วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่คุณคณานันท์ที่ได้ช่วยสอนให้หลายๆๆร้อยคนได้ฝึกสมาธิถูกทางนับเป็นกุศลระดับสูงมาก ขอผลบุญกุศลเหล่านี้จงเพ่งรวมกลับสู่ตัวคุณคณานันท์เพื่อเพิ่มพูนบารมีให้สูงยิ่งขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวีครับ
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,695
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** มีวิธีผ่อนหนักเป็นเบา ****

    ประชาชนทั้งประเทศ....ต้องช่วยกัน
    ช่วยกัน...ปฏิบัติตนด้วย "สัจจะ"
    มีกำหนดเวลา...ให้กับตนเองอย่างชัดเจน
    แล้วทำให้เกิดขึ้นจริง

    ท่านรู้ไหมว่า
    ผลของการทำได้ตาม "สัจจะ"...จะเป็นอย่างไร ????

    จะเกิด "ตัวกระทำ" ของผู้ที่ปฏิบัติทุกคน
    เป็นบารมีของทุกคน
    และจะส่งผลต่อ...ผืนแผ่นดินที่เราอาศัย

    ก่อนถึงวันที่ กรรม มาปรากฏ
    กรรม จะถูกเบี่ยงเบนโดย โลกุตตระ (พระไตรปิฎก)
    ผู้ที่เชื่อ "สัจจะ"...จะรอดพ้นภัย
    พ้นกรรมหนัก ทั้งของตนเอง ของคนรอบข้าง และกรรมของประเทศ
    เมื่อนั้นประเทศไทย...จึงเป็นแดนศิวิไลซ์ เป็นยุคพระศรีอารย์
    เป็นยุคที่ปกครองด้วย..."หลักสัจจะธรรม"
    เพราะ...หลักปกครองอื่นๆ คือ ความเห็น ความเชื่อ ...ไม่ใช่ความจริง
    จริงเปลี่ยนไป กลับไป กลับมาได้...ไม่มั่นคง ไม่ถาวร ไม่ยั่งยืน
    จนพาบ้านเมือง พาโลก ล่ม จม หาย

    ท่านถามมา
    เราตอบไป
    แล้วท่านจะเชื่อ ข้าพระพุทธเจ้าไหม ????
    เหตุใด...ท่านจึงเชื่อเรื่อง "พระศรีอารย์"
    แต่ไม่เชื่อเรื่องคำสอน เรื่อง "สัจจะ" ของพระศรีอารย์
    ทำไมหนอ!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร " ...แค่ผู้นำพา
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]โอวาทครั้งสุดท้าย[/FONT]
    ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    *****************************
    [​IMG]
    *****************************
    ก่อนที่พระอาจารย์ใหญ่มั่น ท่านจะทิ้งขันธ์ ท่านได้ให้
    โอวาท ซึ่งถือว่าเป็นโอวาทครั้งสุดท้ายก็คงจะได้
    ท่านบอกว่า...
    ผู้ถือว่าไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มีมากมายเข้าแล้ว
    แผ่นดินนับวันจะแคบ...
    มนุษย์แม้ถึงจะตาย ก็นับวันจะมากขึ้น
    นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันจะแข่งขันกันขึ้น
    พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต
    เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม
    เป็นไร่ เป็นนา จะไม่วิเวกวังเวง
    ศาสนาทางมิฉาทิฏฐิ
    ก็นับวันจะแสดงปาฏิหาริย์
    คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคกระบือ
    ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย
    ฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย...
    จงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่ธรรม
    เหมือนไฟกำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด
    ให้จิตเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏฏสงสาร
    ทั้งโลกภายใน คือ หนังหุ้มอยู่โดยรอบ
    ทั้งภายนอกที่รวมลงเป็นสังขารโลก
    ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้
    คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    พิจารณาติดต่ออยู่ ไม่มีกลางวันกลางคืน
    ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์
    ก็จะต้องได้รับแบบเย็น ๆ และแยบคาย
    ด้วยสัมมาวิมุตติและสัมมาญาณะอันถ่องแท้
    ไม่ต้องสงสัยดอก

    พระธรรมเหล่านี้ ไม่ลวงไปไหน
    มีอยู่ ทรงอยู่ ในปัจจุบันจิต ในปัจจุบันธรรม
    ที่เธอทั้งหลายตั้งไว้อยู่ที่หน้าสติ หน้าปัญญา
    อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหล่ะ

    นี่คือโอวาทครั้งสุดท้าย ของ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น
    ก่อนที่ท่านจะดับขันธ์
    บันทึกโดย
    พระอาจารย์หล้า เขมปัตโต
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ธรรมมะของพระพุทธองค์นั้น เป็นปัจจัตตัง พึงระลึกรู้ได้ด้วยตนเอง

    การใช้ปัญญาแบบทางโลกวินิจ พิเคราะห์ นั้นไม่อาจรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมได้ เป็นเพียงอาการถากกิเลสหยาบได้เพียงเปลือกนอกแต่ผิวๆเท่านั้น

    การปฏิบัติจากจิตสู่จิต ก็ดี การรู้ตื่น การะตุ้นตื่นจากภายในก็ดี จำเป็นต้องใช้กำลังของฌาน ของสมาบัติเป็นเครื่องช่วยในการปฏิบัติ

    อาการของดวงจิตที่ได้สัมผัสกระแสธรรมที่น้อมเข้าสู่หัวจิตหัวใจ ก็จะพึงระลึกรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าจิตของเรา สะอาด สว่าง สงบ ระงับจากกิเลส ได้ระลึกรู้ถึงจิตเดิมที่ประภัสสร เมื่อได้พบกับอารมณ์ใจของจิตที่ละเอียดปราณีตชุ่มเย็นแล้ว
    ก็ย่อมไม่ปรารถนาใน จิตที่หยาบเศร้าหมองแบบเดิมอีก การปฏิบัติก็มีแต่ก้าวหน้าไปใน การฝึกจิตให้ยิ่งละเอียดขึ้นไป ตั้งมั่นขึ้นไป ทรงพรหมวิหารสี่สูงยิ่งขึ้นไป จนไปถึงวิปัสนาญาณที่ละเอียดสูงขึ้นไปตามลำดับ

    ธรรมที่ถ่ายทอดจากจิตสู่จิต ใจสู่ใจ ย่อมเป็นไปโดยปิดบังกันไม่ได้ ทั้งผู้ให้และผู้รับ จิตใจที่ดีงามส่งผ่านไปยังจิตดวงต่อๆไปไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเทียนที่ต่อแสงสว่างจากเทียนเล่มเดียวไปเป็นร้อยเล่มพันเล่ม

    ความยากลำบากในการถ่ายทอด และกว่าที่ผู้คนจะเห็นค่าในธรรมนั้น นับเป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งยวด

    คนดูถูกในธรรม ไม่เห็นค่าในธรรม นำธรรมไปซื้อขายหาเงินหาทอง เป็นบาปเป็นกรรมอย่างยิ่ง

    ธรรมพึงให้ด้วยความปรารถนาดี พึงให้ด้วยความเอื้อเฟื้อ พึงให้โดยความเคารพ พึงให้ด้วยความบริสุทธิ์

    เคารพในธรรม (อันเป็นเครื่องหลุดพ้น มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินทางโลกทั้งปวง)

    เคารพในผู้ให้ธรรมและเผยแผ่ สืบทอดธรรม(อันเป็นผู้รักษา มณีอันเป็นเครื่องหลุดพ้นในสงสารวัฏฏ์และส่งมอบให้ท่านผู้อื่นด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา)

    เคารพในผู้รับฟังธรรมและนำไปปฏิบัติ(อันนับเป็นผู้มีปัญญาเห็นค่าในธรรมนั้น)

    ขอธรรมอันเป็นสัมมาทิษฐิจงได้ผุดตื่นขึ้นในจิตของทุกๆท่านด้วยเทอญ
     
  5. ๑กุหว่าใจ๋๑

    ๑กุหว่าใจ๋๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2006
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,730
    สาธุ สาธุ สาธุ...

    พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นที่พึ่งพิง ที่ระลึก ที่อาศัย ให้พ้นจากความทุกข์ได้จริง ลูกสิ้นสงสัยแล้ว ขออำนาจแห่งบารมีพระรัตนะไตรบุญบารมีที่ลูกและหมู่เพื่อนพี่น้องทั้งหลายได้เพียรสร้างมา นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และที่จะสร้างต่อไปในอนาคต จงได้มารวมกัน เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตัวลูกและหมู่เพื่อนพี่น้องทั้งหลาย ในการสร้างบารมีสร้างความดียิ่งๆขึ้นไปตราบจนถึงซึ่งพระนิพพาน ขอบารมีพระรัตนะไตรและความดีทั้งปวง จงปรากฏดุจดังเกราะเพชรปกป้องคุ้มครองลูกและหมู่เพื่อนพี่น้องทั้งหลาย จากภัยอันตรายทั้งปวง และดลจิตดลใจพวกเราไว้ ให้ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ตั้งอยู่ในธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงสั่งสอน ไม่ว่ายามหลับก็ดี ยามตื่นก็ดี คลาดจากสติก็ดี ตั้งอยู่ในสติก็ดี ตลอดไปทุกชาติภพ ตราบจนเข้าสู่พระนิพพานเทอญ...
     
  6. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    ถึงคุณอนุบาล ไม่สามารถส่งไฟล์เสียงได้ค่ะ เมื่อพระไปพบพระยายม (คนที่ฆ่าตัวตายแล้วไปพบพยายม) เป็นไฟล์เสียงที่หลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต ได้บรรยายไว้ เมื่องานบวชพระธุดงค์ เมื่อวันที่ 7-15 ธันวาคม 2549 ณ ลานธรรม วัดท่าซุงค่ะ ยังงัยแล้วคงต้องส่งเป็นชีดีให้น่ะค่ะ เพราะว่าหลายไฟล์น่ะค่ะ ถ้าคุณอนุบาลยังต้องการอยู่ หรือว่าใครอยากจะได้ ก็โพสที่อยู่ไว้น่ะค่ะ จะส่งชีดีไปให้ค่ะ ...หลวงพี่ได้บรรยายไว้ไพเราะมากค่ะ ฟังแล้วสามารถเรียกน้ำตา ได้เลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2007
  7. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_697417", true); </SCRIPT>
    รออ่านของคุณ Phen อยู่ต่อครับ กำลังสนุกเลย
    ช่วยลงต่อให้ทีครับ......................
    -------------------------------------------
    ได้ค่ะ ต่อน่ะค่ะ
    สิ่งที่พบเมื่อตายแล้ว
    หลังจากข้าพเจ้าได้หลับไปสักครู่ใหญ่ๆก็มารู้จักตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ข้าพเจ้าจะสิ้นลมหายใจ (ธรรมดาผู้ที่ใกล้จะตาย จะต้องสะท้อนขึ้นหายใจอีกอย่างน้อย 3-4 ครั้ง)เวลานั้นประมาณ 21 นาฬิกา ภายในหัวอกเสมือนว่าเอาหินขนาดใหญ่มาตั้งทับไว้รู้สึกว่าหนักไปทั้งตัว กรามสองข้างขบกันแน่น น้ำลายสองข้างปากไหลเป็นฟองและเหงื่อแตกไหลโทรมไปทั้งตัว ที่จมูกเหมือนมีใครเอามืออันแข็งมาบีบแต่คำว่า พุทโธพุทโธ พุทโธ ยังจำไม่ลืม ข้าพเจ้าพยายามจะหายใจอย่างแรงแต่ไม่สามารถจะทำได้ฝืนหายใจได้เพียง3 ครั้งนี้แล้วก็หยุดไปทันที คล้าย ๆ กับว่าเราหลับไปอย่างนั้นแหละแต่ถ้าหากว่าเราหลับจริง ๆ แล้วฝัน ร่างของเราเองที่นอนอยู่ เราเองมองไม่เห็นแต่ทว่าข้าพเจ้าเองพอสิ้นลมหายใจประมาณสัก 2 นาทีก็เป็นวิญญาณมายืนอยู่ทันทีตอนที่วิญญาณออกจากร่าง ไม่ทราบว่าออกตอนไหนและออกมาอย่างไร คล้าย ๆ กับว่านอนหลับแล้วฝันไปอย่างนั้น
    สภาพของวิญญาณที่ออกจากร่างมายืนอยู่นั้น ตามเนื้อตัวแตกต่างจากร่างจริงมากเสื้อผ้ากางเกงไม่มีจะนุ่งจะใส่เลยมีแต่ผ้าพันเอวประมาณสักหนึ่งคืบ สกปรกเต็มทีดูร่างกายล่อนจ้อน ผมเผ้ารุงรังแต่ในมือของวิญญาณนั้นยังถือดอกไม้ธูปเทียนอยู่เหมือนกับที่ร่าง ปากก็ยังภาวนาว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธอยู่ไม่ขาดระยะก่อนที่จะกินยายังเป็นห่วงแม่เป็นห่วงพี่แต่พอเป็นวิญญาณไม่เป็นห่วงอะไรเลย
    วิญญาณของข้าพเจ้ายืนดูร่างอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่งและความรู้สึกในวิญญาณว่า ที่นี้เราอยู่ไม่ได้แล้ว เราจะต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่แล้วจึงเดินออกไป พอมาถึงประตูตามธรรมดาเมื่อเวลาเข้านอนเขาปิดประตูเรียบร้อยและคืนนั้นเดือนมืดเพราะเป็นคืนข้างแรมแต่ในวิญญาณรู้ดีกว่าไม่มืดและไม่กว้างเท่าไร แต่พอถึงประตูก็ไม่ต้องเอามือไปเปิดแต่รู้สึกว่าออกไปอยู่ด้านนอกแล้ว พอเดินพ้นจากห้องมาถึงหน้าบ้านก็หันหน้าเดินไปทางทิศใต้ แรกออกจากบ้านจำได้ทุกอย่างว่าตรงนั้นเป็นสวนของคนนั้นตรงโน้นเป็นสวนของคนโน้น และพอนานไปก็จำไม่ได้คล้ายกับว่าเป็นที่ที่ไม่เคยมาก่อนและอาการของวิญญาณที่เดินไปนั้นดูเหมือนว่าเท้าทั้งสองไม่ถึงพื้นดินแต่ไม่ใช่เหาะเหินเดินอากาศ เป็นอย่างไรบอกไม่ค่อยถูก คำว่า พุทโธก็ยังภาวนาเรื่อยไปโดยที่ไม่ลืมเลย ในที่สุดจำได้ว่ามายืนอยู่ในป่าไม้แห่งหนึ่ง
    ในป่าไม้นี้รู้สึกว่าร่มเย็นสบายเดินสะดวกเพราะไม่รกเดินพักหนึ่งก็มาถึงที่เตียน พบสระบัวที่สวยงามที่สุดมีทั้งดอกตูมและดอกบาน สวยสล้างไปด้วยสีสันวรรณะแปลกๆมีทั้งสีขาวอมชมพูสลับกันอยู่อย่างสวยงามยิ่งกลางสระนี้เป็นภูเขาแล้วอยู่ลูกหนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าไรนักในขณะที่วิญญาณของข้าพเจ้ากำลังเพลิดเพลินอยู่กับสระประหลาดนั้นมีจระเข้ทองตัวหนึ่งออกมาจากถ้ำในภูเขานั้นบนหลังจระเข้ทองนั้นมีผู้หญิงยืนอยู่คนหนึ่ง รูปร่างสะคราญตาและมีเครื่องประดับร่างกายอันสวยงามแพรวพราวไปทั้งตัว มีผมผูกเป็นมวยยาวถึงสะเอวมือจับอยู่ที่มวยผมนั้น คล้ายกับนางธรณีบีบมวยผมจระเข้ทองตัวนั้นว่ายน้ำรี่ตรงมาหน้าวิญญาณของข้าพเจ้า ห่างจากข้าพเจ้าประมาณสัก 8 ศอก แล้วก็หยุดนิ่งอยูกับที่ ไม่ได้แสดงอาการแต่อย่างใดผู้หญิงนั้นก็มิได้พูดจาว่ากระไรสักครู่หนึ่งจระเข้ตัวนั้นก็ว่ายน้ำกลับเข้าสู่ถ้ำพร้อมทั้งนางธรณีที่อยู่บนหลังต่อจากนั้นวิญญาณก็เดินทางต่อไปสักครู่หนึ่งก็เข้าป่าอีกแห่งหนึ่งไม่สู้ใหญ่นักเมื่อพ้นจากป่านั้นแล้วก็พบถนนสายหนึ่งแล้วก็เดินไปตามถนนสายนั้นอีกไม่ไกลนักก็ถึงตลาดแห่งหนึ่งในตลาดนี้มีคนมากมายขายของนานาชนิด แต่ทว่ารถเรือไม่มีเลยคนโดยมากจะแต่งตัวคล้ายแขกมีผ้าโพกศีรษะ ผู้หญิงก็มีผ้าคลุมและผ้าห่ม
    ตอนนี้วิญญาณของข้าพเจ้ารู้สึกละอายเป็นอย่างมากที่ต้องเปลือยเปล่าในเมื่อเขาเหล่านั้นประดับประดาด้วยอาภรณ์อันสวยงามจึงเดินก้มหน้าไม่พูดจาและมองใคร พอใกล้จะพ้นตลาดนั้นก็พบแม่ค้าแก่ ๆ นั่งอยู่ 2-3 คนขายอะไรดูไม่ถนัด วิญญาณข้าพเจ้าจึงถามขึ้นว่า
     
  8. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    วิญญาณข้าพเจ้าภาวนาและระลึกอยู่อย่างนี้ไม่นานก็ปรากฏว่ามีภาพของพระพุทธองค์เสด็จลอยมาทันทีภาพนั้นลอยอยู่ในอากาศและเสด็จประทับยืนอยู่บนดอกบัวพระหัตถ์เบื้องขวาทรงยกขึ้นพระหัตถ์เบื้องซ้ายปล่อยลงมาเฉย ๆ มีแสงรัศมีออกจากพระวรกายสว่างจ้าแล้วลอยไปขวางหน้านายพรานไว้เมื่อนายพรานเห็นดังนั้นก็รีบปล่อยวิญญาณของข้าพเจ้าทันทีแล้ววิ่งหนีเข้าปาไปอย่างรวดเร็ววิญญาณข้าพเจ้าเมื่อได้เห็นพุทธปาฏิหาริย์ปานฉะนี้ก็ยกมือประนมไหว้และระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างไม่ลืมและแล้วภาพของพุทธองค์ก็ลอยหายไปจนลับตา
    เมื่อนายพรานไปแล้ววิญญาณข้าพเจ้าก็แก้เชือกที่ผูกคอออกแล้วพยายามจะเดินต่อไป (ความรู้สึกในวิญญาณตั้งแต่ออกจากบ้าน หวังจะไปหาที่อยู่ใหม่)แต่เดินไปได้สองสามก้าวก็ต้องนั่งลงพักด้วยความเจ็บปวดที่ถูกนายพรานตีวิญญาณข้าพเจ้านั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ตาก็มองเหม่อไปรอบ ๆ อย่างคนที่สิ้นคิดเพราะจะมองไปทางไหนก็ไม่มีที่จะพออยู่ได้ในทันใดนั้นเองในดวงตาของวิญญาณก็ได้เหลือบเห็นอะไรอย่างหนึ่งมีแสงเขียวเหมือนสายรุ้งรัศมีสีโชติช่วงกำลังลอยอยูในอากาศอันสูงแล้วค่อย ๆลอยต่ำลงมา ๆ จนถึงที่วิญญาณของข้าพเจ้านั่งอยู่พอมาถึงจึงมองได้ถนัดตาว่าเป็นเรือยาวประมาณวากว่า ๆรอบลำเรือประดับด้วยเพชรนิลจินดามีแสงทอตาเป็นประกายพรายแพรวแสนสวยสุดดุจเทพเจ้าเสกสรรยากที่จะอธิบายได้ทางท้ายเรือมีคนนั่งอยู่คนหนึ่งแต่งตัวคล้าย ๆ ภาพของพันท้ายนรสิงห์พอเรือนั้นหยุดนิ่งคนที่นั่งอยู่นั้นได้พูดขึ้นว่า
     
  9. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    เมื่อเหล่านางฟ้ากลับสู่สถานพิมานทิพย์ของแต่ละนางแล้วเรือที่วิญญาณข้าพเจ้านั่งอยู่นน ก็ลอยตรงมาอยู่หน้าพระพักตรงของเทวดาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเทวดาเห็นดังนั้นก็สั่งคนที่นั่งอยู่ตอนท้ายว่าพาเขาไปส่งได้แล้วเมื่อวิญญาณข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นสุดแสนเสียดายไม่อยากจะกลับแต่นึกในใจว่าวาสนาเรายังน้อยเพียงแต่ได้เห็นเท่านั้นก็เป็นบุญตาแล้ววิญญาณข้าพเจ้านั่งถอนใจผู้ใหญ่และดูโน่นดูนี่ไปรอบๆเพื่อจดจำไว้เป็นขวัญตาขวัญใจ ประเดี๋ยวหนึ่งเรือนั้นก็ค่อย ๆลอยต่ำลงมา ๆจนถึงยอดต้นไม้ต้นเดิมแล้วหยุดนิ่งอยู่ที่โคนต้นไม้นั้นเมื่อวิญญาณข้าพเจ้าลงมาจากเรือแล้ว เรือลำนั้นก็ลอยกลับขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าวิญญาณข้าพเจ้ามองตามจนสุดสายตาด้วยความอาลัยดังดวงใจจะขาดดิ้น
    เมื่อเรือจากไปจนลับตาแล้ว วิญญาณข้าพเจ้าก็ออกเดินทางแสวงหาที่อยู่ต่อไปคราวนี้รู้สึกว่าเดินสบายไม่เจ็บปวดตรงไหนเลยไม่นานนักก็เดินไปเจอเอาวัดแห่งหนึ่งไม่สู้จะรกนักไม่มีพระสงฆ์หรือผู้ใดอยู่เลยนอกจากพระพุทธรูปโต ๆ ขนาดช้างและมีภาพแกะสลักอย่างสวยงาม เมื่อเดินชมจนทั่วบริเวณนั้นแล้วก็ออกจากวัดนั้นเดินทางต่อไป อีกไม่นานก็มาถึงป่าไม้อีกแห่งหนึ่งในป่านี้แปลกกว่าที่อื่น เพราะมีแต่ต้นโพธิเงินโพธิทองเท่านั้น คือบางต้นก็มีสีแดงๆ และขาว ๆลำต้นโต ๆ แผ่สาขาร่มเย็นสบาย ภายใต้โคนต้นก็สะอาดเหมือนมีใครมาเก็บกวาดเมื่อพ้นจากป่าโพธิไปอีกหน่อยก็มีวัดอีกวัดหนึ่งมีโรงธรรมวิหารศาลาประดับตกแต่งอย่างสวยงาม รอบ ๆ วัดนี้มีต้นไม้เขียวไปทั่ว
    พอวิญญาณข้าพเจ้าเดินมาใกล้วิหารเห็นพระสงฆ์จำนวนหนึ่งเดินออกมาจากป่าไม้หลังวิหารนั้นประมาณ 500รูปเศษเมื่อวิญญาณข้าพเจ้าเห็นดังนั้นก็พลันยกมือขึ้นไหว้และนั่งลงกราบที่พื้น 3 ครั้งพระภิกษุรูปหนึ่งที่เดินนำหน้าพระภิกษุทั้งหลายตรงเข้ามาพยุงที่แขนวิญญาณของข้าพเจ้าให้ลุกขึ้นยืน แล้วนำเข้าไปในวิหารจัดการจุดธูปเทียนบูชาพระเมื่อเสร็จแล้วพระที่อยู่ข้างหลังก็ออกไปทีละองค์จนหมดเหลืออยู่แต่วิญญาณข้าพเจ้าและพระรูปที่นำเข้ามาแล้วพระภิกษุรูปนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า
    ต่อไปนี้ท่านจะได้บวชแล้วและจะหมดเคราะห์หมดโศกเสียทีจะได้บวชภายในไม่กี่วันนี้แหละ
     
  10. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    เมื่อพ้นจากห้องนั้นไปประมาณ 3 วา มีต้นโพธิต้นหนึ่งโตมากภายใต้ต้นโพธินี้มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งเป็นรูปปั้นนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิและไกลมากเมื่อวิญญาณข้าพเจ้าเห็นดังนั้นอยากไปดูให้รู้แน่ว่าเป็นอย่างไรแต่ไม่กล้าไปทางตรงเพราะกลัวคนที่นั่งทำงานอยู่จะจับเอา จึงเดินด้อม ๆ มองๆไปทางข้างนอก ไม่ให้พวกนั้นเขาเห็น พอมาใกล้จงทราบได้ว่าเป็นสะพานแก้วโตขนาดต้นมะพร้าวราวและเสาไม่มีเลยเบื้องล่างของสะพานมองดูเป็นหมอกเป็นควันไปทั้งนั้นทอดข้ามจากทางขุมนรกไปและดูสูงเป็นเนินขึ้นไปหัวสุดของสะพานมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ใหญ่โตมากและทอดแอบไปทางหลังของภูเขาและที่หลังภูเขานั้นมีแสงสว่างพุ่งขึ้นดูนวลใยเป็นประกายเสมือนแสงบนสวรรค์ที่เห็นเมื่อก่อนดูแล้วเพลิดเพลินเจริญตาเป็นสุขยิ่งนักและในวิญญาณนึกว่าที่นั้นคงจะมีที่อยู่เป็นแน่เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็อยากจะเดินไปแต่กลัวจะตก ครั้งแรกทดลองเอาเท้าไปจรดดูเบาๆว่าจะร้อนจะอุ่น จะแข็งลื่นหรือไม่พอเข้าถึงสะพานเท่านั้นในวิญญาณรู้สึกสบายและเป็นสุขอย่างแปลกประหลาดเมื่อเห็นว่าสบายอย่างนี้ก็รีบเดินไปทันทีและขณะนี้กำลังเดินไปได้ประมาณครึ่งสะพานเท่านั้น ทันใดนั้นเองเหตุการณ์ที่ไม่นึกอันน่ากลัวก็บังเกิดขึ้นมีเสียงประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังก้องมาข้างหลังวิญญาณข้าพเจ้าเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันไปดูพอแลเห็นเท่านั้นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเขาเหล่านั้นคือ ยมทูต 4 คนที่จับผู้หญิงไปเมื่อสักครู่ขณะที่วิญญาณข้าพเจ้ากำลังยืนดูสิ่งต่าง ๆ อยู่นั้นก็มีเหตุการณ์อันน่าสนใจปรากฏขึ้นทันที ภาพที่เห็นนั้นคือพวกยมทูต 4 คนท่าทางดูดุร้ายที่สุด ถือเหล็กสามง่ามเป็นอาวุธกำลังลากผู้หญิงมาคนหนึ่งผู้หญิงคนนั้นอายุประมาณ 30 ปีหน้าตามอมแมม แต่งตัวด้วยผ้าเก่า ๆพอมาถึงก็ให้นั่งลงหน้าโต๊ะแล้วมีเสียงถามออกมาจากคนที่นั่งหน้าโต๊ะว่าชื่ออะไรตอนนั้นวิญญาณข้าพเจ้าฟังไม่ถนัดเพราะห่างและในวิญญาณนึกว่าเสร็จแล้ว เขาจะต้องมาจับเราเป็นแน่เลยรีบเดินไปหลบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ แถวนั้นเมื่อคนที่นั่งหน้าโต๊ะถามชื่อแล้วคนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะก็ดึงบัญชีออกเล่มหนึ่งแล้วเปิดดูถาม ๆ ตอบ ๆ อยู่พักหนึ่งเมื่อเสร็จแล้วคนทั้งสี่นั้นก็ตรงเข้าไปฉุดกระซากร่างหญิงคนนั้นแล้วพาไปทางที่วิญญาณข้าพเจ้าเดินเข้ามาแล้วผลักผู้หญิงคนนั้นจมหายไป วิญญาณข้าพเจ้ามองดูอยู่ด้วยความหวาดกลัวเมื่อผู้หญิงคนนั้นถูกคราไปแล้วพวกทั้ง 4 ก็กลับมาที่โต๊ะอีกคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะพูดอะไรสองสามคำ พวกทั้ง 4 นั้นก็หายวับไปทันทีแล้วพวกนี้ดูว่องไวรวดเร็วมาก ไม่ว่าจะทำอะไร
    ขณะที่วิญญาณข้าพเจ้ากำลังตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ต่างๆอยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่งอยู่ใกล้กับต้นโพธิมีสีเขียวเป็นแสงพุ่งยาวสว่างโชติช่วงอยู่ตลอดเวลายาวนั้นเองพอมาถึงมันจับมัดมือมัดเท้าวิญญาณข้าพเจ้าอย่างแข็งแรงแล้วผูกติดกับไม้กระดานหามพามายังห้องที่มองเห็นเมื่อครั้งแรกซึ่งเป็นห้องของพระยายมบาลที่ทำการตรวจกรรมพอมาถึงหน้าห้องพัก พวกทั้ง 4 นั้นก็วางวิญญาณข้าพเจ้าลงกับพื้น แล้วออกไปยืนอยู่ทางศีรษะ ทางเท้าคนหนึ่งและยืนอยู่ข้างสองคนในมือถือเหล็กสามง่ามไม่พูดจาว่าการไรเมื่อพระยายมบาลคนที่นั่งหน้าโต๊ะเห็นดังนั้นก็ถามว่าใครวิญญาณข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า ผมชื่อ นิกร นามสกุลไทยรักษ์แล้วพระยายมบาลก็หันไปสั่งคนที่นั่งข้างโต๊ะคือพระยายมราชเอาบัญชีมันมาดูเดี๋ยวนี้เมื่อมันอยู่ในเมืองมนุษย์มันสร้างกรรมทำเวรอะไรไว้บ้างบอกมาให้หมดต่อจากนั้นพระยายมราชก็ค้นหาอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็ชักบัญชีออกมาเล่มหนึ่งหนาประมาณหนึ่งนิ้วฟุตยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ง เมื่อเปิดไปถึงชื่อข้าพเจ้า ก็บอกขึ้นทันทีว่า
    1. มันเบียดเบียนพ่อแม่
    2. มันฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ไม่ถึงกับฆ่าวัวฆ่าควายหรือสัตว์ มี พระคุณ
    3. ไม่ได้บวชเรียนในพุทธศาสนา
    4. มีกรรมเก่าติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน ผลกรรมมันมีแต่เพียง เท่านี้
    วิญญาณของข้าพเจ้าที่นอนฟังอยู่นั้นรู้สึกว่ากลัวจนตัวสั่นไม่ทราบว่าเขาจะทำอะไรกับเราต่อไปอีก เมื่อพระยายมราชผู้ถือบัญชีบอกหมดลงแล้วเสียงพระยายมบาลถามว่าอยู่เมืองมนุษย์เคยทำบุญทำทานอะไรบ้างจงบอกมาให้หมดอย่าชักช้าเสียงยมบาลที่ถามนั้นคำรามน่าหวาดกลัวยิ่งนักเสมือนโกรธกันมาหลาย 10 ปีพอพบเข้าคล้ายกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อวิญญาณข้าพเจ้าในเวลานั้นกลัวจนบอกไม่ถูกพระยายมบาลก็ถามรุกมาเรื่อยว่า ทำไมไม่ตอบหรือไม่เคยทำบุญทำทานอะไร วิญญขาณข้าพเจ้าที่กำลังอยู่นั้นเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้จึงตอบไปตามที่ได้เคยกระทำเอาไว้ว่า

    1. ได้ทำบุญทำทานในงานฝังลูกนิมิตมาแล้วถึง 3 วัด
    2. ได้ไปไหว้พระบรมธาตุที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมาแล้ว
    3. ได้ทำบุญทำทานมาแล้วเล็ก ๆ น้อย ๆ
    4. ได้นับถือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เสมอแหละเป็นที่พึ่ง
    เมื่อวิญญาณข้าพเจ้าได้พูดตอบไปเช่นนั้นแล้วพระยายมบาลก็ได้พูดขึ้นว่า เออดี มึงยังไม่ถึงที่ตายสร้างกรรมทำเวรยังไม่มากจะต้องกลับไปเข้าร่างเดิมในเมืองมนุษย์อีกแล้วชี้มือออกไปว่า

     
  11. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    วิญญาณข้าพเจ้าภาวนาอยู่อย่างนั้นไปเรื่อย ๆ อีกไม่นานภาพของพระพุทธองค์ที่อยู่ใต้ต้นโพธินั้นก็แสดงอภินิหารขึ้นทันที ครั้งแรกวิญญาณข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปนั้นเป็นภาพปั้นแต่อีกไม่นานภาพนั้นก็ค่อยเป็นจริงขึ้น คือเป็นคล้ายกับเนื้อหนังจริง ๆ และผ้าจีวรก็เหมือนผ้าจริง ต่อมาก็มีแสงรัศมีออกมาจากดวงเนตรของพระองค์ เป็นสีเขียวพุ่งไปยังร่างของยมบาล เมื่อยมบาลเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทันที แต่แล้วก็นั่งลงอีกวิญญาณข้าพเจ้าก็ภาวนาว่า พุทโธๆ ๆ และระลึกเหมือนเมื่อแรกอีก คราวนี้เป็นแสงรัศมีใหญ่กว่าคราวก่อนพุ่งไปที่ยมบาลอีก เมื่อยมบาลถูกเข้าครั้งที่สอง ก็ไม่สามารถทนนั่งอยู่ได้ แล้วลุกขึ้นยืนทันที และออกไปยังเมืองมนุษย์ส่วนวิญญาณข้าพเจ้าเมื่อเห็นดังนั้นก็ออกติดตามไปด้วยเพราะว่าตอนนี้เชือกอะไรเขาแก้ออกหมดแล้ว เมืองนรกกับเมืองมนุษย์ตามความรู้สึกในวิญญาณอยู่ไม่ไกลกันเลย แต่เมื่อเป็นวิญญาณออกจากเมืองมนุษย์แล้ว จะเห็นว่าข้างหลังเป็นหมอกไปทงนั้น เมื่อออกไปแล้วไม่สามารถจะกลับมาเมืองมนุษย์ที่เดิมได้ถูก ถ้าหากว่าใครไม่เรียกหรือไม่นำเข้ามา แต่ตอนนี้วิญญาณข้าพเจ้าได้ติดตามยมบาลเข้าไปเมื่อวิญญาณข้าพเจ้าติดตามถึงเมืองมนุษย์ แล้วก็หยุดอยู่ที่หน้าบ้านยืนอยู่ข้างเสา ส่วนยมบาลก็เข้าไปในบ้านและหายเข้าไปในร่างข้าพเจ้าทันที (ตามธรรมดาเมื่อเราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถจะมองทะลุฝาผนังหรือมองทะลุกำแพงออกไปได้ เพราะเป็นตาเนื้อที่ยังหยาบอยู่ แต่เมื่อเราเป็นวิญญาณไปจะมองทะลุปรุโปร่งได้ทั้งหมด แม้แต่ในก้อนหิน และแท่งเหล็ก)
    ทันใดนั้นเอง ร่างของข้าพเจ้าที่นอนไม่มีความรู้สึกอันใดอยู่บนเตียงนานแล้วโดยที่ไม่มีใครรู้เพราะเป็นเวลากลางคืน ได้ลุกขึ้นกระโดดบนเตียงสามสี่ครั้ง ส่งเสียงคำรามสะเทือนไปทั่วทั้งบ้าน ทุกคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่นั้นก็พากันตกใจตื่นคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่างก็จุดตะเกียงออกมาดู แม่ของข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเป็นบ้าหรือเสียสติ ส่วนพี่ชายนึกว่าผีเข้า ต่างเข้ามาจะจับมัด เพราะกลัวจะวิ่งหนีเข้าป่า แต่ถูกยมบาลผลักกระเด็นออกไปหมด เมื่อทำอะไรกันไม่ได้ต่างก็บนบานศาลกล่าวกันเป็นการใหญ่ว่าจะกินอะไรเอาอะไร ก็บอกมาดี ๆ เถอะ อย่าทำฤทธิ์ให้มากไปเลย

    ยมบาลพูดขึ้นว่า
     
  12. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    "จงไปตามลูก ๆหลานๆ มาให้หมด พร้อมด้วยคนที่อยู่ข้างเคียงแถวนี้คืนนี้เราได้ยินมาเมืองมนุษย์แล้ว เราจะบอกการทรมานในเมืองนรกให้ฟังพวกมนุษย์เดี๋ยวนี้มันสร้างแต่กรรมชั่ว ตกนรกกันมากมายเหลือเกินร้อยวันพันปีเราไม่ได้ขึ้นมา วันนี้เมื่อเราขึ้นมาแล้วเราจะบอกให้ฟังและได้รู้กันไว้"
    ต่อจากนั้นแม่ของข้าพเจ้าก็ไปตามมาหลายคนที่ข้าพเจ้าพอจำได้อยู่เวลานี้คือ นายลบนายอ๋วน นางเขียด (ชื่อเรียกตามบ้าน) น.ส. ขวัญใจ-ขวัญจิต เชาพาศพร้อมด้วยคนในบ้านคือ นางนารถ นางแช่ม นายสวาท และหลาน ๆ อีกหลายคนพร้อมด้วยคนที่มาประสบเอง โดยไม่ต้องไปตามเมื่อตอนใกล้สว่างอีกหลายคน (ที่ข้าพเจ้าจำได้นี้ ตอนนั้นวิญญาณของข้าพเจ้ายืนพิงเสาอยู่ที่หน้าบ้าน)
    เพื่อให้ท่านทั้งหลายเข้าใจอีกครั้ง
     
  13. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    พระยายมตอบว่า
     
  14. Phen

    Phen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +411
    (ขณะที่พระยายมเข้าสิงร่างข้าพเจ้าที่นอนสลบอยู่บนเตียงนั้น ตั้งแต่ 24.00 น.คือเที่ยงคืนไปจนใกล้สว่าง ที่พระยายมพูดมีอีกมากมายที่ข้าพเจ้าจำได้บ้างไม่ได้บ้างนี้ก็เพราะวิญญาณยืนฟังอยู่ด้วยส่วนตอนที่วิญญาณพเนจรไปบางตอนก็ลืมไปบ้างเหมือนกันที่จำได้แม่นยำก็เท่าที่ได้เล่ามาให้ท่านทั้งหลายได้ทราบกันนี้แหละ)
    นี่แหละท่านทั้งหลายตามที่ข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้ก็เพราะอำนาจบารมีของพระพุทธองค์แท้ ๆถ้าหากว่าข้าพเจ้าสร้างกรรมทำชั่วเอาไว้มาก ๆ จนลืมคำว่า
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,695
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** เมื่อถึงวันกรรมมา ****

    ในวันที่ กรรมมาถึง
    กรรม ...จะปรากฏ
    คน....ที่จะผจญอยู่กับเหตุการณ์ เหตุกรรม นั้น
    คือ คน...ที่ต้องรับผลในเหตุการณ์ เหตุกรรม นั้น

    แต่...คนที่มี "การกระทำจากสัจจะ"
    เขาและเธอ จะรอดพ้น...จากเหตุกรรม นั้น
    ได้อย่างปฏิหาริย์ แคล้วคลาด เหลือเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2007
  16. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ขอธรรมทานความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม

    ช่วงนี้ได้ข่าวเครื่องบินตกแล้ว ทำให้ปลงใจได้ดีแท้ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้คนจำนวนมากต้องมารับเคราะห์กรรมใหญ่นี้ร่วมกันเกือบร้อยคนนี้ ในเวลาเดียวกันนี้ เด็กอนุบาลอยากทราบจากท่านผู้รู้เหมือนกันครับ ว่าเกิดจากกฏแห่งกรรมใด ท่านใดทราบโปรดสงเคราะห์เป็นธรรมทานครับ ถ้าเกรงว่าจะกระทบกระเทือนใจคนอ่านมากเกินไป ก็share ความรู้นี้กันใน PM ก็ได้ครับ

    เด็กอนุบาลขอโมทนาความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั่วแสนโกฏอนันตริยจักรวาล ที่มีมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และขอบารมีของพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ที่มากประมาณมิได้นั้น ได้โปรดบันดาลมหาโมทนากุศลนี้ ให้สำเร็จแด่ทุกดวงจิตที่เสียชีวิตไปจากเหตุการณ์อุบัติเหตุสายการบินวันทูโกที่ภูเก็ต เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาครับ ขอทุกท่านจงได้โมทนาบุญนี้ เพื่อความสุขของทุกท่านเทอญ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ตั้งจิตเอาไว้ดีแล้วครับ คุณเด็กอนุบาลในการแผ่เมตตา ให้ลองกำหนดเป็นเมตตาอัปปันนาณฌานแผ่จำเพาะไปที่พวกเขาโดยตรงหลังจากกำหนดกำลังใจสูงสุดแล้วดูครับ ปรากฏภาพอะไรในดวงจิตขึ้นค่อยมาตอบวันติวเข้ม เช้าวันอาทิตย์นี้ครับ


    ขอให้ทบทวนกำลังใจที่ได้เรียนกันไปแล้วด้วยครับ "ลมสบาย"ยังทรงได้เป็นปกติใช่หรือไม่

    ภาพพระระลึกได้เสมอในระดับปฏิภาคนิมิตรหรือไม่
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    สรรพสิ่งเป็นวงกลม พระพุทธเจ้ารับสั่งเรียกว่า สังสารวัฏ อย่างนี้กระมัง พุทธศาสนาจึงใช้วงกลมเป็นสัญลักษณ์ ตรงขอบวงกลม เกิด-ตาย แล้วเกิด มาบรรจบกัน จุดกึ่งกลางของวงกลมต่างหากที่ "ว่าง"

    โลกเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทุกวัน ทุกวินาที
    แล้วมนุษย์จะไปเปลี่ยนแปลงโลกไย
    มนุษย์เองก็เปลี่ยนแปลงตนเองอยู่ทุกวินาทีเช่นกัน
    ความเปลี่ยนแปลง ความเป็นอนิจจัง เป็นกฏแห่งโลก เป็นกฏที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งว่า

    "เป็นตถตา...เขาเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น"
    ผู้เข้าถึงธรรม ต้องเข้าถึงกฏแห่งอนิจจตาอยู่เสมอ
    เราไม่ต้องเปลี่ยน เขาก็ต้องเปลี่ยนของเขาอยู่ดี
    เชื่อพระพุทธองค์เถิด แม้เราไปจัด ไปเปลี่ยนอะไร ก็ย่อมไม่เที่ยง จะกลายเป็นอนิจจตาจนได้ ท่านเองก็เป็นอนิจจตา


    ธรรมชาติสอนธรรมะแก่เรา ท้องฟ้าอาจมีเมฆบัง ไม่ช้าเมฆจะสลาย คงเหลือแต่ท้องฟ้า ภูเขาบางลูกแก่ชราภาพ หากภูเขาอีกบางลูกยังอ่อนเยาว์ เพราะถูกบีบให้ผุดพุ่งขึ้นมา

    ดอกไม้บาน สวย แล้วจะโรย เป็นปุ๋ยแก่ดอกไม้ดอกใหม่
    ใบไม้กำลังเป็นสีแดง ทอง รอเวลาร่วงหล่น
    แล้วใบอ่อน จะชำแรก ผลิใหม่
    ไม่เคยจีรัง


    ความสงบ เงียบ สอนเราว่า เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ และเอกภพก็เป็นส่วนหนึ่งของเจ้า สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนคือ "อริยสัจ"

    พระพุทธองค์ไม่เคยรับสั่งว่า กราบไหว้พระพุทธรูปแค่นั้นพอ ไม่เคยรับสั่งให้แค่...เกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ ไม่เคยรับสั่งให้แค่ สวดมนต์เป็นนกแก้วนกขุนทอง แล้วจะสำเร็จมรรคผล

    ท่านทรงสอนให้ใช"ปัญญา"
    ปัญญาที่มาจากธรรมและธรรมชาติเท่านั้น

    ---------------------------------------------------------------

    ข้อมูลคุณมายาวดี(ทมยันตี)
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,695
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** เส้นทางเดินของตัวเอง ****

    เราสร้างทางเดินให้กับตนเอง
    ด้วย "การกระทำ"

    "ผลการกระทำ" ...ของวันนี้ ไม่สูญหายไปไหน...จะส่งผลมาสู่ตัวเราต่อไป
    เราจึงควรที่จะ...ตั้งใจทำความดีอย่างจริงจัง....ด้วย "สัจจะ"

    อย่า...มัวแต่ทำตามใจตนเอง !!!!
    อยากทำก็ทำ
    ไม่อยากทำก็ไม่ทำ
    เบื่อก็เลิก
    นึกขึ้นได้ก็ทำใหม่
    เหล่านี้...คือ "การกระทำตามใจ"

    หากเราคิดจะ สร้างทางเดินเลี่ยงกรรม ให้ตัวเอง
    เราต้องพึ่ง... "การกระทำจากสัจจะ" ของตนเอง<O:p</O:p

    สัจจะธรรม...คือ ธรรมเที่ยง<O:p</O:p
    ผลของการกระทำจากสัจจะ...คือ กรรมเที่ยง<O:p</O:p
    ผู้ที่ปฏิบัติตนด้วยสัจจะเป็นประจำทุกวัน...ส่งผลให้ชีวิตเที่ยงมากขึ้น<O:p</O:p
    เพราะ...จะมี ผลการกระทำจากสัจจะ....คอยสนับสนุน เกื้อกูล ช่วยเหลือตลอดเวลา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2007
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ทำความดีเดินทางไปสู่สวรรค์


    [​IMG]
    เรื่องนี้ได้นำมาจากหนังสือเรื่อง เหตุใดมนุษย์จึงแตกต่าง รวบรวมโดย พระมหา ดร.สุเทพ อกิญจโน (ส.ทับทิมเทศ) แห่งวัดสมานราษฏร์ ชลบุรี
    เมื่อบุคคลผู้มีใจเป็นบุญเป็นกุศล ซึ่งอุตสาหพยายามยังตนให้เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วย
    กุศลกรรมบถทั้งหลาย และกุศลกรรมบถของเขานั้นไม่มีโอกาสที่จักผลิตผลวิบากชักนำให้เขามาเกิด
    เป็นมนุษย์ในมนุษย์โลกนี้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ผลวิบากแห่งกุศลกรรมบถที่จักชักนำให้เขาได้มี
    โอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นมีกำลังน้อย มีน้ำหนักน้อย แต่ผลวิบากแห่งกุศลกรรมบถที่จักนำ
    ให้เขาเกิดในโลกสวรรค์แดนสุขาวดีมีมากกว่า สมควรที่จักชักนำบุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมดีนั้น
    ให้ได้ไปเสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ ณ เทวภูมิ ซึ่งดีกว่าเสวยมนุษย์สมบัติเป็นไหนๆ ได้อย่าง
    แน่นอนแล้ว ในขณะที่ม่านดำแห่งชีวิตของเขากำลังจะรูดปิดลงโดยน้ำมือแห่ง พญามัจจุราช
    กล่าวคือ ในขณะที่เขาจะขาดใจตายไปจากมนุษย์โลกนี้นั้น ย่อมจักมีเหตุการณ์อันแสดงว่า เขาจัก
    ได้มีโอกาสไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้ามาปรากฏให้เขาเห็นอย่างชัดเจนในขณะ มรณาสันนวิถีเสียก่อน
    เป็นธรรมดา
    ก็เหตุการณ์อันเป็นเครื่องบอกล่วงหน้าเพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นผู้มีบุญมีกุศลจักพ้นจากความเป็นคน
    ไปเกิดเป็นเทวดาชาวฟ้านั้นก็ได้แก่การบันดาลแห่งกุศลกรรมวิบากชักนำให้เห็นอารมณ์ต่างๆ ซึ่ง
    เป็นอารมณ์ฝ่ายข้างดีดังต่อไปนี้
    ๑ ให้เห็น กรรมารมณ์ อันเป็นอารมณ์ของกรรมฝ่ายข้างดี กล่าวคือตนได้เคยประกอบ
    กองการกุศลต่างๆ เช่น เคยบริจาคทาน เคยทำบุญเลี้ยงพระ เคยขุดสระ สร้างศาลา เคย
    รักษาศีล เคยรักษาอุโบสถ หรือเคยทำกุศลกรรมอะไรไว้ก็ดี ในขณะที่จะขาดใจตายไปนี้ ก็จะมี
    กรรมารมณืมาปรากฏ คือ ให้เห็นเป็นภาพของตัวเองกำลังทำกุศลกรรมต่างๆเหล่านั้นอย่าง
    แจ้งชัด จดจำได้เป็นอย่างดี ทำให้มีใจเบิกบานชุ่มชื่นในกุศลกรรมของตน แล้วก็ดับจิตขาดใจ
    ตายไปโดยบัดดล กรรมารมณ์อันเป็นกุศลกรรมดีงามเหล่านี้ย่อมจักเป็นเครื่องชี้ว่า เขาผู้นั้นจะ
    ต้องไปเกิดในสวรรค์เมืองฟ้าอย่างแน่นอน แต่ถ้ากรรมารมณ์เหล่านี้ไม่มาปรากฏให้เห็น วิบาก
    แห่งกุศลกรรมก็จักชักนำให้เขาเห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ๒ ให้เห็น กรรมนิมิตตารมณ์ อันเป็นอารมณ์แห่งกรรมนิมิตฝ่ายข้างดีกล่าวคือ ให้เห็น
    อุปกรณ์เครื่องมือแห่งการประกอบกุศลกรรมต่างๆ เช่น ตนเคยสร้างกุฏี โบสถ์ วิหาร บ่อน้ำ
    สาธารณะ โรงพยาบาล ศาลา เป็นอาทิสิ่งก่อสร้างต่างๆ อันเป็นเครื่องให้สำเร็จเป็นตัวบุญกุศล
    เหล่านี้ ก็จะมาปรากฏให้เห็น หรือตนเคยทอดกฐิน บวชพระบวชเณรก็จะมีเครื่องอัฐบริขาร
    เช่น ไตรจีวร และอุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆที่ตนเคยถวายไว้ผุดมาปรากฏให้เห็น หรือ
    ให้เห็นเป็นภาพเครื่องสักการะบูชา ภาพดอกไม้ธูปเทียน ภาพขบวนแห่ในพิธีการบุญกุศลที่ตน
    จัดขึ้นดังนี้เป็นต้น รวมความว่ากรรมนิมิตตารมณ์ คือ อุปกรณ์แห่งการบำเพ็ญกองการกุศล
    ต่างๆเหล่านี้ ย่อมจะมาปรากฏให้ผู้ที่ใกล้จะตายได้เห็นอย่างชัดเจนในมโนทวารคนเดียว
    จิตยึดเหนี่ยวเอาเป็นอารมณ์แล้วดับลง เขาก็จักตรงไปเกิดในสวรรค์แดนสุขาวดีเพราะ
    กรรมนิมิตตารมณ์เหล่านี้ย่อมจะเป็นเครื่องชี้ว่า เขาผู้นั้นจักต้องไปเกิดในสวรรค์เมืองฟ้า
    อย่างแน่นอน แต่ถ้ากรรมนิมิตตารมณ์เหล่านี้ก็ดีกรรมารมณ์ที่กล่าวไว้แล้วนั้นก็ดี ไม่มาปรากฏ
    ให้เห็น วิบากแห่งกุศลกรรมก็จักชักนำเขาผู้มีกรรมดีให้เห็นอารมณ์อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ
    ๓ ให้เห็น คตินิมิตตารมณ์ อันเป็นคตินิมิตตารมณ์ฝ่ายข้างดี กล่าวคือให้เห็นนิมิตต่างๆ
    ซึ่งบ่งบอกถึงคติแห่งสวรรค-เทวโลก ที่ตนจักต้องไปอุบัติเกิดหลังจากที่ได้ดับจิตตายไป
    จากมนุษย์โลกในบัดเดี๋ยวใจนี้ เช่น บางทีให้เห็นเป็นเทพบุตรเทพธิดาซึ่งเป็นชาวสวรรค์
    เมืองฟ้า ทรงรูปโฉมโสภามีผิวพรรณสวยงามนักหนาผุดขึ้นมาให้เห็นอย่างน่าแปลกใจ
    บางทีให้เห็นเป็นทิพยวิมาน ซึ่งเป็นสวนอุทยานทิพย์ซึ่งไม่มีปรากฏในเมืองมนุษย์
    บางทีให้เห็นเป็นต้นไม้กัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ในสรวงสวรรค์ มีร่มเงาอันเป็นสุขน่าดูชม
    เป็นต้นไม้ที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
    บางทีก็ให้เห็นเป็นสิริไสยาสน์ คือ ที่นอนที่อันประเสริฐปรากฏในทิพยวิมาน ซึ่งล้วน
    ไปด้วยแก้วและทองมีประการต่างๆจะหาตัวอย่างในมนุษย์โลกนี้เทียบมิได้
    บางทีก็ให้เห็นเป็นเทวดาชาวฟ้าทั้งหลายซึ่งประดับประดาด้วยเทพาภรณ์อันวิจิตร
    พากันขับรำฟ้อนเป็นที่ชื่นบานเริงสราญ มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ปราศจากริ้วรอยแห่งความ
    เป็นทุกข์ ทั้งมีลักษณาการว่าเป็นผู้มีความสุขสบายอย่างล้นเหลือ
    บางทีก็ให้เห็นเป็นเทวดาเหล่านั้นเขาพากันนั่งรถทิพย์มาเป็นหมู่ๆประดับประดาด้วยอาภรณ์
    อันปราณีตบรรจงน่าดูน่าชม และมาพูดจาชักชวนตนให้ไปอยู่ด้วยกัน
    รูปภาพมหัศจรรย์เหล่านั้นย่อมจะพลันมาปรากฏให้เห็นในมโนทวารคือทางใจ ทำให้บุคคล
    ผู้ประกอบกามาวจรกุศลกรรมไว้ และจะกระทำกาลกิริยาสิ้นใจตายไปในขณะนี้มีจิตใจยินดี
    เพลิดเพลิน เกิดความยิ้มย่องผ่องใสโสมนัสบัดนี้ ถ้ามีผู้สังเกตุดูหน้าตาก็จะรู้ได้ว่า เขาจะหลับตา
    ตายไปอย่างเป็นสุขคงจักต้องไปสู่สุคติภพอันเป็นแดนสุขาวดีเพราะคตินิมิตนี้ชี้ให้รู้ว่า เขาผู้
    มีกรรมนั้นจักพลันจุติไปเกิดในสวรรค์เมืองฟ้าได้เป็นเทวดาอย่างแน่นอน
     

แชร์หน้านี้

Loading...