จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ผู้ฝึกใหม่.. โปรดอ่าน โปรดอ่าน

    ก็ต้องขอโมทนาสาธุด้วยใจจริงกับคุณEspanda

    นี่แหล่ะ..คือวิธีการวางกำลังใจสำหรับผู้ฝึกใหม่ โปรดอ่านหลายๆรอบและคิดตามเนื้อหาแต่ละวรรคแต่ละตอนด้วยนะครับ.. แล้วท่านผู้ฝึกใหม่จะได้อะไรเยอะมากๆเลยจากบทความนี้

    แหม๋..เขียนได้ครบถ้วนกระบวนความ ทั้งไป-มา หน้า-หลัง นับว่าเป็นผู้มีปัญญา เข้าใจเปรียบเทียบ รู้จักการให้กำลังใจ รู้อ่อนน้อมถ่อมตน.. ใช้ได้ ใช้ได้..
    ลูกศิษย์ใครหว๋า..

    ขอทำนายว่า คุณEspanda สามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพานในเวลาไม่นานนับจากนี้..
    กำลังใจที่มีอยู่ถูกต้องแล้ว.. ฟังคำครูฝึก.. บวกความเพียร.. สำเร็จแน่นอน.. สาธุ สาธุ


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. โดยเฉพาะคุณEspanda..
     
  2. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    อ๊ะ.. คุณครูจัดเพลงให้หลายเพลงเลย
    ดวงจิตอนาคามีพรหม.. มาให้หญิงเล็กกอดที...

    [​IMG]

    คุณครูท่านหวังดีเตือนสติเราๆ
    ทุกดวงจิตก็อย่าได้นิ่งเฉยกันเลยนะจ้ะ
    ทบทวนตัวเอง แล้วตั้งสติดีๆ น๊า
    อยู่กับพระไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น วางทุกอย่างให้หมด...
    และไม่ว่าจิตเราจะเป็นใคร อยู่ระดับไหนก็ตาม
    เราควรอยู่กับสติ อยู่พระต่อไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

    พี่ๆ มาดื่มน้ำเย็นๆ ให้ชื่นจิตกันหน่อยนะคะ...
    คิคิ

    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    55555 จิตเบิกบานค่ะคุณพี่ แถมมีกำลังใจดีมั๊กมาก ที่ได้รับ
    การบ้านจากศิษย์ทั้งหลายทุกวัน กำลังใจของครูส่วนหนึ่งก็มาจาก
    ความเพียรในการปฎิบัติและได้เห็นความก้าวหน้าของศิษย์ค่ะ มีกำลังใจเท่าไหร่
    ย๊กกกกก ไปให้ศิษย์หม๊ด เลย เอาไปๆๆๆๆๆๆ เอาไปกันให้หมด
    กำลังใจจากครู นะคะคุณพี่ 55555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    อิ่มอร่อยไปตามๆกันจ๊ะ แต้งกิ้ว
     
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ธรรมทานจากการบ้านทางอีเมล

    สวัสดีค่ะ

    น้องเอิ้นปฏิบัติขึ้นมาได้ดีแล้ว จงทำหน้าที่ของจิตต่อไป จิตกำลังเดินมรรคโดยจิตเอง ขันธ์ห้ามันไม่รู้เรื่องอะไรกับจิตหรอก นี่แหละพวกพี่ ๆ จึงบอกว่าให้ละวางความสงสัยเสีย เพราะเหตุว่ายังไง ๆ ขันธ์ห้ามันก็ไม่มีวันจะล่วงรู้ความลับของจิตได้ว่าขณะนี้จิตมันกำลังทำอะไรอยู่ มีเพียงสติตัวเดียวเท่านั้นที่จะเจาะเข้าไปหาจิตได้ และเข้าไปรู้การทำงานของจิตที่ภายในจิตอันลึกล้ำ

    กายง่วงก็ให้ดูแลมันไปตามหน้าที่ กายมันก็แค่จอภาพแสดงละครที่ฉายออกมาจากข้างในนั่นแหละ มันไม่มีความหมายว่าอย่างไรหรอก ง่วงก็คือง่วง แล้วจะไปฝืนทำไม ง่วงก็นอนพักผ่อนกายา แต่สติให้ตามดูจิตขณะนอนไปด้วย เพื่อไม่ให้สติคลาดเคลื่อนจากจิตมากนัก

    ทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติค่ะ อย่าไปฝืน

    สติให้นึกถึงพระบ่อย ๆ บ่อยที่สุด แต่ต้องไม่เครียดนะ ใจต้องรู้สึกสบายค่ะ หากสงสัยในการปฏิบัตินี้ถามมาได้ตลอดค่ะ เช่น ที่น้องเอิ้นปรารภเรื่องง่วงก็ถือว่าเป็นธรรมดา ก็แค่ให้ทำสติตามรู้ว่า เออ ง่วงนะ แค่นี้ก็จบแล้ว หลังจากนั้นทำไงต่อ ก็ให้กำหนดจิตว่าสติจงตามจิตเข้าไปข้างในไปดูการทำงานของจิตอย่าให้คลาดสายตา แต่ไม่เอาสติไปยุ่งกับจิต แค่เอาเข้าไปดูไปรู้เฉย ๆ

    เรื่องสงสัยที่พวกพี่บอกให้วางนั้น ส่วนใหญ่จะไม่ได้สงสัยในเรื่องการปฏิบัติ แต่ส่งจิตออกไปสงสัยเรื่องภายนอกอันไม่ใช่การงานของจิต จึงต้องมีการเตือนกันอย่างเข้มข้น เพราะจิตที่เดินมรรคสูงแล้วจิตท่านมีกำลังแรง พูดง่าย ๆ ก็คือดื้อว่างั้นเถอะ จึงต้องคอยสะกิดใจให้รู้สึกตัวกันบ่อย ๆ ว่าท่านยังไม่ใช่ผู้รู้แจ้ง อย่าทำเป็นอวดฉลาด อย่านอกครู อย่ารู้มากเหนือครูโดยเอาตำรามาอ้าง โดยเอาคำสอนของสำนักโน้นสำนักนี้มาอ้างหรือเปรียบเทียบ

    ถ้าท่านเห็นว่าการปฏิบัติอย่างนั้นดีก็ให้ท่านไปทำอย่างนั้น จะมาเกาะอยู่กับเราให้เสียเวลาทำไม ในเมื่อจิตใจของท่านไม่ได้มาเกาะอยู่กับการปฏิบัติที่เราแนะนำ ก็ควรรู้ตัวเองว่าจะเอาทางไหนแน่ จิตเกาะพระก็จิตเกาะพระ ปริยัติก็ปริยัติ ฤทธิ์ก็ฤทธิ์ เดชก็เดช อภิญญาก็อภิญญา เลือกเอาสักทางหนึ่ง อย่าเอามาตีกันมั่วทำให้ครูต้องเหนื่อยคอยปรับจิตให้บ่อย ๆ นี่แลจึงเป็นที่มาของคำว่า "กรุณาทำไปแบบโง่ ๆ แล้วจะถึงนิพพานโดยไม่รู้ตัว"

    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ

    ปล. เมลนี้พี่ก็ต้องขออนุญาตยกขึ้นบนกระทู้เป็นธรรมทานอีกเหมือนกันค่ะ เพราะพี่ขี้เกียจเขียนหลายรอบ 555
     
  6. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    <SUP>ทำไมลูกศิษย์ชาวโลกจึงไม่มีใครยกจิตกันเสียที จะมีได้อย่างไรเล่า ในเมื่อท่านเอาจิตไปมั่วอยู่กับกาย ไม่เอาจิตไปทำงานของจิต เอากายไปทำงานของกาย </SUP>
    <SUP>อะเจ๊ย ครูเพ็ญระเบิด 555555 ไหนๆขอเอานิ้วดีดจิตดวงละทีซิ 555555</SUP>
    <SUP>การส่งจิตออกนอกรังแต่จะทำให้การเดินจิตช้า หรือ หยุดชะงักไปเลย </SUP>
    <SUP>ตั้งจิตตรงทรงใจให้มั่นนะ ใช้ปัญญาให้การตีขบข้อเขียนข้อธรรมของครูเพ็ญ</SUP>
    <SUP>ให้ดี อย่าเดินหนี อย่าหลบออก หากใครอ่านแล้วตรงกับตัวเอง ให้ใช้</SUP>
    <SUP>ปัญญาในการแก้ในการงัดจิตตัวเองออกมาโดยเฉพาะจิตอนาคามีทั้งหลาย</SUP>
    <SUP>ซึ่งจริงๆแล้วมีกันเป็นสิบในสายบุญนี้ แต่ที่ช้าเพราะมัวส่งจิตออกนอก มั่วกับ</SUP>
    <SUP>การทางโลก ที่มั่วนี่ คือ เอาจิตไปมั่ว เพราะจริงๆแล้วเป็นงานของขันธ์ห้าที่จะ</SUP>
    <SUP>มั่ว แต่ตรั่ว ตรั่ว ตรำมะเริง กระเจิงทั้งจิตทั้งกาย 555555 งง ม๊ะ</SUP>
    <SUP></SUP>

     
  7. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    55555 ช่วงนี้ครูดัชจิตเบริกบรานฮ่ะ ก็ไม่ได้ทิ้งการสอนนะฮ๊ะ
    คอยเป็นกำลังใจให้ศิษย์ตาหลอดเรย ม๊ะเป็นรัย
    ศิษย์ไม่กระดิกจิต เดียวครูกระดิกไม้เรียวอีกซักตั้ง55555555
    (ปล.มะทันครูเพ็ญแร๊ว ไม้หน้าสามลอยมาแต่ไกล 555555)
     
  8. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ยอมเอาหน้ารับไม้หน้าสามโดยมิบิดพลิ้ว ก็สู้ๆอยู่นะฮ้า:z12
     
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ยกบทสนทนาการบ้านในอีเมลมาเป็นธรรมทานแก่ทุกท่าน โดยเฉพาะจิตอนาคามีพรหม ท่านจงอ่านเพื่อทำความเข้าใจที่ครูดัชได้ขยายความไว้ด้วยเถิด

    พี่เพ็ญ จบ.3

    สวัสดีค่ะครูดัช

    ขอถามว่า
    ๑ วิธีสร้างสติให้ตอเนื่องทำอย่างไร ใช่นึกถึงภาพพระบ่อยๆจนจิตนิ่ง หรือไม่ เมื่อจิตนิ่งจึงมีสติใช่หรือไม่


    สวัสดีค่ะ คุณลินดา
    คำถามที่ถามมานั้นจริงๆแล้วเป็นการฝึกจิตให้นิ่ง ส่วนสตินั้น......
    สติคือ ตัวรู้ การฝึกก็คือ ฝึกรู้ตามดูจิต ดูกายไป เช่นเดินไปเท้าวางไปรู้ว่าเท้าวาง
    หันไปทางซ้ายรู้ หันขวารู้ หยิบจับอะไรก็ให้ฝึกรู้สึกตัวไปตลอด นี่ก็เป็นการ
    ตามดูตามรู้อาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย สังเกตุดู เมื่อไหร่ที่สติหลุดไป
    เราจะตามอาการการเคลื่อนไหวไปของร่างกายไม่ทัน ตอนที่ดัชไปฝึกเจริญสติ
    อาจารย์แม่ ท่านให้เอาฐานให้แน่นกอ่นคือ เท้าของเราค่ะ เท้ากระทบพื้นรู้
    เป็นการรู้แบบสบายไม่เครียด จะวางเร็ว แรง ช้า เบาก็ให้รู้ไปตามนั้น การเดินไป
    ในแต่ละก้าวไม่มีคำบริกรรม ไม่มีการกำหนดใดๆ เอาให้เป็นธรรมชาติเท่านั้น
    ส่วนการตามดูตามรู้ไปในจิตก็คือ ดูว่า ตอนนี้อารมณ์ของเราเป็นยังไง พอมีอารมณ์
    ใดเข้ามาก็ให้รีบจับรีบตามให้ทัน ซึ่งเราก็ฝึกกันอยู่แล้วในขณะนี้
    ฉะนั้นให้รู้ว่า สติก็คือตัวรู้ ภาษาชาวบ้านก็คือ.....อ้อ คำนี้นี่เอง คือนึกรู้ขึ้นมาได้
    จึงเกิดเป็นเสียง อ้อ อ๋อ เออใช่สิ เออจริงสิ (เราลืม ตามท้ายไป 5555)อะไรอย่างนี้ค่ะ
    แต่ การตามดูตามรู้เข้าไปดูใจ
    ก็ใช้สติเหมือนกันค่ะ รู้ว่าจิตใจเราคิดเรื่องอะไร ไปไกลถึงไหน


    ๒ วิธีดูจิต คือการตามดูความคิดใช่หรือไม่คะ

    ตามดู ความคิด ตามดูอารมณ์ที่เข้ามากระทบว่า เป็นประเภทใด
    รัก โลภ โกรธ หรือ หลง รวมไปถึงอารมณ์กระทบละเอียดเช่น
    หงุดหงิด เซ็ง เบื่อ ยินดี กระชุ่มกระชวย ฯลฯ ค่ะ
    ตามดูเมื่อเห็นอะไรมากระทบรีบตัด จัดลงไปสู่กฎไตรลักษณ์
    เป็นการเคลียร์จิต ล้างใจ แต่ต้องทำยามที่จิตอยู่ในอารมณ์ฌานนะคะ
    ไม่งั้น จะไม่มีกำลังใจตัดจนขาดได้ค่ะ จะเป็นเพียงการตัดทางลมปาก
    ออกหู เดี๋ยวอารมณ์นั้นๆกลับมาอีก ค่ะ ฉะนั้นการทรงอารมณ์ฌานโดย
    มีภาพพระมาพาจิตให้นิ่งนี้สำคัญค่ะ


    ๓ เวลานึกถึงพระบ่อยๆ แล้วภาพพระหายไป แต่ใจเรายังนึกถึงท่านแต่ภาพพระไม่มาหรือไม่ชัดเจน จะทำ
    อย่างไรจะนึกถึงพระแบบนั้นต่อไปได้ หรือว่าต้องวางอารมณ์ใหม่และมองหาจัดภาพพระให้ชัดเจนดังเดิม
    ขอบคุณค่ะ


    เขียนตอบไปเมลล์ก่อนหน้าแล้วนะคะ ภาพพระเป็นฐานเป็นจุดเริ่มต้น
    เพื่อเดินนำจิตไปสู่การนิ่งการทรงฌาน เมื่อใดที่คล่องในการหาภาพพระแล้ว
    ให้ทิ้งภาพพระ เอาแต่อารมณ์ที่ทรงอยู่เป็นอารมณ์ฌาน แล้วหากอารมณ์
    ฌานแกว่งให้กลับไปหาภาพพระใหม่ หรือบางท่าน ท่านจะไม่รอให้ฌานแกว่ง
    ท่านเข้าไปหากำลังฌานใหม่จากภาพพระก่อนเลยค่ะ ทำได้เรื่อยๆ เนืองๆ
    ของครูหลายๆท่านตอนนี้ท่านทรงอารมณ์ฌานได้ทั้งวัน ท่านก็ไม่จำเป็นไปหา
    ภาพพระกันบ่อยๆแล้ว แต่ท่านมีพระอยู่ในจิต สตาร์ฟไว้ในจิตไปเลย
    เมื่อใด จะกราบพระก็นึกเห็นภาพพระ เป็นแสงประกายขึ้นมา ท่านจะเข้าไป
    หาภาพเมื่อใดก็ได้เพราะท่านจิตทรงฌาน จิตนิ่งดีอย่างต่อเนื่อง เข้าออกได้
    ตลอดหรือจะทรงฌานไปเรื่อยๆ ทั้งวันก็ไม่มีปัญหา
    ทีนี้คุณลินดาเก็ตหรือยังว่า เราเอาจิตไปเกาะพระเพื่อทรงอารมณ์ฌานให้ได้
    อย่างต่อเนื่องนั่นเองค่ะ ส่วนภาพจะเห็นหรือไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัดก็ไม่เป็นไร
    บางครั้งบางคราวจิตเราเดินเข้าสู่ฌานสี่ละเอียด ก็จะไม่เห็นอะไร แม้แต่ภาพพระค่ะ
    อย่าสงสัยนะว่า ลืมตาทรงฌานได้ด้วยหรือ ถึงฌานสี่เชียวหรือ ทุกวันนี้
    ครูๆทั้งหลาย โดยเฉพาะครูเก่าทั้งหลาย ทรงได้ทั้งวันเลยนะคะ ดัชกับ
    ครูเพ็ญมักจะทรงฌานสี่ค่ะ ฉะนั้น อย่าหวังว่า จะเห็นภาพพระ ถ้าอยากเห็น
    ถอยฌานลงมาฌานสามค่ะ แต่เห็นไม่เห็นจะมีประโยชน์อันใดล่ะในเมื่อ
    พระอยู่ในจิตของเราไปซะแล้ว อิอิ
    ไม่เข้าใจถามใหม่นะจ๊ะ
    กำลังซำเหมออยู่ตรงนี้ค่ะ
    โมทนาสาธุการ
     
  10. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214


    คุณลินดาเน้นสติด้วยการนึกถึงพระให้บ่อยขึ้นอีกค่ะ ให้สังเกตนะพอท่านเดินมรรคสูงแล้ว พวกครูจะบอกเพียงว่าให้นึกถึงพระ มิได้เน้นให้นึกถึงภาพพระเหมือนตอนที่ท่านเริ่มฝึกกันใหม่ ๆ ด้วยเหตุว่าเมื่อจิตทรงฌานสูงจิตจะทิ้งภาพพระ ภาพพระจะหายไป แต่เครื่องระลึกของเราคือภาพพระได้ผนึกเข้าไปไว้ในจิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อจิตจะเรียกภาพพระก็เพียงแค่นึกถึงคำว่า "พระเป็นประกายพรึก" เท่านี้จิตก็เห็นภาพพระในจิตแล้ว ไม่ต้องไปเค้นหาภาพให้เป็นตัวเป็นตนเหมือนเมื่อก่อน

    แม้ว่าจะไม่มีภาพพระปรากฏให้เห็นแต่ก็ต้องนึกถึงพระให้บ่อยที่สุด มิใช่ว่าพอไม่เห็นภาพพระก็ทิ้งท่านเลย นึกไปแบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ นึกอยากจะนึกตอนไหนก็นึก อย่างนั้นไม่ใช่นะ เพราะท่านเดินมรรคมาสูงแล้ว สติต้องแน่น สติต้องตามจิตให้ทัน

    ของคุณลินดาให้เอาสติเข้าไปค้นหากิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตว่ายังมีกิเลสตัวใดหลงเหลืออยู่ ซึ่งมันจะแสดงตัวเมื่อเจอกระทบ เมื่อเจอกระทบแล้วเกิดอารมณ์หรืออาการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ให้ตั้งใจดูมันตั้งแต่เกิดจนดับไป เมื่อดับแล้วค่อยพิจารณาเข้าสู่กฏไตรลักษณ์

    รู้สึกว่าตอนนี้คุณลินดาจะเจอกับอุทธัจจะสังโยชน์อยู่นะ เพราะฉะนั้นให้สปีดสติให้เร็วขึ้นอีกใส่เกียร์ห้าเดินหน้าเต็มกำลังได้แล้ว การเร่งสติก็เพียงแค่ทำความรู้สึกตัวขึ้นมาว่า เออ เราสติช้าเกินไปแล้วนะ ต้องเร่งตามจิตให้ทันไม่งั้นมีหวังเครื่องอืด กลายเป็นว่าสติเป็นตัวถ่วงจิตไปซะงั้น

    เร่งสติอย่างเดียวก่อนค่ะ ถ้าทันแล้วส่งรายงานให้ทราบด้วยค่ะ

    คำตอบนี้ฝากถึงจิตอนาคามีพรหมทุกท่านด้วยค่ะ เพราะมีอาการจิตกับสติคล้ายกัน

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  11. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    กราบขอบพระคุณ เป็นอย่างสูงค่ะ แต่ว่า อุทธัจจะสังโยชน คืออะไรคะ (kiss)
     
  12. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    อนุโมทนากับสิ่งที่ครูเพ็ญสื่ออกมานะครับ

    เหมือนจะดุเดือดใช่ไหม แต่ข้างในนั้นนะ เมตตาล้วนๆนะครับ รับรู้ได้ไหม ...

    อยากจะบอกทุกคนอีกครั้งนะ อ่านจบแล้ว

    ขอให้กลับไปอ่านสิ่งที่คุณเคยเขียนไว้ตอนแรกว่า อยากได้อะไร แล้ว ตอนนี้หลงลืมไปหรือไม่ ...

    ผมยอมรับนะว่าสิ่งที่ท่านอยู่มันสุขดี ... แต่แรกนั้นท่านตั้งใจจะไปที่ใด อย่าลืมตัวเองนะ

    หยุดชมวิวได้แล้ว ..มันสวยก้อจริง

    แต่บนยอดเขานั้น เมื่อถึงแล้ว มันจะสวยกว่าจุดชมวิวข้างทางที่ท่านกำลังอยู่มากมายนัก

    ขอให้รีบเดินออกมา แล้วมุ่งตรงไปในสิ่งที่ท่านต้องการนะครับ อย่ารีรอ เอ้อระเหยนัก

    มากันจนถึงจุดนี้แล้ว จะไม่ไปต่อ ผมก้อไม่รู้จะว่ายังงัยแล้วนะ

    เพียรพยายามให้สมกับหลักชัยที่อยากไปหน่อยสิครับ

    พระท่านเห็นนะกับความเพียรที่ท่านทำ

    อยากกลับบ้านไหม ...

    ถ้ายังอยากอยู่ ... มา เอากันอีกสักตั้ง ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย เอาให้สุด ลุยครับ

    ขอเอาใจช่วยทุกท่านนะครับ

    วิทย์ จบ.11
     
  13. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    วิธีเร่งทำสติและงัดจิตออกมาจากเวทนาตัวเฉยของอนาคามีพรหม

    ยกบทสนทนาการบ้านในอีเมลมาเป็นธรรมทานค่ะ


    สวัสดีค่ะคุณดัช คุณริน

    คุณดัชได้ให้ธรรมะกับคุณรินไปแจ่มแจ้งหมดแล้ว พี่เพ็ญจะขอแนะนำเรื่องการทำสติเพิ่มก็แล้วกันค่ะ

    เมื่อมีสิ่งใดกระทบทางตาให้เอาสติไปไว้ที่ตา เช่น เห็นคนก็ให้รู้ว่าเป็นคน สวย หล่อ น่ารัก น่าเกลียด น่ากลัว ก็สักแต่ว่าเห็น ไม่มีตัวตน

    เมื่อมีสิ่งใดกระทบทางหูให้เอาสติไปไว้ที่หู เช่น ใครพูดดีหรือพูดไม่ดี เสียงดัง เสียงเบา ก็ให้รู้ว่าเป็นเสียง สักแต่ว่ได้ยิน ไม่มีตัวตน

    เมื่อมีสิ่งใดกระทบทางจมูกให้เอาสติไปไว้ที่จมูก เช่น กลิ่นหอมก็รู้ว่าหอม กลิ่นเหม็นก็รู้ว่าเหม็น สักแต่ว่เป็นกลิ่น ไม่มีตัวตน

    เมื่อมีสิ่งใดกระทบทางลิ้นให้เอาสติไปไว้ที่ลิ้น เช่น เมื่อมีอาหารอยู่ในปาก ให้เอาสติไปรับรู้ว่าอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นมีรสอะไรบ้าง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม สักแต่ว่าเป็นรส ไม่มีตัวตน

    เมื่อมีสิ่งใดกระทบทางกายให้เอาสติไปไว้ที่กาย เช่น ขณะเดินก็ให้เอาสติไปรู้สึกที่ฝ่าเท้า สักแต่ว่าเป็นสัมผัส ไม่มีตัวตน

    เมื่อมีสิ่งใดกระทบทางใจให้เอาสติไปไว้ที่ใจ เช่น มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นก็ให้เอาสติไปดูหรือจดจ่ออยู่กับอารมณ์นั้นตั้งแต่เกิดจนดับไป สักแต่ว่าเป็นอารมณ์ ไม่มีตัวตน

    การดูผลกระทบที่เกิดขึ้นให้ดูตั้งแต่เกิดจนดับไปเอง

    หลังจากดับแล้วให้เอาปัญญาพิจารณาเข้าสู่กฏไตรลักษณ์

    ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งไม่ควรยึด ควรปล่อยวางเสีย ปล่อยวางแล้ว เราไม่ต้องการร่างกายนี้อีกต่อไป ตายเมื่อไรเราขอไปนิพพานทันที

    สิ่งที่ครูทั้งหลายแนะนำให้งัดจิตออกมาจากเฉย ก็ให้ทำแค่นี้เอง จะเรียกว่าการอธิษฐานจิต กำหนดจิต พิจารณาอริยสัจจ์4 หรือพิจารณากฏไตรลักษณ์ หรือพิจารณามรณานุสสติก็ได้ทั้งนั้น

    คือให้คิดวนอยู่ในอริยสัจจ์4 กฎไตรลักษณ์ หรือมรณานุสสติให้มากเข้าไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับเวทนา คือ ทุกข์ สุข เฉย โดยเฉพาะอารมณ์เฉยแบบไม่มีปัญญา เป็นเฉยแบบหลบหน้าหลบตา ไม่เอาใจออกมาสู้กับกิเลสสักอย่าง พอเจอกระทบอะไรเข้ามานิด ๆ หน่อย ๆ ก็หลบเข้าเฉยลูกเดียว

    ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องงัดเอาจิตออกมาชนกิเลส ให้จิตมันยอมรับให้ได้ว่าจิตนี้ยังเลวอยู่มาก ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้นานมันอาจจะกลายเป็นความเคยชิน ทำให้การเดินทางสู่พระนิพพานล่าช้า

    อย่ากระนั้นเลย จิตเจ้าจงออกมาเถิด ออกมาเผชิญกับความจริงที่ว่าเจ้ายังเลวอยู่ เพราะเจ้ามันขี้ขลาดไม่กล้าแม้แต่จะฟังเสียงของคนรอบข้าง หรือไม่กล้าแม้แต่สัมผัสกับความเป็นธรรมดาของโลกธรรมแปดโดยใจเป็นกลาง

    นี่คือตัวอย่างของการใช้สติปัญญาคิดพิจารณาเพื่อประครองจิตให้เดินทางตรงสู่พระนิพพานต่อไป ไม่ใช่ปล่อยให้จิตหลบซ่อนความรู้สึกเสียจนกลายเป็นความชาชินไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว จิตเอาแต่หลบอย่างเดียว อย่างนั้นใช้ไม่ได้ค่ะ

    ต้องเอาสติปัญญาไปตะล่อมจิตออกมาให้ได้ แล้วเอามาชนกับกิเลส ชนแล้วผลเป็นไงก็ให้ยอมรับไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แม้ว่ามันจะขัดจิตขัดใจสุด ๆ หรือเจ็บปวดสุด ๆ ก็ไม่ต้องไปปลอบใจมัน ปล่อยให้อาการมันแสดงให้เห็นชัด ๆ ว่า กิเลสที่นอนเนื่องอยู่นั้นมันมีอาการเป็นเช่นไร

    เมื่อจิตเห็นโทษของอาการบ่อย ๆ จิตจะละวางกิเลสนั้น ๆ ไปเองโดยไม่ต้องกำหนดหรือสั่งให้เป็นไป

    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3

    ปล. ขอนำส่งขึ้นกระทู้เป็นธรรมทานด้วยค่ะ




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  14. Espanda

    Espanda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +720
    ขอบคุณครูลูกพลังมากครับ ผมฝึกอยู่กับครูนก(ชาย)ครับ ตอนแรกไม่กล้าบอกเลย เดี๋ยวถ้าทำไม่ดีครูจะเสียชื่อ
    แต่อีกใจคิดว่า เราจะได้พยายามรักษาชื่อครูให้ไม่เสีย เป็นผลผลักดันเราไปจนสำเร็จ

    ราตรีสวัสดิ์ครับ
     
  15. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อุทธัจจะสังโยชน์




    อุทธัจจะสังโยชน์ หมายถึง ฟุ้ง(แต่ไม่ซ่าน มีแต่ฟุ้งเฉย ๆ)

    จิตฟุ้งเพราะสติตามไม่ทัน การฟุ้งของอริยบุคคลซึ่งอยู่ในสังโยชน์ข้อที่ 9 นี้ไม่เหมือนการฟุ้งของคนทั่วไป คือมันตั้งใจฟุ้งอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเหตุเป็นผล ฟุ้งแบบมีสติแต่ไหลไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหยุดหย่อน ทำให้จิตเกิดรำคาญ แต่ไม่หงุดหงิด และอารมณ์ใจไม่ซ่านส่าย

    สิ่งที่จะมาช่วยแก้ตัวฟุ้งคือ ทำสมาธิให้เข้มข้นขึ้น มีสติตามจับอารมณ์ฟุ้งให้ทัน สติตามทันเมื่อไร จิตนิ่งเป็นสมาธิมากเท่าไร ฟุ้งก็จะหยุดไปเอง หลังจากนั้นจิตจะเดินเข้าสู่วิปัสสนาญาณ

    ทำไปๆ อย่าหยุดนะ ถ้าหยุดมันจะฟุ้งมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า สติตามไม่ทันมันจะบ้าเอา นี่และคือเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมทำแล้วบ้า เพราะสติตามจิตไม่ทัน ไม่รู้สภาวธรรมที่เกิดขึ้น และไม่รู้วิธีแก้ไขในจิตตนนั่นแล

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  16. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214


    โมทนา สาธุค่ะ นั่นสิ ถึงว่าคนนี้ไม่ธรรมดา ที่แท้ก็ศิษย์มีครูนี่เอง ยินดีกับครูนกชายด้วยค่ะที่มีศิษย์ใฝ่ใจในธรรมและปฏิบัติจิตเกาะพระอย่างจริงจัง

    พี่เพ็ญขออุทิศบุญให้คุณหมีแพนด้าทั้งหมดเลยค่ะ
    ขอให้ยกจิตขึ้นนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับ ผู้เจริญทั้งหลาย
    ใครผ่านช๊อตเด็ดนี้ น่าเสียดายยิ่งยวด
    บอกแล้วเวทีนี้ยิ่งกว่าโต้คารมซะอีก
    ผู้เขียนเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า
    ที่นี่เขาเน้นแก่น เปลือกเลิกพูด ปฎิบัติทางจิตล้วนๆ จิตเพียวๆ
    เน้นสติ เน้นที่จิตอย่างเดียว
    สมาธิไม่เน้น ปัญญาไม่เน้น
    เพราะถ้าสติกับจิตไม่มี หรือสติกับจิตไปกันไม่ได้แล้ว
    ก็อย่าหวังเลยว่า สมาธิจะเกิด
    อย่าหวังเลยว่า ปัญญาจะเกิด
    เพราะหัวใจพระพุทธศาสนา ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    ศีลแปลว่าปกติ หรือศีลก็เปรียบได้ดังสติดีๆนี่เอง
    คุณลองไม่มีสติกันดูสิ แล้วศีลคุณก็จะพังไม่เป็นท่า
    หรือคุณก็ลองทดสอบศีลของตนเองกันก็ได้ เช่น ถ้าคุณไม่มีสติตัวเดียว
    ศีลมีกี่ข้อก็รักษาไม่ได้ พังหมด เพราะศีลจะแข็งแรงได้ ก็เพราะว่า
    คุณมีสติมากหรือเปล่า
    อันนี้ผมจะขอพูดแบบพื้นฐาน ธรรมดาๆก่อน
    เพราะพื้นของผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระไม่แน่น
    หรืออินทรีย์ไม่แน่น เพราะจิตเกาะพระ จึงเปรียบนักเรียนกศน.
    หรือกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน
    ความรู้เรื่องธรรมะ หรือสติ หรือจิตจึงไม่ค่อยแข็ง
    ไม่เหมือนผู้ที่เขาเรียนสายสามัญ ก็คือ พระภิกษุ เณร ชี ที่อยู่ตามวัด
    ผู้ปฎิบัติธรรมอาชีพ ท่านก็ยังแย่เลย ยังเพี้ยนเลย
    แล้วเราเป็นใคร สอบผ่านเหมือนกัน แต่จะต้องเป็นจำพวกหัวกะทิ
    คือนอกจากบุญเก่าของตนเองมากตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ยังต้องมีความเพียร
    มีความตั้งใจสูงมากๆ
    หรือนำจิตมาอยู่กับฝ่ายธรรมะให้มากกว่าทางโลกกันให้ได้
    นี่พูดก็พูดเถ๊อะว่า จิตพวกเรานั้นวันๆนึงมี 24ชั่วโมง
    จิตไปท่องทางโลกทิพย์(ดูจิต+สนใจจิตตนเอง) หรือว่าท่องไปกับทางโลกมนุษย์มากกว่ากัน
    ขอให้ผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ ลองคอยสำสวจกันดูแค่นี้ เอาง่ายๆ
    ลองถามใจตนเองดูนะ แล้วกลับไปถามว่าตนเองยังอยากได้พระนิพพานกันอยู่อีกไหม๊?
    แต่ถ้ายังอยากได้พระนิพพานกันอยู่
    ก็ขอได้โปรดนำจิตคุณกลับไปอยู่กับโลกทิพย์มากกว่าทางโลกมนุษย์ให้มากที่สุด
    ยิ่งจิตอนาคามีด้วยแล้ว จะมาหน๋อมแน้มกับทางโลกกันอีกหรือ
    ผู้หัดใหม่ๆจะไม่ว่าเลย จิตจะยกวันสองวันนี้
    สติไม่เข็มก็จะตามจิตไม่ทัน เพราะปกติก็ตามไม่ทันอยู่แล้ว
    แต่ถ้าเราไม่ขยัน คำว่าพระนิพพานชาตินี้ท่านไม่ได้แน่ๆ
    พระจิตระดับอนาคามีนั้น จะต้องช่วยตนเองมากๆ
    ทรงอิทธิบาท4 ตนเองให้มาก เพราะจะต้องทบทวนจิตตนเองตลอดเวลา
    หรือจิตจะต้องทรงฌานตลอด เหตุที่จิตไม่ทรงฌานกันก็เพราะว่า
    สติน้อยเกินไป พูดไป พูดมา ก็ไม่พ้นสติกัน พูดบ่อยมากๆเลย

    บอกแล้วที่นี่ไม่ธรรมดา ดูๆเหมือนธรรมดา เห็นพูดกันหนุกหนานก็จริง
    แต่เราต้องไม่ใจดีกับกิเลสตนเอง และผู้อื่น
    จิตจะต้องเอาของจริงๆ กายไม่ต้องไปสนใจมันมากหรอก
    เพราะอีกไม่นานนัก ไปนอนในโลงทุกคน
    มัวแต่ติดสุขทางโลก ทางฌาน มัวเอาแต่ขำไปวันๆ
    มัวแต่ไปยึดกาย ยึดอำนาจ หน้าที่ การเงินของตนเองอยู่
    ถามว่ามันเที่ยงไหม๊? ในเมื่อทุกคนก็ตอบได้ไหมด
    แล้วตอนนี้คุณมัวไปสนใจอะไร ทำไมไม่สนใจเรื่องจิตตนเอง
    เพราะจิตคือของแท้ กายคือของชั่วคราว
    จำให้แม่น ถ้าผู้ปฎิบัติเอาจริงๆนะ เชิญเข้ามากัน
    แต่มาทำกันเล่นๆขอร้องไปเดินที่กระทู้อื่น

    เพราะกระทู้มีวัตถุประสงค์ ก็คือ จิตพร้อมรับภัยพิบัติ
    ไม่เพียงรับแค่ภัยพิบัติอย่างเดียว
    เหตุที่ตั้งชื่อแบบนี้ มีหวังโดนจับไปอยู่ในหัวข้อกระทู้จำพวกธรรมะ
    จริงๆแล้วผมไปเปิดที่กระทู้ในห้องธรรมะก็ได้ แต่ทำไมไม่ไป
    เพราะที่กระทู้ธรรมะมีเยอะแล้ว ผมมารอดัก พวกที่กำลังหลงทางมาดูภัยพิบัติ ภัยพิบัติป่านนี้ก็ยังไม่เกิด แต่จิตคน จิตมนุษย์จะวิบัติเสียก่อนอ่ะดิ

    เอ๊า! รีบปฎิบัติกันซะ เดี๋ยวตายก่อน จะมาตัดพ้อกับครูทุกคนไม่ได้นะ
    เพราะท่านไม่สนใจดูจิตตนเอง
    เหมือนเหมือนง่ายๆเน๊อะ อีแค่เรื่องสติกับจิตนี่ เขาเรีนกันตลอดชีวิตกันเลย
    แม้นแต่พระอรหันต์ท่านจบกิจแล้ว ท่านก็ยังไม่ละทิ้ง คำว่าสติกันเลย
    แล้วคุณเป็นใคร?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ***สงสัยไม้เรียว หรือไม้หน้าสาม จะเอาไม่อยู่แน่​

    ต้องนี่เลย ไม้เบสบอล
    สำหรับพวกที่จิตดื้อ จิตอืด จิตเฉย จิตเฉื่อย จิตเรื่อยเปื่อย
    โหดนะครูที่นี่ จะบอกให้
    เธอคิดว่าจิตคนเรานั้นยกกันง่ายๆนะสิ!
    เป็นยังไง พอมาถึงตนเองบ้าง ร้องโอ๊กเลย....สม!
    ครูที่นี่ไม่ใจดีหรอก สำหรับเอาไม่จริง ก็จะต้องโดนแบบนี้ทุกรายไป
    เพราะจิตเกาะพระนั้น เปรียเสมือนหลักสูตร กศน.
    อินทรีย์๕ ของพวกเราก็ยังไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่
    บอกได้คำเดียว่า ผ่านยากครับ
    ผู้ปฎิบัติเท่านั้น ถึงจะผ่านกันได้ เพราะครูแค่บอก หรือชี้แนะให้เท่านั้น
    ปฎิบัติแทนกันก็ไม่ได้

    ขอโทษแทนครูทุกท่านด้วย ปกติจะไม่พูดถึงการปฎิบัติเจาะลึกแบบนี้กัน
    เช่น คำว่าจิตพระโสดาบัน หรือจิตอนาคามี
    เพราะพูดบ่อยก้ไม่ดีอีก จะพูดได้เฉพาะวงใน(ผู้ปฎิบัติเท่านั้น)
    คือผู้ปฎิบัติถึงตรงไหน ก็จะพูดกับผู้ปฎิบัติตรงนั้น
    พวกเราก็อย่ามาดูครูที่นี่แค่เพียงเปลือกนอกกันนะ
    เพราะจิตท่านแต่ละคนนั้น ไม่ใช่จิตปุถุชน และก็ไม่อยากพูดว่า จิตอรหันต์
    ผู้ปฎิบัติเท่านั้น ถึงจะรู้ซึ้งถึงคำว่า ปัจจัตตัง
    ผู้เข้าถึงเขาไม่ชอบพูดกันหรอก ให้พากันปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพรพุทธองค์กัน
    ครูที่นี่ไม่ใช่ผู้เจริญกรรมฐานอาชีพ อย่าไปดูแต่ภายนอก
    พวกเราเคยชินดูแต่ภายนอกกัน
    ขนาดพระ บางคนยังสงสัยในวัตรของท่านว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ หรือสมมุติสงฆ์
    ไปสงสัยท่านอีก อันนั้นใครเป็นแบบนี้ ขอให้งดคิดในใจแบบนี้กันเสีย
    เพราะมแต่จะติดลบ ไปสงสัยคนอื่นทำไม
    ทำไมไม่สงสัยว่า เราเป็นคนดีหรือไม่ จิตเราเป็นปุถุชน หรืออริยบุคคล
    สงสัยให้ถูกที่ ให้ถูกจังหวะหน่อย
    สนใจตนเองมากๆ โดยเฉพาะจิตตนเอง
    พวกเรามัวแต่ไปสนใจคนอื่นมากเกินไป
    ถึงว่าโลกมนุษย์มันวุ่นวายกันนัก ก็เพราะว่า นอกจากพวกเราไม่สนใจจิตตนเองแล้ว
    แถมยังไปสนใจแต่ผู้อื่น
    นี่ไงคือ ปัญหา

    เปลี่ยนจาก คำว่า ปัญหา ให้เป็น ปัญญา กันซะ
    หูตาจะได้สว่างเหมือนดั่งพระพุทธองค์กัน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อินทรีย์ ๕
    ความจริงแล้ว
    การบรรลุธรรมนั้นมิได้ขึ้นกับกิเลสแต่ขึ้นกับ อินทรีย์ห้า ว่าแก่อ่อนหรือไม่
    และไม่จำเป็น จะต้องปฏิบัติอย่างยากลำบาก แล้วแต่บารมี หรือการสะสมในสิ่งนั้นๆมาต่างหากเล่า
    ผู้ทีต้องให้จิตเห็นทุกข์แสนสาหัส จิตค่อยๆคลายความยึดถือก็มี ผู้ที่บรรลุด้วยความสุขความสงบก็มี ซึ่งบอกแล้วว่าขึ้นกับว่า อินทรีย์ทั้งห้า แก่อ่อนขนาดไหน

    อินทรีย์ ๕ เป็นองค์ธรรม ๕ อย่าง ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องทำให้มีกำลังมากพอ จึงจะสามารถเอาชนะกิเลสถึงขั้นบรรลุมรรคผลได้ ในการปฏิบัติธรรมช่วงแรก ๆ นักปฏิบัติบางท่านใช้วิปัสสนาญาณ ๑๖ ในการตรวจสอบความก้าวหน้า ปรากฏว่าแทนที่จะช่วยให้ได้ผลเร็วขึ้น กลับเป็นอุปสรรคเสียอีก เพราะมัวแต่สำรวจตนเองอยู่เสมอว่าเราถึงญาณขั้นไหนแล้ว มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็มัวตรวจสอบครั้งหนึ่ง เสียเวลาไปนาน เมื่อปฏิบัติธรรมต่อ มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก็มาเสียเวลาตรวจสอบอีก ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร มีกัลญาณมิตรแนะนำให้ใช้อินทรีย์ ๕ ในการตรวจสอบ ปรากฏว่าได้ผลก้าวหน้าเร็วขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสำรวจตนเองด้วยอินทรีย์ ๕ จะทำให้เรารู้จุดอ่อน จุดบกพร่องต่าง ๆ ของตัวเรา เมื่อรู้ข้อบกพร่องแล้ว เราก็สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ถูกต้อง อุปสรรคในการปฏิบัติธรรมก็หมดไป องค์ธรรมทั้ง ๕ ในอินทรีย์ ๕ ก็ได้แก่

    ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความเลื่อมใส
    วิริยะ คือ ความเพียร
    สติ คือ การระลึกได้
    สมาธิ คือ ความตั้งมั่นของจิต
    ปัญญา คือ การรู้ตามความเป็นจริง


    การที่บุคคลบรรลุมรรคผลได้ จะต้องมีอินทรีย์ ๕ ที่แก่กล้าหรือมีกำลังมากพอ ถ้าหย่อนในอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะยังไม่สามารถบรรลุมรรคผล หน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็คือตรวจสอบดูว่า องค์ธรรมข้อใดบกพร่องหรืออ่อนกำลัง เมื่อทราบแล้วก็พยายามหาวิธีทำให้องค์ธรรมข้อนั้นมีกำลังมากขึ้น ถ้าองค์ธรรมทั้ง ๕ มีกำลังสมบูรณ์ การปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยปรกติองค์ธรรมทั้ง ๕ จะเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เช่น ถ้าศรัทธามีกำลังมาก ก็จะเป็นเหตุให้ความเพียรมีกำลังมากขึ้นด้วย ถ้าปัญญามีกำลังมากก็จะทำให้ศรัทธามีกำลังมากขึ้นด้วย

    (ตัวอย่าง)
    1. ศรัทธา
    ศรัทธา หมายถึง ความเชื่อ คือเชื่อว่ามรรคผลนิพพานมีจริง ปฏิบัติให้บรรลุได้จริง เชื่อว่าการปฏิบัติธรรมเป็นของดี มีประโยชน์ ศรัทธาในขั้นต้นก่อนลงมือ เป็นต้น
    2. วิริยะ
    วิริยะ หมายถึง ความเพียร ซึ่งก็คือความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ลักษณะที่วิริยะหรือความเพียรอ่อนกำลังก็คือ การไม่ตั้งใจปฏิบัติ ให้เวลากับการปฏิบัติธรรมน้อยลง ความเพียรย่อมเกิดจากศรัทธา ถ้าศรัทธามีกำลัง ความเพียรก็ย่อมมีกำลังด้วย ถ้าศรัทธาย่อหย่อน ความเพียรก็ย่อหย่อนด้วย เช่น เมื่อเห็นว่าปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้อะไรดีขึ้นมา ความตั้งใจ ความเอาใจใส่ในการปฏิบัติก็ย่อมลดลง
    3. สติ
    สติ หมายถึง การระลึกได้ สตินับว่ามีความสำคัญมากในการปฏิบัติธรรม เพราะเป็นตัวที่ฝึกได้ง่าย สามารถกั้นกิเลสไม่ให้ครอบงำจิตได้ สามารถทำจิตที่หดหู่เศร้าหมองให้กลับเป็นจิตที่สดชื่นเบิกบานได้โดยรวดเร็ว เราจึงควรฝึกฝนสติให้มาก ลักษณะที่สติอ่อนกำลังก็คือ ความรู้สึกในการรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ชัดเจนแจ่มใส รู้สึกซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า วิธีแก้ไขทำได้โดยการฝึกสมาธิให้มาก ๆ เพราะการฝึกสมาธิจะทำให้ทั้งสติและสมาธิมีกำลัง เวลาทำอะไรก็พยายามตั้งใจทำให้มาก ๆ
    4. สมาธิ
    สมาธิ หมายถึง ลักษณะที่จิตสงบ ตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน ปรกติแล้วสติกับสมาธิเกื้อหนุนกันอยู่เสมอ คือ ถ้าสติมีกำลังก็จะฝึกสมาธิได้ง่าย ถ้าสมาธิมีกำลังก็จะฝึกสติได้ง่าย ลักษณะที่สมาธิอ่อนกำลังก็คือ มีความคิดฟุ้งซ่าน เผลอง่าย ใจรวนเร สับสน หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย
    5. ปัญญา
    ปัญญา หมายถึง การรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งก็คือการมีสติอยู่กับปรมัตถธรรมนั่นเอง ลักษณะที่ปัญญาอ่อนกำลังก็คือ การบังคับให้สติอยู่กับปรมัตถ์ ทำได้ยาก สติคอยแต่จะอยู่กับสมมุติร่ำไป สาเหตุที่ปัญญาอ่อนกำลังก็เพราะมีตัณหามาก มีใจเพลิดเพลินอยู่กับเรื่องราวต่าง ๆ ในสมมุติ ติดอยู่ในสมมุติ ไม่อาจจะละความรู้สึกที่เป็นสมมุติต่าง ๆ ได้ วิธีแก้ไขก็ต้องพิจารณาธรรมให้มาก ๆ เช่น พิจารณาถึงความแก่ ความตาย เพื่อให้จิตคลายกำหนัดจากเรื่องราวต่าง ๆ ในสมมุติ เมื่อไม่ติดใจในสมมุติแล้ว ก็สามารถที่จะเอาสติไปอยู่กับปรมัตถ์ได้ง่าย เรียกว่าปัญญามีกำลังมากขึ้น

    ทั้งหมดนี้ ถึงคุณอ่านได้ จำได้ หรือว่ารู้แล้ว ทราบแล้ว หรือทั้งหมดอะไรก็ได้
    แต่ท้ายที่สุด สู้ลงมือปฎิบัติเองไม่ได้ ถึงเฝ้าบอกกับพวกเราว่า อย่าไปอ่านมาก
    วางตัวตน ตัวจริง เสียงจริงของเรานั้นเสีย(ทำใจให้ว่าง เหมือนี่ร่างกายทั้งหมดชาติ ไม่ใช่ของเรา)
    แล้วลงมือปฎิบัติอย่างจริงจัง เก็บความลังเลสงสัยตนเองไว้ก่อน
    เมื่อเราปฎิบัติไปได้สักพักนึงแล้ว คือ
    เมื่อเรามีสติมาก จิตก็จะนิ่งมาก
    เมื่อจิตนิ่งมาก จิตก็จะกลายเป็นสมาธิมาก และมากไปจนจิตทรงฌานก็ยิ่งดีมาก
    เมื่อจิตทรงฌานมากและนาน(ต่อเนื่อง) จิตจึงจะกลายเป็นปัญญา
    เมื่อจิตเป็นปัญญามากและนาน(ต่อเนื่อง) จิตจึงจะเข้าสู่วิปัสสนา
    เมื่อจิตทำวิปัสสนามากและนาน(ต่อเนื่อง) จิตจึงจะเป็นวิปัสสนาญาณ(ปัญญาญาณ)
    ลำดับ หรือการพัฒนาจิตจะดำเนินไปแนวทางนี้
    อันนี้แค่บอกกล่าวกันคร่าวๆนะ แต่เรื่องดินจิตของแต่ละคนนี่มีปัญหามาก
    เพราะฉะนั้นแล้วผู้ที่จะแก้ไขปัญญหาตนเองดีที่สุดก็คือ ปัญญาของตนเอง
    อย่าลืมนะ
    ปัญญาของพวกเราจะเกิดกันได้ก็หลังสติหรือสมาธิกันโน้น
    พระพุทธองค์ ท่านเรียบเรียงไว้ให้พวกเราได้ศึกษากันไปแล้ว
    ศีล สมาธิ ปัญญา
     
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาบุญกับธรรมทานนี้ค่ะ ทั้งคำถาม และ คำตอบ มันโดน โดน โดนใจ จริงๆ แจ่มแจ้งมากเลยค่ะ อ่านแล้วเก็ตมากๆ รู้ตัวเลย ที่ผ่านมาเข้าใจผิดนิดส์เดียว เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะ ตอนนี้รู้ทางแล้วค่ะ สาธุ ขอบคุณมากนะค่ะ ครูเพ็ญที่เอาลงกระทู้ และขอบคุณคุณลินดาผู้ถาม และครูดัชชี่ ผู้ตอบด้วยนะค่า สาธุ๊:cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...