ศักดิ์สิทธิ์ ลี้ลับ ผีสาง เทวดา พระเครื่อง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 30 ตุลาคม 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    มีร่อยรอยหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าพระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ในวัดพระแก้ว 9 วัด และแต่ละวัดสามารถระบุช่วงเวลาที่ชัดเจนได้ และมีพระแท่น หรือจุดที่วางพระแก้วมรกตไว้ที่แน่ชัด ได้แก่

    1. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงรุ้ง ประมาณ พ.ศ. 1200 – 1500 โดยช่วงก่อนหน้านั้นอาจจะประดิษฐานอยู่ในพระราชวังโบราณของอาณาจักรน่านเจ้า ปัจจุบันไม่มีร่องรอยเกี่ยวกับพระแก้วมรกตเหลืออยู่แล้วในเมืองต้าลี่ แต่เราสามารถพบเห็นแหล่งหินธรรมชาติชนิดเดียวกันกับพระแก้วมรกตได้ทั่วไปในเมืองต้าลี่ ส่วนวัดพระแก้วเก่าแก่ในเชียงรุ้ง มรดกของชาวไทยลื้อนี่พึ่งจะถูกรัฐบาลจีนรื้อถอนออกไปแล้วเมื่อประมาณ พ.ศ. 2546 เพื่อปรับปรุงเมืองให้ทันสมัย

    2. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงตุง ประมาณ พ.ศ. 1500 – 1900 ในช่วงแรกนั้นพระแก้วอาจจะมิได้หุ้มด้วยปูนลงรักปิดทอง แต่ชาวไทยลื้อสามารถสัมผัสและสรงน้ำองค์พระแก้วได้ในวันขึ้นปีใหม่โบราณ โดยดูได้จากการถอดความบันทึกโบราณภาษาไทยลื้อในพม่า ที่มีการบันทึกไว้ด้วยภาษาไทยลื้อโบราณมีอายุประมาณ 1000 ปีมาแล้ว ต่อมาประมาณ 900 ปีมานี้ มีกองทัพเจงกีสข่าน จากมองโกลรุกรานมาถึงพม่าก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการสรงน้ำองค์พระแก้วในวันขึ้นปีใหม่อีกเลย อาจเป็นไปได้ว่ามีการหุ้มด้วยปูนแล้วลงรักองค์พระแก้วมรกตไว้ในช่วงสมัยนี้ จนผู้คนก็ลืมไปแล้วว่ามีพระแก้วที่สลักจากหินมรกตอยู่ ปัจจุบันที่วัดพระแก้วในเชียงตุงซึ่งมีอายุกว่า 1000 ปี ได้นำพระองค์อื่นวางไว้แทนองค์พระแก้วมรกต

    3. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงราย ถูกพบว่าเป็นองค์พระแก้วมรกตในปี พ.ศ. 1979 ตอนนั้นเชียงรายอยู่ในการดูแลของนครเชียงแสน และเมืองเชียงแสนเป็นถิ่นฐานที่สามารถติดต่อกับชาวไทยลื้อและน่านเจ้าได้โดยการเดินทางผ่านแม่น้ำล้านช้างหรือแม่น้ำโขง แต่องค์พระแก้วที่หุ้มด้วยปูนลงรักอาจจะถูกชาวไทยลื้อแอบเชิญมาอยู่ที่เชียงรายในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 หรือประมาณ พ.ศ. 1900 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวมอญแพ้ให้กับพม่า และพุกามกำลังเรืองอำนาจ มีการเริ่มก่อตั้งอาณาจักรล้านนา และชาวไทยลื้อเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคเหนือของไทย

    4. วัดพระแก้ว ในเมืองลำปาง หรือเมืองเขลางค์นคร ปัจจุบันคือวัดสุชาดาราม หรือ พระแก้วดอนเต้า ประมาณ พ.ศ. 1979 – 2011 ในฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของนครเชียงใหม่ วัดพระแก้วดอนเต้า หรือสุชาดารามนี้ ตั้งอยู่ที่ ถนนสุชาดา ภายในเมืองลำปาง เป็นวัดเก่าแก่สวยงาม มีอายุเกือบพันปี มีปูชนียสถานที่สำคัญของวัดทดแทนพระแก้วมรกต คือ พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งเชื่อว่าบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า

    5. วัดพระแก้ว ในเมืองลำพูน หรือหริภุณชัย ในช่วงปี พ.ศ. 2009-2011 เป็นเส้นทางผ่านในการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากลำปางไปสู่เมืองเชียงใหม่ โดยได้ประดิษฐานพระแก้วมรกตไว้เป็นการชั่วคราวที่นี่ก่อนที่จะมีการก่อสร้างปราสาทที่เก็บรักษาพระแก้วในเมืองเชียงใหม่

    6. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือวัดเจดีย์หลวง ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2011 จนถึง 2096 โดยมีการก่อสร้างปราสาทหอพระแก้วไว้บริเวณซุ้มจรนัม ทางทิศตะวันออกของพระธาตุเจดีย์หลวง ปัจจุบันหอพระแก้วเดิมได้ผุพังไปแล้ว มีการก่อสร้างอาคารใหม่ขึ้นมาทดแทน

    7. วัดพระแก้ว ในเมืองเชียงทอง หรือปัจจุบันคือหลวงพระบาง ตั้งแต่ พ.ศ. 2096 – 2107 โดยถูกพระญาติของเจ้าครองนครเชียงใหม่ ที่จะได้ไปครองเมืองเชียงทองซึ่งตอนนั้นยังไม่เป็นเอกราช ได้แอบนำพระแก้วมรกตไปจากเชียงใหม่ ปัจจุบันที่ที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานพระบางแทนซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองจากเมืองเชียงทองเป็นเมืองหลวงพระบาง

    8. วัดพระแก้ว ในเมืองเวียงจันทร์ พ.ศ.2107-2321 พระแก้วมรกตได้ถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่เวียงจันทร์เพื่อหลบหนีจากการทวงคืนจากเชียงใหม่ และการรุกรานของพม่า ปัจจุบันพระแท่นที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตว่างเปล่า ไม่มีการตั้งพระพุทธรูปองค์ประธานอื่นไว้ทดแทน เพราะชาวลาวเชื่อว่าสักวันหนึ่งพระแก้วมรกตจะได้กลับมาที่เดิม

    9. วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ใน กทม. จาก พ.ศ. 2321 จนถึงปัจจุบัน แต่ในช่วงแรกที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีศรีสรรเพ็ชร์ คือระหว่าง พ.ศ. 2321-2325 ได้ประดิษฐานไว้ในโรงภายในพระราชวังเดิม ซึ่งปลูกไว้ริมพระอุโบสถวัดแจ้ง ฝั่งธนบุรี (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอรุณราชวรารามในรัชกาลที่ 2) ครั้นเมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2325 ได้โปรดให้เรียกพระแก้วใหม่ว่าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วอัญเชิญมาประดิษฐาน ในพระบรมมหาราชวัง จนมีการสร้างพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2327 จึงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานอยู่ในที่ปัจจุบัน
     
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ไม่ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีใดที่จะเชื่อได้ว่าพระแก้วมรกตจัดสร้างขึ้นที่เมืองปาลีบุตร ประเทศอินเดีย เพราะในยุคนั้นบริเวณเมืองปาลีบุตรไม่มีหินหยกขนาดใหญ่เลย และไม่ปรากฏหลักฐานใดที่จะเชื่อได้ว่าพระแก้วมรกตเคยประดิษฐานที่ลังกา หรือประเทศศรีลังกามาก่อน แม้ว่าจะมีวัดพระเขี้ยวแก้วในประเทศศรีลังกาก็ตาม ยังไม่ปรากฏหลักฐานใดที่จะเชื่อมโยงกับพระแก้วมรกตเลยใน เมืองนครธม และในที่อื่น ๆ ของเขมร รวมทั้งไม่มีเหตุผลใดที่พระแก้วมรกตจะเคยมาอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร และเมืองอโยธยาโบราณ (กรุงศรีอยุธยาตั้งขึ้นมาจริง ๆ ในสมัยพระเจ้าอู่ทองประมาณ 600 ปีก่อนเท่านั้น) นอกจากความเชื่อที่จำกันมา แม้ว่าจะมีวัดพระแก้วในพระนครศรีอยุธยาและเมืองเก่ากำแพงเพชรก็ตาม แต่น่าจะเป็นวัดที่สร้างใหม่ภายหลังอายุไม่เกิน 400 -500 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นที่แน่ชัดว่าพระแก้วมรกตอยู่ที่เชียงใหม่ ลำพูนและลำปาง ดังนั้นตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพระเจ้าอติตะราช (อาทิตยราช) เจ้าครองนครอโยธยาโบราณมารับเอาพระแก้วมรกตไปจากเขมรจึงไม่น่าจะมีจริง

    ปัจจุบันโอกาสที่เราจะเห็นองค์จริง ๆ (Model พระพักตร์และลวดลายแกะสลัก) ของพระแก้วมรกตนั้นมีน้อยมาก เพราะเรานำเครื่องทรง 3 ฤดู ไปสวมและปกปิดความมหัศจรรย์ขององค์พระจริง ๆ แต่ก็ทำให้พระแก้วมรกตมีความเป็นศิลปะไทยมากขึ้น เพราะหากไม่มีเครื่องทรงแล้ว ดูองค์พระจากหินมรกตเปล่า ๆ จะเห็นแตกต่างไปจากที่เราคุ้นเคยมาก ช่างสลักของไทย เขมร พม่า ลาวรวมทั้งล้านนาในทุกสมัยก็มิเคยมีฝีมือสลักพระพุทธรูปในรูปแบบนี้มาก่อน
     
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ความศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับของพระบรมสารีริกธาตุ

    ความศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับของพระบรมสารีริกธาตุ

    นอกจากพระพุทธรูปและพระเครื่องจะแสดงความศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า คนให้ความเคารพนับถือมากกว่า รองจากพระพุทธเจ้าองค์จริงเลยทีเดียว นั่นคือพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งบรรจุไว้ตามพระเจดีย์ต่าง ๆ อันมีชื่อเสียงในประเทศไทยของเรา และประเทศอื่นที่นับถือพระพุทธศาสนา

    พระบรมสารีริกธาตุ คือส่วนต่าง ๆ ของพระสรีระของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระธาตุธรรมดาหมายถึงเป็นชิ้นส่วนสรีระของพระอรหันต์ทั่ว ๆ ไป ซึ่งพวกเราจะได้พบเห็นในยุคสมัยนี้ที่หลังจากเผาศพของพระอริยสงฆ์ในสายหลวงปู่มั่นแล้ว ชิ้นส่วนกระดูกของท่านหลังจากถูกไฟเผาแล้วกลับกลายเป็นพระธาตุแก้วผลึกใสบ้าง ขุ่นขาวบ้าง เหมือนเม็ดหินเม็ดทรายบ้าง หลงเหลือตกอยู่ตามเชิงตะกอน

    สมัยก่อน พระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ส่วนมากก็เห็นเพียงปรากฏการณ์คือดวงแสงสว่างที่ลอยขึ้นจากองค์พระธาตุเจดีย์ เดินทางไปมาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วกลับมาสู่พระเจดีย์ดุจเดิม กว่าจะค้นพบหรือได้เห็นของจริงก็ต่อเมื่อมีคนมีบุญวาสนาสูงส่งมาอัญเชิญ พระบรมธาตุจึงออกมาให้เห็นได้ ซึ่งก็ได้รับความเคารพนับถือจากเจ้าฟ้ามหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง จนมาถึงพระภิกษุสงฆ์องค์สำคัญในสมัยโบราณ

    แต่สมัยนี้ เรื่องของพระธาตุดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา คือสามารถพบเห็นกันทั่วไป แม้ภาพบนอินเตอร์เน็ตยิ่งหาดูได้ง่ายที่สุด และเรามีโอกาสสัมผัสกับพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุได้ง่ายกว่าคนโบราณมาก ทั้งสามารถเป็นเจ้าของครอบครองพระบรมธาตุไว้กราบไหว้ได้ง่ายที่สุดด้วย ทั้งนี้เพราะยุคสมัยนี้คนทำบุญมาก ทั้งทาน ศีล ภาวนา การเข้าถึงพระพุทธศาสนามีมากและง่ายกว่าคนโบราณ แม้ฆราวาสที่ไม่ได้บวชเรียนก็สามารถเรียนรู้พระไตรปิฎกได้ทั้งหญิงและชาย พระไตรปิฎกหาอ่านได้ง่ายที่สุด เพียงมีเครื่องคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตก็สามารถเปิดอ่านได้ ไม่เหมือนสมัยโบราณที่พระไตรปิฎกอยู่ในหอธรรม กลายเป็นสิ่งศักดิ์ให้คนกราบไหว้บูชาเท่านั้น แม้พระสงฆ์ที่เฝ้าวัดอยู่ยังไม่มีใครเอาพระไตรปิฎกมาเปิดอ่าน

    สมัยที่ผมอยู่วัดใหญ่ใจกลางกรุงเทพ ฯ มีนายพันตำรวจหัวรุนแรงท่านหนึ่งที่ชอบเขียนหนังสือด่าใครต่อใคร เมื่อเข้ามาบวชแกก็ด่าของแกเป็นนิสัย ต่อมาได้พระธาตุจากไหนไม่รู้มาแจกที่วัด คนก็หลั่งไหลไปรับ แต่ผมกลับไม่เชื่อ แกเอาบุญจากไหนมาครองพระธาตุมากมาย เพราะกระทั่งท่านพุทธทาสภิกขุแกยังเขียนหนังสือด่าเลย ผมก็ลงความเห็นว่าพระธาตุของแกเก๊

    ประมาณ พ.ศ.2520 ผมได้ไปกราบหลวงพ่อกัสปะมุนี วัดปิบผลิ เมืองระยอง ท่านอยู่องค์เดียว ห้องของท่านมีพระธาตุมากมาย ท่านว่ามาเอง ล้นพานแก้วขนาดใหญ่ที่บรรจุจนตกลงบนถาดรอง ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
    เมื่อปี 2540 เพื่อนรุ่นพี่ชาวระนองพาท่องอีสานครึ่งค่อนเดือน ได้ไปกราบพระคุณเจ้าศิษย์สายหลวงปู่มั่นหลายท่าน มีหลวงปู่จามองค์หนึ่งล่ะ ที่วัดหลวงปู่จามมีพระเจดีย์ทรงแปลกประหลาดสวยงาม ในเจดีย์นั้นมีห้องพระบรมสารีริกธาตุ มีพระธาตุองค์เล็กองค์ใหญ่กระจายอยู่ทั่วในห้องแก้วนั้น ถ้านับเป็นองค์ ก็ไม่ทราบว่าจะกี่ล้านองค์ หลวงปู่บอกว่าเสด็จมาเองทั้งนั้น ระดับหลวงปู่จามพูด ผมเชื่อ
     
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พระบรมธาตุ และเจดีย์วัดหลวงปู่จาม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1996.jpg
      1996.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.7 KB
      เปิดดู:
      67
    • P1050244.jpg
      P1050244.jpg
      ขนาดไฟล์:
      291.5 KB
      เปิดดู:
      80
    • n20110517113011_384.jpg
      n20110517113011_384.jpg
      ขนาดไฟล์:
      203.7 KB
      เปิดดู:
      75
    • 89183513.jpg
      89183513.jpg
      ขนาดไฟล์:
      139.6 KB
      เปิดดู:
      76
    • 2412.jpg
      2412.jpg
      ขนาดไฟล์:
      129.5 KB
      เปิดดู:
      81
    • SAM_3465.JPG
      SAM_3465.JPG
      ขนาดไฟล์:
      186 KB
      เปิดดู:
      149
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ปี 2545 ผมท่องอีสานอีก ได้ไปกราบพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง ที่ผมได้สัมภาษณ์แม่บัวเงิน ภุมริน นั่นแหละ ท่านเล่าว่ามีพระบรมธาตุเสด็จมาหาท่านเรื่อย เวลามาจะมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้น จากนั้นใกล้ ๆ ที่ท่านนั่งสวดมนต์ภาวนาจะมีพระธาตุตกอยู่ ท่านก็เก็บใส่ผอบแก้วไว้ แจกให้คนอื่นไปบูชาบ้างก็มี ผมเลยถือโอกาสขอจากท่าน ได้มา 4 องค์ ต่อมาเมื่อผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่แพร่ผมก็เอาใส่ผอบวางไว้บนแท่นบูชากลางห้องโถง ซึ่งด้านบนเป็นที่สถิตของพระบูชา ด้านล่างเป็นที่สถิตของเคหะเทวดา

    นาน ๆ ผมก็กลับไปเยี่ยมแม่ที จนวันหนึ่งเมื่อกลับไปอยู่บ้านจริง ๆ จึงไปเปิดดูผอบพระธาตุ เห็นแต่สำลีว่างเปล่า หามีพระธาตุไม่ ถามแม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครทราบ ผมจึงแน่ใจว่าพระธาตุได้เสด็จหนีไปเพราะไม่มีคนกราบไหว้บูชา นอกจากผมไม่เสียใจแล้วกลับดีใจเสียอีก เพราะผมมั่นใจว่าพระธาตุมีจริง และหายไปเองได้ถ้าเราไม่เคารพบูชา คนดื้ออย่างผมต้องพบเหตุการณ์กับตัวเองจึงเชื่อครับ

    เมื่อปี 2551 มีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งนำพระบรมสารีริกธาตุไปมอบให้องค์พ่อ ๑๖ หรือองค์พ่อเวสสุวัณ ท่านเป็นผู้จัดพานดอกไม้ธูปเทียนรับเอง (องค์ญาณไม่มีความรู้เรื่องนี้) ตั้งแต่นั้นมาที่ตำหนักขององค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อกุเวรก็มีผอบแก้วใสบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้กราบไหว้บูชา ซึ่งน่าจะมี 4-5 องค์ แต่ปัจจุบันมีพระบรมสารีริกธาตุเพิ่มขึ้นหลายองค์ และองค์เดิมก็ขยายใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก

    สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของพระธาตุต่าง ๆ ที่ชาวพุทธได้รับประสบการณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ
     
  6. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    กระทู้ดี ๆ มีเนื้อหาสาระ ไปอยู่ต้น ๆ ให้คนเขาอ่านหน่อยสิครับ อ่านแล้วประเทืองปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...