กลับสู่เส้นทางเดิม (ชีวิตลูกจ้าง)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ศักยิ์กมล, 16 สิงหาคม 2012.

  1. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    เมื่อผมทำฟาร์มกบแล้วเจอกับเหตุการณ์ฝนแล้งจนไม่มีน้ำใช้ จึงลงทุนไปสูบน้ำจากคลองชลประทานมาใช้จนทุนหมดไปนั้น ประกอบกับแฟนที่กรุงเทพ ฯ หาว่าผมมีเมียอยู่ทางใต้เธอจึงยื่นคำขาดเราเลิกกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็มีเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ครั้งนี้เป็นสาวอิสลาม เมื่อเธอเข้ามาอยู่ในบ้านแค่วันแรกเท่านั้น พอแม่รู้เข้าว่าเป็นอิสลาม แม่ยื่นคำขาดว่าให้เลิก ผมจึงต้องฟังแม่พาเธอไปส่งบ้าน และชีวิตผมก็เครียดมากขึ้นทุกวัน ยังโทรตามง้อแฟนที่อยู่กรุงเทพ ฯ เธอก็ย้ำคำเดียวเราเลิกกัน ผมตัดสินใจเอาเงินที่ขายกบได้มา 30000 กว่าบาทไปซื้อปืนขนาด 9 มม. เพื่อจำทำอะไรสักอย่าง พ่อกับแม่ก็พอรู้เรื่องนี้บ้างเลา ๆ แม่จึงพูดว่าลูกเอ้ย น้องก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน อย่าทำให้แม่ต้องช้ำใจอีกคนเลย ส่วนพ่อก็แอบขโมยเอาปืนผมไปให้กับน้าชายบอกให้เอาไปให้ตำรวจ พอผมทราบเรื่องจึงบอกกับพ่อว่า พ่อผมรับปากจะไม่ทำอะไรให้พ่อแม่ต้องเสียใจ แต่ขอปืนผมคืนเถอะ อย่างน้อยผมขายเอาทุนคืนก็ยังดี พ่อก็ไม่ยอมให้น้าเอามาคืนแต่ได้ให้น้าเอาไปขายให้กับเพื่อนตำรวจไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในเมื่อจะตายอย่างนั้นไม่ได้ผมก็คิดยังมีทางอื่น แต่เหมือนพ่อแม่จะรู้จิตใจเรา จึงไม่ให้ผมขับรถยนต์อีกเลยตั้งแต่นั้นมา แล้วแม่ก็เรียกผมมาพูดว่า ลูกเอ้ยเองทำงานของตัวเองมันไม่เจริญรุ่งเรือง ก็ไปหาเป็นลูกจ้างเขาอย่างเก่าเถอะเผื่อเองจะสบายใจขึ้นมาบ้าง น้องก็หายเป็นปกติดีแล้ว ส่วนฟาร์มกบนั้นที่มันเหลือ ๆ อยู่แม่ก็จะเลี้ยงมันเองเมื่อหมดรุ่นแล้วก็จะเลิกเลี้ยง ผมเชื่อแม่จึงไปสมัครงานที่ภูเก็ตไว้หลายที่ พร้อมทั้งส่งเอกสารสมัครที่กรุงเทพ ฯ ด้วย ผมได้งานทั้งที่ภูเก็ต และกรุงเทพ ฯ ที่ภูเก็ตผมได้เงินเดือนสูงกว่าที่กรุงเทพ ฯ มากแต่ผมเลือกที่จะมาอยู่กรุงเทพ ฯ เผื่อว่าจะง้อแฟนให้คืนดีได้ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อผมเข้าไปอยู่ในคอนโด ฯ ตอนเย็นเธอกลับมาจากทำงานเห็นผมนั่งอยู่ (เธอยังไม่ได้เปลี่ยนกุญแจ) จึงผมว่ามาทำไม ผมบอกก็กลับมาหาเธอแล้วไง เธอบอกว่าพี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่าเราเลิกกัน ๆ ไม่ต้องเขามาที่นี่อีก เธอบอกว่าถ้าไม่ออกไปเธอจะเรียกตำรวจ ผมคิดว่าถ้าเธอเรียกแล้วตำรวจจะทำอะไรผมได้ ก็ในเมื่อในห้องนั้นอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เสื้อผ้าต่าง ๆ ของผมยังอยู่เต็มห้อง แต่มาคิดว่าอย่างไรเสียเราก็เคยเป็นคนรักกันมาก่อนไม่อยากหักหาญใจเธอมากเกินไป และอาจจะเป็นกรรมที่ตามตอบสนองเราอยู่ก็เป็นได้ จึงเก็บเสื้อผ้าที่สำหรับใช้ทำงานเท่าที่จำเป็น แล้วบอกลาเธอในค่ำคืนนั้นเอง โดยไปอาศัยบ้านญาติที่ผมเคยช่วยเหลือเขา ตั้งแต่เงินจะเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ ไม่มีสักบาท หลังจากผมพามาอยู่กรุงเทพ ฯ แกไปเป็นลูกจ้างร้านทำเครื่องเงิน ปัจจุบันเปิดร้านทำเครื่องเงินเอง มีบ้าน มีรถเก่ง เป็นของตัวเอง

    <O:p</O:pผมอาศัยอยู่ประมาณ เดือนกว่า ๆ เห็นว่าวุ่นวาย เพราะลูกจ้างทำเครื่องเงินเกือบ 20 กว่าคนก็กินนอนกันอยู่ที่นั่นหมด แม้บ้านจะ 2 หลังก็ยังคับแคบ จึงย้ายออกไปหาห้องเช่าอยู่แถว ๆ ลำสาลี เพราะผ่านความทุกข์มาเยอะไม่อยากอยู่ในที่วุ่นวายนัก อยู่ได้ 2-3 เดือน ก็ย้ายอีกคราวนี้ย้ายไปอยู่แถวพัฒนาการ กับน้องที่ทำงานด้วยกัน ก็พอลืมความทุกข์ลงได้บ้าง รู้จักเพื่อน ๆ แถวบ้านพักมากขึ้นทั้งหญิงทั้งชาย ซึ่งส่วนมากก็มานั่งเล่นกันที่บ้านที่ผมเช่าอยู่นั่นแหละ และน้องชายคนสุดท้องเมื่อเห็นว่าพี่ชายมาอยู่ที่นี่ ก็ย้ายออกจากหอพักที่มหาลัยแถว ๆ ประทุม ฯ มาอยู่ด้วยจะได้ประหยัดค่าหอพักที่ต้องขอจากแม่ทุกเดือน

    <O:p</O:pเกิดเหตุร้ายกับน้องชาย วันนั้นเป็นวันหยุดทำงานของผม เพื่อนที่ทำงานมาเล่นที่บ้านก็ชวนกันกินเหล้า ประมาณ 6 โมงเย็นเพื่อนอีกคคนขอตัวกลับ ผมเห็นว่าเพื่อนเมาแล้ว จึงอาสาขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่ง ส่วนน้องชายก็นั่งคุยกับเพื่อนผมอีกคนที่บ้าน 2 ทุ่มกว่าผมกลับมาไม่เจอน้องชายที่บ้าน ถามจากคนข้างบ้านเขาบอกว่า เพื่อนผมชวนไปเป็นเพื่อนจะไปหาเพื่อนอีกคนแถวเอกมัย ผมก็เลิกเป็นห่วง แต่ไม่ทันเท่าไหร่ตำรวจก็เข้ามาที่บ้านถามหาผม ผมจึงเสนอตัวเขาแจ้งว่าน้องชายของคุณถูกวัยรุ่นทำร้ายร่างกายอาการสาหัส ผมตกใจมากรีบตามตำรวจนั้นไปทันที เมื่อไปถึงโรงพยาบาล พบสภาพน้องชายนอนพะงาบ ๆ แผลโดนฟันเต็มตัว โดยที่หมอหรือพยาบาลไม่ทำอะไรเลย ผมสอบถามพยาบาลว่าทำไมไม่รักษา เขาอ้างว่าไม่กล้ารักษาจนกว่าจะมีญาติเซ็นรับทราบถึงค่าใช้จ่าย และหากขณะทำการรักษาผู้บาดเส็บเสียชีวิตเขาจะโดนความผิดไปด้วย เพราะผู้เจ็บนั้นอาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน ผมจึงต้องเซ็นเพื่อรับผิดชอบทุกกรณี เมื่อเขาเอาน้องไปรักษาแล้วผมจึงโทรติดต่อทางบ้าน โดยติดต่อน้องคนที่เข้ารักษาตัวและออกจากโรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง เพราะน้องเขาทำงานอยู่ที่สถานีอนามัย ย่อมเดินเรื่องได้ดีและเร็วกว่าที่จะติดต่อไปทางพ่อและแม่ อีกอย่างกลัวว่าท่านจะตกใจช็อกไปอีกคน วันรุ่งขึ้นน้องชายสามารถเดินเรื่องและแจ้งทางโรงพยาบาลเอกชนให้ทำการรักษาต่อเนื่องได้จนกว่าจะสามารถย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลตำรวจได้ ผมสงสารพ่อแม่ที่ต้องลำบากมาน้องอยู่อีกเป็นเดือน ดู ๆ ทำไมชีวิตครอบครัวเราจึงวนเวียนอยู่แต่โรงพยาบาลก็ไม่รู้ หรือนี่กรรมกำลังตามสนองผมอยู่ แต่ยังไม่สามารถทำผมได้ จึงไปลงกับน้อง ๆ ที่ผมรัก เมื่อน้องชายรักษาอาการจนหายดีแล้วจึงกลับไปพักฟื้นร่างกายที่ที่ภาคใต้

    <O:p</O:pผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพ ฯ ได้ประมาณ 11 เดือน ใกล้ที่ทำงานผม มีสำนักงานของโรงแรมต่างจังหวัดทางภาคอีสาน ได้ติดต่ออยากให้มาร่วมงานด้วยกัน ผมจึงไปคุยรายละเอียดดู เห็นว่าดี คือกรุงเทพ ฯ นั้น วุ่นวายนัก รถติด โดยสารเรือคลองแสนแสบก็แน่นเอี๊ยดทุกเที่ยว (ช่วงเช้า และชาวงเย็น) อากาศร้อน และไม่จำเป็นต้องอยู่เพื่อง้องอนแฟนแล้ว จึงตอบตกลง เพราะการไปอยู่ที่นั้นสวัสดิการดีมาก ๆ เช่น มีบ้านพักให้ มีอาหารตลอด 3 มื้อ และมีพิเศษสามารถทานอาหารที่ห้องอาหารของแขกได้อีก (มีวงเงินให้) มีซักผ้าให้ฟรี พูดง่าย ๆ ถ้าไปอยู่ที่นั่นเงินเดือนเรา แทบไม่ต้องใช้ สามารถผ่อนหนี้ฟาร์มกบได้สบาย ๆ <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2012
  2. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    คิดว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีแล้ว
    เดือน มกราคม 2547 ผมเดินทางจากกรุงเทพ ฯ สู่ภาคอีสาน เมื่อมาถึงจุดนัดหมายทางโรงแรมได้ส่งรถไปรับ เพื่อเข้าพักที่บ้านพักที่ทางเขาจัดไว้ให้ และเริ่มทำงานในอีกวันถัดมา ผมมาทำงานที่นี่รู้สึกดีมาก เพราะ อากาศดีมาก ๆ เขาว่าที่นี่อากาศดีติดอันดับ 1 ใน 7 ของโลกเลยที่เดียวจะเดินทางไปตลาดก็มีรถของโรงแรมไปส่ง รถราไม่ติด ฯลฯ ในระยะเวลาไม่นานผมก็มีเพื่อนร่วมงานมากมายทั้งชายทั้งหญิง มาทำงานที่นี่ได้ประมาณ 2 เดือน พี่ที่ผมเคยพักด้วยกันที่ Apartment ก่อนย้ายไปอยู่คอนโด ฯ กับแฟนโทรมาบอกว่าให้กลับมาดูพระหลวงปู่ทวดที่บอกว่าหายเมื่อตอนอยู่ที่ Apartment ด้วยกัน เย็นนั้นหลังเลิกงานผมเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ เลย เมื่อไปถึงพี่เขาเอาพระยื่นให้ดูถามว่าใช่องค์นี้หรือเปล่า ผมดีใจมากเพราะใช่เลย ผมถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่พระองค์นี้หายไปจากผมเมื่อประมาณ 9 ปีมาแล้วอยู่ ๆ ผมก็ได้คืน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันหนึ่งเมื่อเลิกงานตอนเย็น เพื่อนได้ชวนกันไปกินข้าวข้างนอกบ้าง กินแต่ข้างในเบื่อ ๆ ก็มีผู้หญิงไปด้วย 2-3 คน เมื่อ ขณะนั่งกินกันไปก็มีพูดเย้าหยอกกันในกลุ่มของเรา ผมเองก็พูดแบบเล่น ๆ ไปว่ามาอยู่นี่ 3-4 เดือนแล้วอยู่คนเดียวรู้สึกเหงา ๆ ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วยเลย ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มก็พูดสวนขึ้นมาต่อไปจะไม่เหงาแล้วเดี๋ยวเราไปอยู่เป็นเพื่อน เมื่อเรากินข้าวมื้อนั้นเสร็จก็ชวนกันกลับแยกย้ายไปพักบ้านใครบ้านมัน แต่เธอคนนั้นไปพักกับผมจริง ผมเองก็เหงาอยู่แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธใด ๆ เมื่อผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ในบ้านเดียวกันสองต่อสองก็คงเขาใจนะครับ เมื่อมีครั้งหนึ่งก็ต้องมีสอง มีสาม อย่างนี้เรื่อย ๆ ไป

    <O:p</O:pวันหนึ่งขณะผมทำงานอยู่นั้นได้รับโทรศัพท์ จากเพื่อนผู้หญิงที่เคยไปกินไปเล่นด้วยกันตอนผมเช่าบ้านอยู่แถวพัฒนาการ ต่อว่าว่าไปทำงานที่นั่นไม่เห็นบอกมั่งเลย พอมาหาอีกทีเห็นบ้านนั้นคนอื่นมาเช่าอยู่ไปแล้วผมก็ตอบกลับไปว่า ก็เราไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายทำไมต้องบอกด้วยเล่า เธอบอกว่าคิดถึง ผมก็ว่าเอ้าเราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่จะมาคิดถึงทำไม เธอก็สารภาพว่าเธอชอบผมเห็นผมไม่ค่อยพูดค่อยจาเวลาไปเล่นด้วยเอาแต่ยิ้มคงไม่มีพิษสงอะไร ผมจึงย้อนกลับไปว่าลองดูมั๊ยละว่ามีพิษสงหรือเปล่า เธอก็บอกว่ามารับซิจะไป ผมว่างั้นเอาอย่างนี้เธอมีรถเธอก็ขับมาเองสิใกล้ ๆ นี่เอง ผมไม่มีรถไปไหนก็ยาก รถโรงแรมถ้าใช้เขา เขาก็ไปส่งให้แค่ที่ตลาดเท่านั้น เธอตอบว่างั้นวันนี้จะไป ผมเองก็ดีใจมากเพราะผู้หญิงคนนี้ผมเองก็แอบชอบเธออยู่ เพียงแต่ไม่กล้าจีบ หรือพูดเป็นนัยให้เธอได้รู้ว่าเราชอบเธอ เพราะเธอเป็นคนสวย ร่ำรวย ต่างกับผมลิบลับที่มีหนี้สินเกือบล้าน จึงได้แต่ยิ้ม ๆ เวลาเธอไปเล่นที่บ้านเช่า

    <O:p</O:pค่ำวันนั้นเธอขับรถมาจริง ๆ โดยให้ผมออกไปรับครึ่งทาง ผมจึงให้รถโรงแรมไปส่งที่ตลาด แล้วผมก็เดินทางไปรับเธอแถว ๆ วังน้อย แล้วเธอก็พักที่บ้านพักผมถึง 3 วัน แต่เราไม่มีอะไรกัน เย็นก็ขับรถไปกินข้าวข้างนอกโรงแรมกัน กลางวันเธอก็นอนเล่นอยู่ที่บ้านพักผม จนเธอกลับกรุงเทพ ฯ ส่วนคนทางนี้ก็ทราบว่ามีผู้หญิงเข้าอยู่ในบ้านพักผม แต่ไม่กล้าโวยวายอะไร เพราะคิดว่าคงเป็นแฟนผมมาจากพรุงเทพ ฯ เพราะเธอเองตั้งแต่คบกับผมก็ไม่เคยถามว่าผมมีแฟนแล้วยัง แต่งงานแล้วยัง ผมเองก็ไม่เคยบอกอะไรกับอดีตของตัวเองทั้งหมด หลังจากนั้นอีกไม่นานเพื่อนผู้หญิงที่อยู่กรุงเทพ ฯ เธอก็มาหาอีกคราวนี้มาพักหลายวัน เพราะเธอบอกว่าชอบอากาศของที่นี่ เย็นสบาย และครั้งนี้เองที่เราทั้งคู่มีมากกว่าคำว่าเพื่อน เธอบอกกับผมว่าเราต้องแต่งงานกัน ผมตอบตกลงทันที ไม่อยากให้เรื่องซ้ำรอยเดิมเหมือน 2 คนที่ผ่านมา ผมได้บอกกับเธอว่าถ้างั้นขอเวลาบวชให้พ่อให้แม่และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายก่อน (ผมไม่ได้บอกว่าเธอว่าผมผ่านการมีแฟนมาแล้วถึง 2 คน) เธอตกลง ผมจึงโทรไปหาพ่อแม่ให้หาฤกษ์บวช เมื่อได้ฤกษ์บวชแล้วเราจึงลงใต้พร้อมกันและผมก็บวชผมบวชแค่ 9 วันเพราะไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของนายจ้างมากเกินไป หลังจากสึกออกมาแล้ว ก็ให้พ่อกับแม่หาฤกษ์แต่งงานต่อเลยส่วนผมและเธอก็กลับกรุงเทพ ฯ เธอเลยมาส่งผมถึงที่ทำงาน

    <O:p</O:pผมบวชเมื่อปี 2548 และก็จะแต่งงานกันในปี 2548 นั้นเลย แต่แล้วก็เกิดเหตุขึ้นมาจนได้เมื่อพ่อของเธอเสียลงด้วยโรคชรา กำหนดการแต่งงานจึงถูกเลื่อนออกไปในปีถัดไป เพราะผู้ใหญ่ไม่ให้จัดงานมงคลใยปีเดียวกับการจัดงานอวมงคล (งานศพ) เธอก็เทียวไปเทียวมาระหว่างที่ผมทำงานกับกรุงเทพ ฯ จนเธอรู้เรื่องระหว่างผมกับผู้หญิงอีกคนเข้าจนได้ และสั่งผมให้เลิกยุ่งเด็ดขาด ที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้ยุ่งกับเขาแล้ว แต่เธอระแวงไปเอง และเราก็เริ่มทะเลาะกันบ้างแล้ว จนอยู่เธอบอกว่าเธอจะไปต่างประเทศสักเดือนสองเดือน ผมก็ไม่ว่ากระไร ก็เธอไปเที่ยวมันเป็นสิทธิ์ของเธอ เงินไปเที่ยวก็เงินของเธอ เรายังไม่แต่งงานกันจะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเธอ

    <O:p</O:pส่วนคนที่ทำงานร่วมกัน ผมไม่เห็นหน้าเธอหลายวันสอบถามจากเพื่อน ๆ เธอ เพื่อนบอกว่าเธอกลับไปทำแท้งที่กรุงเทพ ฯ ผมตกมากเอาอีกแล้วหรือนี่เรา ไม่เห็นเธอเคยบอกเลยว่าเธอกำลังจะมีเด็ก แล้วอยู่ ๆ จะไปทำแท้งได้อย่างไร เมื่อเธอกลับมาจึงได้สอบถามจากเธอ เธอก็พูดบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น จนเธอลาออกจากที่ทำงานไป ผมก็ยังไม่ได้คำตอบจากเธอว่าตกลงเธอมีเด็กและเธอทำแท้งจริงหรือเปล่า ผมคิดว่าเด็ก 2 คนแรกผมยังพอได้บวชชดเชยให้เขาได้บ้าง แต่คนนี้ถ้าเธอทำแท้งจริงเขาไม่ได้รับอะไรกุศลอะไรเลย ถึงอย่างไรเสียปัจจุบันนี้ผมก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศล สวดมนต์ภาวนา ให้เขาด้วยเช่นกัน

    <O:p</O:pชีวิตของคนเรานี้สุดแสนจะวุ่นวายเหลือเกิน ส่วนแฟนผมเมื่อกลับมาจากต่างประเทศก็ยังระแวงไม่เลิก สุดท้ายเธอบอกเลิกกับผม ผมเสียใจมากเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่พอมีปัญหาก็เอาเหล้าเข้ามาดับกลุ้ม ครั้งนี้ผมใช้วิธี การกินอาหารมื้อเดียวก่อนเที่ยง (แบบพระ) และไม่กินเนื้อสัตว์บกทุกชนิด กินแต่จำพวกปลา จนร่างกายผ่ายผอม ไปมาก จนได้รู้จักกับน้องใหม่ที่เข้ามาทำงานอีกคนเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ ฯ เมื่อจบการศึกษา มาหางานทำในจังหวัดบ้านเกิด และเราก็ชอบพอกันแม้อายุจะห่สงกันมากคือเธอ 23 ส่วนผม เกือบ ๆ 39 ไปแล้ว จนแฟนคนที่เพิ่งบอกเลิกเรารู้ข่าว (สงสัยเธอคอยตามข่าวเราอยู่ตลอกเวลาถึงทราบได้) ได้โทรเข้ามาถามว่าได้ข่าวมีแฟนใหม่แล้วเหรอ ผมตอบว่าใช่ เธอบอกว่ามีได้ แต่ห้ามแต่ง พอเธอสั่งอย่างนั้น ผมเลยบอกกับแฟนคนปัจจุบันว่าเรารีบแต่งงานกันเถอะแล้วเราก็แต่งกัน ทั้ง ๆ ที่หนี้สินผมก็ยังเคลียร์ไปไม่ถึงครึ่งเลย ต้องยืมเงินมาใหม่เพื่อรีบแต่งงาน ช่วงนี้เธอก็โทรเข้ามาเรื่อย ๆ ผมบอกเธอว่ากำลังจะแต่งงาน บอกวัน/เดือน/ปี ให้เธอทราบ ฟังดูเธอก็คงจะยังหวง ๆ อยู่บ้าง บอกกลับมาว่า แต่งได้แต่อย่ามีลูก ดูเธอสั่งซิ เธอยิ่งห้ามสิ่งใด ผมก็จะยิ่งไขว่คว้าสิ่งนั้นมาให้ได้ ด้วยความคิดที่ว่า ใครก็ตามผ่านเข้ามาในชีวิตผมอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็เลิกรากันไปจะไม่ตามง้องอนขอคืนดีอีกแล้ว เข็ดมากแล้วกับชีวิตที่เล่นตลกกับผมมาถึง 3 คน จะไม่ขอคำนึงเรื่องคุณธรรมอันใดทั้งสิ้น แต่สุดท้ายผมก็ทำในสิ่งนั้นไม่ได้ เมื่อภรรยาผมเธอบอกว่ามีอาการอยากกินของเปรี้ยว และอาเจียรบ่อย ๆ จึงพาเธอไปตรวจคัน ปรากฏว่าเธอท้อง แล้วจะเล่าตอนต่อไปครับ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2012
  3. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ชีวิตน่าสนน่าติดตามดี ... ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร กว่าบัวจะโผล่พ้นน้ำ ก็ต้องอยู่ในตมมาก่อน ... ขอให้ธรรมทานนี้เป็นประโยชน์ แม้ใครสักคนจะแลเห็นธรรม และนำไปใช้ ขอผลแห่งธรรมทานนี้มีประโยชน์นั้นๆต่อเจ้ากรรมนายเวร ของ จขกท ด้วยเทอญ สาธุ...
     
  4. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    เมื่อผมได้เห็นหน้าลูก (ที่ได้ลืมตาดูโลก)<O:p</O:pตอนที่ผมกับน้องเขารู้จักกันได้ไม่นานและคงหนีไม่พ้นเรื่องการเป็นคู่ครองกันแน่นอนแล้ว ผมก็ให้เธอลาออกจากงานที่ทำอยู่เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาของเพื่อน ๆ ร่วมงาน เนื่องจากเธอทำงานในระดับพนักงาน แต่ผมอยู่ในระดับหัวหน้าฝ่าย เธอจึงลาออก แล้วเราก็เข้าสู่ประตูวิวาห์ แล้วผมก็ย้ายออกจากบ้านพักของโรงแรมไปหาบ้านเช่าอยู่ส่วนตัว ทางแฟนคนเก่าเมื่อเธอรู้ข่าวว่าผมจะแต่งงานเธอห้ามผมแต่ง ผมก็ยิ่งรีบที่จะแต่งให้เร็วขึ้น เมื่อเธอบอกงั้นแต่งได้แต่ห้ามมีลูก ผมก็รีบเร่งให้มีลูกให้ได้ เรามีข่าวที่ไหนขอลูกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เราก็จะไปที่นั่น จนเมื่อภรรยาเธอได้งานเป็นครูสอนหนังสือที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง จึงได้เลิกไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาศัยหุงข้าวทำกับ ข้าวใส่ปิ่นโตไปถวายพระทุกวัน (เส้นทางไปทำงานกับวัดอยู่ทางเดียวกัน) ทุกวันเมื่อเราเอาอาหารถวายพระเสร็จแล้ว ภรรยาเธอก็จะเอาปิ่นโตเลยไปที่ทำงานเลย เป็นอยู่อย่างนี้ประมาณเกือบปี จนเจ้าอาวาสท่านถามว่าโยมเห็นมาวัดกันแค่ 2 คนโยมยังไม่มีลูกหรือ จึงตอบท่านไปว่ายังไม่มีครับ ท่านเลยให้พรมาว่า โยมเข้าวัดเข้าวากันตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว (ท่านคงคิดว่าผมยังเป็นหนุ่มอยู่) อีกไม่นานพวกเทวดา พวกพรหม ก็จะลงมาเกิดในครอบครัวโยม

    <O:p</O:pเราก็ยังเอาอาหารไปถวายท่านอยู่ตลอดจนเป็นกิจวัตร 2-3 เดือนต่อมาภรรยาเธอบอกจะเป็นลมอยู่เรื่อย และอาเจียนด้วย เราจึงไปให้หมอตรวจปรากฏว่าเธอตั้งครรย์ ตั้งแต่นั้นมาผมก็จะสวดมนต์ให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง เธอก็อาเจียนหนักเข้าทุกวันจนทำงานไม่ได้ต้องลาออกจากครู ไปประจำอยู่โรงพยาบาลประมาณ 4-5 เดือน ผมและยายต้องผลัดกันไปเฝ้าอยู่โรงพยาบาล บางครั้งได้ออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านได้วัน สองวันก็ต้องกลับเข้าไปอีกแล้ว จนเธอผอม (ลักษณะเหมือนน้ำยาลบคำผิดชนิดปากกาที่ด้ามเล็กตรงกลางป่อง ๆ ) อย่างไรอย่างนั้น บางครั้งเธอนอนอยู่บนเตียงคนป่วย ผมไม่อยากให้เธอเครียดมาก ผมก็ล้อเธอว่าอยู่เหมือนปากกาน้ำยาลบคำผิด ก็พอได้หัวเราะกันบ้าง คืนหนึ่งขณะที่เราอยู่ที่โรงพยาบาลเธอฝันว่ามีผู้ชาย 4 คนมาอุ้มเธอแล้วลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพาไปหาพระองค์หนึ่งที่ท่านนั่งอยู่บนก้อนเมฆ พระองค์นั้นท่านทำมือแบบให้พร แต่เธอบอกว่าเธอจำไม่ได้ว่าพระท่านให้พรอย่างไร รุ่งขึ้นเมื่อหมอมาตรวจแล้วก็ให้กลับบ้านได้ มาอยู่บ้านได้เดือนนิด ๆ ก็ไปโรงบาลอีกแล้ว แต่คราวนี้ไปคลอด เราโชคดีว่าวันที่เธอคลอดนั้นเป็นวันหยุดของผมพอดี จึงไม่ยุ่งยากมากนัก เพราะรถเราก็มีเป็นของตัวเองแล้ว (แม้จะเป็นหนี้) ส่วนเรื่องชื่อลูกนั้นเราทราบเพศเมื่อลูกอยู่ในครรย์ได้เดือนที่ 6 ขณะเธอยังอยู่ที่โรงพยบาลนั่นแหละ ผมจึงได้ค้นหาชื่อลูกตามสื่อต่าง ๆ เช่น Internet หนังสือพิมพ์ เพื่อให้ลูกนั้นสามารถฉุดพ่อให้พ้นจากนรกให้ได้ ภรรยาเธอไม่รู้ว่าสามีได้สร้างกรรมชั่วอะไรไว้บ้าง (กุศโลบายนี้ถ้าท่านได้ศึกษาธรรมะสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงผมเชื่อเช่นนั้น) ลูกผมลืมตาดูโลกวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2551 เราตั้งชื่อลูกเราว่า นะโม

    <O:p</O:pเราคิดว่าที่เรามีลูกได้ก็เพราะท่านเจ้าอาวาสท่านให้พรเรา เมื่อถึงวันตัดผมไฟ เช้าวันนั้นเป็นวันที่ท่านเจ้าอาวาสสิ้นสุดการเข้าปาริวาส พอดีผมจึงอุ้มลูกชายเข้าไปหาท่าน แล้วเรียนท่านว่าผมได้ลูกชายครับท่าน จะให้ท่านตัดผมไฟให้ ท่านก็จัดการให้ในช่วงนั้นเลย หลังจากเราได้ลูกแล้วเราก็ยังหิ้วปิ่นโตไปที่วัดอยู่เช่นเดิม แต่ห่าง ๆ ออกมาเพราะติดภาระเรื่องลูกด้วย แต่เราก็นิมนต์พระมาบิณฑบาตรถึงหน้าบ้าน เมื่อลูกเราครบ 6 เดือนทางวิทยาลัยจึงได้เรียกตัวภรรยาผมกลับเข้าทำงานอีก 2-3 เดือนต่อมาเธอบอกว่ารู้สึกเหมือนมีท้อง แต่คราวนี้ไม่มีอาการแพ้ใด ๆ แสดงให้เห็นว่ามีท้องแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อไปตรวจเธอท้องจริง ๆ อะไรกันเนี่ย (ผมคิด) พอจะมาก็ตั้งตัวไม่ทันเลย แต่เราก็ดีใจ คราวนี้ผมอยากได้ผู้ชายอีกคน (เพื่อให้เข้าสูตรที่ผมวางไว้) มื่เมื่ออายุครรภ์สามารถตรวจเพศได้เราจึงไปหาหมอแต่หมอไม่สามารถระบุเพศได้เนื่องจาดเขาปิดตลอด ผมจึงต้องหาชื่อเตรียมไว้ทั้งหญิงและชาย (การหาชื่อลูกนั้นจะต้องเอาวันที่จะเกิด คืออาทิตย์ –เสาร์ แล้วหาชื่อว่ามีอักษรใดที่เป็นกาลกินีก็ต้องตัดออกไป) ฉะนั้นชื่อของลูกผมจะใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะคัดกรองออกมาได้<O:p</O:p
     
  5. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    เมื่อวันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2552 ลูกคนที่ 2 ผมลืมตาดูโลกคราวนี้ผมได้ผู้หญิง ก็มีผิดหวังนิด ๆ ที่เราอยากได้ผู้ชายกลับได้ผู้หญิง แต่ก็ดีลูกก็น่ารักดี ทั้งย่าทั้งยายต่างก็แย่งกันจะเอาไปเลี้ยง จนเมื่อคนที่ 2 ได้ 8 เดือนจึงให้ย่าเอาไปเลี้ยงที่ภาคใต้ โดยให้ยายมาเลี้ยงคนโตอยู่กับผมที่บ้าน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เวลาลูกร้องหรือต้องการให้ลูกหลับ (นาน ๆ ครั้งจะได้ยินเสียงลูกร้องสักที) ผมจะสวดมนต์ให้เขาฟังตั้งแต่คนแรกมาแล้ว ลูก ๆ จะชอบมากแป๊ปเดียวรับรองหลับปุ่ยครับ ไม้ต้องไปร้องเพลงกล่อมอย่างที่แม่เคยกล่อมเราให้นอนเหมือนเมื่อสมัยก่อน อีกอย่างภรรยาผมเธอก็กล่อมลูกไม่เป็น ถ้ากล่อมอย่างอื่นลูกก็จะร้อง แต่พอกล่อมด้วยบทสวดมนต์ขณะกำลังร้องให้พอได้ยินปุ๊ปเงียบกริ๊ป ท่านใดยังไม่มีลูกเมื่อไหร่แฟนตั้งครรภ์ก็เริ่มสวดมนต์ให้เขาฟังเลยครับ ออกมาตากท้องแม่เมื่อไหร่ พอได้ยินบทสวดมนต์ ก็จะเงียบทันที

    <O:p</O:pหลังจากไปส่งลูกคนที่ 2 ให้ย่าแล้วเราทั้งสองก็ซึมไปหลายวันเพราะคิดถึงลูก โดยบอกย่าว่าอีก 4-5 เดือนก็จะมารับกลับ ส่วนภรรยาผมก็เดี๋ยวเป็นลม ๆ เธอบอกว่าสงสัยท้องอีกแล้ว จึงไปตรวจ จริงครับท้องอีกแล้ว เธอเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นอีกแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้นอนค้างโรงพยาบาลคืนสองคืนก็กลับบ้านได้เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยมา แต่ไม่ถึงกับต้องลาออกจากงาน เมื่ออายุครรภ์สามารถตรวจสอบเพศได้เราจึงไปตรวจคราวนี้ชัดเจนครับ ถ่างให้ดูหมดเหมือนคนแรกเป๊ะ คราวนี้ชื่อลูกก็ไม่ต้องยุ่งยากแล้ว เพราะผมมีไว้ตั้งแต่ลูกคนที่ 2 แล้วรอดูแต่เพียงวันที่จะลืมตาดูโลกเท่านั้นผมกับภรรยาก็ได้แต่ยกมือไหว้ สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้ลูกเราเกิดวันนั้นเถิดเราอยากได้ชื่อนี้

    <O:p</O:pวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2554 ลูกคนที่ 3 ผมลืมตาดูโลกเป็นผู้ชาย ซึ่งตรงเป๊ะตามวันที่เราต้องการพอดี เราจึงได้ตั้งชื่อลูกเราว่า พุทโธ

    <O:p</O:pผมได้ลูกสมหวังผมแล้ว และผมตั้งชื่อลูกเพื่อเป็นกุศโลบายให้กับตัวผมเองว่า นะโม-พุทโธ(ส่วนลูกผู้หญิงผมไม่สามารถตั้งชื่อในทางนี้ได้จึงข้ามไป) เมื่อถึงวันที่ผมจะตายเพราะผมยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผมทำชดเชยมานั้น เจ้ากรรมนายเวร และลูก ๆ ของผมที่ถูกทำแท้งไปพวกเขาจะอโหสิกรรมให้ผมแล้วยัง แต่ ณ ปัจจุบัน ผมมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีลูกให้ผมคิดถึง มีภรรยาที่ดีที่สามารถให้ความสุขกับครอบครัวได้ และสุดท้ายก่อนผมจะสิ้นใจตายผมก็คงคิดถึงลูก ๆ และอาจจะเรียกลูก ๆ ให้เข้ามาหาพ่อว่า นะโม หรือ พุทโธ หรือ นะโมพุทโธ

    <O:p</O:pสุดท้ายนี้ขออำนาจแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านท้าวสักกะมหาราช ท่านท้าวมหาพรหม เทวดาทุกหมู่เหล่า พระสยามเทวาธิราช ท้าวจตุมหาราชทั้งสี่ แม่พระธรณี พระภูทิเจ้าที่ นาค ยักษ์ คนธรรย์ ปู่ย่า ตายาย คุณพ่อคุณแม่ ได้เป็นสักขีพยาน ช่วยนำส่งบุญกุศล ที่ผมได้ทำบุญใส่บาตรทุก ๆ วัน ร่วมทอดผ้าป่า ร่วมทอดกฐิน ร่วมสร้างโบสภ์วิหารต่าง ๆ ร่วมสร้างพระพุทธรูป ร่วมบุญช่วยชาติกับหลวงตามหาบัว อันเป็นที่เคารพของผมอย่างหาที่สุดไม่ได้ของผม ฯลฯ ให้กับท่านเจ้ากรรม-นายเวรของผมจงได้รับทุกครั้งทุกคราวด้วยเทอญ และขอให้ท่านโปรดอโหสิกรรม แม้เพียงส่วนหนึ่งก็ยังดี ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 สิงหาคม 2012
  6. ...คนสู้กรรม...

    ...คนสู้กรรม... เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +967
    นี่นับเป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างดีทีเดียว ว่ากันว่า ปัญหาชีวิตของคนๆหนึ่ง อาจคล้ายคลึงกับคนอีกหลายๆคน เผื่อว่าสักวันหนึ่งมีคนที่หัวอกเดียวกับคุณมาอ่านเจอ อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่า ไม่ได้มีเขาคนเดียวที่ประสบกับปัญหาลักษณะนี้ และควรแก้ปัญหาด้วยวิธีใด
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อ่านจบด้วยความโล่งใจ มีลุ้นเอาใจช่วยเป็นระยะๆ สาธุและอนุโมทนาในธรรมทานค่ะ
     
  8. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ขออนูโมทนากับธรรมทาน ตั้งแต่เรื่องแรกถึงเรื่องสุดท้ายค่ะ
     
  9. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ขอร่วมส่งจิตอนุโมทนา สาธุด้วยนะครับ
    พุทโธ อนันตัง
    ธัมโม จักกะวาฬัง
    นิพพานนะ ปัจจะโยโหตุ
     
  10. maenamping

    maenamping เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +183
    ติดตามเรื่องราวพร้อมลุ้นเอาใจช่วย อนุโมทนาในธรรมทานกับความเพียรในการพิมพ์นะคะ ขอให้มีความสุขกันทั้งครอบครัวนะคะ
     
  11. kjt

    kjt Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +79
    เด็กๆน่ารักทุกคนเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...