พลังงูไฟ( กุลฑณี )

O00 บท สวดมนต์ ..
คง..ไม่ไหวอ่ะค่ะ คงไม่ออกไปเที่ยวที่อยากไปแน่ ..

^ ^

__/l\__

(b-smile) ขอบคุณ สำหรับคำแนะนำดีๆค้า

 

อยากรู้รายละเอียดให้มากกว่านี้ครับมีใครเสริมให้กระจ่างหน่อยได้ไหมครับ(b-hmm)

 

เป็นอย่างที่คุณ suwi ว่าครับ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคิดว่าเป็นทางลัดของการฝึก เมื่อได้ฟังผู้อื่นที่เรียนด้วยกันว่าเมื่อจักระ 1 เปิดแล้วจะมีพลังมหาศาลตามมาครับ แต่ไม่ค่อยคำนึงถึงผลที่ตามมาครับ ผู้ที่เรียนพลังจักรวาลมีหลายท่านที่สามารถเปิดจักระ 1 ได้ครับ อย่างเช่นพี่ อาชวิน และอีกหลายท่านครับ คุณชูศักดิ์ก็เปิดแล้วตอนเรียนระดับ 11-13 ส่วนผมเพิ่งเปิดได้ไม่นานครับ กำลังศึกษาวิธีใช้อยู่ครับเอาไว้มาปรึกษากันวันที่ 9 ดีกว่า เพราะถ้าผู้ไม่เข้าใจนำไปฝึกเดี๋ยวจะกลายเป็นโทษอย่างมหันต์ครับ งูไฟที่ว่าไม่ได้มีตัวเดียวครับ ขอแนะไว้แค่นี้ก่อนครับ

 

อาการที่เธอเป็นอยู่ เป็นโทษของ งูไฟบวกกับอาการคั่งค้างของพลังกระทบจากการฝึกมวย บอบช้ำทั้งภายนอกภายใน
คนจีนเรียก ปั๋วเสี่ย (แต้จิ๋ว) ไทยเราเรียก โอปักมิกาพาท ปัญหาอันยิ่งใหญ่ของเธอจะเกิดเมื่อไฟธาตุในร่างกายค่อยๆลดน้อยลงตามอายุไข อาการก็จะยิ่งเป็นมากขึ้น ยาลมบาทจิตรที่เธอกินอยู่ให้กินต่อไป และให้แต่งยากินเพิ่มดังนี้

1. ไพล 4 ส่วน
2. ใบบัวบก 3 ส่วน
3. ว่านน้ำ 2 ส่วน
4. หญ้าพันงูแดง 2 ส่วน
5. เจตพังคี 2 ส่วน
6. สมอเทศ 2 ส่วน
7. เทียนขาว 1 ส่วน
8. เทียนข้าวเปลือก 1 ส่วน
9. ขิงแห้ง 1 ส่วน
10. ดีปลี 1 ส่วน
11. พริกไทยร่อน 1 ส่วน
12. หอยสังข์ 2 ส่วน

ทุกอย่างตากแห้งแล้วบดเป็นผง ละลายน้ำร้อนกินครั้งละ 2 ช้อนชาก่อนอาหาร เช้าเย็นและก่อนนอน
อาจใช้น้ำกระสายยา เป็นน้ำมะนาว หรือน้ำมะกรูด

และให้หายาถ่าย เช่นยาน้ำระดมพล หรือยาดองมะกรูด หรือยากษัยเส้น กินเพื่อถ่ายโรค สักอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง

และการฝึกปราณของเธอ ให้ฝึกด้วยความไม่ประมาท ดังเราจะค่อยๆเล่าให้เธอฟังต่อไป

 

เมื่อเธอปรารถนาเป็นนักเรียน ก็จงน้อมใจด้วยความเคารพ ฟังเรากล่าว เพื่อการเตรียมจิตในการฝึก

ในสมัยหนึ่ง เรานั่งมองจุดเล็กใสที่ปลายจมูก ใจเราตรึกว่า
โกรธหนอ โกรธหนอ..........
พลันปรากฏภาพ เรากำลังขับรถอยู่ตะบึงไปข้างหน้า พุ่งตรงดิ่งเข้าหาเตาหม้อของสะพานใหญ่
เอ้อ...โกรธหนอ.ๆๆ...อ้อ..ขับรถหนอ ขับรถหนอ... จะชนแล้วหนอ โอ้ชนแล้วหนอ โอ้ พังยับเยินเลยหนอ....

ในมโนนึก เห็นภาพตัวเองมายืนดูสภาพรถที่พังยับ เหลือบไปเห็นผู้ขับรถ ก็ตัวเรานั่นแหละ นั่งบ่นอยู่ว่า ...ชนแล้วหนอ..ๆ...ๆ
แล้วเราผู้ดูเล่า เอ๋ ได้ยินเสียงบ่นกับตัวเองว่า .....พังยับเยินหนอ .ๆ.ๆ..ๆ
เอ...อะไรกันหว่า...หายใจเข้าลึก ประมวลภาพทั้งหมด เรียบเรียงลำดับใหม่อีกครั้ง
โกรธหนอ..ๆ..ๆ ขับรถหนอ..ๆๆ จะชนแล้วหนอ .ๆ. ชนแล้วหนอ ยับเยินหมดแล้วหนอ ใจนิ่งเรียงลำดับเหตุการทั้งหมดย้อนไปมา ตรึกรู้เหตุการทั้งหมด นึ่งในนิ่ง ตรึกถาม.....พลันภาพปรากฏขึ้นใหม่

เรากำลังขับรถอยู่ ทะยานพุ่งดิ่งเข้าหาเตาหม้อใหญ่ พลันปรากฏ มีผู้พุ่งผ่านล้ำหน้าเราไปข้างหน้า เปานกหวีด ปรี้ด... ยกมือขึ้นห้ามเหมือนตำรวจจาราจรให้เราหยุด โอ้ยเบรกจนตัวโก่ง เอ๋ คราวนี้ไม่ยักชนแฮะ เงยหน้ามอง นายตำรวจ เอ้ ตัวเราเองนี่หว่า ภาพจางหาย จุดใสกระจ่างอยู่ปลายจมูก ตรึกรู้ลงในใจกลางของความสว่าง

เออหนอ ที่เราภาวนาว่า โกรธหนอ ก็มีสภาพดังรถที่ชนยับเยินแล้ว ความสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว การระงับความโกรธที่ถูกตัอง ต้องกระทำก่อนที่มันจะเกิด มีสภาพดังจารจรใหญ่มาเป่านกหวีดห้าม รถไว้ก่อนจะชน เอ้อแล้วจะทำได้อย่างไรหนอ..

เร่งจิตให้เร็วขึ้นสิ แซงล้ำหน้าคนขับขึ้นไป ดังจารจรใหญ่ที่พุ่งตัวล้ำหน้าคนขับรถไปข้างหน้า แล้วเป่านกหวีด ปรี้ด
ด้วยเหตุนี้ทำให้เราเข้าใจถึงภาวะของจิต 3 ประการ

บุญยงเอย เราขอตกลงคำศัพท์ ที่เราจะใช้ในที่นี้ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน
ผู้ดู เราจะใช้คำว่า "จิต" ที่เพียบพร้อมด้วยสติสัมประชัญญะ เป็นผู้เฝ้ดูอยู่
ผู้กระทำ(ผู้ถูกดู)เราจะใช้คำว่า "ใจ" เป็นจิตที่กำลังทำงานอยู่

ดังนั้น 3 สภาวะที่เกิดขึ้น ที่เราจะกล่าวถึงคือ
1. จิต จะตามเฝ้าดูใจอยู่ (หมายถึง จิตตามอยู่ข้างหลัง ดูใจทำงานเสร็จแล้ว)
2. จิต เฝ้าดูใจอยู่ติดๆ (หมายถึง จิตกับใจ เกาะติดกันไป)
3. จิตเฝ้าดูใจ โดยจิตอยู่ล้ำหน้าใจก้าวหนึ่ง

และด้วยความเข้าใจในภาวะทั้งสามนี้ทำให้เราเข้าใจถึง
สัมเพสังขาราอนิจจา(1+2)
และสัพเพสังขาราทุกขา (1+2+3)

บุญยงเอยบุญยง เจ้าจงศึกษาให้เข้าใจในสภาวะธรรมทั้งสามนี้
แล้วนำไปประกอบการฝีกลมปราณทั้งหมด
แล้วเจ้าจะสามารถควบคุมการพุ่งทะยานของพลังจากสุริยะรัตมณี(งูไฟ)และพลังจันทรามณี(พลังจากจักระ7)ได้ดังใจปรารถนา
ซึ่งรวมทั้งการควบคุมพายุหมุนทีก่อเกิดในกายด้วย

บุญยงเอยบุญยง ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เธอได้รับรู้ความป็นมาแห่งธรรมทั้งสาม และจะเป็นเหตุให้เธอสามารถประยุกต์ ฝึกจนได้ความรู้ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"ได้ไม่ต้องไปพึ่งผู้อื่น เพราะในวิกฤติแห่งชีวิต เธอต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น

พายุหมุนที่ก่อเกิดในกาย ปัจจุบันรู้จักกันในนาม สมาธิหมุน การหมุนธรรมจักร และฯลฯ
เพียงเธอเข้าใจภาวะธรรมทั้งสามที่เรากล่าวถึง เธอก็สามารควบคุมและใช้ประโยชน์จากพายุหมุนลูกนี้ได้ ทั้งการรักษาโรคและรักษาสุขภาพกายของเราเองและการรักษาให้ผู้อื่น
ซึ่งเธอจะต้องฝึกให้ถึงจุดนี้เพื่อรักษากายของเธอเอง ยาที่เธอใช้อยู่ จะช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น การเคลื่อนไหวของพายุหมุนลูกนี้ทั้งภานในภายนอกจะรักษาโรคที่เธอเป็นอยู่ให้หายขาดได้
เธอผู้ฝึก จงใช้ปัญญาด้วยความไม่ประมาท เธอไม่จำเป็นต้องไปรับเวรรับกรรมใดๆ กับการเคลื่อนไหวนั้นๆทั้งภายในภายนอก อันเกิดจากพายุหมุนลูกนี้

 

[b-wai] เออ ..รบกวนคุณ คนขายธูปอีกรอบค่ะ
อย่างที่ถามมา ถ้าจักระเปิดแล้ว เราทำอะไรได้บ้างคะ ?
แล้ว การเปิดแบบนี้ ทำให้พลังงูไฟตื่นกะเค้าม่างรึป่าวคะ ?

5555 แบบว่าวิธีแสนธรรมดา ไม่มีการเล่นพลังอย่างของเค้าทำกันแบบนั้น ^^!

แล้วที่วางแล้วว่างรู้จักเรื่องจักะนี่ไม่เคยไปฝึกเปิดพลังจักวาลกะเค้านะคะ
ชอบเรื่องการฝึกดูออร่าค่ะ เคยอ่านผ่านๆ แล้วส่วนตัวชอบเล่นกับสนามแม่เหล็ก ในตัว ( ไฟช๊อต ) น่ะค่ะ

มีเพื่อนนอกศาสนาเค้ามีพลังจิต ถึงขั้นรักษาโรคได้
ตอนนี้เลยสนใจอยากลองดูบ้างค่ะ
ถามเค้าเค้าบอกต้องค้นพบด้วยตัวเอง^^!
วิธีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ..

 

หากเราเข้าใจธรรมชาติว่า ทุกสรรพสิ่งไม่ใช่ระบบปิดที่จะยึดเป็นตัวตนของตน
เราย่อมเข้าใจว่า "การเปิดจักระ" คือการหลอมรวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติทาง
"กายทิพย์" คือ ให้กายทิพย์ที่เคยอุดตัน มีปัญหา ได้โปร่งโล่งสะดวก ลมปราณ
เดินผ่านได้ดี คือ เข้าสู่ภาวะ "อนัตตา" อย่างหนึ่ง (ไม่ใช่ทางปัญญา แต่ทาง
กายภาพหรือกายทิพย์)


ดังนั้น การเปิดจักระคือการที่เราพร้อมเป็น "ธรรมดา" เป็น "ธรรมชาติ"
เป็นหนึ่งเดียวสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ มิใช่ "สิ่งเหนือธรรมดา"


ผลที่เกิดขึ้นคือ ร่างกายและกายทิพย์หรือจิตใจก็ตามที่สอดคล้องกับธรรม
ธรรมชาติก็จะเกื้อหนุนผู้นั้น รักษาผู้นั้น ระบบเราไม่ขัดแย้งธรรมชาติ ก็เรียกว่า


"ธรรมะ ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"


คุณจะเห็น "แจ้ง" ในพุทธพจน์อันนี้ว่าพระพุทธเจ้ากล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ
คุณเป็นโรคร้ายหรือเรื้อรังก็สามารถหายได้เร็วกว่าคนทั่วไป ร่างกายแข็งแรง
อันนี้ขอไม่โฆษณาเกินไป (บางท่านฝึกจนอายุ ๖๐ แต่ใบหน้าเหมือน ๒๐)


แม้นคุณไม่ได้ไปพึ่งใครให้เปิดให้ แต่คุณได้เปิดแล้วด้วยตัวคุณเอง


"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"


วิชาที่คุณได้ เหมาะสำหรับคุณ เพราะคุณไม่ต้องเอาวิชชาใครมาเริ่มใหม่จาก
ศูนย์ คุณรื้อฟื้นของเก่าแล้วคุณจะไปได้อย่างรวดเร็วมากกว่าพวกพึ่งพาผู้อื่น


ส่วนเรื่องการนำไปใช้รักษาโรคนั้น ขอให้คุณมั่นใจก่อนว่าคนไข้จะไม่ใช่
หนูทดลองยา เพราะขนาด "พระอาจารย์พจน์" ก็มีพลังจิตและพลังจักรวาล
ท่านก็เล่าให้ผมฟังเรื่องไปรักษาคนไข้แล้วอาการกลับแปลกไปจากเดิม จน
คนไข้ไม่กล้ามาหาพระอาจารย์อีก


ขอให้คุณแนะนำให้เขาฝึกรักษาตัวเขาเองดีที่สุด
พลังตัวเองมีอยู่ อยู่กับตัวตลอดเวลา ไยต้องพึ่งพาพลังคนอื่น


คุณว่าจริงไหม อิๆๆ..

 

ขอแนะนำครูๆ ทั้งหลายที่รอเราอยู่ ส. พัฒนากำลังภายในฯ
คุรุทั้งหลายท่านจะชำนาญและแนะนำเราได้แบบง่ายๆ ครับ

http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=87701

(b-flower) (b-flower) (b-flower)

 

หนูอยากได้อิทธิฤทธิ์และอำนาจไปยึดเว็บพลังจิต
ขอหน่อยค่ะ หนูอยากได้เว็บนี้ อยากได้อำนาจ อยาก...


http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=89023

 

อยากจะถามหน่อย ตอนนี่ผมสามารถรักษาคนได้ แต่จะทำให้คนนั้นบาดเจ็บได้หรือปล่าว ถ้าได้ก็แหล่มเลย คิระ เกิดแน่ๆๆเอิ้กๆๆ ถามเล่นๆๆถ้าทำได้จริงก็ไม่แน่

 

ถ้าคุณฝึกวิชชากับผม ผมก็จะให้คุณรักษาสัจจะ
ไม่รักษาใครเกินหนึ่งครั้ง แล้วแนะนำให้เขารักษาตัวเอง
ใครมาหาคุณรักษาให้ครั้งแรก แล้วให้เขาฝึกเอง พึ่งตนเอง
ไม่งั้น คนจะมารุมเร้าคุณ คุณไม่มีเวลาสงบฝึกจิต ของก็เสื่อมได้


ดาบมีสองด้านแล้วแต่วิจารณญาณคุณจะเลือกใช้
ผมไม่ขอตอบมากกว่านี้ฮะ เพราะโตๆ กันแล้ว

 

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุวิ ครับผม

และสวัสดี เพื่อนๆ พ่อแม่พี่น้อง ทุกท่านในเวปพลังจิตนี้

เมื่อวาน(26 สค.50) มีนี้อาการเจ็บช่องท้อง
เหมือนกับโดนมีดเป็นสิบๆเล่มเสียบ
กว่าอาการจะค่อยยังชั่ว ก็เช้าของวันนี้เอง

การเข้ามาในเวปพลังจิต ได้ความรู้หลายหลายมาก
ของที่ไม่เคยคิดว่าจะรู้ ของที่ก่อนๆไม่เชื่อ
พอมาได้ยินได้ฟังจากคนรู้จริงๆ มันก็เปิดโลกใบใหม่ให้กับผมทันที

ตั้งแต่หัดมวยมาแรกๆ ผมใช้เป็นแต่ "แรงยก"
คือเป็นแรงที่ส่งมาจากพื้น หรือตันเถียนขึ้นข้างบน เท่านั้น
แต่ใช้ "แรงจม" คือแรงที่สวนทางแรงเดิมไม่เป็น

ตอนหัดใช้แรงยกก็มีความเจ็บป่วยอยู่ไม่น้อย
คราวนี้มาหัดแรงจมบ้าง อวัยวะภายในที่อยู่ด้านหน้าของร่างกาย ไม่แข็งแรงพอ
ช่วงนี้เลยมีอาการ ปวดในช่องท้อง ถึงกับคิดจะซื้อปืน มายิงตัวตายทีเดียว
ช่วงเวลาอาการกำเริบจะไม่แน่ไม่นอน เดาว่า น่าจะขึ้นอยู่กันข้างขึ้นข้างแรมด้วย

สมัยก่อน ผมไม่มีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อะไรเล้ย...
แต่ตอนนี้เจ็บตัวมาหลายดอก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

 

ยาลมบาทจิตที่ใช้ทานมีสูตรดังนี้

***************************
มหาหิงค์ 4 บาท
หัวดองดึง
เจตมูลเพลิงแดง
สมอเทศ
ดีปลี
หัสคุณเทศ
กานพลู
เทียนดำ
สะค้าน
ยาดำ
ใบหนาด
เปลือกมะรุม
ดอกโหระพาแก่

***************************
ขิงแห้ง 2บาท
พริกไทย
กระลำพัก
กฤษณา
ว่านน้ำ

***************************
รากจิงจ้อใหญ่ 1บาท
เกลือสินเธาว์
การบูร
โกฐสอ
เกลือกะตัง
กระวาน

หลวงปู่ท่าน ที่ให้ยาชุดนี้ไว้ ท่านไม่หวงห้ามอะไร
ขอเพียงแต่ว่าอย่าเอาไปใช้เพื่อการค้า มันจะผิดครู

หลวงปู่ท่านนี้ เคารพในหลวงปู่เทพโลกอุดร มากครับ

 

ที่มี ******* กันไว้คือ
ยาที่อยู่ในช่วงกันใช้น้ำหนักเท่ากันทั้งหมด
คือ 4 2 1 บาท

ไม่มียาชุดนี้กินกันไว้ สงสัยม่องเท่ง ไปนายแล้วฮับ

 

[b-wai] อุ๋ย ! .. ต้องขออภัยด้วย ..
ถ้าสำนวนภาษาเล่นมากไป ( คงติดกับออนM มา )
แล้ว ... ถ้าตั้งคำถามหรือใช้สำนวนไปกระทบใจใครเข้า ..
อย่าถือสากันเลยนะคะ ...

ขออย่าเป็นมโนกรรมต่อกันเลยละกัน
อโหสิกรรมให้แล้วกันนะคะ ^^

 

เสมา อันที่ตั้งอยู่หน้าโบสถ์ ให้ล้างให้สะอาดพอควร
เอาผ้า(ขนหนู ที่สามารถซับน้ำได้) ที่สะอาดพันรอบเสมา
จุดธูป 3 ดอก (ดอกไม้ ธูปเทียน บูชารัตนตรัย) แล้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เสมาฟัง
เล่าทั้งหมดในรายละเอียดที่รู้ (เหมือนเล่าให้ศาลฟังห้ามต่อเติมตามความรู้สึกนึกคิด)

แล้วขอต่อเสมา ขอน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธ์ เพื่อขจัดทุกข์ภัย และ..........(ขอ....ตามที่ต้องการ , ให้ตั้งอยู่บนสัมมาทิฐิ)

แล้วนำน้ำสะอาด ลดบนองศ์เสมา พร้อมสวด อิติปิโส (บทเดียว) สวดไปเรื่อยๆจนน้ำชุ่มผ้าที่พันไว้ที่ฐานเสมา
นำผ้าที่ช่มน้ำ บิดเอาน้ำใส่ภาชนะที่เตรียมไว้

ถ้าได้น้ำมนต์ยังไม่พอ ให้นำผ้าไปพันที่ฐานเสมาอีก เอาน้ำรด สวดอิติปิโสต่อ
จนได้น้ำมนต์พอเพียง เอาน้ำนั้นไปกรอง อาจด้วยสำลี ฯลฯ
น้ำที่ได้เป็นสุดยอดของน้ำมนต์อันศักสิทธ์ กิน พ่น พรม ทา อาบ แล้วแต่จะใช้

ได้แนะนำ ให้ผู้คนไปทำใช้แล้วหลายครั้ง(ได้ผล 100% ทุกครั้ง)ได้ผลดีมาก เพียงใช้ครั้งแรกก็ได้ผลแล้ว ประมาณ 1-3 วันก็หายขาด

ไม่มีอำนาจใด ทานอำนาจแห่งเสมาได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณผี คุณคน คุณเทวดาใดๆ ล้วนต้องถอนถอยทั้งสิ้น

ความสำคัญอยู่ที่ตอนเราเล่าเรื่องที่เกิด(ห้ามโกหก และเอาความนึกคิดของตัวเองใส่) และสิ่งที่ขอ ต้องมีสาระและเป้าหมายที่แน่นอนว่าต้องการอะไร เพื่ออะไร<!-- / message --><!-- edit note -->

 

กราบขอบพระคุณท่าน อาจารย์สุวิ ครับ

 

สมาธิมีกำลังมาก ใช้ในด้านถูกก็ดี ด้านผิดก็พัง

ปราณก็เช่นกัน

จักระ 1 เปิดง่าย ไม่ยาก ไม่ได้ใช้สมาธิอะไรมากมาย
คนออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำ เล่นโยคะ นั่งสมาธิ ก็เปิดได้
แบบนี้ ไม่ค่อยมีผลเสีย

ดิฉันเคยกระตุ้นจักระ 1 แค่ 7 วัน มือเท้าก็ดีด สะบัด เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน บางคราวร่างกายดีดลุกขึ้นมาตอนนอนได้เอง คือ เป็นอาการที่จักระทั้งเจ็ดเปิดทะลวงถึงกัน เป็นอยู่ สามสี่วัน ก็จะหาย หมายถึงปราณเดินได้ทั่วตัว

ตอนนั้น อาจเป็นเพราะนั่งสมาธิด้วย แล้วด็เดินปราณเอง

ไม่ได้คิดว่าการเปิดจักระ 1 จะมีผลร้ายมากมาย เพราะไม่ทราบอะไรมาก่อน

พอเปิดแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองมีผลร้ายอะไร เพราะไม่ได้เอาไปใช้ในทางที่ผิดอะไร

มันก็เหมือนการกระตุ้นพลังทางเพศ พลังชีวิต คนไปใช้ในทางผิด ก็อายุสั้นได้ง่ายๆ คนที่ควบคุมอารมณ์ทางเพศได้ หรือควบคุมอารมณ์ต่างๆ ทั้งโลภ โกรธ หลงได้ .. ร่างกายก็ย่อมดีกว่า คนที่ควบคุมอารมร์อะไรก็ไม่ได้ แทนที่จะแข็งแรง อายุกลับสั้นไปเสีย

คนมีมิจฉาทิฏฐิ ปราณ หรือ สมาธิ ก็จะทำลายตัวเอง

คนที่ขี้โกรธ ขี้โลภ ขี้หลง ร่างกายและอวัยวะภายใน ก็ย่อมถูกแผดเผาให้เสียหาย เจ็บป่วย ต่อให้จักระ 1 ไม่ถูกเปิด แต่เป็นคนผิดศีลข้อสามเสมอ มันก็เลวร้ายอยู่ดี เพราะเอาพลังชีวิตไปใช้ในทางที่ผิด

พลังทางเพศหรือพลังชีวิต ถ้าแปรไปเป็นการทำงาน การจดจ่ออยู่กับงานที่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์ เอาไปใช้ในทางผิด คิดผิด มันก็เป็นโทษ


:d