ฆ่าตัวตายกรรมหนักมากจริงหรือ?ตอน กราบเท้าพ่อเเม่เเก้กรรมหนัก

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 10 สิงหาคม 2012.

  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]

    นี้แหละ... พิษรัก ที่ขาดสติ+ ปัญญา อันตรายที่สุด ผู้ที่มีสติ ย่อม ไตร่ตรอง อย่างถี่ถ่วน แต่ ผู้ที่ ขาดสติ และปัญญา ย่อมทำอะไร อย่างขาดสติ ดังนั้นหากคิดจะมีรัก ต้องรู้จักทำใจ เผื่อใจไว้ผิดหวังบ้าง เพราะว่าทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิด คนที่ผิดหวังจึงมีนับล้านคนทั่วโลก การทำใจให้ได้ต่างหากคือรักเเบบมีมีสติ วิธีคิดก็สำคัญ เช่น เขาวาสนาไม่ถึงเรา ไปได้ก็ดี(คิดเข้าข้างตัวเองเข้าไว้) เราสองบุญเคยทำร่วมกันมาเเค่นี้ ..คิดเเล้วสะบายใจ ขอให้เขาไปพบเจอคนที่ดีเเละพร้อมกว่าเรา อื่นๆอีกมากมายคือวิธีปลอบใจตัวเอง อย่าได้คิดสั้น ฆ่าตัวตายเด็ดขาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2012
  2. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    เห็นรูปที่ท่านลงให้ดู
    เลยพิจารณาได้ว่า สุดท้ายก็เหลือแค่กองสังขาร(กาย)หนึ่ง
    จะหาประโยชน์ต่อไปไม่ได้

    อนุโมทนา สาธุๆ ครับ
    _________________
    ดูจิต.........ด้วยสติ
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    การฆ่าตัวตายทุกวันนี้ ที่มีมากกว่าปกติ
    ไม่เพียงเกิดจากความทุกข์ร้อนมากมายหนักหนาที่ท่วมทับชีวิตจิตใจเท่านั้น แต่ที่จริงเกิดเพราะความไม่มีเมตตาด้วย ไม่สงสารจิตใจผู้ที่จะต้องได้รับจากการฆ่าตัวตายของเราด้วย

    แม้คิดสักนิดย่อม จะเห็นความใจดำไม่มีเมตตาของบรรดาผู้ฆ่าตัวตายทั้งหลาย ไม่นึกสักนิดเลย ว่าถ้าตนเป็นลูกเมื่อลูกต้องตายไปอย่างน่าสยดสยอง จิตใจแม่พ่อจะเป็นอย่างไร สงบเป็นสุขอยู่ที่เช่นนั้นหรือ น่าจะเคยอ่านพบข่าว หรือไม่ก็น่าจะเคยเห็นภาพในหนังสือพิมพ์ พ่อแม่ที่ฟูมฟายใจแทบขาดตามไปเมื่อเห็นศพของลูกหลาน

    โดยเฉพาะที่ฆ่าตัวตาย และก็จะอีกนานนักหนากว่าความโศกเศร้าแสนสาหัสจะจบสิ้นไปตามกาลเวลา คนฆ่าตัวตายนั้นบาปหลายต่อทีเดียว บาปที่ทำกับตนเองก็แน่นอน ทำกับตนได้นักหนา ถึงทำลายชีวิตให้จบสิ้น อย่างเจ็บปวด จะไม่บาปได้อย่างไร เพียงเบียดเบียนทำร้าย ไม่ถึงประหัตประหารผลาญชีวิต ก็ยังต้องเป็นบาปและแม้เป็นการฆ่าคนถึงตาย ยิ่งคนนั้นเป็นตัวเองด้วย ก็พึงรู้เถิดว่ากรรมนั้นหนักนัก

    จะหนีผลของกรรมไม่พ้นแน่นอน และอย่าประมาทว่าผลของกรรมไม่น่ากลัว รับได้สบาย ก็ถ้ารับผลของกรรมไม่ดีได้สบายจริง ไฉนจึงทนรับความทุกข์ในชาตินี้ไม่ได้ ต้องพาตัวหนีไปให้พ้น ด้วยการฆ่าตัวตายเล่า ทุกข์ในชาตินี้ที่พากันได้รับ คือผลของกรรมที่ทำไว้เองแน่นอน คิดให้ดีๆ เถิด จะได้ไม่ฆ่าตัวตาย จะได้ไม่ต้องไปรับความทุกข์แสนสาหัสอีกในภาพชาติหน้า ที่มีแน่อย่าสงสัย

    การฆ่าตัวตายเป็นการแสดงความมีใจไร้เมตตาอย่างยิ่ง ไม่สงสารตัวเองก็แย่อยู่แล้ว แต่ยังดี ยังไม่เป็นไร เพราะคิดเสียว่าไม่อยากให้ตัวเองรับความทุกข์แสนสาหัสในชีวิต่อไป ลองหนีไปชีวิตอื่น อาจจะสบายกว่า คิดเช่นนี้ ก็พอเข้าใจว่า เพราะเมตตาตัวเองผิดคือคิดว่าเมตตา คิดว่าจะช่วยให้พ้นทุกข์ แต่ที่แท้กำลังพาไปสู่ความทุกข์ที่มากมาย และยาวนานกว่า เป็นหลายภพหลายชาติแน่นอน

    หนักหนาแน่นอนเป็นการทำบาปหลายต่อ ทำตัวเองให้จบสิ้นชีวิตอย่างผิดธรรมดา อย่างโหดร้ายทารุณ และทำผู้อยู่หลังให้ทุกข์โศก มากน้อย หนักเบา ตามใจที่ผูกพันของผู้นั้นที่มีต่อเรา ถ้าเป็นมารดาบิดา การตายจากของลูกหลานคือความทุกข์แสนสาหัส เช่นนี้ก็เท่ากับการฆ่าตัวตายของผู้เป็นลูกหลานเป็นการทำบาปหนักต่อผู้มีพระคุณที่รักใคร มีใจผูกพันต่อเรา เป็นการก่อทุกข์ให้จิตใจท่านเหล่านั้น นั่นคือบาปแน่นอน เป็นบาปที่เกิดพร้อมกับบาปที่ทำร้ายตนเอง ที่ประหัตถ์ประหารผลาญชีวิตตนเอง เป็นบาปหนักแน่

    ทุกวันนี้มีการฆ่าตัวตายกันมาก ฆ่ากันด้วยวิธีต่าง ๆ ล้วนน่าประหวั่นพรั่นพรึง ล้วนไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าทำกันได้กับชีวิตตน เหมือนผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าเป็นคนละคนกัน เป็นศัตรูที่ร้ายแรงของกันและกัน ความจริงมีอยู่ อย่าลืมเสีย จำไว้ให้มั่น อาจจะช่วยให้ไม่เป็นผู้ร้ายใจอำมหิตโหดเหี้ยมถึงขนาดฆ่าชีวิตหนึ่งได้และชีวิตนั้นคือชีวิตของตนเอง

    ถ้าเรารู้ว่าใครคนหนึ่งเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย และใครคนนั้นเข้ามาใกล้กับเรา เราจะรังเกียจหวาดกลัวใครคนนั้นสักเพียงไหน เมื่อใดจิตเศร้าหมองทุกข์ร้อนแสนสาหัส หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ขอให้คิดถึงความจริง ผู้ที่ฆ่าคนได้เป็นผู้ที่น่าเกียจน่าเกลียดกลัวที่สุดของคนทั้งหลาย ไม่ยกเว้นแม้แต่ตัวเราเอง

    แล้วควรหรือที่เราจะมาเป็นคนผู้นั้นเสียเอง แก้ไขด้วยวิธีอื่นเถิด มีมากมายหลายวิธีนัก แก้แล้วให้เกิดความสุขให้จริง ไม่ใช่แก้แล้วกลับต้องพบทุกข์ที่หนักยิ่งไปกว่าทุกข์ที่ตั้งใจหนี เพื่อหนีให้ได้ถึงกับยอมเป็นผู้ร้ายใจอำมหิตประหัตประหารผลาญชีวิตอันเป็นที่รักที่สุด คือชีวิตตนเอง วิธีรุนแรงร้ายกาจขนาดยอมเป็นฆาตกรร้ายนอกจากไม่อาจช่วยให้พ้นทุกข์ดังมุ่งมั่น ยังจะพาไปพบทุกข์ที่หนักหนายิ่งกว่าหลายเท่าพันทวี

    ท่านแสดงไว้ว่า ผู้ที่ฆ่าตัวตายจะต้องฆ่าตัวตายไปอีก ๕๐๐ ชาติ นั่นก็คือจะต้องพบความทุกข์แสนสาหัสจนทนไม่ได้ ถึงต้องฆ่าตัวตายเช่นในชาติที่ทำแล้วนี้อีก ๕๐๐ ชาติ เป็นอย่างน้อยกระมัง ไม่ควรจะไม่เชื่อไม่ควรจะไม่กลัว เพราะแม้ต้องพบเข้าจริง ความทุกข์จะใหญ่ยิ่งจนทนไม่ได้แน่นอน

    จะต้องทนทุกข์ทรมานจิตใจในการที่จะต้องหยิบอาวุธร้ายขึ้นเชือดเฉือนทำลายชีวิตตนเอง น่ากลัวนัก น่าตกใจนัก และเชื่อว่าทุกคนที่ฆ่าตัวตายมาแล้ว ก่อนจะทำกรรมอำมหิตโหดเหี้ยมนั้นจะกลัวแสนกลัว จิตใจจะทรมานเกินกว่าจะพรรณนาได้แน่นอน แล้วจะยอมให้พบชีวิตเช่นนั้นอีกถึง ๕๐๐ ครั้ง ทีเดียวหรือ

    ข้อสำคัญพอชีวิตหลุดจากร่างก็มิใช่ว่าจะสิ้นทุกข์ที่คิดหนี ไม่ใช่แน่นอน ทันทีที่ชีวิตหลุดออกจากร่างด้วยการกระทำจากจิตใจที่โหดเหี้ยมและเศร้าหมองแสนสาหัส จะต้องไปมีชีวิตใหม่ที่แสนทุกข์ อาจจะยิ่งไปกว่าที่หนีในชาตินี้ด้วยวิธีฆ่าตัวตาย

    : แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๓
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  4. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    [​IMG]

    เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน

    เจ้ามามือเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร ? เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา

    ออกจากครรภ์มารดาแก้ผ้าร้อง- อุแว้ก้องเผชิญทุกข์และสุขา

    เติบโตขึ้นมุ่งหาเงินเพลินชีวา แท้ก็หาทุกข์สารพัดมารัดตน

    ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ต้นทุนบุญกุศล

    ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ปวงชน ร่างของตนเขาก็เอาไปเผาไฟ

    ที่เคยรักก็จะลืมไม่ปลื้มจิต ที่เคยหลงเคยติดไม่พิสมัย

    ที่เคยคู่เคียงข้างไม่ห่างไกล ที่เคยใกล้ก็กลับหลบไม่พบพาน

    ที่เคยกอดจุมพิตสนิทแนบ ที่เคยแอบอิงกลับเมินไม่เดินผ่าน

    ที่เคยยิ้มสรวลสันต์ทุกวันวาร ที่เคยหวานก็กลับขมระทมทรวง

    มามือเปล่าไปมือเปล่าอย่าเศร้าโศก กิเลสโลกในมนุษย์ที่สุดหวง

    กอดกองขี้และซากศพพบภาพลวง รีบตัดบ่วงโลกีย์หลบหนีไป

    เกิด-กำมือแน่นร้องไห้บอกใจรู้- ว่ายึดอยู่จิตหมายมั่นจึงหวั่นไหว

    ตายแบมือไม่ต้องถามบอกความนัย ว่าตายไปเหลือมือเปล่าเหมือนเจ้ามา

    ให้ปลงตกในชีวิตสะกิดเจ้า- เลิกมัวเมากอบโกยและโหยหา

    ลาภ-ยศ-สุข-สรรเสริญ-และเงินตรา เมื่อมรณาก็สูญลับดับตามตัว

    ให้ปล่อยวางคืนโลกสิ้นโศกเศร้า กลับมือเปล่าเป่าเสกมนต์ไว้บนหัว

    แล้วทำจิตเป็นอิสระละตนตัว พ้นดีชั่วกลับโลกทิพย์นิพพานเอยฯ
     
  5. สิบหก

    สิบหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    680
    ค่าพลัง:
    +603
    น่าเสียดาย ที่เค้าไม่รู้ จักทุกข์ ไม่เคยผ่านทุกข์ และไม่เผชิญสู้กับทุกข์ จึงหนีทุกข์ ...
     
  6. areekit

    areekit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +184
    เราก็คนหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องความรัก เเต่ก็ผ่านพ้นตรงนั้นมาได้
    นมัสการค่ะท่านอาจารย์
     
  7. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    เห็นแล้วใจไม่ดีครับ คงจะชั่ววูบนะผมว่า..(หรือว่าชาติที่แล้วเค้าเคยทำแบบนี้มาก่อน)
     
  8. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    <IMG class=img title='>>.. "ธรรมทาน" นั้นเป็นเลิศที่สุด..<<
    >>.. "อภัยทาน" นั้นทำได้ยากที่สุด..<<

    >>..เราทุกคน..ให้ได้โดยไม่จำกัด..<<
    >>.แต่จะต้องตั้งอยู่บนฐานของ..ศีลธรรม..<<
    >>..ให้ในสิ่งที่เป็น..ประโยชน์..<<
    >>..และทำให้ผู้อื่นมี..ความสุขเพิ่มขึ้น..<<
    >>..ประเภทของ..ทานที่ควรให้..<<
    >>..ในทางพุทธศาสนา..มีอยู่ ๔ อย่าง..<<

    >> ๑.อามิสทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของ..<<

    >> ๒.อภัยทาน คือ การยกโทษ..<<
    >>..ด้วยการ..ไม่พยาบาทจองเวร..<<
    >>..เป็นทานที่ให้ได้..ยากที่สุด..<<
    >>..โดยเฉพาะ..การให้อภัยศัตรู..<<

    >> ๓.วิทยาทานคือ การให้ความรู้ทางโลก..<<

    >> ๔.ธรรมทาน คือ การให้ความรู้ทางธรรม..<<
    >>..โดยเฉพาะความรู้ทางพุทธศาสนา..<<
    >>..ได้ชื่อว่า..ให้ทุกอย่าง..<<

    >>..ทุกประเภทของทานนั้น.. มีประโยชน์..<<
    >>..และช่วยค้ำจุน..ชีวิตคน..<<
    >>..ช่วยให้เขามีที่พึ่งอาศัย..ในชาตินี้..<<
    >>..แต่.."ธรรมทาน" นั้นเป็นเลิศที่สุด..<<
    >>..เพราะ..ช่วยให้เขารู้จักพึ่งตนเองได้ต่อไป..<<
    >>..ทั้งชาตินี้..และชาติหน้าด้วย..<<
    >>..ส่วน.."อภัยทาน" นั้นทำได้ยากที่สุด..<<

    ✰ƸӜƷ•*”˜˜”*•.ƸӜƷ•
    ♥☼♥¸.•*´¨`*•* ~ ✰✰ƸӜƷ•*”˜˜”*•.ƸӜƷ•
    ♥☼♥•*´¨`*พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก Ӝ✰✰ƸӜ♥☼♥✰ƸӜƷ•*”˜˜”*•.ƸӜƷ•' alt='>>.. "ธรรมทาน" นั้นเป็นเลิศที่สุด..<<
    >>.. "อภัยทาน" นั้นทำได้ยากที่สุด..<<

    >>..เราทุกคน..ให้ได้โดยไม่จำกัด..<<
    >>.แต่จะต้องตั้งอยู่บนฐานของ..ศีลธรรม..<<
    >>..ให้ในสิ่งที่เป็น..ประโยชน์..<<
    >>..และทำให้ผู้อื่นมี..ความสุขเพิ่มขึ้น..<<
    >>..ประเภทของ..ทานที่ควรให้..<<
    >>..ในทางพุทธศาสนา..มีอยู่ ๔ อย่าง..<<

    >> ๑.อามิสทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของ..<<

    >> ๒.อภัยทาน คือ การยกโทษ..<<
    >>..ด้วยการ..ไม่พยาบาทจองเวร..<<
    >>..เป็นทานที่ให้ได้..ยากที่สุด..<<
    >>..โดยเฉพาะ..การให้อภัยศัตรู..<<

    >> ๓.วิทยาทานคือ การให้ความรู้ทางโลก..<<

    >> ๔.ธรรมทาน คือ การให้ความรู้ทางธรรม..<<
    >>..โดยเฉพาะความรู้ทางพุทธศาสนา..<<
    >>..ได้ชื่อว่า..ให้ทุกอย่าง..<<

    >>..ทุกประเภทของทานนั้น.. มีประโยชน์..<<
    >>..และช่วยค้ำจุน..ชีวิตคน..<<
    >>..ช่วยให้เขามีที่พึ่งอาศัย..ในชาตินี้..<<
    >>..แต่.."ธรรมทาน" นั้นเป็นเลิศที่สุด..<<
    >>..เพราะ..ช่วยให้เขารู้จักพึ่งตนเองได้ต่อไป..<<
    >>..ทั้งชาตินี้..และชาติหน้าด้วย..<<
    >>..ส่วน.."อภัยทาน" นั้นทำได้ยากที่สุด..<<

    ✰ƸӜƷ•*”˜˜”*•.ƸӜƷ•
    ♥☼♥¸.•*´¨`*•* ~ ✰✰ƸӜƷ•*”˜˜”*•.ƸӜƷ•
    ♥☼♥•*´¨`*พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก Ӝ✰✰ƸӜ♥☼♥✰ƸӜƷ•*”˜˜”*•.ƸӜƷ•' src="https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/s480x480/547704_133657280109246_808761812_n.jpg" width=323 height=320>
    ‎ "ธรรมทาน" นั้นเป็นเลิศที่สุด....
    "อภัยทาน" นั้นทำได้ยากที่สุด..

    ..เราทุกคน..ให้ได้โดยไม่จำกั<WBR>ด..
    แต่จะต้องตั้งอยู่บนฐานของ..<WBR>ศีลธรรม..<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
    อย่าให้ความสำคัญกับ "แม่" แค่เฉพาะ..." วันแม่12ส.ค.เท่านั้น"
    เพราะตอนที่คุณยังอ้อแอ้ คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของ
    "คุณ"....คือเเม่...
     
  10. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
     
  11. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ^^ ของขวัญจากลูก ^^<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->มะลิหอมน้อมวางข้างข้างตัก
    กรุ่นกลิ่น “รัก” บริสุทธิ์ผุดผ่องใส
    แทนทุกคำทุกถ้อยร้อยจากใจ
    เป็นมาลัย “กราบแม่” พร้อมน้อมบูชา

    กี่พระคุณจากใครอื่นนับหมื่นแสน
    อาจทนแทนเปรยเปรียบเทียบคุณค่า
    แต่พระคุณ“หนึ่งหยดน้ำนมมารดา”ทั้งสามภพจบหล้า…หาเทียมทัน

    ลูกไม่อาจเอ่ยแสดงแถลงถ้อย
    หรือเรียงร้อยพจนามาเสกสรรค์
    เพื่อบรรยายพระคุณนี้ที่ “อนันต์”
    จึงตั้งมั่น “กตัญญุตา” ตลอดไป

    หนึ่งคำ “รัก” ลูกรักแม่ แม้ค่าน้อย
    ต่างเพชรพลอย ตีราคาค่ามิได้
    แต่แม่จ๋า… “รักที่หนึ่ง” ของหัวใจ
    มิใช่ใคร “ลูก รัก แม่” แน่นิรันดร์

    ขอขอบคุณ : สัจจาภรณ์ ไวจรรยา (ผู้แต่ง)


    [​IMG]
     
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]

    ฤาษีกตัญญูเลี้ยงแม่วัย 84 ไม่สนคนมองไม่เหมาะสม

    ฤาษีสุดกตัญญูหอบแม่วัย 84 ปี ขึ้นเขาปฏิบัติธรรมเพื่อเลี้ยงดูตลอด 20 กว่าปี ไม่สนคนมองไม่เหมาะสม ลั่นเพราะท่านคือ “แม่”
    (10 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่บริเวณป่าบนเขาตั้งหม้อ หรือเขาศรีสวรรค์ หมู่ 2 บ้านศรีสวรรค์ ต.บ้านแก่ง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ได้มีผู้ปฏิบัติตนเป็นฤาษีมาปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าบนเขา โดยพาแม่มาพักอาศัยอยู่ด้วย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในหมู่บ้านถึงความไม่เหมาะสม และเวทนาแม่ในวัยชราที่ต้องมาลำบากปีนเขา เข้าป่าไปอยู่กับลูกที่เป็นฤาษี
    ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ ทราบว่าแม่ของฤาษีดังกล่าวชื่อ นางโหลย กำมณี อายุ 84 ปี ซึ่งพักอาศัยนอนอยู่ในรถเก๋งเก่าๆ ที่จอดชั่วคราวตรงบริเวณทางขึ้นเขาตั้งหม้อ ส่วนฤาษีที่ถูกเรียกขานว่า หลวงปู่ฤาษีลายดาบส อายุ 47 ปี กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าบนเขา ซึ่งได้มีการทำเพิงแบบง่ายๆ ไว้เป็นที่พักหลับนอน และมีการสร้างศาลาประดิษฐานรูปปั้นหลวงปู่พระฤาษีตาไฟ ไว้ให้ชาวบ้านกราบไหว้ขอพรด้วย

    หลวงปู่ฤาษีลายดาบส เปิดเผยว่า ที่ตนมาหมู่บ้านศรีสวรรค์แห่ง นี้เพราะมีชาวบ้านเชิญให้มาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม และให้ช่วยปรุงยาสมุนไพรรักษาโรคให้แก่คนที่ป่วย ตนมีความรู้ด้านนี้เพราะพ่อเป็นหมอต้มยาจึงได้วิชาติดตัวมาแต่เด็ก ประกอบกับได้ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กับพระหลายท่านที่เชี่ยวชาญเรื่อง สมุนไพร ส่วนสาเหตุที่ต้องพาแม่ที่ชรามากแล้วมาอยู่ด้วยกันก็เพราะไม่มีใคร คอยดูแล จึงต้องเป็นภาระของตนคนเดียว ซึ่งชาวบ้านบางกลุ่มไม่เข้าใจหาว่าพาคนแก่มาลำบาก และบางคนก็ว่าพาแม่มาหากิน

    ตนดูแลแม่มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534 ช่วงนั้นยังเป็นพราหมณ์ ต่อมาได้บวชเป็นพระ มีครั้งหนึ่งแม่ป่วยหนักจึงต้องนอนมุ้งเดียวกับท่านในบ้าน เพื่อคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด และต่อมาก็ได้สึกจากพระเพื่อมาถือปฏิบัติตนเป็นฤาษี ก็ยังคงต้องหอบหิ้วเอาแม่ขึ้นรถเก๋งคันเก่าๆ เดินทางตระเวนไปฝึกจิต และปฏิบัติธรรมตามป่าเขาหลายแห่งในพื้นที่หลายจังหวัด

    ช่วงกลางคืนจะให้แม่นอนเบาะหลังในรถ ส่วนตัวเองก็จะปักกลดอยู่ใกล้ๆ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องนอนขดบนเบาะคนขับ ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น ก็มีชาวบ้านทำอาหารมาให้บ้าง แต่บางครั้งก็ต้องทำกินเอง ทุกวันนี้ตนเหลือแม่เพียงคนเดียวที่ยังห่วงอยู่ จะดูแลกันไปจนกว่าคนหนึ่งจะตายจากกัน ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเคยทำให้ท่านเสียใจมามากพอแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่คงไม่ต้องคิดมากว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะท่านคือแม่<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    "โย มาตรํ ปิตรํ วา มจฺโจ ธมฺเมน โปสติ
    อิเธว นํ ปสํสนฺต เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ

    บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้นในโลกนี้ บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์"


    ปัจจุบันมีหลายประเทศทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วโดยวัดกันที่มาตรฐานการศึกษา ค่าครองชีพ และเทคโนโลยีต่างๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับความเจริญทางด้านวัตถุ คือ พ่อแม่ที่แก่เฒ่าถูกทอดทิ้งเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาสังคม รัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาใช้แก้ไข ด้วยการจัดสถานที่รองรับคนชราที่ลูกทอดทิ้ง ผู้สูงอายุเหล่านั้นต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง บางคนต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา เพราะความจำเป็นก็มี จำใจไปก็มี เช่น บางคนไปอยู่เนื่องจาก ไม่อยากให้เป็นภาระลูกต้องมาลำบากเพราะพ่อแม่ อยากให้ลูกมีความสุขกับชีวิตครอบครัว ได้ทำงานอย่างเต็มที่ คิดอย่างนี้ก็มี

    ลูกบางคนบอกว่า ไม่มีเวลาดูแล จึงให้พ่อแม่ไปอยู่ที่นั่น แล้วส่งเงินไปให้ใช้เป็นประจำ มีบางท่านอยากให้พ่อแม่อยู่บ้านเหมือนกัน แต่ลูกๆ ไม่รู้วิธีการเอาใจคนชราว่าต้องการอะไร เมื่อพ่อแม่เห็นว่าลูกไม่เอาใจใส่ตนเอง มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องธุรกิจการงาน ทำให้เกิดอาการน้อยใจ จึงตัดสินใจหนีไปอยู่ บ้านพักคนชรา ทำให้คุณธรรม คือ ความกตัญญูกตเวทีระหว่างลูกต่อบิดามารดา ผู้เป็นบุพการีลดลงไปเรื่อยๆ


    เรื่องหน้าที่ของลูก ที่พึงปฏิบัติต่อบิดามารดานี้มีตัวอย่าง เป็นเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่ง แม้ท่านบวชมาแล้ว ยังอุตสาหะทำหน้าที่พระลูกชายยอดกตัญญู ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า

    *ในสมัยพุทธกาล ที่กรุงสาวัตถี มีลูกชายเศรษฐีท่านหนึ่ง เป็นคนมีบุญ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธา จึงขอพ่อแม่ออกบวช แต่ได้รับการปฏิเสธ ลูกชายอดอาหารประท้วงถึง ๗ วัน บิดามารดาคิดว่า "ถ้าไม่ยอม ลูกคงตายแน่ แต่ถ้ายอมให้ลูกบวช ยังมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกชายบ้าง" จึงพร้อมใจกันยินยอมให้ลูกบวช

    ลูกชายดีใจเป็นที่สุด กราบแทบเท้ามารดาบิดา แล้วรีบไปที่วัดเชตวันมหาวิหารเพื่อขอรับการบรรพชาอุปสมบท เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาคันถธุระอยู่ ๕ พรรษา แล้วจึงปลีกวิเวกด้วยการเข้าไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าตามลำพัง ท่านทำความเพียรอยู่ ๑๒ ปี แต่ยังไม่ได้คุณวิเศษอะไร ส่วนโยมพ่อโยมแม่ เมื่อไม่มีลูกชายแล้ว ก็ไม่อาจรักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ได้ เพราะความแก่เฒ่า ธุรกิจการค้าจึงถูกเขาโกงไป แม้แต่ข้าทาสบริวารก็ขโมยทรัพย์สินไปหมด แม้บ้านของตัวก็จำเป็นต้องขายเพื่อเอาทรัพย์มาเลี้ยงชีพ และต่อมาเมื่อทรัพย์หมดก็ไร้ที่อยู่อาศัย ในที่สุดจำต้องเลี้ยงชีพด้วยการขอทานอย่างน่าเวทนา


    วันหนึ่ง พระภิกษุผู้เป็นบุตรเศรษฐีได้ข่าวจากเพื่อนภิกษุอาคันตุกะว่า โยมพ่อโยมแม่ของท่านกำลังลำบากต้องขอทานเขากิน ท่านรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ ประกอบกับช่วงนั้นท่านรู้สึกท้อแท้เพราะผลการปฏิบัติธรรมที่ไม่ก้าวหน้า จึงคิดอยากสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ เพื่อเลี้ยงดูมารดาบิดา จึงรีบเดินทางกลับกรุงสาวัตถีทันที


    เมื่อเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่ง ระหว่างไปบ้านเกิดกับไปวัดพระเชตวัน ท่านคิดว่า ไหนๆ จะสึกแล้ว เราไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะดีกว่า ปรากฏว่าเช้าวันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเรื่องความกตัญญู เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็เกิดวิริยอุตสาหะ ที่จะบำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดาในเพศบรรพชิต ได้ออกตามหาจนพบ เมื่อมองเห็นมารดาบิดาทั้งสองกำลังนั่งขอทานอยู่ จึงเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ


    "นิมนต์พระคุณเจ้าข้างหน้าเถิดเจ้าข้า" โยมแม่พูดโดยไม่กล้ามองหน้าพระ ฝ่ายพระลูกชายได้แต่ยืนนิ่ง น้ำตานองหน้า เพราะสงสารเหลือเกิน แม้โยมแม่จะกล่าวนิมนต์ให้ไปข้างหน้าตั้งหลายครั้ง แต่ท่านก็ยังยืนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ฝ่ายบิดาเริ่มเอะใจจึงสังเกตดูภิกษุรูปนี้ ในที่สุดก็จำได้ว่าเป็นพระลูกชาย ทั้งสามต่างร่ำไห้กันยกใหญ่


    พระลูกชายปลอบใจโยมทั้งสองว่า "โยมพ่อโยมแม่ไม่ต้องลำบากหรอก จากนี้ไปไม่ต้องขอทานแล้ว พระจะบิณฑบาตมาเลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก"

    ตั้งแต่นั้นมาอาหารบิณฑบาตที่ได้มาท่านก็นำมาให้มารดาบิดารับประทานก่อน ผ้าจีวรที่เขานำมาถวาย ท่านก็จะนำมาให้มารดาบิดาซักย้อม และตัดเย็บสวมใส่ แม้พระลูกชายจะมีอาหารไม่พอฉัน แต่ก็สู้อดทนเลี้ยงดูด้วยความกตัญญูกตเวที จนในที่สุดท่านซูบผอมร่างกายเหลือง สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น

    เพื่อนสหธรรมิกเห็นอาการผิดปกติเช่นนั้น จึงไต่ถามดูว่า "อาวุโส เมื่อก่อนท่านมีผิวพรรณวรรณะผ่องใส แต่เดี๋ยวนี้ร่างกายผ่ายผอมสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านป่วยเป็นโรคอะไรหรือ" ท่านบอกว่าตนเองไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรหรอก เพียงแต่ว่าอาหารไม่พอฉัน เนื่องจากต้องแบ่งอาหารบิณฑบาตให้โยมพ่อโยมแม่


    เพื่อนสหธรรมิกได้ยินเช่นนั้น เนื่องจากเป็นผู้เคร่งครัดในธรรมวินัย จึงตำหนิท่านว่า "การนำอาหารที่เขาถวายมาด้วยศรัทธาไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร" เรื่องการเลี้ยงอาหารแก่คฤหัสถ์จึงถูกโจษขานขึ้นในหมู่สงฆ์ ภิกษุสงฆ์จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสเรียกท่านเข้ามาสอบถามในท่ามกลางมหาสังฆสมาคม ท่านได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำตำหนิในท่ามกลางสงฆ์



    เมื่อถูกพระพุทธองค์ตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุ เธอนำอาหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์จริงหรือ"

    "จริงพระเจ้าข้า"

    "เธอนำอาหารไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์ไหนกันล่ะ"

    "เป็น มารดาบิดาของข้าพระองค์เองพระเจ้าข้า" ภิกษุหนุ่มเตรียมใจรับคำตักเตือนด้วยความเคารพ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงสาธุการจากพระองค์ถึง ๓ ครั้งว่า "สาธุ สาธุ สาธุ เธอทำถูกต้องแล้ว แม้เราในอดีตก็บำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดาเหมือนกัน" จากนั้นพระองค์ตรัสเล่าเรื่องสุวรรณสามชาดก ซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธองค์ ที่บำรุงเลี้ยงมารดาบิดาผู้ตาบอดทั้งสองข้างด้วยความขยันขันแข็ง แม้ว่าจะประสบเภทภัยจนเกือบถึงแก่ชีวิต ก็ไม่อาลัยกับชีวิตตน จิตห่วงใยแต่มารดาบิดาทั้งสอง และด้วยแรงกตัญญูจึงทำให้ท่านรอดพ้นจากอันตรายครั้งนั้นมาได้

    ภิกษุหนุ่มฟังแล้วปลื้มใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะสิ่งที่ท่านทำลงไปนอกจากจะไม่ผิดธรรมวินัยแล้ว ยังได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาอีกด้วย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นท่านมีจิตแช่มชื่นเบิกบานดีแล้ว ทรงเริ่มแสดงอริยสัจ ๔ ท่านได้ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ศูนย์กลางกายของท่านที่เคยมืดมิดมาตลอด ๑๒ ปี ก็สว่างโพลงขึ้น มีใจหยุดใจนิ่ง จนในที่สุดเข้าถึงพระธรรมกายโสดาบัน เป็นพระอริยเจ้า

    เราจะเห็นว่า การเลี้ยงดูบิดามารดามีอานิสงส์ใหญ่ นอกจากมนุษย์และเทวดาทั่วไปจะพากันยกย่องสรรเสริญแล้ว แม้พระพุทธองค์ยังทรงอนุโมทนาอีกด้วย พ่อแม่ถือว่าเป็นยอดแห่งบุพการีชน เป็นประดุจพระอรหันต์ของพวกเราทุกคน เพราะฉะนั้นแม้ลูกจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม ต่างมีหน้าที่ เหมือนกัน คือ ต้องเลี้ยงดูบิดามารดา ขนาดพระพุทธองค์ยังอนุญาตให้ภิกษุสามารถเลี้ยงดูบิดามารดาได้


    ดังนั้น ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราต้องมีจิตสำนึกของความเป็นลูกกตัญญู เลี้ยงดู
    ท่านให้มีความสุขทั้งทางกายและทางใจ ดูแลท่านทั้งสองให้มีความสุขมากกว่าที่เราเคยได้รับจากท่าน อย่าให้ท่านต้องน้ำตานองหน้า อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย นั่งเหม่อลอยอยู่ตามบ้านพักคนชรา เพราะลูกหลานไม่เหลียวแล อย่าทำให้ท่านต้องตรอมใจ ตำหนิลูกหลานอยู่ในใจว่า เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้บุญคุณคน ขอให้ทุกท่านตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ หมั่นทำบุญกับพระอรหันต์ในบ้านให้เต็มที่ ให้ดีที่สุด
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) เห็นภาพอย่างนี้ ท่านต้องทำได้จริงๆอย่างแน่นอนครับท่าน :cool:

    สาธุ สาธุ สาธุ น่านับถือ ประเสริฐสุดแท้หนอ ทำคล้ายๆกับ ตอนพระพุทธองค์ ทรงเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ พระสุวรรณสาม ในชาดก พระเจ้า ๑๐ ชาติ ต้องเลี้ยงพ่อและแม่ ซึ่งบวชเป็นพระฤาษี อยู่ในป่า มีสัตว์ น้อยใหญ่ เป็นเพื่อนเล่น นี่เขาเรียกว่า ลูกกตัญญู รู้คุณของพระอรหันต์ ในบ้าน ๑ ในหลายล้าน ถึงจะมีเช่นนี้ให้เห็น สักครั้ง หนึ่ง กำลังใจของท่านเต็มจริงๆ กำลังใจแบบ นี้ผมว่า ไม่ใช่ ๑๐๐ เปอร์เซ็น ๑๐๐๐/๑๐,๐๐๐/๑๐๐,๐๐๐/๑,๐๐๐,๐๐๐ เปอร์เซ็น กำลังใจนี้ ประมาณมิได้เลย

    ผมเห็นคนที่ประกาศตัวออกมา หลายคน ว่าจะบวชตลอดชีวิต แค่อยู่บางคนก็จะไม่พ้น พรรษา ด้วยซ้ำไป อย่างดีบางคน ก็อยู่ได้ ๑-๒-๓ พรรษา ก็บุญหัวแล้วครับ มีขนาด มีคนปฏิบัติ จนรู้วาระจิต ยังต้องแหกคอก เลย นี่มาแรงไปแรง ต้องโดน อุปสรรค ทดสอบแรงๆ เพราะแกมาแรง จึงอยู่ได้ไม่นาน ถ้ากำลังใจ คำนวนไม่ได้ โน่นแหละ จึงจะทำ ได้ดั่งในภาพครับ ท่าน อาจารย์ ประสบการณ์ เล็กๆน้อยๆครับ สมัยนี้คนอวดเก่งเยอะ มันเยอะ แต่จะทำได้จริง นั้น น้อยนัก แต่ส่วนใหญ๋ ดีแต่พูด แต่ไม่ทำ ผมไม่มีโอกาศ จะได้เลี้ยง แม่เหมือนฤาษีท่านนี้ เพราะท่านไปรับกรรม ทางโลก เสียมากกว่า ท่านชอบทางโลก ก็สุดปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2012
  15. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
     
  17. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
     
  18. J00M

    J00M เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +3,263
    การตาย ง่ายเท่ากับการพลิกฝ่ามือ แต่การอยู่และทำตัวให้มีคุณค่า นั้นยาก (สมควรทำที่สุด) ถึงแม้ไม่มีใครมานั่งชมเราว่าเรามีค่าแค่ไหน แต่จงรู้ไว้เถอะว่า เรามีค่ามากแล้ว(สำหรับคนที่ตั้งใจให้เราเกิด ดูแลเราตลอดเกือบชีวิตของเค้า เค้าคนนั้นคอยอยู่ข้างหลังดูเราตลอด) ที่เราได้เกิดมาเรียนรู้โลก มีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง มีชีวิต
    มีปัญญาไว้คอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ทำไม ??? เราถึงยอมตายเพื่อจะได้ความรักจากคนอื่น แทนที่เราจะยอมตายให้กับคนที่ให้ชีวิตเราไม่ดีกว่าเหรอ....(เราเรียนรู้ความรักจากใครเป็นคนแรก ลืมไปหรือเปล่า) @^_^@
     
  19. marry5000

    marry5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +293
    กราบนมัสการคะ พระอาจารย์ ชีวิตที่มีสติและปัญญา เป็นชีวิตที่ประเสริฐ คะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...