การฝึกมโนมยิทธิ นี่ เราสามารถใช้เพื่อ ไปนิพพาน ได้ไหมครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย banana366, 6 สิงหาคม 2012.

  1. banana366

    banana366 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +1,345
    อยากรู้จรองๆ แต่ที่แน่ใจก็คือ กรรมฐาน สามารถ ไปนิพพานได้แต่มโนมยิทธิ นี่ได้หรือไม่ครับ
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ผมว่าอยู่ที่การทำกิเลสตัณหาให้หมดไปครับ
     
  3. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134

    สั้น ง่าย ตรงประเด็นเป๊ะ... :cool:
     
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ในเว็บนี้เห็นมีคนพูดกันว่าไปได้ มีหลายๆคนอยู่นะ คงต้องรอแป๊บ
     
  5. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    มโนมยิทธิ...แปลตรงๆ ก็ คือ อิทธิฤทธิ์ ทางใจ....

    หาก จะบอกว่า เอา กำลัง ของ มโนมยิทธิ เพื่อไป นิพพาน..ผม ว่า สันคนละเรื่องนะครับ....นิพพาน เป็ฯ สภาวะ ของความดับสูญ ไป..แห่งกิเลสตัณหา..แม้ ที่สุด แล้ว ตัว จิต นั่นแหละ คือ ตัวทุกข์..การปลดปล่อย และวางจิต ลงเท่านั้น จึงจะเห็น พระนิพพาน

    แต่ การบอกว่า เอา มโนมยิทธิไป นิพพาน..
    คนละ คุ้ง น้ำครับ...เหมือนถามว่า ไปไหนมา แล้ว ตอบว่า กินข้าวแล้ว...
     
  6. นายกสิณ

    นายกสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +251
    ผมว่าสามารถไปได้ เพราะอะไร มโนคือการนึก อยากนึกเรื่องอะไรก็ตามนั้นเลยครับ แต่พิสูจน์ได้ไหมครับ ว่าสิ่งที่นึกนั้นจะเกิดขึ้นจริง
     
  7. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    การมีฤทธิ์ ทางใจ เป็นหลักวิชชา ๘ ในทางศาสนา ถึงแม้ว่า ในพระไตรปิฏกจะมีกล่าวถึงลักษณะแห่งการมีฤทธิ์ทางใจเอาไว้ แต่ก็มิได้มีบทเรียนสำหรับการฝึกหรือการปฏิบัติอย่างชัดเจนเอาไว้เลย
    หากเป็น หลักวิชชา ๓ ในทางศาสนา ก็จะควบรวม ความมีฤทธิ์ทางใจ,แสดงฤทธิ์ได้,หูทิพย์,ตาทิพย์ เอาไว้เป็นข้อเดียวกัน
    บุคคลที่จะบรรลุนิพานได้ ก็ต้องมีฤทธิ์ทางใจอยู่ด้วย เพราะ จะต้องรู้จักขจัดอาสวะให้สิ้น จะต้องรู้จักขจัด สิ่งที่มาสัมผัสโดยอายตนะต่างๆ ให้ออกจากร่างกายบุคคลนั้นๆ
    ดังนั้น ก่อนจะถึงนิพพาน เอาแค่โสดาบัน ก็มีฤทธิ์ทางใจแล้ว แต่เป็นฤทธิ์ทางใจแบบขจัดอาสวะให้ออกจากร่างกายได้ นี้แหละเรียกว่า มีฤทธิ์ทางใจ และสามารถเป็นเครื่องมืออันจักทำให้บุคคลบรรลุสู่ธรรมชั้นสูงขึ้นไปจนถึง นิพพานได้
    แต่ ยาก..สำหรับพวกคุณ....
     
  8. ก้อนหิน

    ก้อนหิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +238
    เอาไว้สังเกตธรรมขันธ์ ลองทำ ผมว่า ไปได้ครับ ถ้ามีศรัทธา วิริยะ
     
  9. ก้อนหิน

    ก้อนหิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +238
    บางทีคลายความสังสัยเรื่องวิญญาณไปได้เยอะ
     
  10. ทศมาร

    ทศมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +237
    ผมไม่รู้จักมโนมยิทธิ แต่ถ้าพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนอริยสัจ 4 สติปัฎฐาน มรรค เป็นเส้นทางของนิพพาน
     
  11. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    อัชฌาชัยความต้องการของอารมณ์ของคนไม่เหมือนกัน

    วิชามโนมยิทธิเป็นเรื่องของคนชอบสงสัยต้องการพิสูจน์ให้เห็นจริง

    และเป็นวิชากึ่งอภิญญาถ้าเป็นมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังเป็นเรื่องของ

    อภิญญา(ฌาน๔) ในพุทธกาลพระปิณโฑลภารทวาชเถระท่านเป็นผู้ใช้วิชา

    มโนมยิทธิ
     
  12. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    มโนมยิทธิ ถ้านำมาใช้ถูกมีประโยชน์มาก คือรู้ว่าอกุศลกรรม ผิดศีลต้องลงอบายภูมิ ทำกุศลขึ้นสวรรค์ มีภพ มีชาติจริง มีอดีตชาติ มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ไม่ได้มีชาติเดียว มีพรหม มีนิพพานจริง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เป็นไปตาม<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปจริง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำให้เพิ่มศรัทธาในพระพุทธเจ้า ศรัทธาพระธรรมคำสอนของพระองค์ตามที่กล่าวเป็นจริง ทำให้ตัดสังโยชน์ ความสงสัย วิจิกิจฉาในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ได้ง่าย<o:p></o:p>
    เห็นนรกก็เกรงกลัวต่อบาป ละอายต่อบาป เคร่งในฆราวาสศีล ทำให้ตัดสังโยชน์สีลัพพตปรามาสได้ ก็เหลือแต่สังโยชน์สักกายทิฏฐิ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มโนมยิทธิ อาศัยธรรมชาติของจิต เมื่อขณะใกล้ตาย จิตขณะสุดท้ายยึดติดกับอะไรก็ไปที่นั่น ยึดติดกุศลก็ไปสุขติ ยึดติดอกุศลก็ไปอบายภูมิ ห่วงลูกหลาน ครอบครัวก็ไปติดกับเขา ห่วงทรัพย์ก็เป็นเปรตเฝ้าสมบัติไป <o:p></o:p>
    แทนที่จะยึดติดกับกิเลส หรืออุปทานขันธ์5 ฝึกมโนมยิทธิเพื่อยึดเหนี่ยวกับ<o:p></o:p>
    พระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระนิพพานดีกว่า เป็นการยึดเหนี่ยวกุศล ทำบ่อยๆจนจิตชิน ทำแค่นี้อย่างเดียวยากที่จะนิพพาน ไปได้คือ สวรรค์ ทำจนเป็นฌานก็เป็นพรหม <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตัวอย่างธรรมชาติของจิต เมื่อขณะใกล้ตาย ตัวอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชท่านสร้างกุศลบารมีมามาก ถ้าจิตขณะนั้นมีสติคิดถึงกุศลกรรมที่ทำมาก็ไปสวรรค์ทันที ถ้าคิดถึงกุศลกรรมจนเป็นสมาธิเป็นฌาน หรือเข้าฌานก็ไปเป็นพรหม ถ้าคิดอกุศล เศร้าหมองก็ลงอบายภูมิ เพราะก่อนพระองค์จะสวรรคตพระองค์ทรงพระดำริที่จะถวายพระราชทรัพย์ถวายไว้ในพระศาสนาอีก แจกประชาน ได้มีขุนนางมาทัดทาน พระองค์จึงเกิดจิตโทสะ เมื่อขณะสิ้นพระชนม์ จึงได้ไปเกิดเป็นงูเหลือม (น่าจะโมหะจิตด้วย) งูเหลือม อยากกินปลาในบ่อน้ำงูเหลือมก็ใช้หัวพันต้นไม้ และเอาหางพันต้นไม้อีกต้น แล้วแกว่งตัววิดน้ำให้แห้งเพื่อจะกินปลา แต่พระมหินทเถร พระราชโอรสซึ่งบรรลุพระอรหันต์ท่านทราบแล้วทรงมาโปรด พองูเหลือมซึ่งก็คือพระเจ้าอโศกมหาราชได้ตายแล้ว ดวงวิญญาณของพระองค์ก็ได้ล่องลอยสู่สรวงสวรรค์ ด้วยผลบุญที่พระองค์ทรงเคยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่หลวง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หรืออย่างพระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก เท้าแหย่ในนรก 7 วัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ด้วยธรรมชาติของจิต เมื่อขณะใกล้ตายเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่จึงสอนก่อนตายให้คิดถึงพระ หรือภาวนา พุทโธ จะไม่ตกนรก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    มโนมยิทธิ จะนิพพานได้ต้องทำอารมณ์พระโสดาบัน/พระอริยเจ้า<o:p></o:p>
    1. ศรัทธาและเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์<o:p></o:p>
    2. รักษาศีล 5 หรือกุศลกรรมบถ 10 หรือ ศีล 8 <o:p></o:p>
    3. ทรงพรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา<o:p></o:p>
    4. พิจารณาละสักกายทิฏฐิ ด้วยกายคตานุสสติกรรมฐาน หรืออสุภกรรมฐาน<o:p></o:p>
    5. นึกถึงความตาย (มรณานุสติ)<o:p></o:p>
    6. นึกถึงนิพพาน (อุปสมานุสสติกรรมฐาน)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    และ เจริญสติปัฏฐาน4 เช่นอาจทำอานาปานสติ แล้วเอาสติสัมปชัญญะ ระลึก รู้ตัว กับลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา ทำแบบนี้เป็น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อานาปานบรรพ โดยเฉพาะดูจิต จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานสำคัญที่สุดในสติปัฏฐาน4 พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อ ฤๅษีลิงดำท่านสอนให้ทำอารมณ์พระโสดาบันและ เจริญสติปัฏฐาน4ด้วย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เปรียบเสมือนเราขึ้นจรวดไปนิพพาน มโนยิทธินำจิตเรายึดเหนี่ยวพระพุทธเจ้า พระนิพพาน เหมือนเราล็อคเป้าหมายของจิตก่อนตายในทางกุศล ถ้าเรายึดมั่นคงตอนนั้นจิตจะไปตกที่ไหนก็ขึ้นอยู่ที่เหตุที่เราสร้าง ถ้าไม่ถึงนิพพานก็สวรรค์อย่างต่ำ เราทำสมาธิก็เหมือนเป็นกำลังไอพ่นให้จรวด สมาธิเป็นประธานในมรรค8 ที่จะดึงมรรคทั้ง7ที่เหลือจนครบ8 สัมมาทิฏฐิเป็นใหญ่ในมรรคทั้ง7 <o:p></o:p>
    มีศีล ก็เหมือนบัตรผ่านเข้าจรวด ถ้าไม่มีศีลก่อนก็เหมือนยังไม่รู้ทางที่ไปขึ้นจรวด มืดตั้งแต่แรกแล้ว ไปผิดทางเข้าจรวดไม่ได้เพราะไม่มีคุณสมบัติ ศีลจึงเป็นบาทฐานขั้นแรกที่สำคัญ<o:p></o:p>
    เจริญสติปัฏฐาน4 ก็ต้องอาศัยสมาธิขั้นต่ำฌาน1เป็นกำลัง ฌานจากการเดินจงกรมและภาวนาพองหนอยุบหนอหรืออานาปานสติ สมถกรรมฐานจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะอานาปานสติ <o:p></o:p>
    เจริญสติปัฏฐาน4 จนมีสติมีปัญญา เอาสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หนักจรวดโยนมันทิ้ง โยน ราคะ โทสะ โมหะทิ้ง จะได้เบาขึ้นง่าย เจริญจนตัดสังโยชน์พระอริยเจ้าได้ในแต่ละขั้น ก็เหมือนเลื่อนขั้นความสูงฐานปล่อยจรวดให้สูงขึ้นใกล้นิพพาน เพิ่มกำลังขับ จะถึงนิพพานง่ายขึ้นอีกมาก ดังนั้นจึงต้องเจริญทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมรรคองค์8ถึงจะนิพพานได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วิปัสสนายังมีข้อดีถ้าขณะก่อนตายมีเวทนามากจนไม่สามารถเข้าฌานได้เราสามารถใช้วิปัสสนาช่วย ทำให้ทำอารมณ์น้อมพระนิพพานได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทำอารมณ์พระโสดาบัน และ เจริญสติปัฏฐาน4ก็เหมือนพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก สมัยพุทธกาล แ่ต่ท่านสร้างบารมีมากจึงพบพระพุทธเจ้า มีปัญญามาก มีไตรสรณคมน์ มีศีล ท่านจึงสำเร็จง่าย แต่บารมีของเราไม่มากเหมือนท่าน ดังนั้นมีเครื่องมือเพิ่ม มโนมยิทธิ อภิญญา5 ย่อมทำให้มีโอกาสมากขึ้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มโนยิทธิยึดเหนี่ยวในทางกุศล แต่ตอนนั้น เราต้องสลัด ละื บ่วง เชือกที่ผูกจิตเรา นั้นคือ สักกายทิฏฐิ อุปาทานขันธ์5 กิเลส ราคะ โทสะ โมหะในใจเรา แม้แต่บ่วงที่เคยสัญญาสาบานกันไว้ว่าจะเกิดเป็น พ่อ แม่ ลูก เมีย ผัว กันทุกภพทุกชาติ ความอยากเกิดเป็นนู้นเป็นนี่ ห่วงคน สมบัติ วัตถุธาตุในโลก ต้องละเหล่านี้ด้วยอารมณ์พระโสดาบัน และ เจริญสติปัฏฐาน4 <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ดั้นนั้นถึงแม้จะเก่งมโนมยิทธิ ญาณ8 อภิญญา5 แต่ไม่ละสังโยชน์ด้วยวิธีที่กล่าวก็ไม่สามารถนิพพานได้ เครื่องมือมันมีประโยชน์ตามคุณสมบัติของมันอยู่แล้ว ถ้าคนนำไปใช้มีกิเลส นำไปใช้ทางที่ผิดจึงเกิดโทษ จึงควรนำไปใช้ให้ถูกทางจะเกิดประโยชน์มาก<o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2012
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เข้าใจว่า
    คำสอนใด ที่ทำให้ฝึกฝนเพื่อสัจจะ เพื่อ สิ้นกิเลสอาสวะคำสอนนั้นละครับ
    กรรมฐานใด ที่ทำให้สิ้นกิเลสอาสวะ กรรมฐานนั้นล่ะครับ

    มีอีกอย่างนึง ในตำรากล่าวไว้

    กิเลสตัณหาดับสิ้น ณ ที่ใด นิพพานก็ปรากฎ ณ ที่นั้น
     
  14. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ขอฟันธงเลยว่ามโนมยิทธิไปนิพพานไม่ได้
    ต้องเข้าใจว่าการทำสมาธิเพื่อให้เกิด ฌาน อภิญญา
    การทำสมาธิก็เพื่อทำสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น ทำสิ่งยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
    จึงเป็นการนำเอามา สิ่งที่ได้มาย่อมนำทุกข์มาให้
    ทุกข์อันนี้หมายถึงต้องเกิดอีก มันก็เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับไปนิพพาน
    เมื่อทำฌานได้ในขั้นใด เช่น ปฐมฌานก็ด้วยอำนาจของปฐมฌานนั้น
    ก็จะนำปฏิสนธิในชาติต่อไปตามที่ตนได้ ส่วนอภิญญานั้นก็เป็นผลมาจากฌาน
    ก็เมื่อเป็นผลเสียแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพานได้เช่นกัน
    เพราะพระนิพพานนั้นต้องไม่เกิดอีก นิพพานนั้นจะไปได้ก็ต้องทำมรรคให้เกิดขึ้น
    เพื่อไปทำลายสิ่งที่มีให้สิ้นไป เพราะมรรคเป็นเหตุ พระนิพพานเป็นผล
    จึงจะเข้าถึงนิพพานได้ ก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นก็คือการเจริญวิปัสสนาไปในแนวทางที่ถูกต้อง
    คือ สติปัฏฐาน ๔ โดยมีรูปนามเป็นอารมณ์
    ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่เป็นทางสายเอก คือ เอกายมรรค
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 สิงหาคม 2012
  15. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    อืม..อันนี้ก็ไม่แน่ใจน่ะ แต่ที่รู้มาก็มีแต่มรรคมีองค์๘ประการเท่านั้นที่จะไปถึงนิพพานได้ อย่างอื่นนั้นน่าจะไม่มี ถ้ามีพระพุทธเจ้าคงจะบอกไว้ และสาวกของพระองค์คงจะบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกแล้ว นี่ไม่เห็นมี มีแต่มรรคมีองค์๘ประการเพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามีผู้ใดพบเห็นหรือรู้มาว่ามีอย่างอื่นอีก จากที่ใดโปรดนำมาบอกกล่าวด้วยก็แล้วกัน ส่วนมโนมยิทธิอย่างที่ว่านั้น ส่วนตัวของผมคิดว่า ไปไม่ถึงนิพพานแน่นอน ขออนุโมทนา
     
  16. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    คำถาม
    การฝึกมโนมยิทธิ นี่ เราสามารถใช้เพื่อ ไปนิพพาน ได้ไหมครับ

    คำตอบ
    ได้ครับ มโนมยิทธิ ทำหน้าที่เหมือนเป็น catalyses(ตัวเร่งปฏิกิริยา)
    ส่วนธรรมที่เข้าถึงพระนิพพานคือการดับอวิชชาคือการดับฉันทะ(ความพอใจ)
    ราคะ(ความยินดี)ในสักกายทิฏฐิ (ขันธ์๕)



















    <!-- google_ad_section_end -->
     
  17. ธรรมานุภาพ

    ธรรมานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +122
    วัตถุประสงค์ของการฝึกมโนมยิทธิ
    เพื่อให้นักปฏิบัติทุกท่าน พิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นรก สวรรค์ พรหม นั้นมีจริงหรือไม่ พระนิพพานสูญจริงหรือ และเป็นการปฏิบัติทางลัดให้เข้าสู่พระนิพพานได้โดยเร็วขึ้น ไม่ใช่ฝึกเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อเป็นการโอ้อวดบุคคลอื่น หรือเพื่อไปเป็นหมอดูให้ชาวบ้าน
    จุดประสงค์ให้ทุกท่านตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน โดยเริ่มเป็นพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ นักปฏิบัติทุกท่านควรศึกษา สังโยชน์ ๑๐ และบารมี ๑๐ ให้เข้าใจ และอารมณ์ของพระอริยเจ้าตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงปลาย
    ฉะนั้นนักปฏิบัติเมื่อได้แล้ว ควรฝึกฝนให้ชำนาญทุกอิริยาบถ โดยกำหนดจิตของตนไปเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เป็นประจำ

    การวางอารมณ์ ขณะเวลาปลอดเสียง
    ๑.ตัดความกังวลห่วงใยใดๆ ทั้งหลายให้หมดสิ้น และตั้งจิตแผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ตั้งจิตไว้ว่า เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน(ตรงนี้เจริญพรหมวิหาร 4 เป็นหนึ่งในกรรมฐาน 40 กอง เป็นสมถภาวนาเป็นสมาธิ)
    ๒.กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก พร้อมทั้งพิจารณาว่าเราเกิดมาเพื่อตาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้เป็นของสกปรก ไม่เที่ยง เป็นปัจจัยของความทุกข์ทั้งหลายและเสื่อมสลายไปในที่สุด ดินแดนที่มีความสุขอมตะคือพระนิพพาน ให้จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ (รู้ลมเป็นสมถภาวนาในอานาปานุสติ เป็นสมถภาวนาในสมาธิอีก พิจารณาร่างกายสกปรก ไม่เที่ยง เป็นวิปัสสนาเจริญด้านปัญญา จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์เป็นอุปสมานุสติกรรมฐานในสมาธิอีก)
    ๓.เมื่อพิจารณาจิตสบายแล้ว ก็ใช้คำภาวนาว่า “นะ มะ พะ ธะ” พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าว่า “นะ มะ” เวลาหายใจออกว่า “พะ ธะ” ภาวนาแบบสบายๆ อย่าบังคับให้ช้าหรือเร็วเกินไป เมื่อรู้สึกอึดอัดให้หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกช้าๆ ๓-๔ ครั้ง ก็จะหายเอง(ตรงนี้ก็ภาวนาเป็นสมาธิอีกเช่นกัน)
    อ้างอิงจากที่นี่คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ สำหรับนักปฏิบัติใหม่
    ในวงเล็บทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวของผม จึงพอสรุปตามหลักการได้ว่า เป็นไปตามหลักของ ศึล สมาธิ ปัญญา เพื่อความพ้นทุกข์เช่นกันเพราะมีครบถ้วนทุกประการ ส่วนศีลนั้นครบถ้วน(ขณะนั้น)เพราะถูกคุมด้วยสมาธิอีกทีหนึ่ง
     
  18. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    ไป ไม่ได้ครับ มโนมยิทธิ เป็นการรวม กำลังของจิต ไว้ ที่ นึงในกาย แล้วเพ่งออกไป เพื่อ ทำอะไรสักอย่าง ตามเจตนา ที่ต้องการ.แสดงว่า จิต มีการ ยึดถือ และเกิดการ กระทำด้วยเจตนา อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็น ราคะ จิต ที่เกิด ร่วม ใน เจตนานั้นๆด้วย

    พระนิพพานไม่มีทางสำเร็จได้ด้วยการกระทำดังกล่าวแน่ๆ..นิพพานสำเร็จได้ด้วย การละวาง อุปาทานทั้งปวง ของจิต ไม่มีการกระทำโดย เจตสิก ใดๆอีกแล้ว จิต ปล่อยวาง นามขันธ์ ทุกตัว แล้ว ไม่มี หน่วง ไม่มีเ้หนี่ยว...อะไรๆให้ จิต เกิด ภาระอีกแล้ว

    มโนมยิทธิ ไม่มีทาง นำไป ปฏิบัติ ให้ เกิด นิพพานได้ แน่นอนครับ...
     
  19. ธรรมานุภาพ

    ธรรมานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +122
    ผมยังไม่กล่าวถึงเรื่องการออกไปของมโนยิทธิเลย แค่ปฏิบัติเบื้องต้นก่อนออก เขาก็สะสมบุญบารมีแล้ว เขาได้ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นบุญเพิ่มขึ้นแล้ว หากเขาสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งบารมีก็เต็ม(ศีล สมาธิ ปัญญาเต็ม)ก็เป็นเหตุให้บรรลุมรรคผลเข้านิพพาน มโนยิทธิเป็นการฝึกทำอารมณ์ให้เทียบเคียงพระอริยเจ้าชั่วขณะที่เรากำลังฝึก เพื่อพิสูจน์นรก สวรรค์ นิพพาน ต่อให้ออกไปด้วยนิมิตอุปาทานล้วนๆ เลย ก็ยังได้บุญตั้งแต่แรกปฏิบัติเบื้องต้นดังที่กล่าวแล้ว เหมือนเราไปดูไปเห็นว่าเป็นอย่างไร สิ่งที่เราเห็นจะจริงหรือไม่จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องหาทางพิสูจน์ด้วยตัวเราเองต่อไป หากใครชอบแนวนี้ก็ฝึกต่อ ใครไม่ชอบก็ยังมีแนวสุกขวิปัสสโกอยู่ เลือกได้ตามความพึงพอใจตามจริต
     
  20. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885


    เรื่อง มโนมยิทธิ นั้น เป็นชื่อของ อภิญญาครับ ไม่ใช่ ชื่อ วิชา ที่ นำไปใช้ฝึก.มโนมยิทธิ นั้น..เป็น ชื่อรวม ของ หู ทิพพย์ ตาทิพย์ หรือ แม่แต่การ กำหนดจิต ให้แสดง ปาฏิหาริย์ อื่นๆ..มโนมยิทธิ นั้น เกิดหลังจาก สำเร็จ กิจ ทางฌาณ แล้ว มีจิต ที่ดิ่ง ใน ฌาณ สมาบัติ แล้ว...มโฌนมยิทธิ จึงไม่ใช่ วิชา ที่จะ ฝึกไปให้ถึงพระนิพพานได้ สิ่งที่ เรียกว่า มโนมยิทธิ ไม่ใช่ สิ่ง ที่จะ นำพาไปให้ถึง นิพพานได้ครับ...คนละเรื่อง นะครับ อย่า เข้าใจผิด

    มโนมัย แปลว่า สำเร็จ ด้วย ใจ ที่รวดเร็ว
    อิทธิ แปลว่า อำนาจ หรือ พลัง

    มโนมยิทธิ เมื่อ นำคำว่า มโนมัย มารวมกับ อิทธิ..จึงแปลว่า สิ่งที่สำเร็จด้วยอำนาจของจิต ที่เกิดได้รวดเร็ว

    ดังนั้น คำว่า มโนมยิทธิ จึงเป็น ชื่อเรียกของ ผล..ที่ เกิดจาก ผู้ สำเร็จธรรม แล้ว((อาจไม่ใช่ หรือ ใช่ ผู้สำเร็จ อรหันต์ แล้วด้วยก็ ได้ครับ)) ในผู้ ทรงฌาณสมาบัติ และ มี วสี ก้ สามารถ ทำ อภินิหารย์ ให้เกิด ได้ แบบทันใจ แม้เขาเหล่านั้นยังไม่ สำเร็จอรหันต์ คำว่ามโนมยิทธิ จึงไม่ใช่ ทางแห่งความหลุดพ้น แน่นอน ยืนยัน อีก ทีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...