ใครปฏิบัติธรรมด้วยวิธีสุกขวิปัสสโกบ้างครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย romanof3, 23 มีนาคม 2012.

  1. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    เห็นด้วยครับ แต่สมาธิของสายนี้ ไม่จำเป็นต้องลงลึกครับ ใช้สมาธิระดับตื้นๆ เลย ส่วนตัวผมเห็นว่า คนธรรมดาๆ เราๆ ท่านๆ ทั่วไปนี่ สามารถมีสมาธิระดับใช้ตัดกิเลสได้ทุกคน มันเพิ่มจากที่เราใช้ทำงานมานิดเดียวเท่านั้น

    สำหรับเรื่อง ฤทธิ์ ก็ขอยืนยันอีกคนว่าจริง ผู้ปฏิบัติสายนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ ได้จริงแน่นอน แต่ว่าถ้ามาสายนี้แล้ว ก็ไม่รู้จะเอาไปพูด เอาไปใช้ทำอะไร เพราะไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับผู้ต้องการละทุกอย่าง แต่ก่อนถึงปลายทาง มีของข้างทางให้ท่านแน่นอนครับ
     
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    คำกล่าวนี้ ถูกต้องที่สุดแล้วครับ
    การเจริญสติ ให้เกิดตลอดเวลา พิจารณาเห็นความจริงตลอด ตามแนวทางหลวงพ่อเทียน เป็นทางตรงที่สุด สู่ ญาณ ครับ ไม่มีอะไรจะตรงสู่ญาณได้มากกว่านี้อีกแล้วครับ
     
  3. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    นั่งนาน ไม่ได้จำเป็นว่า ต้องเป็นเพราะกำลังของสมถะ ครับ
    เราสามารถใช้กำลังของสมถะ กดข่ม ไม่รับ เวทนาทางกายได้ นั่นเป็นทางหนึ่ง
    แต่ทางที่สองคือ เราพิจารณาแบบ วิปัสสนา เราไม่กดข่มความเจ็บปวด เราตามดูๆๆๆๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์... เมื่อจิตเข้าใจแล้วว่า ร่างกายนั้น ไม่ใช่เรา ควบคุมไม่ได้ ใจที่รับรู้เวทนานั้น ก็ควบคุมไม่ได้ เมื่อนั้น เวทนาที่ท่านเจ็บปวดอยู่ จะดับลงไป และท่านจะนั่งต่อได้อีก ครับ (แต่ไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมง และไม่ใช่ไม่ทรมาน... กิเลส โทสะ จากความเจ็บปวด จะเผาใจท่านตลอดเวลา ท่านต้องสู้กับมันตลอด)
     
  4. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    กรรมฐาน ๔๐ กับ สติปัฏฐาน ๔ ศึกษาให้ดีๆ จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันครับ

    นั่นคือ " สติ " เพราะฉะนั้นผมคิดว่า การฝึกปฏิบัติธรรมใดๆก็ตาม ต้องฝึกเจริญสติ ก่อน

    ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐาน ๔๐ จะมีสติ อยู่ทุกๆกองครับ เช่น ฝึกกสิณ ถ้าไม่มีสติ ระลึกรู้ถึงดวงกสิณ
    หรือระลึกว่าตอนนี้กำลังเพ่งดวงกสิณ ก็จะหลงลืม เลือนหายไป :cool:
     
  5. wechza

    wechza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +246
    สติมา ปัญญาตาม นิพพานคงไม่ไกลถ้าตั้งใจจะไปจริงๆ
     
  6. phaenwong

    phaenwong เปียวคอมฯ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +791
    ผมคิดเหมือนเจ้าของกระทู้ครับ ว่านิพพานสามารถกลับได้ในชาตินี้ ตัดสังโยชน์ 3 โสดาบัน (ศีล5) อีก 2 ข้อ อนาคามี(ศีล8) อีก 5 ข้อ อรหันต์(เป็นฆราวาสไม่ได้ล่ะต้องบวช มี 10 ข้อเอง นิพพานแค่เอื้อม ค่อยๆดับ ไปทีละดวงๆ...ส่วนตัวผมเพิ่งเริ่มต้นแค่ศีล 5 ยังไม่บริสุทธิ์เลย สิ่งที่กลัวที่สุด ใจของตัวเอง ไม่เกร่งพอ แต่ก็ตั้งจุดหมายไว้ที่นิพพาน ชาตินี้เหมือนกัน
     
  7. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    ท่าน phaenwong ครับ

    ค่อยๆเป็น ค่อยๆ ไปแบบ สบายๆครับ เอาตามกำลังใจเข้าว่า ง่ายสุดแรกสุด คือ ศีล ให้บริสุทธิ์ไว้ ให้ดีที่สุด ตั้งกำลังใจว่า ให้ดีที่สุด ถ้าเริ่มเเรกแล้วมาตั้งใจว่าจะรักษาศีลไม่ให้ผิดเลย เป็นไปได้ยาก ต้องตั้งอารมณ์ใจในตอนแรกว่า รักษาให้ดีที่สุด นะคับ ลองดูคับ จะผิดไป บ้าง ช่างมัน สมาทานศีลใหม่ ทำไปซ้ำๆเรื่อยๆ จนเป็นปกติครับ
     
  8. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    ตามที่ ท่าน suthipongnuy กล่าวมา ถูกต้องเป็นเรื่องเดี่ยวกันครับ แต่ ทิศทางต่างกัน ถ้าเริ่มดำเนินตามสติปัฏฐาน ๔ ต้องมีทุน คือ ทาน ศีล จะเอาสติปัฏฐาน ๔ ไปจับในเรื่องการพิจารณาแบบไหน ก็ตามจริตครับ 40 แบบ จะกลายเป็นวิปัสสนาไปไหนตัวเลยอัตโนมัต
    แต่ถ้าประเภทนั่งสมาธิ แล้วได้องค์ฌาณนิ่งสงบ แล้วว่าง ดึงกลับมาพิจารณากาย ด้วย สติปัฏฐาน ๔ แบบนี้ จบครับ ไม่ก้าวหน้า จิตกำลังสั่งสมกำลังจากภาวะ ละเอียด ดันเอาตัวหยาบที่เป็นกายมาจับ แบบนี้ไม่ก้าวหน้า มีแต่พิจารณาวนไปวนมา ไม่บรรลุคุณธรรม เพื่อล้างกิเลศเลย เมื่อถึงจุดว่างนั้นแล้วให้ปล่อยว่าง ไปจิตจะสะสมกำลังจนดึงเอาตัว อารมณ์ค้างใจต่างๆขึ้นมาตั้งเป็นหัวข้อธรรม ถ้าทะลึ่งเอากายมาตั้งดูว่าปวดไหมน้อ เหมือยไหมน้อ เป็นการตัดวงจร ที่จิตกำลังวพัฒนา แบบนี้ก็ดูได้ได้แค่กายกับเวทนา นั้นละ จิต กับ ธรรม ที่มันละเอียดมันไม่เกิด จากประสบการณ์ผมเห็นแบบนี้มาหลายที เพราะไม่เข้าใจใน สติปัฏฐาน ๔ ที่ชัดเจน จึงเน้นที่กาย เป็นหลัก พอเข้าสมาธิก็กลับมาเน้นที่กลายใหม่ พิจารณาวนไปวนมาไม่จบรอบ เพราะไม่เห็นจิต เห็นธรรม เห็นแต่กาย อย่างเดียว เรียกว่ายังหยาบในการพิจารณา ลักษณะนี้ประกอบด้วย 2 สาเหตุ 1. ได้รับการสอนมาผิดๆ 2. กำลังสมาธิยังไม่มีมากพอ ต้องอาศัย ทาน และศีล เป็นฐานมาช่วย ครับ
     
  9. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    สายสุกขวิปัสสโกถ้าผมจำไม่ผิดนะ

    ตอนที่ท่านตายท่านต้องใช้ฌาน 1 ในการถอดจิตออกจากร่างไป
    และในเวลาปกติธรรมดาท่านต้องทรงอารมณ์อุปจารสมาธิไว้ให้เป็นธรรมดา

    ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วย ไม่ว่าจะปฏิบัติกันสายไหนขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละท่าน ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถ้าเข้าใจจริง ๆ การพ้นทุกข์นั้นไม่ยาก แค่มองโลกตามความเป็นจริง แต่กว่าพวกเราจะมองโลกตามความเป็นจริงกันได้ เวลาก็ผ่านมาหลายภพหลายชาติกันแล้ว ชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้ายกันนะ สาธุ...
     
  10. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    สุกขวิปัสสโก ผมว่าสายเบสิคนี้ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็มาลงทางสายนี้ทั้งนั้น
    เหมือนวิชาเรียนสามัญที่ต้องเรียน แต่วิชาพิเศษใครจะลงหรือไม่อย่างไรก็ตามใจ
    โดยส่วนตัวก็มาตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    คำสอนแรกๆที่ยอมรับนับถือก็คือ แนวสุกขวิปัสสโก
    แม้ตอนหลังจะฝึกมโนมยิทธิ หรืออภิญญา ก็ยังพิจารณาแบบสุกขวิปัสสโกเหมือนเดิม
    พิจารณาแบบใช้กรรมฐาน ๔๐ โดยเน้นที่อนุสติ มีพุทธานุสสติเป็นกำลังใหญ่

    จริงๆแล้วแนวทางการปฏิบัติ มันยังแยกได้อีก ๔ แบบ
    คือ สุขาปฏิปทา และทุกขาปฏิปทา แล้วย่อยไปแบบรู้ช้ารู้เร็วตามกำลังอินทรีย์อีกทีหนึ่ง

    ถ้าถามผมว่าแบบไหนปฏิบัติแล้วมีความสุข
    ผมก็ปฏิบัติแบบนี้แหละ คือ ทำสมาธิมุ่งหาจุดสงบสบาย แล้วพิจารณา
    พิจารณาจนเบื่อ ก็เข้าหาจุดสงบสบาย แล้วก็พิจารณา
    ใช้อานาปานสติควบพุทธานุสสติและกสิณช่วย ผมปฏิบัติแบบสบายๆครับ
    แล้วยิ่งมาควบกับมหาสติปัฏฐานสูตรด้วย ยิ่งสบาย เราเข้าใจแล้ว ที่เหลืออยู่ที่กำลังใจ
     
  11. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    เธอทั้งหลาย ชีวิตนั้นไม่เที่ยง แต่ความตายนั้นเป็นของเที่ยง จงหมั่นเพียรสร้างความดีไว้เถิด
    เพื่อการเบื้องหน้า จะได้เกิดประโยชน์ และความสุข ขึ้นแก่เธอทั้งหลาย สืบๆ ไป เถิด
     
  12. อิ๋วจ้า

    อิ๋วจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +215
    เหมือนการรู้สติตัวเองหรือเปล่าค่ะ...คือรู้ว่าตัวเองทำไร...คิดอะไร.แบบว่าฟุ้งซ้านก็รู้..แล้วดึงสติกลับมา..เข้าใจถูกหรือเปล่าค่ะ....แล้วจิตดูจิต..หรือจิตถึงจิตใช่แบบเดียวกันเปล่าค่ะ
     
  13. A เอม

    A เอม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +22
    ข้อมูลข้างใต้นี้ ขอถึงท่านromanaf3 เพื่อเป็นการแชร์ข้อมูลค่ะ

    ขอเล่าเรื่องขันธ์ 5 ของตัวเองน่ะ ข้าพเจ้าเองก็ปฎิบัติสายนี้อยู่ แต่ขอเล่าเอาแบบคร่าวๆนะค่ะ เผื่อบางทีอาจจะเป็นประโยชน์กับคุณที่ปฎิบัติทางสายนี้อยู่
    ตอนนั้นข้าพเจ้าเองไม่เน้นเรื่องการนั่งสมาธิ เพราะแฟนห้ามเขากลัวข้าพเจ้าจะเป็นบ้าจากการนั่งสมาธิเหมือนญาติเขา เขาเลยสั่งห้ามเด็ดขาด (แต่ตอนนี้ไม่ห้ามแล้วเพราะเจอครูบาอาจารย์ของจริงเข้าไป) ข้าพจะคิดพิจารณาถึงความตายก่อนนอนแทบทุกคืนแล้วมันก็จะกลายเป็นสมาธิเองโดยอัตโนมัติเกือบทุกครั้งค่ะ หลังจากนั้นจะได้รับสารสุขแผ่ออกมาจากกลางท้องตลอด ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรก็แล้วแต่ (แต่ว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว) ครั้งหนึ่งพิจารณาจนหลับไปแล้วจุ๊ๆจิตเกิดมีสติขึ้นมา แล้วเกิดการหยั่งรู้ด้วยตัวของมันเองว่ากายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่การคิดเองน่ะมันหยั่งรู้ด้วยตัวของมันเองแค่เสี้ยววินาที หลังจากนั้นใครจะบอกว่ากายนี้เป็นเรามันไม่มีทางเชื่อเพราะว่าจิตหยั่งรู้แล้ว และอีกครั้งหนึ่งเหมือนกันจิตเจอสภาวะที่อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปคือสว่างจ้ามากๆๆๆๆโล่งไปหมดไม่มีอะไรเลย มันรับรู้ในสภาวะนั้นว่า มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาไ ม่มีภูเขาไม่มีต้นไม้ มันไม่มีอะไรเป็นเราเลย ไม่ใช่การที่เราไปคิดเองเออเองน่ะค่ะ มันให้เรารับรู้เอง รับรู้แค่เสี้ยววินาทีค่ะ จิตมันดึงกลับเพราะจิตติดภาระทางโลก และอีกครั้งหนึ่งจิตมันรับรู้ถึงความไม่เที่ยง เกิดเสียงเหมือนภูเขาระเบิดเสียงดังมากๆๆๆๆแค่เสี้ยววินาทีที่มันรับรู้ ข้าพเจ้ารีบดึงจิตกลับเพราะติดภาระทางโลกที่รับปากแม่ไว้ ทุกวันนี้ความรู้สึกของข้าพเจ้าอยู่ที่จิตคือจะไม่มีความรู้สึกทั่วทั้งกายเหมือนแต่ก่อน เช่นคิดจิตจะอยู่ที่การคิด ได้ยินจิตจะอยู่ที่เสียง เจ็บปวดจิตจะอยู่ที่อารมณ์เจ็บปวดแค่จุดเดียวไม่ปวดไปทั่งตัวมีแค่อารมณ์ปวดอารมณ์เดียวเท่านั้น กินจิตจะอยู่ที่รส แตะตรงใหนจิตไปอยู่ตรงนั้น เดินจิตอยู่ที่เท้า หรือถ้าจะไม่ให้มีความคิดเลยเอาจิตไปไว้ที่บนหัว อารมณ์เหล่าเป็นอยู่ตลอดเวลาที่มีสติค่ะ แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาปฎิบัติแบบนี้ข้าพเจ้าเคยปฎิบัติแบบดูกายตามกายมาก่อน มันเหมือนกายเรานี้เป็นหุนยนต์เราตามดูมันแต่ปัญหามันมีอยู่ว่ามันไม่สามารถดับกิเลสให้ลดลงได้เลย อยากทำอะไรทำ โลภ โกรธ หลง ไม่ลด ก็เลยเปลื่อนมาเป็นแนวพิจารณาความตายก่อนนอนได้ผลเลย เพราะตอนนี้อารมณ์ โลภ โกรธหลง ไม่มีในจิตเลย ดุลูกก็ทำตามหน้าที่ไม่มีอารมณ์โกรธแฝงอยู่ ทุกข์ทางโลกทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ไม่เคยเข้าถึงใจเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใจเราเย็นสบายตลอดไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่รับเอาเข้ามา ไม่ใช่ว่าเราปรุ่งแต่งเองว่าไม่เอาทุกข์น่ะ เราคิดถึงปัญหาคิดๆๆๆแต่มันไม่เข้ามาถึงใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันไม่ยอมเอาทุกข์ร้อนไปตามความคิดเลย
    *****เรื่องความไม่เที่ยงนี้ต้องให้จิตมันหยั่งรู้เองน่ะ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่มีทางเชื่อหรอกค่ะ ด้วยประสพการณ์ตัวเองก่อนหน้านี้จิตไม่เคยเชื่อครูบาอาจารย์เรื่องที่ว่าว่ากายนี้ไม่ใช่เรา เพราะเรามีความรู้สึกทุกอย่างจะไม่ใช่เราได้อย่างไร จิตมันเถียงตลอดเวลามันเชื่อสิ่งที่เห็นและสิ่งที่สัมผัสและสิ่งที่รับรู้ จนกระทั้งมันหยั่งรู้ด้วยตัวมันเองแค่เสี้ยววินาที ทีนี้ใครจะบอกว่ากายนี้เป็นเรามันไม่เชื่อล่ะ เพราะมันหยั่งรู้แล้วคือจิตมันหยั่งรู้ด้วยตัวมันแล้วนั่นเอง***** <O:pข้อมูลข้างบนนี้เป็นเรื่องจริงทุกประการณ์เพราะตัวข้าพอยู่ในศิล 5 ไม่มีการแต่งเรื่องแน่นอน 100% ไม่ต้องการโอ้อวดเพราะรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวนนี้คือสมมุติ แต่ปราถนาให้ท่านได้รับรู้ว่า การปฎิบัติสายนี้แม้ไม่มีอภิญญาเหมือนสายอื่นเขาแต่สามารถ ลดละ โลภ โกรธ หลง ได้จริงๆ คือเราไม่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลง เลย ความอาฆาต พยาบาท อิจฉาริษา ไม่มีเหลือในจิตเลย จิตจะมีแต่ความ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเปกขาเท่านั้น ขอให้ท่านพยายามเข้าน่ะค่ะ แล้วจะรู้ความจริงของโลกมายา ว่าไม่มีอะไรเลยทั้งรูปและนามมันไม่ใช่เรา ทุกสิ่งคือจิตปรุงแต่งทั้งนั้น<O:p
    <O:p
    ขอให้โชคดีค่ะ<O:p
    วางโลก
    <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2012
  14. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    อนุโมทนา สาธุ ครับ กับดวงตาที่เห็นธรรมะแล้ว เห็นปรมัตถ์ธรรมทั้งหลายแล้ว
     
  15. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    โมทนาสาธุ กับ ท่าน วางโลก ที่ท่านนำเรื่องราวของท่านมาเล่ากล่าวในกระทู้นี้ เป็นประโยชน์มากครับ ต่อไปเป็นคำแนะนำจากผม ต้องใช้การพิจารณาเชื่อหรือไม่ตามแต่ ท่านที่อ่านจะพิจารณาเองนะคับ

    แสงที่ท่านเห็นจากปลายหัวนั้น เป็นกายทิพย์ที่ออกจากร่างกาย(กายเนื้อ ) เป็นผลจากจิตมีำกำลังตีโจทย์พิจรารณา ว่า สังขารไม่เที่ยง ได้สำเร็จและเป็นความเข้าใจ ว่า ได้เข้าใจจริงๆรู้ได้เฉพาะตน จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำ ขอโมทนาสาธุกับท่านด้วย ไม่ต้องกังวล อะไรมากก่อนนอนทำใจสบายๆ สมาทานศีล แล้วนอนตามปกติ พอผ่านไปหลายๆวัน อาการเหล่านี้จะเป็นปกติ คับ อารมณ์กำลังแบบนี้จะทรงอยู่ไปสักระยะ อย่าไปทำอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้เป็นไปตามปกติ มีความสุขกับอารมณ์นี้ไปเป็นปกติ เนื่องจาก ท่านได้ ละสักยทิฐิ คือ มีความเห็นว่ากายเป็นของไม่เที่ยง ไปแล้ว ขอให้ ลองดูว่า สังโยชน์อีก 2 ข้อ คือ วิจิกิจฉา และศีลพตปรามาส ลองทำความเข้าใจดู เข้าใจอย่างไร ลองโพสมาคุยกับผม ถ้าผ่านสังโยชน์ ได้ 3 ข้อ ก็ได้คะแนน 3 คือ พระโสดาบัน นั่นเอง รายละเอียดผมไม่แนะนำ ไม่บอกวิธีพิจารณา ให้ท่านไปทำความเข้าใจเอาเอง จนท่านมั่นใจ หรือ สงสัยข้อไหน แล้วมาคุยกะผมต่อ สำคัญคือ สบายๆ หากยังไม่อยากพิจารณา ก็ปล่อยมันสบายๆ ในอารมณ์นี้ไปก่อน อยากพิจารณา ต่อยอดเมื่อไร ค่อย ทำ แล้วแต่ท่าน สบายๆ ไม่เร่ง ให้เป็นไปตามธรรมชาติ นะครับ
     
  16. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    คุณรักษาศิล8ได้สี่ปี ก็ยอดเยี่ยมแล้วครับ นับถือๆหาได้ยากกครับสู้ๆต่อไปนะครับอย่าไปกลัวมัน ยอมอดยอมทนสักชาติหนึ่ง เอาของดีก็ต้องยอมอดยอมทนบ้างจริงมั้ยครับ!:cool::cool:
     
  17. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ท่านได้แทงตลอดอริสัจ แล้วนิพพานประจักษ์ขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็โสดาบันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...