี่หมื่นกี่ แสนชาติแล้ว ละ แหมแค่พระเทวทัต จองล้างจอง ผาญ พระพุทธองค์ แค่ เมล็ดทราย ๑ กำมือ ล่อเกืดกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติแล้วนะนี่ยังไม่หมดนะครัย ขี้เกียจพิมแล้ว เมื่อย ต้องดูพิมทีละตัวครับ ถ้าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ตอบหน่อยนะครับน้อง ๔๗
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +70,432
    [​IMG]



    หัวใจของเรามันสกปรกด้วยอำนาจของกิเลสมันโสมมเต็มอยู่ภายในจิตใจ เอาน้ำอรรถน้ำธรรมนี้เข้าไปชะไปล้าง แก้ไขดัดแปลงตนเองไปวันละเล็กละน้อย แล้วก็ค่อยสะอาดไปๆ ก็กลายเป็นคนสะอาด เมื่อใจของเราสะอาดด้วยความสุจริตธรรมแล้ว กิริยามารยาทแสดงออกมาทางใดสะอาดไปหมด นี่ละคนมีธรรม ให้เอาธรรมนี้ไปชำระล้างนะ เพราะคำว่ากิเลสนี่ขนาดอย่างที่ว่านั่นแหละ เราพูดเต็มหัวใจลืมไม่ได้กับเรื่องของกิเลสนี่ พอพูดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ยังคันฟันให้กับกิเลสอยู่นี่ ยังจะต่อสู้กิเลสอยู่นี่ ฟังซิมันเจ็บแสบขนาดไหน ถึงได้ผูกโกรธผูกแค้นกันถึงขนาดนั้นมนุษย์เรา เจ็บแสบขนาดนั้นแหละ
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    ก็ขออนุโมทนาสาธุกับคุณกบในกะลา ใส่น้ำ ผมเข้าใจ ทำเช่นกันจึงพยายาม ให้น้องเขาอ่านให้เข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจแล้ว เขาก็จะเบาลง ไม่ค้าน ไม่มีทิฏฐิเกิน และไม่ไปสอน ผู้อื่นมั่วๆ ผมมิบังอาจ ไปว่าหลวงปู่อยู่แล้ว แต่ พวกลูกสิษย์ ก็มีหลายชนิด ผมก็เคยทำบุญกับหลวงปู่ ผ้าป่าช่วยชาติ ผมอธิบายให้น้องเขาเข้าใจ ทุกอย่าง ผมก็ถือว่า ผมมีพร้อมแล้ว เหลือ แต่ทำตัวเอง ให้หมด ทุกข์ เหมือนหลวงปู่ มหาบัวท่านกล่าวมานั่นเอง ในโลกนี้เขาทำอะไรกัน ผมทำมา นะปัจจุบันก็ยังไม่หยุด

    ในการบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตย์ ผมถือว่าผมได้ทำ เป็นปรกติ เป็นอาจิน เหลือแต่ ทำอย่างไร จะไปอยู่ กับพทธองค์ และพระอรหันต์ ท่านอยู่กันครับ ผมเข้าใจ คุณพยายาม ให้เอาธรรมะ ท่านไปใช้ แต่ผมทำเป็น ปรกติครับ แต่ยังทำไปไม่ถึงครับ ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...