วิปัสสนากรรมฐาน ทำอย่างไร ไป พระนิพพานทำอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Nyan Vitee, 13 ตุลาคม 2008.

  1. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    เวทนา ทั้งความสุข ความทุกข์ ความไม่ทุกข์ไม่สุข
    แต่พวกเรานั้น ได้รู้ตามความเป็นจริง(วิปัสสนา)หรือไม่ว่า
    เราสุขอยู่ เราทุกข์อยู่ หรือจิตเราอุเบกขา(วางเฉย)อยู่
    จากนั้น เป็นชั้น ๆ ไปในจิต
    ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนา จึงสมควรรู้ยิ่ง และมีการพิจารณา(โยนิโสมนสิการ)ซึ่งสำคัญมาก ว่า
    ทำไมเราถึงสุข ทำไมเราถึงทุกข์ เราต้องพิจารณาด้วยเหตุและผล
    ธรรมของพระพุทธเจ้าง่าย ๆ ครับ มีเหตุมีผลจริง ๆ ต้องฝึกจริง ๆ ต้องพิจารณาจริง ๆเห็นเลย
    ทำไมความสุขถึงเกิด ติดอยู่ในเวทนา มันติดข้องอะไรอยู่จึงสุข ไม่รู้ไม่ได้นะครับ
    ทำไมความทุกข์ถึงเกิด ติดอยู่ในเวทนา มันติดข้องอะไรอยู่จึงทุกข์ ก็ไม่ได้อยู่ดี
    เวียนว่ายตายเกิด น่าเบื่อจริง ๆ ใช่ไหมล่ะครับ
    เพื่ออะไร
    เพื่อเข้าสู่ภาวะ แห่งการเจริญสติ พิจารณามันจนอยู่เหนือสุข ทุกข์ เวทนาทั้งปวง
    อยู่เหนือเวทนาให้ได้ โดยอัตโนมัติ บางครั้งก็ยังดี อยู่เหนือเวทนาตลอดได้ยิ่งดี
    ทำไมล่ะ
    การดูจิต บางครั้งจะเห็นเป็นชั้น ๆ แห่งกิเลส เห็นจริง ๆ อะไรเป็นอุปาทาน ปัญญามาเลย
    ว่ากันต่อไปนะครับ
    เมื่อเห็นโดยไม่มีรูปแล้ว เราจะได้พิจารณามันต่อไป ใช้จิตนี่ล่ะครับให้เป็นประโยชน์

    ครูบาอาจารย์จึงเมตตาสอนต่อว่า
    เวทนา (สุข ทุกข์ ๆลๆ ความภาคภูมิใจต่าง ๆ เช่นคนที่ติดในอุปมาอุปไมย) คือ สิ่งที่ยังไม่ใช่ของจริง
    ติดไม่ได้ น้องข้างบน วางทั้งหมด วางอุปมาอุปไมยด้วยนะ ยังไม่ใช่หน้าที่ อย่าติด ติดไม่ได้ ติดข้อง
    เวทนา คือ สิ่งที่ยังไม่ใช่ของจริง
    ไม่สุข ไม่ทุกข์ ต้องเป็นกลางให้ได้ พิจารณาไปเรื่อย ๆ จะเป็นปัญญา ไม่ใช่ตำรา
    ฝึกอย่างเดียว เราไม่เอา เราไม่อยาก ง่ายมาก กลางให้ได้ (มัชฌิมาปฏิปทา)
    ภาวะที่เป็นสูญญตาเกิดอยู่แล้ว พิจารณาไปเลย ฝึกๆๆๆ ฝึกๆๆๆๆ
    พิจารณาถ้าเหลือแค่ความอยากจากหิวไม่เป็นไร
    วางให้ได้ทั้งหมด ว่าง จิตเปล่า
    ถ้ายังยึดแม้แต่เส้นทางการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ
    ไปยึด ทั้ง ๆ ที่ไม่มี ไม่ควรต้องเข้าไปยึด ก็คือสีลลัพตปรามาส
    อันเป็นสังโยชน์ที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาวางมันไม่หมดนั่นเอง
    ไม่ต้องอ่านตำราก็เจอปัญญา ไม่ได้ดูถูกตำราแต่อ่านแล้ว ฝึกแล้ววาง ต้องตั้งใจจริง ๆ
    ไม่ต้องอ่านตำราก็เจอปัญญา จะมีอยู่ในจิตเลย
    ตั้งใจจริง ๆ เทวดามาช่วยให้กำลังใจ ไม่เห็นไม่เป็นไร
    ไม่ต้องตั้งสัจจะก็ได้ จะเป็นกรงขังตัวเองให้ทุกข์ในคราวหน้า ให้ทุกข์นั่นเอง
    ใช้ปวารณาก็ได้ ตั้งใจจริง ๆ
    ถ้าไม่ตั้งใจจริง มารร้ายจะกระทืบซ้ำ ซ้ำจนไม่ให้เราเข้าไปในทาง ทางสายกลาง

    อาจารย์หลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้เราทำอย่างนี้จริง ๆ อย่าส่งจิตออกนอก
    ผมก็ยัง งง อยู่ แต่ผมทำทั้งหมด
    อาจารย์ผมช่วยปลดล็อก ทุกสิ่งทุกอย่างจนบัดนี้ผมเข้าใจแล้วว่า
    ไม่ต้องเข้าไปยึด อะไรเลย ถ้าเห็นนะครับ
    ส่งจิตออกนอก เพื่อละการส่งจิตออกนอกตลอดกาล แต่ต้องไม่ส่งจิตออกนอก
    ปรุงแต่งเพื่อดับความปรุงแต่ง
    คิดเพื่อดับความคิด ฝึก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จบแน่ครับ

    อาจารย์ครับ เกล้ากระผม ได้ทำตามพระบัญชาของครูบาอาจารย์แล้วนะขอรับ
    อาจารย์ให้ผมมาเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐานแนวดูจิต
    กระผมยังไม่ใช่พระอรหันต์ แต่มีความสุขจริง ๆ ครับ
    ศิษย์ขอกราบ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า บิดามารดาทุกชาติภพ ครูบาอาจารย์ทุกพระองค์
    ทุกจักรวาล หากมีสาระอะไรเพิ่มเติมอีก กระผมจะเพิ่มในกระทู้นี้ครับ
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
     
  2. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ก็ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ก็จะพยายามปฏิบัติต่อไป
    ที่ได้ถ่ายทอดและ เล่าสู่การฟัง ....นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่
    สาธุ....สาธุ....สาธุ
     
  3. ดับกิเลสทั้ง5

    ดับกิเลสทั้ง5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +238
    ขอยืนยันครับตามท่านเขียนมาเปะเลยครับ ปฏิบัติตามนี้ มรรค ผล นิพพาน แน่นอนครับ ขอให้ลองดูครับยังไม่ต้องเชื่อครับ ต้องทำก่อน เดี๋ยวเป็นเองครับ อนุโมทนาครับ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>12*, Bull_psi, tro
    ผมเองคร๊าบบบ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    55 ผมไม่ดี ผมแตกต้น แตกปลาย
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ต้อง ไปซื้อ อัสนี มาก่อนมั๊ง
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ก๊าบ ก๊าบ
     
  8. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    อนุโมทนาสาธุกับธรรมะดีๆ ครับ

    ที่เจ้าของกระทู้กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว เป็นการปฏิบัติถูก เป็นการปฏิบัติตรง

    วิปัสสนาไม่ใช่เรื่องยาก อย่าไปทำให้มันยาก ปฏิบัติถูกจะไปได้ไวเลย

    โยนิโสมนสิการมี สัมมาทิฐิจึงเกิด โยนิโสมนสิการไม่มี สัมมาทิฐิไม่เกิด

    "การดำเนินมรรคต้องมีสัมมาทิฐิเป็นประธานและสัมมาสังกัปปะคอยพิจารณาควบคู่ไป โดยอาศัยสัมมาสติออกหน้า"

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  9. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ธรรมที่นำมาเป็นสิ่งที่ดี แต่เนื่องจากได้มาอ่านเป็นครั้งแรก เลยต้องวางอุเบกขาก่อน พร้อมด้วยโยนิโสนัสการ ถ้าเราใช้วิธีนี้ความรู้จะติดเราไปตลอด แต่ถ้าให้เชื่อด้วยการโน้มใจเชื่อเลยนี่ อีกไม่นานมันจะเสื่อมเพราะใจเรายังมีกิเลิศมีอวิชา หากมีสิ่งอื่นที่คิดว่าดีกว่าการโน้มจิตเชื่อมันต้องถูกหักล้างและเสื่อมเป็นธรรมดา

    เพราะฉนั้นการได้ยินได้ฟังอะไรมาก็ต้องวางอุเบกขาแล้วลองปฏิบัติดู ผลก็ออกมาตามนั้น
    แต่ดิฉันยังไม่ได้เยอะเท่าไรปัญญายังไม่พอคงต้องพยายามต่อไป แต่ก็พอรู้ธรรมมะของหลวงพ่อดีจริง เพราะอ่านแล้วก็เจริญสติเป็นชีวิตประจำวันทุกข์น้อยลง
    ก็ลองทำตามนั้นดู ด้วยความเคารพ
     
  10. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    ส๊าธุ...สาธุ..สาธุ..
    ผู้มีปัญญาแล้ว ..
    ปัญญามันก็เกิดจากการที่เรายอมรับความเป็นจริงโดยปราศจากการแซกแซงนี่แหละครับ
    คือประจักษ์ใจยิ่งกว่าอื่นใด เมื่อความจริงทุกอย่างปรากฏแก่ใจแล้วเท่านั้นเอง
    ไม่ใช่แค่คิด เออ..ออ..ฟังเขามา อ่านมา แล้วคิดเอาเอง หากเป็นเพียงแค่นั่งฟังแล้วจิตนาการเห็นภาพ
    แต่ก็ไม่เท่ากับประสบแก่ใจตนดอก ..

    อนุโมทนาด้วยครับ คุณ นานากร
     
  11. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    คุณบอยก็พูดเกินไป คำชมนี้ไม่ขอรับแล้วกัน เพราะยังปฏิบัติได้ไม่ถึงไหน ยังตามหลังคุณอยู่
    เห็นคุณบอยปฏิบัติสมาธิกรรมฐานมาใช่ไหมคะ จิตที่สร้างกุศล ขอนุโมทนาบุญและเจริญในธรรมด้วยค่ะ
     
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    แง้ว แง้ว อิ อิ ก๊าบ ก๊าบ .......
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณNyan viteeครับ ที่คุณพูดว่า
    พิจารณาอย่างไรครับ จนอยู่เหนือ สุข เวทนาทั้งปวง

    วางยังไงครับ

    ภาวะนี้เป็นยังไง สุญญตา สูญยังไง สูญที่ไหน อะไรสูญ

    ในเมื่อคุณปลดล๊อกได้แล้ว ช่วยบอกหน่อยสิครับว่าปลดล๊อดอย่างไร???
    (ใคร)ไม่ต้องเข้าไปยึด อะไรเลย
    ถ้าเห็นนะครับ(ใครเห็นอะไรครับ)

    ใช่หมายถึงว่าส่งจิตออกจนหมด เพื่อละการส่งจิตออกนอกตลอดกาลใช่มั้ยครับ???
    แต่ต้องไม่ส่งออกนอก....งงครับหมายถึงอะไร???
    ตกลงส่งจิตออกหรือไม่ส่งจิตออกกันแน่ครับ???

    จนด้วยเกล้าจริงๆครับ....ว่าปรุงแต่งยังไงจึงดับความปรุงแต่ง???
    ใช่ปรุงกุศลจิตเพื่อดับอกุศลจิตใช่มั้ยครับ???

    คิดยังไงครับเพื่อจะได้หยุดคิด????
    อย่าว่าผมขี้สงสัยเลยนะครับ ที่คุณยกของหลวงปู่ดูลย์มานั้น
    คุณได้ปลดล๊อกในส่วนของการภาวนาได้สำเร็จหรือยังครับ???

    ท่านสอนให้
    “เห็นครั้งเดียวถ้าชัดเจนแล้วไม่ลืม ทำให้ชำนาญ
    เมื่อเกิดความสงบแล้วก็พิจารณาความสงบ หัดเข้าหัดออกให้ชำนาญ
    เมื่อเวลาภาวนา จิตสงบแล้ว พิจารณา รู้ว่าเป็นอย่างนี้ๆ
    เมื่อถึงเวลาคับขัน สิ่งที่พร้อมอยู่แล้วมันก็ย่อมเป็นไปเอง”
    คุณหัดเข้าหัดออกสมาธิได้ชินได้ชำนาญแล้วหรือครับ???
    จิตของคุณมีพุท-โธผุดขึ้นเองและรู้จากจิตที่เป็นสมาธิแล้วหรือครับ???

    ที่คุณพูดว่า
    คุณกำลังจะบอกอะไรหรือเปล่าครับว่า คุณอริยะชั้นรองๆลงมาครับ???

    สมถะและวิปัสสนากรรมฐานนั้นแยกออกจากกันได้ด้วยหรือครับ???

    ถาม : หลวงปู่ครับ ความสงบนั้นเราจะทำอย่างไรให้มีตลอดไป
    หลวงปู่ : ความสงบ รึ ภาวนานั่นเอง ภาวนาให้จิตเกิด

    ที่หลวงปู่ดูลย์กล่าวไว้ข้างต้น
    ท่านก็บอกแล้วนิครับว่าจิตของท่านสงบ(สมถะ)อยู่ตลอดเวลาใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  14. หนูแอ้

    หนูแอ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +627
    อ่านแล้วเข้าใจขึ้นเยอะเลยคะ เพราะเพิ่งจะมาศึกษาและสนใจการอ่านธรรมะอ่ะคะ ขอบคุณนะคะที่เสียเวลาอธิบายให้เห็นภาพเลยคะ .. แต่ยังอ่านไม่จบเลยคะ เดี๋ยวรอบหน้าจะกลับมาอ่านอีกคะ .. ^^ อ่านแล้วเพลินดีคะ .. ขอบคุณนะคะคุณเจ้าของกระทู้
     
  15. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    สาธุครับท่านครับ ขอบพระคุณมากครับสำหรับสิ่งที่ผมกำลังหาคำตอบ และกำลังจะหลงทาง

    เกือบหลงฤทธิ์ จริงๆ คิดว่า ถ้าสามารถปฏิบัติได้อย่างที่ท่านบอกจริงๆ ระยะทางที่เดินคงจะอยู่ไม่ไกลละครับ
     
  16. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    <DD>มูลธาตุทั้ง 5 ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้นมันเป็นของว่างเปล่า และมูลธาตุทั้ง 4 ของรูปกายนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิตจริงแท้นั้นไม่มีรูปร่างและไม่มีอาการมาหรืออาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้น เป็นสิ่งๆ หนึ่งซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตายแต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด </DD><DD>จิต ของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้ง เห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวของเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิงและเป็นสิ่งๆ เดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น เราจะได้บรรลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้นนี่แหละคือหลักธรรมที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้ <DD>สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้วของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา <DD>ปรัชญา คือ ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือ จิตต้นกำเนิดดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือ จิตและวัตถุเป็นของสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกันนั้นแหละจะนำเราไปสู่ความเข้าใจอัน ลึกซึ้งและลึกลับเหนือคำพูด และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจจธรรมที่แท้จริงโดยตัวเราเอง <DD>สัจจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเราแม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่ง ภูตตถตา ในธรรมชาตินี้ ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฏฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรมจะเป็นสิ่งซึ่งอยู่นอกความว่างนั้นได้อย่างไร <DD>โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้น เป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือ ปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าโดยแท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธ ทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิเป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเองและเป็นสิ่งสูง สุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้องแยกรูปถอดด้วย วิชชา มรรค จิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมดพ้นเหตุเกิด <DD>สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมีรูปกับนามสองอย่างเท่านั้น นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาลเข้าคู่กันเป็นเหตุเกิด ตัวอวิชชาเกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูปที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนามที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิด ปฏิกิริยาให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ต้องมีนาม ความว่างกั้นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้ <DD>เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิตและไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์เกิดดับสืบต่อทุก ขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้ จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามที่มีชีวิตมาเป็นรูปนามที่ไม่มีชีวิต ที่มีจิตวิญญาณแล้ว จิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่นามว่างที่ปราศจากรูป นี้เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงรูปนาม <DD>ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิดรูปนามพิภพต่างๆ ตลอดทั้งดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนาม พิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดรูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิดรูปนามสัตว์เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ความจริงรูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาลและมีการเปลี่ยนแปลง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิดจิตวิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม <DD>สัตว์ชาติแรก มีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และมีความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุปัจจัยภายนอก ภายใน ที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มีตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 อย่าง ไปกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส 5 อย่าง แล้วก็มาประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่นตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น <DD>เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ได้ตายลง มีกรรมชั่วอย่างเดียวเป็นเหตุให้สัตว์เกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้องใช้หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอมใช้หนี้เกิดกันไม่ มันกลับเพิ่มหนี้ให้เป็นเหตุเกิดทวีคูณด้วยเพศผู้ เพศเมีย เป็นสุขุมรูปติดอยู่ใน 5 กองนี้เป็นทวีคูณ จนปัจจุบันชาติ ดังนั้นด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป 5 กอง ก็เกิดหมุนกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง ไม่หยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอดก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่นตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่างรูปวิญญาณ จึงมีชีวิตคงทนอยู่นานกว่ารูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุน คงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตามได้ นอกจากนิพพานเท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย <DD>ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูปตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 กองนั้น รวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมีสำนักงานของจิตติดอยู่ในวิญญาณ 5 กองรวมกัน เป็นที่ทำงานของจิตกลาง แล้วไปติดต่อกับตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษารูปสุขุม (รูปที่ถอดจากรูปหยาบมีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูปตา หู จมูก ลิ้น กาย) อยู่ในวิญญาณไว้ได้ เป็นเหตุเกิด สืบภพ ต่อชาติ <DD>เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัยชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูปปรมาณูวิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วยชีวิตแท้ รูปถอดหรือ วิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เองเป็นเหตุให้จิตเกิด – ดับสืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบจะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้เป็นทุนเหตุ เกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่ากรรมชั่วเหตุเกิดจะหมดไป ชีวิตรูปถอด หรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม "รูปวิญญาณ" ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่วสืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิดก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้มันก็กระจายไป <DD>ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณมันก็กระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้นโดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่างบริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน" <DD>...........................................<DD>ขอน้อมกราบอนุโมทนา ในธรรมอันสวยงาม ละเอียด ดีเลิศ ที่ไม่เคยสดับมาก่อนและสงสัยมานานแล้ว ของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ขอขอบพระคุณ คุณญาณวิถีและท่านที่ขุดกระทู้ขึ้นมาด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ ไม่น่าเชื่อเข้าเวบพลังจิตมาตั้งนาน กระทู้นี้มีมานานแล้วนี่เนาะ กำเนิดเรา กำเนิดจักรวาลเป็นเช่นนี้เอง......ขนลุกน้ำตาไหล
    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2011
  17. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    ลูกขอกราบ นมัสการ อาจารย์ปู่ ก.เขาสวนหลวง เหนือเศียรเหนือเกล้า
    และขอนำคำสอนของอาจารย์ปู่มาสู่กระทู้ของหม่อมฉัน
    กระทู้นี้ และศิษย์หลานได้นำมาคัดลอกไว้ตรงนี้


    อ่านกายเข้าไปรู้จิตที่สงบ

    โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง



    สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จ.ราชบุรี


    เช้าวันที่ 11 กรกฎาคม 2519



    วันนี้เป็นวันพิเศษ ผู้ที่มีความประสงค์จะมาประพฤติปฏิบัติตลอดไตรมาส ก็จะต้องมีการ ประพฤติปฏิบัติให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น ผู้ปฏิบัติประจำก็เหมือนกัน สำหรับวันนี้ขอให้พยายามปฏิบัติด้วยความเด็ดขาด ต้องควบคุมเรื่องกายเรื่องวาจาและเรื่องจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติให้รอบคอบแล้ว ก็จะมีความด่างพร้อย หรือศีลจะไม่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาได้ และการปฏิบัตินี้ต้องอดทนต่อสู้หลายๆ อย่าง เพราะการอดทนจะทำให้เกิดสติปัญญาขึ้นมารู้จักพิจารณาเลือกเฟ้น แล้วการสำรวมก็ต้องมีพร้อมอยู่

    การมีศีลตามรอยของพระเป็นของที่ประเสริฐแล้ว แต่ว่าต้องทำให้จริงศีลจึงจะบริสุทธิ์ได้ แล้วก็เรื่องการสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ที่เรียกว่า อินทรียสังวรศีล ก็เป็นศีลละเอียดกว่าศีล 5 หรือศีล 8 หรือศีล 10 เพราะว่า ศีลทุกข้อจะบริสุทธิ์ได้ก็เพราะการสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าอินทรียสังวรศีล ขอให้พยายามให้มากในเรื่องนี้ แล้วข้องดเว้นอะไรตามหลักของข้อกติกา หรือว่าที่จะงดเว้นของเสพติดอะไรทั้งหมด ต้องทำจริงทั้งนั้นเลย

    การงดพูดเดรัจฉานกถาก็ขอให้พยายามงดเว้นให้ครบถ้วนให้ได้ จะพูดจาอะไรก็ต้องพูดในสิ่งที่จำเป็น เราจะทำให้เป็นประโยชน์จริงๆ ของเราเองด้วยกันทุกคน ต้องสำรวมทั้งนั้น และต้องอดทนต่อสู้กิเลสอะไรหลายๆ อย่างที่มันจะมาขัดขวาง ซึ่งต้องอาศัยการตั้งสัจจะด้วย เพราะว่าถ้าไม่ตั้งสัจจะแล้วตอนปลายๆ มันจะโลเล

    กิเลสมันร้ายเหลือเกินมันมาคอยชักพาอ้างเหตุผลให้ทำอะไรโลเลไปหลายๆ อย่าง ถ้าเราไม่พยายามพิจารณาตัวเองให้จริงๆ แล้วละก็จะเอาตัวไม่รอด เพราะกิเลสมันรอบข้างมันก็มีเหตุผลอะไรถูกต้องไปตามภาษาของมันเหมือนกัน ต้องเชื่อพระนะ ต้องละต้องเว้นให้เป็นการทำจริง ต้องอดทนและข่มใจมีการเสียสละ ซึ่งจะเสียสละกิเลสประเภทไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้าไม่เสียสละแล้วไม่ได้ มันจะยิ่งทำให้สูญเสียจิตใจของตัวเอง คือ ว่ามันจะเศร้าหมองไป

    และการเศร้าหมองนี้ขอให้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต เพราะเมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว มันทุกข์มันร้อน ก็รู้กันอยู่ในใจทุกคนแล้ว การที่จะควบคุมจึงเป็นข้อปฏิบัติที่น่าสนใจอย่างยิ่งถ้าเราไม่พยายามควบคุมให้ดีๆ แล้วกิเลสจะมาโจมตีเอาง่ายๆ

    ในเรื่องของอินทรียสังวรศีลต้องยืนหลักปกติเป็นพื้น เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียงอะไรมันจะได้ไม่ออกไปพอใจหรือไม่พอใจ แล้วความเป็นกลางของจิตจะต้องมีให้มาก ความเผลอเพลินจะได้น้อย เราต้องพยายามทำจริงด้วยกันทุกคนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือว่าให้ เพียรเผากิเลสอยู่ทุกอิริยาบถ นี่เป็นข้อปฏิบัติรวมหมดเลย ไม่ว่าใครจะต้องอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ให้มาก เพราะถ้าไม่เพียรเผากิเลสทุกอิริยาบถแล้ว เราตรวจดูซิว่าจิตสงบหรือไม่สงบ กิเลสนี่รอบข้าง มันเผลอไผลในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง มันเคยชินกันมาทั้งนั้น เพราะไม่ได้สำรวมไม่ได้ระวัง แล้วข้อปฏิบัติมันต้องรวมเข้ามารู้ทีเดียว รู้จิตใจของตัวเองในการที่จะรับอารมณ์หรือรับผัสสะ ยืนหลักปกติได้ ความเผลอเพลินน้อย ความชอบไม่ชอบน้อยลง

    นี่เป็นข้อปฏิบัติที่เราจะต้องรวบรัดเอามาประพฤติปฏิบัติกันประจำวันนี้ ซึ่งจะต้องมีการเคร่งครัดมัธยัสถ์อยู่ในเรื่องของตัวเองทั้งหมด เพราะว่าถ้าเราทำดีเราก็ได้รับผลคือความพ้นทุกข์ของเราเอง ถ้าเราทำผิดแล้วมันก็ผิด แต่ไม่ใช่ผิดคนเดียวเท่านั้น ยังเป็นตัวอย่างแก่คนอื่นที่จะเอาอย่างผิดๆ อีก และที่ผิดๆ นี่ไปตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส แล้วมันก็ทุกข์อยู่กับจิตใจของเราทุกคน

    ขอให้สอบเอาเองว่า ถ้าเกิดกิเลสขึ้นมาขณะไหนจิตนี้มันเศร้าหมองเร่าร้อนไหม เราจะต้องพิจารณาหาเหตุผลของเราเองให้เพียงพอ เพราะทุกคนก็ต้องผ่านในการศึกษาหรือปฏิบัติมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าการที่จะมาจำพรรษาอยู่ในที่ที่เรียกว่าเป็นเสนาสนะที่ไม่มีอะไรรบกวนมาก วัดวาอารามต่างๆ เป็นต้นนี้ เราต้องทำจริงให้มีคติเตือนตัวเองอยู่ตลอเวลาทีเดียวถ้าจะหลงใหลไปกับอะไรแล้วก็ต้องเตือนตัวเองให้หยุดให้สงบพิจารณาหาเหตุผลอะไรของตัวเอง ที่จะมาเป็นเครื่องตัดสินตัวเองให้ได้ว่าการสำรวมกาย วาจาจิตใจนี่ มีความเป็นปกติไหม

    การที่จะทำกรรมฐานก็ดี ก็ต้องเป็นการฝีกเรื่องจิตใจเป็นพิเศษมาก เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีการรู้เรื่องภายในจิตใจของเราเอง มันไม่สงบเพราะเหตุอะไร ไปจำไปคิดเอาเรื่องอะไรเข้ามา เราจะต้องปิดกั้นอายตนะ แล้วก็ปิดกั้นในทางที่เราจะพิจารณาให้รู้ว่า ความจำหมายดีชั่วอะไรที่จำๆ อะไรมา อดีตอนาคตอะไรก็สุดแท้ ถ้าเอามาคิดฟุ้งซ่านเราต้องงดเว้นต้องหยุดทำในใจให้แยบคาย ไม่ใช่หยุดอยู่ว่างๆ เฉยๆ นั่นมันหยุดอยู่ไม่ได้ ต้องมีการพิจารณาให้รู้แยบคาย จะพิจารณารูปนามก็ได้ หรือพิจารณาจิตในจิตก็ได้

    เรื่องของการพิจารณาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นต้องมีการอบรมในขั้นที่ให้ทำกรรมฐานซึ่งเป็นเรื่องชั้นใน คือว่าจิตนี้จะต้องมีกรรมฐานเป็นที่อยู่ แล้วเมื่อมันสงบอยู่ได้ ก็จะได้พิจารณาให้มีการรู้จริงเห็นแจ้งได้

    ถ้าจิตมันฟุ้งซ่านไปไม่สงบแล้วความเสียหายอยู่ที่จิตมากมายเหลือประมาณทีเดียว แต่ว่าธรรมดาแล้วไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย เพราะจิตนี้เที่ยวจำเที่ยวคิดไปแต่เรื่องสัพเพเหระ เรื่องไม่เข้าเรื่อง เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสผิวกายอะไรต่ออะไรนี้ จำมาคิด แล้วจิตนี่มันก็วิการไปกับกิเลส คือมีลักษณะความโลภ เพ่งเล็ง ความโกรธ ความหลงอะไรเหล่านี้ นี่กิเลสประจำสันดานก็มีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วต้องปฏิบัตินะ มันถึงจะตรวจสอบของตัวเองได้ ถ้าไม่ปฏิบัติแล้ว ที่เรียนรู้ไปเท่าไรๆ มันได้แต่เรียนรูไป เพียงแต่จำหรือแต่เพียงความเข้าใจ

    ส่วนการปฏิบัติมันต้องรู้ทีเดียว ต้องสอบเข้ามาภายในจิตในใจของเราทีเดียว อะไรมันเกินขึ้นมาในลักษณะอย่างไรก็ต้องอ่านมันให้ออก ถ้าอ่านมันไม่ออกแล้วจะถูกหลอกอยู่เรื่อยส่วนมากที่เกิดคือกิเลส สติปัญญาไม่ค่อยจะเกิด เพราะพวกกิเลสมาแย่งหน้าที่เสียหมด มันมาเกิดให้จิตมีความทุกข์มีความเดือดร้อนอะไรต่ออะไรเข้ามา หลักของการรักษาศีล ให้ฝึกทำกรรมฐานก็เพื่อให้จิตมันหยุดสงบไม่ให้ฟุ้งซ่าน แล้วมันจะได้มีโอกาสพิจารณากายในกาย พิจารณาจิตในจิต ซึ่งเป็นเรื่องข้างในทั้งนั้น ถ้าว่าไม่ปิดไม่กั้นทางอายตนะแล้วจิตนี้ไม่หยุด เพราะมันเคยท่องเที่ยวไปตามอารมณ์มามากแล้ว ไม่ไปเที่ยวในขณะนี้มันก็ไปจำมา ที่เคยรู้อะไรต่ออะไรล่วงไปแล้ว มันก็มาปรุงมาคิดมายื้อแย่งไม่ให้จิตนี้สงบ เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้ถ้าเราพยายามกันให้ดีแล้ว จะระงับทุกข์โทษอะไรไปสารพัดทีเดียว

    เราสอบเอาได้ที่จิตทั้งหมดทีเดียว ที่มันไปจำไปคิดเห็นผิดอะไรแล้ว เป็นความทุกข์ทนหม่นหมองอยู่ภายในจิตใจด้วยกันทั้งนั้น จึงต้องรู้จักกิเลสให้ทั่วถึง ถ้ารู้จักไม่ทั่วถึงแล้วการที่จะละกิเลสละไม่ได้ เราต้องรู้โทษกิเลสมันก่อนไม่ว่าเราจะติดของเสพติดอะไร เช่นหมาก พลู บุหรี่ หรืออะไรก็สุดแท้ ถ้าไม่เห็นโทษแล้วมันจะยากไม่ใช่ของง่าย เพราะว่ามันตกเป็นทาสของตัณหามามากมายนักหนาแล้ว ทีนี้จะมาฝืนอดทนต่อสู้กับกิเลสตัณหา ที่มันคอยแต่จะไปเอาเหยื่อของกามคุณมาเป็นความเอร็ดอร่อยตามที่คุ้นเคยไปอย่างนั้น

    ทีนี้จะทำตามพระนี่จะต้องหยุด ถ้าว่าอยากจะเอาอะไรก็ต้องบอกว่าหยุด ไม่เอาแล้ว ไม่เอาทางเนื้อหนัง ถ้าว่าหยุดความอยากแส่ส่ายของจิตที่เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสผิวกายแล้ว จิตนี้มันถึงจะมีกำลัง คือจะมีความรู้สึกขึ้นมาภายในจิตเองว่าการที่เข้าไปคลุกคลี เข้าไปติดรสอร่อยต่อสิ่งเหล่านี้ ความทุกข์ทนหม่นหมองมันมีขึ้นภายในจิตทั้งนั้น

    แล้วนี่ต้องมองจิตให้ลึกๆ มองเข้าไปให้ซึ้ง แล้วอย่าไปหลงเสน่ห์ของพวกเหยื่อมาร รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไรที่เป็นของเอร็ดอร่อยมาแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ต้องเอาออกหมดต้องหยุดหมดเลย ไม่เอาอะไรเด็ดขาดทีเดียว มันจะยุยงให้แก้ไข จะเอาเรื่องของเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังแล้วต้องหยุด ต้องอดทนต่อสู้ถึงที่สุดทีเดียว ถ้าอยากอะไรแล้วก็หยุดอยากเสียอย่าไปทำตามความอยาก นอกจากว่ามันจำเป็นที่จะต้องทำหรือต้องบริโภคใช้สอย

    ตัณหานี่มีฤทธิ์เดชมาก เพราะเราหลงเลี้ยงมันมานานแล้วเอาความสบายในรูปกายนี้มานานแล้ว ทีนี้ไม่ได้แล้ว ต้องพิจารณาร่างกายนี้ให้รู้ว่าธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ต้องแยกธาตุกันดูแล้วการที่จะต้องการอะไรต่ออะไรมาบำรุงบำเรอมันจะได้หดกลับ คือว่ารู้แล้ววาภายในนี้มันไม่มีอะไร มันมีแต่ของปฏิกูลทั้งหมด คือว่ารู้แล้วว่าภายในนี้มันไม่มีอะไร มันมีแต่ของปฏิกูลทั้งหมด จะต้องพิจารณาให้เห็น มิฉะนั้นแล้วมันก็หลงรักอยู่นี่เอง รักความสวยงามโดยที่ไม่เห็นความเป็นปฏิกูลเลย นี่เราหลงกันมามาก เพราะฉะนั้นจะต้องพยายามศึกษาพิจารณาตัวเองไม่ต้องไปหาผีที่ป่าช้าสำหรับปลง ผีป่าช้าเดินได้นี่นะ กำลังกิน กำลังถ่าย กำลังทำอะไรอยู่นี่ พิจารณาดูให้ทั่วถึงเสีย แล้วนั่นแหละมันจึงจะเป็นการหยุดหรือสงบความอยาก ความแส่ส่ายของจิตได้หลายๆ อย่าง

    ถ้าว่าไม่มีหลักของการศึกษาพิจารณาตัวเองแล้วจิตนี้จะวิ่งไปสุดอารมณ์ จะไปยึดมั่นถือมั่นให้ฟุ้งซ่านเดือดเนื้อร้อนใจอะไรไปต่างๆ เรื่องอดีตอนาคตนี้ก็สำคัญ โดยมากตกไปในเรื่องอดีต คือสิ่งที่ล่วงไปแล้วก็จับเอามาคิดอีกไปยึดถือเอามาอีก แต่ส่วนที่ตกไปในอนาคตนั้นน้อย แล้ทีนี้มันก็มาเกิดดับอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นจะต้องพยายามศึกษาพิจารณาในเรื่องเกิด-ดับนี่ทุกขณะทีเดียว ถ้าจิตสงบแล้วจะรู้จะเห็นได้ ดังนั้นจึงต้องอบรมให้จิตมีหลักของกรรมฐานเป็นเหมือนกับเชือดสำหรับผูกลิง เพราะจิตที่ยังมีอาสวะกิเลสในสันดานอยู่นี่มันยังไม่รู้เรื่องว่า ภายในกายในจิตนี้ล้วนแล้วแต่เรื่องของความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ทั้งนั้น แล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่นอยู่ ทั้งภายในภายนอก

    เราต้องศึกษาความจริงภายในตัวเอง การอ่านตำรับตำราหรือหลักเกณฑ์อะไรก็อ่านกันมาแล้ว รู้แล้ว แต่ที่จะรู้เข้ามาภายในกายในใจของตัวเองนี่ซิน้อยนัก แล้วการปฏิบัตินี้เป็นการทวนกระแส จะไปตามไม่ได้ ตามแล้วมันพาไปโน่น ไปทะเลโน่น ต้องทวนทีเดียว ต้องใช้กำลังของความเพียรที่จะเป็นเครื่องช่วยตัวเองให้หลุดรอดออกมาจากกองทุกข์กองไฟ ต้องทวนกระแสของกิเลสตัณหาอยู่เรื่อยทีเดียว ไปตามมันไม่ได้ ทีนี้การทวนกระแส ก็ต้องทวนด้วยความรู้ เป็นความพากเพียรของตัวเองที่จะพยายามแล้วพยายามอีก ต้องเอาคำสอนมาประพฤติปฏิบัติเข้มงวดกวดขันกับตัวเองให้มาก อย่าเห็นแก่การกินการนอน การเอาอะไรต่ออะไรตามใจตัวเอง

    ทีนี้คำว่าเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ขอให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาดูว่ากิเลสมันเร่าร้อนอย่างไรบ้าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสบอกไว้ว่าให้เพียงเผากิเลสให้เร่าร้อน ต้องสอบเอาภายในจิตใจทีเดียวว่า ทวนกระแสแล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง กิเลสมันยอมไหมถ้าว่ามัน ไม่ยอมมันเอาจนเราแพ้และกำลังสติปัญญามันอ่อนเหมือนคนว่ายทวนน้ำ ถ้าไม่ใช่ความเพียรใช้มือใช้เท้าเป็นเครื่องว่ายทวนกระแสแล้วมันก็ทวนไม่ได้ ก็ลอยไปสู่ทะเลนั่นเอง

    การทวนกระแสกิเลสตัณหานี่ไม่ใช่ของง่าย มันยาก เพราะเรามันหลงทำตามกิเลสตัณหาเสียโชกโชนแล้ว ทีนี้จะต้องมาฝึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจะต้องทำจริงทำเล่นไม่ได้เพราะกิเลสมันมาขัด ถ้าเราจะเอาจริงเอาจังเข้า มันบอกว่าค่อยๆ ทำเอาก็ได้ มันมาคอยหลอกเอาหลายอย่าง เราก็หลงมันมามากมายนักหนาแล้ว มันเผาเอาเสียโชกโชนมาเท่าไรๆ แล้ว แล้วนี่อาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้านะ จึงมาได้ผ่อนคลายความร้อนรนทนทุกข์ให้เบาบางไปได้ตามกำลังของสติปัญญา

    ถ้าไม่พยายามเรื่องนี้แล้วก็ตายเปล่า เพราะกิเลสมันมาคอยหลอกอยู่รอบด้านหมด มันหลงนักหลงหนา หลงรักรูปนามขันธ์ 5 รักกายห่วงกาย มันจะต้องเอาให้อิ่มหมีพีมันของมันเรื่อยตัณหามันมาคอยกระซิบเรื่อย ต้องอดของแสลงทุกอย่าง เหมือนอย่างกะอดข้าวที่เคยกินอะไรฟุ่มเฟือย เดี๋ยวนี้ต้องอดกินเฉพาะแต่น้อย ไม่กินตามกิเลสตัณหา ต้องอดทุกอย่าง ถ้าว่าอดได้แล้วก็จะรู้ว่าการอดของแสลงไม่ทำตามอำนาจของกิเลสตัณหานี่เอง ใจมันสงบ นี่มันได้ประโยชน์ทางจิตใจมากมายเหลือประมาณทีเดียว ไม่ว่าจะอดกิเลสประเภทไหน ขนาดไหนต้องรู้สึกด้วยใจจริงว่า อ๋อ! ใจนี่มันอย่างนี้เองนะ ก่อนนี้ไม่รู้เลยไปป้อนเหยื่อไอ้เสือผอมแล้วก็ว่าอร่อยจริง อร่อยดี อร่อยนี่ใช้ไม่ได้ พระไม่ให้เอาอร่อยต้องกินเพื่อเลี้ยงธาตุไปคือว่าเติมธาตุใหม่ใส่ธาตุเก่า แล้วมันก็ออกมานี้เราต้องเดินตามพระ จะไปเดินตามยักษ์ตามมาตรตามคนอะไรก็ไม่ได้จะไม่พ้นทุกข์ เดินตามพระนี่ต้องทวนกระแสของกิเลสตัณหา แล้วต้องพิจารณาความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่ในรูปนาม ขันธ์ 5 คือ กายกับใจนี้เท่านั้น

    การศึกษาเข้ามาในตัวของตัวเองนี่ ถ้าจะพูดว่าง่ายก็ง่ายถ้าจะว่ายากก็ยาก เพราะกิเลสตัณหาอุปทานที่มีในสันดาน มันคอยห่อหุ้มเอาไว้ มันคอยปิดคอยหลอกไว้ให้เอาอย่างนั้นอย่างนี้ มันคอยหลอกอยู่รอบด้าน ทีนี้เราจะต้องเข้ามาคุมอยู่ทีเดียวกิเลสมันเกิดขึ้นมา อาศัยทางตา ทางหู แล้วมันก็เล่นปรื๋อเข้ามาเผาเอาที่นี่ ร้อนเร่าเศร้าหมองไปเท่าไร ศีลเป็นเครื่องกั้นอยู่ข้างนอก ทางอายตนะผัสสะนี่จะต้องรู้ว่าการกระทบผัสสะนี่จิตอยู่ในความสงบไหม ปกติไหม ถ้าเสียหลักไปพอใจหรือไม่พอใจอะไรก็รู้แล้วว่าจิตนี้เศร้าหมองแล้ว

    นี่ต้องสอบเอาเอง เพราะตรวจอะไรจะมาละเอียดเท่าตรวจจิตไม่มีเลย เรามัวไปหลงกลับแต่โรคทางกายที่ทันมีอะไรมากมายต้องรักษากันสารพัด แต่เราไม่ได้สำรวจจิตของเรา จิตที่มีกิเลสทั้งอย่างกลางอย่างหยาบอย่างละเอียด ทำให้จิตนี้ร้อนเร่าเศร้าหมองไปในลักษณะต่างๆ มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนเป็นคนเป็นสัตว์อะไรเพราะไม่ได้แยกธาตุ ฉะนั้นจะต้องแยกธาตุดูให้รู้เรื่องว่า กายมีอะไรบ้าง รูปนามขันธ์ 5 มีอะไรบ้าง มันอยู่ที่ตัวทั้งหมดนี่ไม่ได้ไปเอาที่อื่นมาหรอก เราจึงต้องศึกษาพิจารณาเข้ามาหาตัวเอง

    เราก็ได้อ่านตำรับตำรากันมามากแล้ว ทีนี้มา อ่านเข้าข้างใน เถอะ อย่าไปมัวอ่านหนังสือเลย ถ้าอ่านก็ต้องเอาหลักมาประพฤติปฏิบัติแล้วอ่านเอาในกายในใจนี่ เพราะถ้าเป็นหนอนแทะหนังสืออยู่เรื่อยก็โง่ดักดานใหญ่ ดับทุกข์ดับกิเลสไม่ได้ต้องอ่านตัวจริงเข้ามาในใจนี่ แล้วจะจับกิเลสตัณหาอุปาทานเอาไปฆ่าได้ ถ้าไม่จับมันมาฆ่ามันก็เผาเรา มันตรงไปตรงมาอยู่ด้วยกันหมดทุกคน ถ้าเราพยายามพิจารณาให้ดีๆ มีหนทางที่จะหลุดรอดทอดทิ้งรูปนามขันธ์ 5 นี้ไปสู่ความว่างจากตัวตนได้

    ที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวเราของเราต้องพิจารณาซ้ำซากถึงจะรู้ได้ ที่ไม่ชอบพิจารณาก็เพราะกิเลสนี่เองมาขัดขวาง พอเราจะจับหลักรวบเข้ามา มันหาเรื่องแซงแล้ว ให้จำไปคิดไปเพลิดเพลินไป เพ้อเจ้อไปทั้งหมด ข้าศึกภายในมันชนะแต่ถ้าเราพยายามศึกษาพิจารณากันให้ดีๆ สติปัญญามันเกิดแล้วกิเลสก็ดับ มันจะดับไปชั่วครั้งชั่วคราวก็ขอให้รู้ให้ได้ทีเดียวว่าเดี๋ยวนี้ได้มีสติปัญญา รู้จักดับทุกข์ดับกิเลสของตัวแล้ว แต่ก่อนไม่รู้ก็ปล่อยให้กิเลสมันเผาไปจนมอดม้วยไปด้วยกัน มันก็ทุกข์แย่ ทีนี้ไม่ยอมแล้วนะ ต้องเอามันก่อนทีเดียว ควบคุมจิตเอาไว้ก่อนทุกขณะที่เราเคลื่อนไหว คือยืน เดิน นั่ง นอน คุมจิตเอาไว้ก่อนทีเดียว และคุมทางอายตนะด้วย คือว่าตานี่ก็อย่ามองไกลหูก้อย่าเที่ยวฟังเรื่องราวอื่นๆ เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรู้รส อะไรทุกประตูนี้ต้องปิดกั้น ต้องพยายามฝึกตัวเองอย่างยิ่งทีเดียว ทำย่อหย่อนอ่อนแอไม่ได้

    ถ้าว่าผู้ปฏิบัติมีความพากเพียรพยายามให้เต็มสติกำลังแล้วจะมีความพ้นทุกข์ฟรีไปทุกวันเลย เอาชนะกิเลสได้ขณะไหนนั่นแหละพ้นทุกข์แล้ว ขอให้พยายามกัน เพราะโอกาสของเราดีมีโชคดีอยู่แล้ว มีวันเวลาของชีวิตที่ได้เข้ามาอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าตามสมควรแก่สติปัญญาด้วยกันทุกคนแล้วพยายามกันเถอะ ผู้ที่ยังไม่มีโอกาสนับจำนวนไม่ถ้วน ที่อยู่ในกองทุกข์กองไฟภายนอกมากมายเหลือประมาณแล้ว เรานี่ก็ยังมีโชคดีที่ได้มารู้สึกตัวกลัวทุกข์กลัวโทษมาก ก่อนเจ็บก่อนตายเราจะต้องเข้าถึงความจริงให้ได้ เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ภายในก็ได้ หรือว่าให้รู้เรื่องมรรคผล นิพพาน ภายในจิตใจของเรา อย่าให้มันไปฝากเอาไว้กับชาติหน้าชาติโน้น มันจะหลงไปอีก จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก แล้วใครจะมาแก้ทุกข์ให้เราได้

    เรื่องของธรรมะนี้ต้องรู้ด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญารู้จักเลือกเฟ้นแล้ว การเชื่องมงายนี่ก็มากมายเหลือประมาณ เพราะคนส่วนมากเชื่อผิดๆ ทั้งนั้น ที่ถูกต้องทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือต้องตรวจสอบจิตใจของเราเองให้ถูกต้อง ว่าจิตนี่ถ้ามีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้อยู่ สงบอยู่ได้ พิจารณาเกิดดับปล่อยวาง เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งหมดนี่ พิจารณาอยู่เป็นประจำต้องมีงานให้มันทำ ถ้าไม่มีงานทำจิตมันก็ไปเที่ยวแล้วมันเคยชินเที่ยวจำเที่ยวคิดเรื่องอดีตอนาคตอะไรนี่ มันเหมือนเรือไม่มีหางเสือมามากแล้ว ทีนี้จะตามใจไม่ได้ต้องบังคับทีเดียว โดยมีศีลเป็นเครื่องบังคับ ถ้าธรรมะแล้วเป็นเรื่องไม่บังคับ แต่ว่าต้องให้เห็นถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิเห็นแล้วปล่อยวางได้ ถ้าว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วมันเห็นผิด มีแต่ความยึดมั่น เกิดทุกข์ เกิดโทษ ท่วมทับเข้ามาในจิตในใจเท่าไรๆ ไม่รู้เรื่องของตัวเองเลย

    เราต้องมีความพยายามให้เห็นทุกข์ เห็นทุกข์แล้วก็เห็นกิเลสตัณหาที่เป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ ต้องรู้พวกนี้ให้มากๆ อื่นๆ ยังไม่สำคัญ เพราะว่าเหมือนหมอที่เขาตรวจโรคทางกาย เขาต้องตรวจดูว่านี่มันเป็นโรคอะไรจะได้วางยารักษาถูก และโรคนั้นมันก็จะได้หายทีนี้โรคกิเลสใครตรวจให้ไม่ได้ต้องตรวจเองเสียด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจะศึกษาน่าจะพิจารณาตัวเองให้ได้รับประโยชน์ของการรู้จริง เห็นแจ้ง แล้วตามันจึงจะสว่างถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วมันจะมืดแปดด้าน ถึงจะรู้หลักรู้เกณฑ์อะไรมาพูดจาถูกต้องไปตามหลักตามเกณฑ์แต่ว่าใจนี่มันยังไม่หยุดแล้วมันมืดตื่นอยู่ข้างใน ไม่มืดเปล่าๆ มันร้อยด้วย มันกลุ้มกลัดเศร้าหมองอะไรสารพัดอย่างที่สุดขึ้นที่จิต ถ้ามีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้ เป็นเครื่องพิจารณาเป็นเครื่องละ เป็นเครื่องปล่อย เครื่องวางแล้วมันว่างได้ เพราะเกิดแล้วมันก็ดับ

    เราต้องพิจารณาเป็นประจำอยู่ทุกขณะทีเดียว ยืนหลักของสติเอาไว้ สติสำคัญที่สุดในการปฏิบัติธรรม จะทำโลเลไม่ได้แล้วสติต้องคุมอายตนะอยู่ด้วย การมองด้วยสติ การฟังด้วยสติการได้กลิ่นด้วยสติ การรู้ด้วยสติ การได้รับสัมผัสผิวกายด้วยการมีสติ การได้รับธรรมารมณ์ด้วยการมีสติ มันทั่วไปหมดเลย เหมือนกับเกลือ คือว่าของอะไรที่เน่าๆ ถ้าเอาเกลือใส่แล้วมันระงับได้ การมีสติก็เช่นกันไม่มีเสียหายเลย ถ้าเราพยายามที่จะฝึกตัวเองรู้ตัวเองแล้ว การมีสติจะติดต่อได้มาก ความเผลอเพลินจะน้อยลงไปทีเดียว แล้วก็มีการรู้เห็นความจริงอะไรด้วยใจจริงไม่ว่าจะเห็นทุกข์โทษของกิเลสก็ตาม ต้องเห็นด้วยปัญญามันถึงจะเข็ด ถ้าไม่เห็นด้วยปัญญาก็อดที่จะยึดถือไม่ได้ อดเพ่งเล็งไม่ได้ ใจมันร้อนแล้วร้อนอีกเท่าไรทุกข์แล้วทุกข์อีกเท่าไรต้องแก้ปัญหาในเรื่องนี้ทุกคน เพราะมันเป็นของประจำตัวกันทั้งนั้นไม่ว่าใครจะรู้มากเท่าไร ก็รวมรู้เข้ามาที่จิตนี้ เมื่อเกิดกิเลสทีไรก็รู้ได้ว่าร้อนไหม แล้วดับกิเลสได้นั้น เย็นไหมสอบเอาเองไม่ต้องให้ใครมาสอบ สอบได้ทุกขณะไปหมด

    ขอให้พยายามตรวจสอบรอบรู้จิตในจิตเข้าไป รู้กายในกายให้ทั่วถึงว่าสักแต่ว่าธาตุ จะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน ตัวอะไรนี่มันจะได้ล้มละลายไปเสียบ้าง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นสักแต่ว่าธาตุแล้ว เรื่องของกายที่เคยปรนปรือมามาก เคยยึดถือมาเหนียวแน่นมันจะคลายออกๆ แล้วจิตนี่จะเป็นอิสระเหนือกายหรือเหนือสุขเหนือทุกข์ได้ เพราะการพิจารณาเห็นความจริงแล้วจะดับทุกข์ดับกิเลสอะไรสารพัดอย่างหมด

    พวกกิเลสเหล่านี้เหมือนหนอน พอมันเกิดขึ้นมาทีไรมันก็เที่ยวชอนไชจิตใจให้ร้อนเร่าเศร้าหมองไปหมด ถ้าไม่คุมจิตแล้วจะไปคุมที่ไหนเล่า ต้องคุมจิตมีสติอยู่ทุกขณะไปหมดเป็นการดีที่สุด รู้อยู่ที่จิต พิจารณาอยู่ที่จิต ปล่อยวางอยู่ที่จิตดับกิเลสได้ที่จิตทั้งหมด ทั้งที่ต้องอาศัยตาเห็นรูปหูฟังเสียงก็ตาม หรือทั้งที่ว่ารูปนามขันธ์ 5 มันก็แสดงความเปลี่ยนแปลง เกิด-ดับ อยู่ภายในหมดแล้ว ทีนี้เราต้องดูจริงๆ ดูให้เห็นอย่าไปดูชนิดที่ว่าเห็นบ้างไม่เห็นบ้างอะไรเรื่อยเปื่อยไปอื่น ไปดูไปรู้ไปคิดไปจำ เรื่องที่เป็นของหลอกๆ ลวงๆ นั่นเราก็ดูมันได้ มันเกิดดับๆ ๆ ๆ มันจะหลอกว่าดี มันก็เกิด-ดับ มันจะหลอกว่าชั่วมันก็เกิด-ดับ ถ้าดูหลักเกิด-ดับอย่างเดียว ก็จะดับทุกข์ดับกิเลสได้ ฟรีไปอีกเหมือนกัน

    เราจะต้องรู้จักดูมันให้หลายชั้น ดูชั้นนอกก็ให้รู้ดูชั้นในก็ให้เห็น แล้วจะเห็นอะไรมันถึงจะประเสริฐเท่าไม่มีเลย การเห็นความจริงภายในจิตใจแล้วปล่อยวางออกไป แล้วจิตนี่มันว่างและสงบจากกิเลสได้ มันมีความพิเศษอยู่อย่างนี้จริงๆ แต่เรานี้โง่ ชอบเอาเรื่องข้างนอกมาพอกขี้ไคลให้ทุกข์ไปเปล่าๆ แล้วก็หลงแล้วหลงอีกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น เรื่องสำคัญภายในจิตใจไม่ได้มีความรู้สึกกลัวทุกข์โทษเสียเลย พระพุทธเจ้าชี้แจงรายละเอียดอยู่ในคำสวดมนต์แปลนั่นไปอ่านดู ขอให้พยายามสอบตัวเองให้ถูก เชื่อกิเลสไม่ได้ ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าที่แสดงความจริงให้เป็นการศึกษาพิจารณา เพราะพระธรรมของพระองค์เป็นสันทิฏฐิโก ผู้ศึกษาและปฏิบัติจะเห็นได้เอง นี่เป็นคำเด็ดขาดไปเลยไม่มีคำไหนที่จะปิดบังหรือหลอกลวงเปิดเผยให้รู้ได้เอง น้อยเข้ามาใส่ตัวได้

    เรื่องของธรรมะเป็นของประเสริฐอย่างนี้ เป็นของน่ารู้น่าปฏิบัติอย่างนี้ กิเลสตัณหามายาสาไถยมันมาก เราต้องพยายามพากเพียรอบรมพิจารณาต่อสู้ ปล่อยวาง มีขันติขนาดหนัก ขันตินี่ต้องระงับตัณหาได้ และขันตินี้ต้องพยายามอดทนให้มากๆ อย่าเอาสบายมันจะหลงใหญ่ ถ้าเอาทุกข์เป็นบทเรียนอดทนพิจารณาปล่อยวางทุกข์ให้ได้ จิตมันถึงจะเหนือเวทนาได้ ถ้ายากก็ต้องฝึก ถ้าจะเอาแต่ง่ายๆ สบายๆ ก็จะโง่ใหญ่ไปเลย ต้องฝึกฝนอบรมจิตของเราเองให้เป็นการสงบ ให้เป็นการอ่านความจริงอย่างมากๆ แล้ว เรื่องข้างนอกก็ปล่อยวางเสียอย่าไปยึดถือให้มากนักเลย ยึดถือแล้วมันวุ่น พอปล่อยวางแล้วมันว่าง มีอยู่เท่านี้

    ขอให้ผู้ปฏิบัติมีการ สำรวมระวังรักษาทวารทั้ง 6 ที่เป็นเครื่องรับอารมณ์ แล้วก็มีการพิจารณากายในกาย เวทนา จิตธรรมะ อะไรมันรวมอยู่ในอย่างเดียวกันทั้งนั้น แต่ต้องให้รู้จริง ถ้าไม่รู้จริงแล้ว ต้องมีหัวข้อมาก ต้องไปเอาข้อนั้นข้อนี้ พิจารณารู้ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของของเรา จำเอาไว้ย้ำเอาไว้ เพราะว่าผิดมามากแล้ว ยึดถือมามากแล้วว่าเป็นตัวเราของเรา ทีนี้ต้องแก้เสียใหม่ ที่เห็นผิดนั้นมันยึดถือเป็นของของเราในรูปนามขันธ์ 5 จะเห็นว่าเมื่อเราแยกธาตุมันแล้วพิจารณามันเล่า ซ้ำซากมากๆ เข้า มันถึงจะรู้ความจริงว่านี้เป็นสักว่าธาตุ ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของของเรา ต้องทำในใจไว้อย่างนี้ แล้วจะดับทุกข์โทษของกิเลสตัณหาอุปาทานให้เบาบางไปได้เรื่อย ถ้าหมั่นพิจารณาอย่างนี้แล้วตาจะสว่างรู้จริงเห็นแจ้ง ถ้าว่าเป็นแต่เพียงความเข้าใจก็ยังไม่รู้ หรือเป็นแต่เพียงจำได้มันก็ยังไม่เห็น ต้องเอามาพิจารณาดู หยุดดู หยุดรู้จิตของเราเองให้ลึกซึ่งเข้าไปให้ได้ แยกธาตุออกไปให้ได้ ปล่อยวางออกไปให้ได้

    เราต้องเพียรพยายามอย่างยิ่งทีเดียว เราจะมีตาชนิดที่มองเห็นความจริงตามอย่างพระอริยเจ้า ท่านก็พยายามอบรมอย่างนี้อยู่เหมือนกัน เราจะต้องเพียรเพ่งพิจารณาให้ลึกซึ้งเท่านั้นดวงตาจะได้สว่างขึ้นมา จะได้ดับทุกข์โทษกิเลสอะไรสารพัดอย่างให้ว่างออกไปจากใจของเราได้ มีคุณพิเศษอย่างนี้จริงๆ การปฏิบัติธรรมขอให้จับหลักการรู้จิตให้ติดต่อเท่านั้น อะไรข้างนอกอย่าไปหลง ไม่เอาเรื่องนิมิต ดูจิตในจิตเข้าไป ปล่อยวางไป มันว่างขึ้นมาแล้ว ว่างจากกิเลสเรื่อยจะเกิดทีไร เราต้องรู้แล้วว่ากิเลสมาแล้ว ไฟลุกแล้ว หรือว่ามันมืดมัวในหัวใจนี่เราต้องพิจารณาสอบสวน เหตุผลอะไรที่เป็นจริง คือเกิดขึ้น-ดับไปๆ ๆ อย่าไปยึดถือ บอกกับตัวเองเอาไว้อย่างนี้ แล้วก็ทำความพยายามของตัวเองให้เกิดสติปัญญาขึ้นมารู้เห็นความจริงได้ แล้วปล่อยวางออกไป

    ถ้าไม่รู้ความจริงแล้วมันปล่อยไม่ได้ ปล่อยได้แต่ปาก ถ้ารู้จริงก็ปล่อยได้จริงๆ จิตก็โล่งสงัดชัดเจนอะไรขึ้นมาสักครั้งหนึ่งก็ยังเป็นหลักได้ ขอให้พยายามมองใจในใจให้ลึกซึ้งถึงที่สุดให้ได้ แล้วจะมองเห็นภายนอกอะไรต่ออะไรหมดความหมายได้ เป็นเพียงแต่สมมุติเท่านั้นเอง ที่หลงสมมุติอยู่มันก็ทุกข์ทั้งนั้น นี่ให้ดูเข้าไปข้างในให้มันว่าง แล้วมองออกข้างนอกก็จะได้ว่าง ว่างๆ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของของเรา ขอให้ผู้ปฏิบัติจงพยายาม

    ที่มา :: <!-- google_ad_section_end -->
     
  18. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    อย่านั่งสมาธิ อย่างซื่อบื้อ ซื่อบื้อ นะ
    ต้องพิจารณากิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตให้ทัน ยังเหลือกิเลสตัวไหนอยู่
    เรื่องหมู ๆ นะ ใช่ไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2012
  19. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    วันนี้เราไม่นั่งสมาธิแล้ว เพราะว่าวันนี้เราได้นั่งสมาธิมาแล้ว <-- ผิดนะ
    เป็นปรุงแต่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2012
  20. พระคุณากร

    พระคุณากร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +72
    นิ่งเห็นจิตดับ
    ขยับไม่เห็นจิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...