วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    อนุโมทนาบุญกับกุศลที่ทุกท่านกำลังปฏิบัตินะครับ
     
  2. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    (smile) ขอบคุณมากค่ะคุณเด็กอนุบาลที่ให้กำลังใจและก็ขอเป็นกำลังใจกลับแทนด้วยนะคะ ดู ๆ ไปชื่อเราคล้าย ๆ กันนะคะ เคยอ่านที่ไปที่มาในข้อความก่อน ๆ ทราบว่าเหมือนเด็กอนุบาลในทางธรรม สำหรับตนเองตั้งชื่อนี้เพราะมีคนชอบเรียกตนว่าหนูน้อย ทั้งที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๓๐ กว่าแล้ว (ไม่กล้าบอกอายุจริง เดี๋ยวจะกลายเป็นป้าน้อยแทน) อาจเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่ข้างในแบบเด็ก ๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ยอมโตตามอายุจริง และตนเองก็รู้สึกว่าเมื่อเข้ามาในเว็บนี้แล้ว เป็นหนูน้อยเริ่มแรกเรียนจริง ๆ ในทางธรรมโดยเฉพาะหลักสูตรพุทธภูมิ

    สำหรับคำกล่าวที่ว่า "ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นไม่เห็นธรรม" เห็นด้วยอย่างมากค่ะ เพราะที่ตนเองสนใจเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาก็เพราะมีทุกข์ เริ่มจากความผิดหวังที่สอบเอ็นไม่ติดในคณะที่ตนต้องการ ศึกษาจนได้เป็นประธานชมรมพุทธศิลป์คณะหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ต่อมาก็การงานไม่เป็นดั่งใจ ผิดหวังในความรัก และล่าสุดก็ป่วยไข้ไม่สบาย เคยทุกข์มากจนคิดจะออกบวชเป็นชีไม่สึก และเคยปฏิบัติปลงอสุภะเห็นตัวเองตาย ได้กลิ่นเหม็น กลิ่นไหม้ และกลิ่นหอมออกจากร่างกายตน เคยอธิษฐานปฏิบัติขอบรรลุอย่างน้อยโสดาบันเพราะไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว โดยเฉพาะลงอบายภูมิ อย่างมากก็สุคติภูมิอีก ๗ ชาติ เคยได้ยินเสียงมาบอกว่า ปฏิบัติต่อไปจะได้อนาคามี (ก็ไม่รู้ว่าหูแว่ว เพี้ยนไปเองหรือเปล่า หรือว่ามีมารมาทดสอบ?) แต่ตอนนั้นทำใจไม่ได้ ยังมีห่วงตัดไม่ลง ก็กลับมาคิดว่าถ้าตนปฏิบัติต่อไปก็เป็นไปได้ที่จะถึง เพราะรู้ว่าตนเองเป็นคนบ้า บ้าทำอะไรแล้ว ก็จะจริงจัง แต่ก็กลับคิดว่าแล้วคนรอบข้างล่ะ บิดา มารดา ผู้มีพระคุณ คนที่เรารักทั้งหลาย พอได้มาศึกษาหลักสูตรพุทธภูมิแล้ว เออ ถ้าจะเหมาะกับตนดี ก็ไม่รู้ว่านี่จะเป็นชาติแรกและชาติสุดท้ายที่ปรารถนาหรือเปล่า (ไม่รู้ว่าเคยอธิษฐานมาก่อนในชาติที่ผ่านมาหรือเปล่า?) แต่รู้ว่านี่เป็นกำลังใจให้เราอยู่ในทางโลกต่อไป ไม่ลาเข้าสู่ทางธรรมเต็มตัว ก็กำลังเพียรพยายามฝึกฝนตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นสะสมบารมีอยู่ค่ะ

    เรื่องของกามฉันทะ ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ใช้อสุภกรรมฐานทราบมาว่าจะตรงสุด ลองหาทางศึกษาและปฏิบัตินะคะ รู้สึกว่าตนเองได้ผล ร่วมกับศีล ๕ คิดเอาเองนะคะว่าตราบใดที่ยังมีความปรารถนาในพุทธภูมิ กิเลสตัณหาตัวนี้ก็ยังตัดไม่ขาด เพราะยังต้องใช้เพื่อให้เป็นแรงผลักอย่างหนึ่งในการทำสิ่งต่าง ๆ ในโลก รู้ว่าละได้แต่ยังไม่ละ หรือว่ายังละไม่ได้ (tm-love) แต่ก็ต้องให้อยู่ในขอบข่ายของศีล ๕ ลองคิดดูนะคะว่า เราอยากเป็นพุทธภูมิเพราะอะไร เพราะความเมตตาในสรรพสัตว์ใช่หรือไม่ ถ้าการมีกามฉันทะของเรา จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หมายถึงผู้ที่เป็นเจ้าของที่ไม่ยินยอม เราจะทำได้ลงคอหรือ เพราะเรากำลังทำให้ผู้นั้นเป็นทุกข์ ถ้าหากจะมีก็ด้วยความถูกต้อง นั่นคือการทำให้ทุกฝ่ายเป็นสุข...เอาใจช่วยนะคะ...
     
  3. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    เรื่องของกามฉันทะ ผมว่าเจอกันทุกคนครับ เพราะพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธ์แบบอาศัยเพศ คิดว่าต้องเอาชนะด้วยปัญญาเท่านั้น เมื่อก่อนผมก็เอาชนะด้วยพิจารณาอสุภ เหมือนกัน แต่มันชนะไม่ขาด พอคุณชนะจนเริ่มคิดว่าคุณชนะแล้วไม่มีปัญหา คุณจะชนะมันต่อได้อีกไม่กี่ครั้ง พอคุณไปหากรรมฐานตัวใหม่มาสู้ มันก็วนอยู่แบบเดิม เพราะจิตเป็นธาตุรู้ มันหลบหลีกอัตโนมัติของมัน ถ้าคุณไม่เอะใจก็ยากจะจับทางมันทัน ผมเลยหันมาเจริญวิปัสสนาแทนมองมันไปเลยตรงๆว่าจะทำอะไร มีสติไปทุกขณะ ให้จิตเราเป็นผู้เลือก ผู้ตัดสินใจเอง ถ้ามันเห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษเมื่อไหร่ วันหลังจากนั้นมันจะหลีกเองเพราะไม่รู้จะไปคลุกเคล้าทำไม เพื่ออะไร

    คุณหนูน้อยครับ วิปัสสนา ไม่มีทำให้เป็นบ้าแน่นอน มีสติรู้กายรู้ใจเนืองๆ ทำถูกทางจะสุขอิ่มๆ
    อยู่กับสังคมทั่วไปเราก็มีสติ กิเลสมันชอบหลอกให้เราลืมกายลืมใจ เอาอะไรแปลกๆใหม่ๆมาหลอกให้ลืมดูทุกที
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณหนูน้อยก่อนนะครับ

    กรรมฐานกองที่ดีที่สุด หรือการฝึกสมาธิในแบบที่ดีที่สุด ก็คือ แบบที่ตัวเราเองทำแล้วรู้สึกว่าเราก้าวหน้าครับ แต่แบบ สไตล์ ทาง ของใครก็ของคนนั้นครับ

    เราเองปฏิบัติแบนี้ดี เราก็ว่าของเราดี คนอื่นปฏิบัติแบบเขา เขาก็ว่าเขาดีอีก สรุปรวมความแล้ว เราเลือกปฏิบัติให้ตรงกับ

    -บุพเพกัตตะบุญญตา แนวทางตามบุญเก่าในอดีตชาติที่เราปฏิบัติมา
    -จริต
    -อารมณ์ใจในขณะนั้น เช่นเกิดกิเลสข้อใด ก็ใช้กรรมฐานเครื่องแก้อารมณ์นั้นออกไปเสีย

    อย่างนี้การปฏิบัติจึงจะได้ผลและก้าวหน้าครับ

    ส่วนหลักสูตรเร่งรัดที่ว่านั้น เป็นการเร่งรัดให้ได้ถึงฌานสี่ให้ได้ในเวลาที่ค่อนข้างเร็ว ทำได้ภายในวันเดียว แต่ก็แปลก พอได้ง่ายไป บางครั้งหลายคนกลับไม่เห็นคุณค่าเท่าที่ควร ไม่ค่อยรักษากันเอาไว้ได้ มีเพียงบางท่านเท่านั้นที่ยังทรงอารมณ์เอาไว้ได้ตลอดเวลา ตลอดทุกอิริยาบท

    ส่วนการประยุกต์ใช้นั้น ที่จริงกำลังแห่งสมาธินั้นสามารถประยุกต์ใช้ได้ แทบจะทุกๆ อย่าง ตั้งแต่ การเรียนรู้ การแพทย์ การฝึกพลังจิตให้ปรากฏผลออกมาทางกาย การตัดแต่งพันธุกรรมของร่างกายตนเอง การประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ และอีกมากมายครับ (ไม่นับรวมด้านการตัดกิเลสที่เป็นเป้าหมายตรง)

    การประยุกต์ใช้ด้วยวิชชามโนมยิทธินั้น ผมขอรับรองว่าเป็นวิธีการที่รวดเร็ว คล่องตัว สะดวก และได้ผลเร็วที่สุดแล้ว จึงขออนุญาต สอนการประยุกต์ใช้จากวิชชานี้ ดังนั้นต้องให้ได้ วิชชามโนมยิทธิให้คล่องกันก่อน จะให้คล่องก้มีการบ้านดังนี้

    -จับลมสบายให้ได้เป็นปกติ ทุกอิริยาบท

    -ทรงศีลเป็นปกติ

    -มีพรหมวิหารสี่ประจำใจ

    -คล่องในพุทธานุสติกรรมฐาน ผสมในกสิณแสงสว่าง

    -มีวิปัสนาญาณ ที่เป็นปกติ

    ส่วนเรื่องที่อยาก พัฒนาตนเองในทุกๆด้านนั้น ต้องขอบอกเลยว่า เป็นกำลังใจที่ถูกต้องที่สุดเลยครับ

    มีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่เป็น เครื่องแบ่งคนที่ก้าวหน้าไปสู่ระดับสูงได้ กับคนที่ยืนอยู่ที่เดิม ก็คือ "พลังแห่งการเรียนรู้"ครับ คนที่มีพลังนี้มาก จะมีแรงผลักดันจากภายใน ให้คิดให้สังเกตุให้ค้นหาวิธีการต่างๆที่สร้างสรรค์และดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

    มีสภาษิตจีนที่บอกไว้ว่า "ลูกผู้ชายไม่พานพบ สามวัน พึงประเมินใหม่" ซึ่งหมายความว่า แม้ไม่เจอเพียงไม่นาน คนเราก็อาจที่จะพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด ไปอย่างมากๆเลยก็ได้ และอีกมุมหนึ่งก็คือ อย่าได้พึงประมาท คนที่แต่ก่อน อาจไม่เก่ง หรือไม่มีความสามารถในวันวาน วันนี้เขาอาจเก่งกว่าเราก็อาจเป็นได้

    ดังนั้นพลังแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเองนั้น เป็นสิ่งแรกๆที่ผมอยากให้ทุกๆคนมีอยู่ในตัวเอง กันตั้งแต่ต้น

    น่ายินดีแทนคุณหนูน้อยด้วยครับ
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณ เด็กอนุบาลต่อไปเลย

    ยังไม่ต้องกังวลใจมากครับ เรื่องที่ได้เล่ามา เพราะตราบที่เรายังไม่บรรลุอรหันต์ สติเราไม่รู้เท่าทันในอารมณ์กระทบและกิเลสได้ทั้งหมดหรอกครับ เพราะเรายังมีอวิชชา ความไม่รู้(เท่าทัน)อยู่

    มีอีกเทคนิคหนึ่งที่อาจเหมาะสมกับจริต และเป้าหมาย ของคุณเด็กอนุบาล ที่หวังการฝึกให้ได้ สมาบัติแปด (ฌานแปด ) และจะใช้กำลังของสมาบัติแปดตัดเข้าสู่ความเป็นอรหันต์ผล ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าท่านที่เลือกวิธีการนี้ ก็ย่อมหวังในความเป็นปฏิสัมภิทาญาณเป็นธรรมดา

    "ตามวิสัยท่าน ที่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาแต่เดิม เมื่อลาก็ขอให้ได้ในระดับสูงที่สุด"

    เทคนิคที่ว่านี้ ก็คือ ลองกำหนดเวลาดู เช่น ระหว่างนั่งเล่นๆ อยู่ ในสิบนาทีนี้ เราฝึกว่า เมื่อตามองเห็น ภาพของสิ่งใดก็ตาม เราจะใช้กำลังใจพิจารณาแยกส่วนประกอบและวัตถุธาตุของของสิ่งนั้น ออกไปจนสลายไปสิ้นไม่เหลืออะไรเลย (ตัวที่เป็นการพิจารณาการสลายตัวไปนั้น เป็นอรูปฌานกองหนึ่ง) เช่น เห็นแมวเดินมา เราก็พิจารณาแยก ขนมันออก ใช้ใจพิจารณาว่าแมวตัวเกลี้ยงๆมันน่ารักไหม ลอกหนังออก แมวตัวแดงๆเห็นเลือดเนื้อ น่าดูไหม จากนั้น แยกเนื้อ ออกเหลือแต่โครงกระดูก ดูว่าเป็นอย่างไร จากนั้นมองให้เห็นกระดูกค่อยๆผุพังจนกลายเป็นผงธุลีหายไปในที่สุด ที่แท้ แมวก็ไม่มี อะไร เป็นธาตุสี่ที่มาประชุมกันไปเอง

    หรืออย่างวัตถุ ก็มาพิจารณาดูว่า สิ่งของต่างๆ เช่น ปากกา จับแยกออกเป็นชิ้นๆ แยกออกจนถึงระดับอณู จนสลายตัวไปในที่สุด

    ฝึกพิจารณาอย่างนี้จนคล่องจนชำนาญ จากนั้น ก็มาพิจารณาต่อไปว่าอะไรที่เรารู้สึกชอบ รู้สึกรัก รู้สึกพอใจ ไม่ว่าจะเป็น คน ก็ดี สัตว์ ก็ดี สิ่งของก็ดี เราก็ฝึกแยกให้เห็นความเสื่อม ความสลายไปในที่สุดเอาไว้ แล้วถามใจของเราเองว่า หากสิ่งนั้นเสื่อมสลายไป ใจของเราจะทุกข์หรือไม่ ฝึกใจของเราให้ปล่อยวางออกจากความสำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้น เป็นความรู้สึกเฉยๆ เป็นอุเบกขา มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่อยากได้ หรือหากครอบครองอยู่หายไปก็ไม่เสียดายไม่ทุกข์ ฝึกปล่อยวางในทุกสิ่ง


    ค่อยๆฝึกไปทีละน้อย ทีละน้อย แต่สม่ำเสมอครับ
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จริงอย่างที่ คุณหลับตาว่าไว้ครับ

    ในยุคนี้สังคมทุนนิยม เสื่อมทรามลงไปสู่การใช้กามรมณ์เป็นเครื่องล่อเพื่อกระตุ้นความอยากของคน ให้ซื้อสินค้า สัเกตุได้จากปกหนังสือ และแฟชั่นทุกวันนี้ได้ว่าเป็นอย่างไร

    เมื่อสิ่งล่อ เครื่องกระตุ้นมาก จิตคนเราส่วนใหญ่ก็ย่อมถูกฟอกย้อมไปด้วยกันทั้งสิ้นครับ

    แต่ขอให้เรารักษาเนื้อในของใจเราเอาไว้ให้ได้เป็นสำคัญ หาเวลา หาโอกาสออกไปจากสังคมสิ่งเร้าแบบนี้บ้างตามจังหวะโอกาสอันเหมาะสมครับ
     
  7. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    รูป..สังขาร(ภาวะ)
    วิญญาณ..เวทนา(อารมณ์)
    ตัด..ภาวะ อารมณ์..เท่ากับ
    ตัด..สัญญา..จาก
    วัฏฏสงสาร..โลกียะ..ภพภูมิ..สู่
    นิพพาน..อันเป็นที่ตั้งของ..ทุกสรรพสิ่ง

    ดังนั้น
    ธรรม...สายกลาง
    ธรรมดา...สบายๆๆๆ
    ธรรมชาติ...สมดุลย์...พอดี..พอเพียง

    ค่อยๆปรับ
    ค่อยๆเปลี่ยน

    จาก บัญญัติ
    ไปสู่ ปรมัตต
    ในที่สุด...............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2007
  8. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    หนึ่งในวิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    หนึ่งในวิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ

    ปัจจัย ๔ ล้วนรวมกันอยู่ในป่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    วิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ

    ใช้ชีวิตอย่าง อยู่ง่าย ๆ กิน ง่าย ๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    วิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ

    ศีล สมาธิ ปัญญา

    พระรัตนตรัยเป็น ที่พึ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • CA6V67AD.jpg
      CA6V67AD.jpg
      ขนาดไฟล์:
      828.2 KB
      เปิดดู:
      58
  12. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ขอบคุณจริง ๆ เลยค่ะ ที่อาจารย์ kananun ได้ให้กำลังใจ ความจริงตนเองสนใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้เก่งทุกด้านมาตลอด แต่ก็ทำ ๆ หยุด ๆ เพราะบางครั้งก็คิดว่ามันเป็นกิเลสทิฐิมานะหรือเปล่า พยายามเฝ้าดูใจตนเอง เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ เคยใช้กิเลสความอยากให้ผู้อื่นรักและยอมรับมาเป็นแรงผลัก แต่ก็ไปได้ไม่นาน แถมทำร้ายตัวเราเองอีก ตอนหลังมาศึกษาพุทธศาสตร์มากขึ้นเริ่มปลง ไม่อยากเป็น อยากมีอะไรอีก หลังสุดเหตุผลก็เพราะอยากให้ตนเองสามารถที่จะช่วยตนเองและผู้อื่นได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่หยุด ๆ หย่อน ๆ ตามกำลังใจของตนเอง

    สรุปว่า อยากเรียนมากที่สุดค่ะ ไม่ทราบว่าอาจารย์จะสอนที่ไหน เมื่อไหร่คะ ตอนนี้ก็ทำการบ้านไปก่อนหรือเปล่าคะ เป็นไปได้มั๊ยคะ ที่จะเรียนทางไกล ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เพราะช่วงนี้เร่งงานเรียนที่เชียงใหม่อยู่ ขอบคุณมาล่วงหน้านะคะ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรื่องหลักสูตรเร่งรัดนั้นตั้งใจว่า จะเปิดสอนในช่วงเข้าพรรษานี้ครับ เป็นวันอาทิตย์ ที่กรุงเทพเพื่อจะได้สะดวกกับผู้สนใจ

    วันแรกที่เปิดสอนจะแจ้งให้ทราบในกระทู้นี้ครับ ขออนุญาตให้ผู้ที่สนใจใฝ่รู้จริงๆ และหวังที่จะนำความรู้ที่ได้ไปใช้ช่วยเหลือส่วนรวม หรือเพื่อความหลุดพ้นครับ

    ส่วนที่จะให้เปิดสอนทางไกลนั้น ก็พอทำได้แต่ก็อาจไม่เต็มร้อยนัก ขอให้ไล่อ่านจากที่ได้ลงเอาไว้ ฝึกไปวันละบท จนผ่านขึ้นไปเรื่อยๆ หากติดขัดข้อใดก็ลงถามในกระทู้นี้เพื่อ ท่านอื่นๆจะได้รับประโยชน์ด้วยครับ

    หรือมีอะไรเร่งด่วนก็โทรถามผมได้ครับ มีโทรมาสอบถามหลายท่านอยู่
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรามาต่อกันในเรื่องของการปฏิบัติในแบบของพุทธภูมิกันครับ

    พุทธภูมิ นั้น เป็นการบำเพ็ญบารมีเพื่อการเป็นผู้นำ(นำไปสู่ความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด) ของชาวบ้านเขา ดังนั้นคำว่าไม่รู้จึงไม่อาจมีได้สำหรับเรา ด้วยเหตุนี้ พุทธภูมิจึงต้อง ทำการบ้านมากกว่าชาวบ้านเขา มีความเพียร ความอดทนมากกว่า และที่สำคัญต้องมีความใฝ่รู้และละเอียดในทุกแง่มุม

    ในส่วนของการปฏิบัติ

    กรรมฐานบางกอง สาวกภูมิใช้เวลาฝึกแง่มุมเดียว ก็สามารถบรรลุธรรมกันได้แล้ว แต่หากเป็นพุทธภูมิก็ต้องเรียน ต้องรู้กรรมฐานกองดังกล่าวได้อย่างชำนาญในทุกแง่ทุกมุมในการปฏิบัติ
    -สิ่งใดเป็นเครื่องส่งเสริมกรรมฐานกองนี้
    -สิ่งใดเป็นโทษต่อกรรมฐานกองนี้
    -สิ่งใดเป็นข้อพึงปฏิบัติในกรรมฐานกองนี้
    -กรรมฐานกองนี้ มีการวางอารมณ์ใจอย่างใด
    -กรรมฐานกองนี้ มีนิมิตรเช่นใด
    -ผลของกรรมฐานกองนี้ เป็นเช่นใด
    -อานิสงค์ของกรรมฐานกองนี้เป็นเช่นใด
    -อารมณ์ใจที่ได้หลังการเจริญกรรมฐานกองนี้เป็นอย่างไร
    -กรรมฐานกองนี้เมื่อปฏิบัติผิดมีอาการอย่างไร

    ก็มีโดยประมาณดังนี้ จะไม่ขออธิบายอย่างละเอียดไปเสียทุกกอง เพราะท่านผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเป็นผู้ไป ฝึก ไปเรียนรู้ ไปพิจารณาใคร่ครวญดูกันเอาเอง

    ส่วนหลักสูตรภาคบังคับที่ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิต้องทำได้ก็คือ

    -มหาสติปัฐฐานสี่
    -กรรมฐานสี่สิบกอง
    -พรหมวิหารสี่อัปปันนาณฌาน
    -บารมีสามสิบทัศน์
    -อารมณ์พระนิพพาน

    ขอขยายเรื่องอารมณ์พระนิพพานหน่อยครับ ว่าเป็นการรู้ อารมณ์ การยกระดับอารมณ์ของสรรพสัตว์ เช่น

    สัตว์นรกมีอารมณ์ใจเช่นนี้
    เทวดา พรหม มีอารมณ์ใจเช่นนี้
    จิตมนุษย์ที่เคลื่อนจากมิจฉาทิษฐิ ไปสู่สัมมาทิษฐิมีอารมณ์ใจเช่นนี้
    จิตมนุษย์ที่เคลื่อนถอยไปสู่ความชั่วเป็นมิจฉาทิษฐิมีอาการ อารมณ์อย่างนี้
    จิตที่เคลื่อนเข้าสู่ความเป็นโสดาปฏิมรรคมีอารมณ์อย่างนี้ มีจิตน้อมไปอย่างนี้
    จิตที่เคลื่อนเข้าสู่ความเป็นโสดาปฏิผลมีอารมณ์ใจอย่างนี้

    ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงอารม์พระนิพพาน

    สิ่งเหล่านี้รู้ด้วยจิต ไม่ใช่การท่อง การจำ การฟังจากตำรา เป็นการฝึก การไปเรียนรู้ จากพระท่าน

    อย่าได้ไปสำคัญผิดว่า เราปรารถนา พุทธภูมิ เรื่องพระนิพพานเป็นเรื่องไกลตัวเพราะเรายังอีกนานกว่าจะบรรลุ

    อย่าลืมไปว่าทำไม เราถึงปรารถนาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า คำตอบก็คือเพื่อนำพาเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เข้าถึงซึ่งพระนิพพานใช่หรือไม่ ดังนั้นมาในชาตินี้ เราได้รู้ได้สัมผัสอารมณ์พระนิพพาน เข้าถึพระนิพพานแล้ว ไยจะทิ้งไปเสีย

    ดังนั้นพึงอธิฐานเก็บรวบรวมสรรพวิชชาและอารมณ์กรรมฐาน เอาไว้ดังนี้

    "หากข้าพเจ้าได้เกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีในชาติใดสมัยใดก็ตาม

    ขอให้ข้าพเจ้า สามารถรำลึกรู้จดจำ พระชาติต่างๆที่ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างบารมีได้ในทุกๆชาติไป

    ปฏิปทาและกรรมฐานทุกกอง สมาบัติแปด ญานโสฬสทั้งสิบหกประการ จงพึงปรากฏแจ้งแก่ใจของข้าพเจ้าได้ในทุกพระชาติไป

    มโนปฏิญาน ทั้งสิบสองประการ จงมั่นคงอยู่เสมอ

    ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ทรงสัมมาทิษฐิ ทศพิธราชธรรม มั่นคงไม่แปรเปลี่ยน

    ขอจงกำเนิดในสกุลแห่งสัมมาทิษฐิ ดำรงในศีล ในธรรม ในสัปปายะประเทศ และในเขตแห่งพระพุทธศาสนา มั่งคั่ง มั่นคงทั้งอริยทรัพย์และโภคทรัพย์ทั้งปวง

    เป็นผู้ฟื้นตื่นสู่ความเป็นพระมหาโพธิสัตว์โดยเร็วพลัน

    และขอให้เทพพรหมเทวาทั้งปวงผู้พิทักษ์รักษาข้าพเจ้า ได้โปรดคุ้มกาย คุมจิตของข้าพเจ้ามั่นคงทรงคุณธรรม ตราบจนข้าพเจ้าได้บรรลุถึงพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ"
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การปฏิบัติของพุทธภูมินั้น เราต้องเก็บประมวลสรรพวิชชาความรู้การปฏิบัติเอาไว้ทั้งหมด
    การเรียนรู้ต้องยิ่งไปกว่าเขา

    -เรียนถูก ว่าทำอย่างนี้ถูกมีผล มีอานิสงค์ ทรงอารมณ์อย่างนี้ ใช้กำลังใจอย่างนี้

    -เรียนผิด ว่า ทำอย่างนี้มีผลเสียแบบนี้ มีอารมณ์ที่ดึงไปแบบนี้อาการอย่างนี้ เป็นโทษแบบนี้

    ตัวอย่างการเรียนผิดที่ผมเองประสบมากับตัวก็เรื่อง"นิพพานสูญ" เจอเองเข้าเต็มๆในช่วงก่อนที่จะมาได้พบหลวงพ่อท่าน

    อารมณ์ที่ปรากฏ นั้นจะพบเองว่า ใจมันแห้งๆ ว่างแบบ โหว้งๆ จิตไม่เต็ม แถมยังมี ความรู้สึกเอะใจอยู่ลึกๆ

    การไปเรียนผิด เป็นครูที่ดีของเราเสมอเพราะหากไม่ประสพด้วยตนเองก็ย่อมไม่รู้ว่า อารมณ์ที่ผิดนั้นเป็นอย่างไร

    แต่การไปเรียนผิดนั้นข้อควรระวังก็คือ อย่าไปลากยาว จะกู่ไม่กลับ หรือกว่าจะกลับสู่แนวทางที่ถูกต้องได้ก็ใช้เวลานาน ดังนั้นเราต้องขีดแนวทางในการบำเพ็ญบารมีของเราอยู่ใน แนวทางแห่งสัมมาทิษฐิเอาไว้เสมอ

    เพื่อการบำเพ็ญบารมีและการปฏิบัติของเราจะได้เป็นเส้นลัดตัดตรง มุ่งที่ผลหวังจะยังประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์ให้ได้มากที่สุด ช่วยผู้คนให้ได้มากที่สุด ยังประโยชน์ส่วนรวมให้มากที่สุด
     
  16. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ขอบคุณมากค่ะคุณหลับตา ที่ช่วยเตือนสติ สติปัฏฐาน ๔ เป็นยอดกรรมฐานจริง ๆ ขาดสติแล้ว ชอบหลงลืมโดนหลอกอยู่เรื่อย :cool:

    คุณ kananun จะเริ่มสอนอาทิตย์แรกเมื่อไหร่คะ จะพยายามจัดสรรเวลาลงกทม. ไปร่วมด้วยค่ะ เพราะใจหนึ่งก็คิดอยู่เหมือนกันว่า การเรียนรู้ภาคปฏิบัติถ้าจะให้ผลดีควรจะเป็นอย่างที่อาจารย์ว่า เอ แล้วไม่ทราบจะโทรสอบถามอาจารย์ได้ที่เบอร์ไหนคะ?
     
  17. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    เพิ่มเติมครับ วิธีนี้เป็นหนึ่งใน กรรมฐาน 40 กอง เรียกกว่า
    จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    ขอโมทนากับทุกท่านครับ _/\_
     
  18. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ทางตรงมันก็สั้นเร็วสุดเนอะฮะ
    แต่ว่าทางเบี่ยงนี่มีได้นับล้านไม่ถ้วน



    เลยเถออกนอกง่ายกว่าเดินตรงทางอะก๊า.. อิๆๆ
     
  19. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    อ๊า... อาทิตย์นี้ก็ตรงกะงานชุมนุม "จอมยุทธ" ของเพ่ เม้าท์ฯ อะดิคร้าบบบ
     
  20. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลโมทนากับธรรมทานที่แนะนำแบบฝึกหัดฝึกแยกธาตุ4

    ขอบคุณมากครับที่เพื่อนๆให้แบบฝึกหัดใหม่ๆแก่เด็กอนุบาลในการฝึกสมาบัติ จะได้ก้าวเป็นเด็กประถมกับเขาเสียทีครับ :)
    เด็กอนุบาลจะฝึกโดยแบ่งเวลาใช้การฝึกนี้กับตอนที่เดินเจอผู้คนหรือนั่งประชุมกับเพื่อนร่วมงานละกันครับ แต่ก่อนฝึก ก็ขอถามตามประสาเด็กช่างสงสัยครับ
    -การฝึกแยกธาตุ 4นี้ จัดเป็นแค่ขั้นกรรมฐานหรือควบวิปัสสนาด้วยครับ ถ้าให้เด็กอนุบาลเดาคือถือเป็นทั้งคู่ใช่ไหมครับ
    -เส้นแบ่งแยกระหว่างการทำกรรมฐานกับวิปัสสนาอยู่ตรงไหนหรือครับ เด็กอนุบาลอยากทราบเพื่อจะได้ทำใจให้ถึงวิปัสสนาทุกครั้งที่พิจารณาสภาวะธรรมใดๆครับ
    1.เห็นทุกข์(ความเกิด,ความแก่,ความเจ็บ,ความตาย,ความสกปรกของกาย)
    2.เห็นว่าสภาพทุกข์นั้นน่าเบื่อ ไม่น่าที่เราจะต้องมาทนอยู่กับทุกข์นี้
    3.เห็นว่าทุกข์นั้นๆเป็นของธรรมดาโลก
    4.เห็นว่าทุกข์ที่เป็นธรรมดาโลกนั้นๆ มีสภาพไม่เที่ยง เช่นเด็กทารกที่เกิดมาเดี๋ยวก็ต้องแก่ ความเจ็บป่วยที่เรารู้สึกอยู่เดี่ยวก็หายไป ที่เรารู้สึกหิวอยู่เดี่ยวก็ต้องหายหิว
    5.เห็นว่าทุกข์ที่เป็นธรรมดาโลกนั้น มีแก่เรา จากสาเหตุที่เราดันมีร่างกาย และที่เรามีร่างกายก็เพราะเราดันเกิดมา และที่เราเวียนว่ายตายเกิดมาก็เพราะเราดันติดใน รัก โลภ โกรธ หลง
    6. คิดต่อจาก 5. ว่าเรารู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว การไม่ต้องเกิดนั้นแลดีที่สุด เราจะตั้งใจดับไฟรักโลภด้วยการให้ทาน ดับไฟโกรธด้วยการเมตตา ดับไฟหลงด้วยการคิดว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไรในโลกที่เป็นตัวเรา ของเรา
    - อารมณ์เบื่อแบบไหนที่ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณครับ ผมเกรงว่าจะเบื่อผิดแบบครับ เพราะผมสังเกตุตัวเองว่าเวลาปฏิบัติธรรมคิดเบื่อสิ่งต่างๆในโลก ใจผมมันจะเศร้าหมองยังไงพิกล เลยคิดว่ามาผิดทาง คิดเบื่อยังไงไม่ให้ใจหมองครับ
    - เบื่อรถติด-->หมอง
    - เบื่อที่ตัวเราต้องมาป่วยอยู่อย่างนี้-->หมอง
    - เวลาเรามองคนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นซากศพเดินได้ เราควรพิจารณาธรรมแบบนี้ไหมครับ ผมสับสนว่าคิดอย่างนี้จะกลายเป็นเราไม่ได้รู้สภาวะธรรม ณ. สภาพปัจจุบัน ของสิ่งนั้นๆหรือเปล่าครับ เช่น
    1. เวลาเรามองกายผู้หญิงสวยที่ยังเต่งตึงอยู่เดินผ่านเรา ตอนเราเห็นเค้า เค้ายังไม่ได้เน่าเฟะ เป็นศพเลยนี่ครับ ถ้าเราไปคิดว่าเค้าเน่าออกมาให้เราเห็นแบบนั้นจะกลายเป็นเราไปคิดถึงอนาคต ไม่จดจ่ออยู่กับสภาวะปัจจุบันของกายนั้นๆ หรือเปล่า
    2. แต่เวลาเราไปดูร่างกายคนตายตามโรงพยาบาลที่เราเห็นตับไตไส้พุงเขา หรือศพที่เน่าให้เราเห็นคาตา อย่างนี้ผมไม่สับสนครับ เพราะเรากำลังพิจารณาสภาวะธรรมของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันขณะของเขาจริงๆ :) น่าจะพิจารณาวิปัสสนาต่อได้จริง
    3. แล้วที่เราคิดว่าวันพรุ่งนี้เราอาจต้องตาย แต่ภาวะปัจจุบันเรายังไม่ตาย ถ้าเราวิปัสสนาในใจว่า พรุ่งนี้หนอ เราอาจต้องตาย คิดอย่างนี้จะไปคิดถึงอนาคต คือถือว่าไม่พิจารณาสภาวะธรรมในปัจจุบันหรือเปล่าครับ ตกลงควรคิดไงดีครับ เด็กอนุบาลชักงง อะไรคือนิยามของสภาวะธรรม ณ ปัจจุบัน ที่เราควรใช้ต่อยอดทำวิปัสสนากันแน่หนอ เด็กอนุบาลยังปัญญาน้อย วอนท่านผู้รู้ช่วยให้ธรรมทานด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...