คุยกันฉันท์เพื่อน - ( ๔๑) ^_^

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ชนินทร, 17 กันยายน 2009.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ถ้าท่านใดฝึกจิต... ฝึกสติ.... ฝึกสมาธิ... มาดีแล้ว...

    ขอได้โปรดช่วยกันนำพลังบริสุทธิ์เหล่านั้นที่ทุกท่านสร้างสมขึ้น...

    มาใช้ช่วยกันอธิษฐาน... ประคับประคองให้พวกเราทุกดวงจิต... สามารถผ่านวิกฤติใหญ่ของชีวิต.... ผ่านอกุศลกรรมรวมใหญ่.... ในครั้งนี้ และทุก ๆ ครั้ง ที่จะมีขึ้น... ไปให้ได้...

    โดยที่ทุกดวงจิต... ยังมีสติสุมปชัญญะที่สมบูรณ์...

    มีร่างกายที่สมบูรณ์...

    มีการพลัดพราจากคนที่รัก.... สิ่งที่รัก.... ให้น้อยที่สุด...

    .......................................................................

    ถึงแม้มันจะเป็นกฎของกรรม....

    ธรไม่ได้คิดจะฝืนกฎของกรรม...

    แต่ธรเชื่อว่า.... ถ้าเราสร้างกรรมดี หรือกุศลกรรมมาก ๆ.... อกุศลกรรม หรือกรรมชั่ว.... ก็จะอยู่ห่างเราออกไปทุกที....

    มาเร่งสร้างกรรมดีกันนะคะ...
     
  2. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอน้อมกราบโมทนากับทุกท่าน ทุกดวงจิต ที่สร้างกรรมดี ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักเพียงใด หรือจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนก็ตาม....

    กราบโมทนาด้วยค่ะ...
     
  3. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ขอบคุณคุณธร ที่นำคำเตือนของพระอาจารย์มาบอกกล่าวนะครับ
    แม้อาจมีผลเสียต่อคนบางกลุ่ม
    แต่ประโยชน์กับคนโดยมากนั้น น่าจะมากกว่าผลเสียต่อคนบางกลุ่มอย่างแน่นอนครับ
    (good)
     
  4. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    สวัสดีค่ะทุกท่าน...

    วันนี้มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยค่ะ....

    พอดีมีเพื่อน ๆ ไปทิ้งข้อความเกี่ยวกับธรรมะไว้ในเฟซบุคของธร... เลยขออนุญาตนำมาคุยตรงนี้ด้วยเลยแล้วกันค่ะ...

    Wisdom Kimlee
    สอบถามท่านผู้รู้ทั้งหลาย
    ------------------------------
    กรณีที่เราปฏิบัติธรรม เจริญอานาปานสติ เราเคยรวมจิตลงได้ แต่หลังจากนั้นตลอดมา เราโดนมารขวางกั้นการรวมจิต ขวางการการเจริญจิตภาวนา เจริญพระคาถา เจริญอานาปานสติ เจริญสมาธิเพื่อเข้าสู่วิปัสนาญาณ เจริญองค์กัมมัฎฎาน องฌาณบารมี แล้วมีผู้ที่เป็นมาร มาขวางกั้นการปฏิบัติธรรมเราไม่ให้ไปถึงจุดหมายในการปฏิบัติธรรม แต่ละครั้ง กรณีเช่นนี้ หากมีผู้มาโมทนาบุญกับเรา
    เขาทั้งหลาย(ทั้งที่มีตัวตน หรือไม่มีตัวตน ซึ่งจะเป็นบุพการีปู่ย่าตายาย บรรพชน หมู่ญาติพี่น้อง ลูกหลานเหลนโหลน ของเรา ในแต่ละภพชาติ หรืออาจจะเป็น เทพพรหม เทวดา เทพที่มาปกปักรักษากาย พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่วารี พระแม่โพสพ เจ้ากรรมนายเวร โอปาติกะ พระภูมิเจ้าที่ ผีบ้าน ผีเรือน สัมภเวสี สรรพสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ)ที่เราแผ่อุทิศบุญบารมีที่เราสร้างในการปฏิบัติธรรม แล้วถูกขวางกั้นทั้งวัน ทั้งคืน อันนี้ พวกเขาทั้งหลายจะกลายมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหมู่มารอันธพาล ถอดจิต ถอดกายมาขวางบุญบารมีเราที่กำลังกระทำและแผ่ให้ผู้ที่เข้ามาโมทนาบุญกับเราทั้งหลายเหล่านั้นหรือไม่อย่างไร เราจะรู้ได้ไหม ว่าเราแผ่ถึงแก่ท่านเหล่านั้น ในทางสายบุญที่เรากระทำให้พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดทั้งสิ้นในแต่ละวัน....
     
  5. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ชนินทร ธร ขออนุญาตตอบนะคะ... ไม่ว่าจะผิดหรือถูกอย่างไร... นี่เป็นความเชื่อของธรเองนะคะ...

    ทุกดวงจิต ทุกคนที่สร้างกรรมดี ทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรมภาวนา... ย่อมมีอุปสรรคขัดขวาง... ย่อมมีบททดสอบ... ย่อมมีมารมาขวาง... ย่อมมีเจ้ากรรมนายเวรมาก่อกวน...

    ถ้าดวงจิตเหล่านั้นยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างกรรมดี... ตั้งแต่เสี้้ยวแรกของความคิดที่จะทำดี... มหากุศลย่อมบังเกิดแล้ว... เหมือนการจุดเทียนในที่มืดมิด... เพียงแค่เกิดประกายไฟ... ความสว่างก็เกิดขึ้นแล้ว... ไม่ว่าจะมาก จะน้อย... ณ ขณะจิตนั้น... ความสว่างบังเกิดแล้ว... ผลบุญก่อตัวแล้ว...

    ความสว่างแห่งดวงอาทิตย์... ที่สาดส่องไปทั่วโลก... อานุภาพยังเทียบไม่ได้กับความสว่างที่เกิดจากการสร้างกรรมดี... แม้เพียงแค่เสี้ยวของลมหายใจเข้า - ออก... ที่สำคัญ... กำลังบุญ ไม่เคยหายไปไหน... แม้เพียงเศษเสี้ยวที่อุทิศให้ดวงจิตอื่น... ก็สามารถที่จะเปลี่ยนภพภูมิของดวงจิตเหล่านั้นให้ดีขึ้น... บริสุทธิ์ บริบูรณ์ขึ้น...

    การที่เรามอบสิ่งที่ประเสริฐเช่นนี้ให้กับผู้อื่น... ผู้ที่รับย่อมร่วมโมทนาด้วย... นอกเสียจากว่า... ผู้ที่เราอุทิศกุศลผลบุญให้นั้น มีความเกี่ยวเนื่องอันเป็นไปในทางแห่งอกุศลจิต อกุศลกรรมกับเรามาอย่างรุนแรง...

    ถ้าเป็นเช่นนั้น... จงวางอุเบกขาเสีย... พึงระลึกไว้เสมอว่า... แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ทรงสามารถโปรดทุกดวงจิตในสังสารวัฏนี้ได้เลย...

    เมื่อวางอุเบกขาแล้ว... ก็อย่าละทิ้งการสร้างกรรมดีต่อไป... เพราะทุกชีวิต มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย...

    ทุกท่านล้วนเลือกกันมาเองทั้งสิ้นว่าชีวิตนี้จะมีความสุข หรือ ความทุกข์...

    ขอน้อมกราบโมทนากับทุกท่าน ทุกดวงจิต ทุกชาติภพ ทุกศาสนา ที่ปรารถนา และลงมือปฏิบัติซึ่งกรรมดี
     
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    และธรขอถอนคำอธิษฐานบางอย่างต่อทุกดวงจิตดังนี้ด้วยค่ะ....


    ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้.... ลมหายใจจะขาดดับไปตอนไหนก็สุดรู้... สิ่งที่ยังพอทำได้... คือ...

    หากธรเคยประมาทพลาดพลังล่วงเกินท่านใด ดวงจิตใดไป ไม่ว่าจะด้วยกายกรรม วจีกรรม หรือ มโนกรรมก็ตาม ในชาติปัจจุบันนี้ หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ตาม ด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม หรือจะทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม... ธรกราบขอขมาทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ...

    ส่วนท่านใดที่เคยล่วงเกินธร ไม่ว่าจะด้วยกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมก็ตาม จะตั้งแต่ชาติใดภพใดก็ตาม จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม... ธรอโหสิกรรมให้ทั้งหมด... ไม่คิดที่จะอาฆาตพยาบาทดวงจิตใดทั้งสิ้น ไม่ปรารถนาที่จะเป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น...

    และกุศลผลบุญใดก็ตามที่ธรเคยสร้างสมมาดีแล้ว... ขอทุกท่านร่วมกันโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านั้นเหมือนกับที่ธรจะพึงได้รับทุกประการด้วยเทอญ...

    และธรขออธิษฐานถอนคำอธิษฐานทั้งหลายทั้งมวลที่มีต่อทุกดวงจิตที่คิดปรารถนาที่จะให้คำอธิษฐานเหล่านั้นเป็นโมฆะ ไม่ว่าคำอธิษฐานเหล่านั้นจะเป็นคำอธิษฐานในฐานะใดก็ตาม... และคำอธิษฐานที่จะถอนเหล่านั้นจะต้องเป็นคำอธิษฐานที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ดวงจิตอื่นใดทั้งสิ้น... ขอให้คำอธิษฐานเหล่านั้นเป็นโมฆะนับแต่นี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน... ไม่ต้องมีดวงจิตดวงใดต้องรอข้าพเจ้าอีกต่อไปแล้วนับจากนี้...
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    หลาย ๆ ท่านคงสงสัยว่ายายคนนี้อะไรกันนักกันหนา... ขอขมากรรม ขออโหสิกรรมบ่อยจริง....

    ถ้าท่านใดรำคาญ ก็กราบขอประทานโทษด้วยค่ะ...

    เพียงแต่ธรไม่ทราบว่าตัวเองจะตายลงเมื่อไหร่ หรือจะยังมีโอกาสได้มาขออโหสิกรรมแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่...

    ตอนนี้ยังมีโอกาส... ก็เลยต้องรีบทำน่ะค่ะ...

    ถ้าเป็นอะไรไป หรือไม่มีโอกาสจะได้ทำแล้ว... จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกน่ะค่ะ

    กราบขอบพระคุณทุกท่าน ทุกดวงจิตที่อโหสิกรรม ยกโทษกรรมต่าง ๆ ให้ธรด้วยนะคะ...

    สาธุ
     
  8. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    ผมขออโหสิกรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายที่เคยได้ล่วงเกิน
    และขออโหสิกรรมเจ้าของกระทู้ด้วย
     
  9. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ปูก็รู้สึกอย่างเดียวกันค่ะพี่ธร ความตายอยู่ใกล้ทุกลมหายใจตลอดเวลา ตั้งแต่ขับรถแล้วเจออุบัติเหตุ ก็ทำให้คิดอยู่ทุกวันว่าอย่าประมาท เพราะจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนนี้ทำอะไรได้ก็ต้องรีบทำค่ะ
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุก ๆ ท่าน...

    มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังอีกแล้วค่ะ...

    เรื่องที่จะเล่านี้... เอาเป็นว่า... โดยส่วนตัวธรเชื่อว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี แห่งวัดท่าซุง) ท่านเมตตามาโปรดธรนะคะ...

    รวมถึง พระเดชพระคุณหลวงปู่พวงด้วยค่ะ... (เอาเป็นว่า ธรอิ่มใจเป็นการส่วนตัวแล้วกันค่ะ ^ ^ .... ^ ^ )

    เมื่อวานซืน... ธรโทรศัพท์ไปกราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงปู่พวง (สถานปฏิบัติธรรม ถ้ำหินผาแดง จ. กาญจนบุรี) ด้วยความรัก เคารพ ระลึกถึง และเป็นห่วงท่านค่ะ...

    เพราะท่านตามองเห็นแค่ด้านเดียว... และด้านที่มองเห็น ก็พล่าเลือนเต็มที... ที่สำคัญที่ผ่าน ๆ มา ท่านจะอยู่เพียงลำพังองค์เดียว ไม่มีใครคอยดูแล...

    ธรจึงหาเวลาว่างโทรศัพท์ไปสนทนาธรรมกับท่านบ่อย ๆ เท่าที่เวลาจะอำนวยให้...

    ทุกครั้งท่านจะเมตตาแนะนำ สอนสั่งธรในเรื่องของกฎแห่งกรรม...

    ท่านเคยเมตตาเล่าให้ฟังว่าที่ท่านต้องตาบอดแบบนี้ (ช่วงแรก ตาท่านมองไม่เห็นทั้ง ๒ ข้างเลยค่ะ และต้องอยู่ในถ้ำบนเขาเพียงลำพังองค์เดียว มีแค่เส้นเชือกให้ท่านช่วยยึดเกาะไม่ตกลงมา เวลาที่ท่านจะหาอารฉัน หรือ ทำธุระอื่น ๆ ตามควร)... เพราะมันเป็นอกุศลกรรมในชาติปัจจุบันของท่าน...

    สมัยตอนเป็นหนุ่ม ๆ ท่านชอบฉันกุ้งเต้นมาก ๆ... ซึ่งอาหารจานนี้จะนำกุ้งฝอยเป็น ๆ มา บีบมะนาว ใส่พริก ใส่เครื่องปรุง... (ขอประทานโทษนะคะ... ธรไม่เคยทาน ไม่เคยสั่ง เลยไม่ทราบว่าใส่อะไรบ้าง... อาจจะบรรยายไม่ได้ละเอียดนักนะคะ... ที่เล่าได้นี่ ก็จากความเมตตาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่พวงท่านเล่าให้ฟังน่ะค่ะ)

    ท่านบอกว่า ตอนนั้นอร่อยมากเลย... กุ้งก็ยังเต้นไปเต้นมา... แล้วท่านก็เปรย ๆ ว่า จริง ๆ พวกมันคงแสบไปทั้งตัว และดวงตาและนะ...

    ต่อมาก่อนที่ท่านจะตาบอด... ท่านเห็นภาพของกุ้งเหล่านั้น... และอยู่ดี ๆ ตาทั้งสองของท่านก็มืดมัวลง จนมองไม่เห็นอะไรเลย...
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ช่วงแรกที่อกุศลกรรมส่งผล... พระเดชพระคุณหลวงปู่พวงท่านทรมานมาก...

    ท่านเป็นทุกข์ กังวลสารพัด... งานการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสามารถทำได้... ณ ตอนนั้น ท่านช่วยอะไรตัวเองแทบไม่ได้เลย เพราะมองอะไรไม่เห็น...

    (ขอโทษอีกครั้งนะคะ... ธรจำไม่ได้ว่าท่านบวชก่อน หรือหลังสูญเสียการมองเห็นไปน่ะค่ะ)...

    ท่านเป็นทุกข์อยู่นานพอสมควร... จนในที่สุดท่านก็ใช้ธรรมะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน และพระธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่านเมตตาสอนผ่านเทปธรรมะ และหนังสือธรรมะต่าง ๆ...

    ท่านเมตตาเล่าว่า...

    พอใจเริ่มสงบ... ภาพอกุศลกรรมที่เคยสร้างก็ทยอยมาให้เห็นว่า ที่เป็นแบบนี้ ๆ เป็นเพราะอะไร... (นอกจากสูญเสียดวงตาแล้ว ท่านยังต้องชดใช้อกุศลกรรมให้เจ้ากรรมนายเวรอีกหลายอย่าง หลายประการ)... ท่านศึกษา เข้าใจในตัว "ทุกข์"

    จนท่านปลง... อธิษฐานไม่ขอเกิดอีกแล้วนับแต่นี้เป็นต้นไป...

    (ขอน้อมกราบโมทนากับพระเดชพระคุณหลวงปู่พวงเจ้าค่ะ)
     
  12. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อย่างที่เรียนให้ทราบ... ที่ผ่าน ๆ มา ท่านจะเมตตาเล่าเรื่องกฎของกรรมเป็นหลัก...

    ท่านเล่าว่า...

    ท่านมีตัวรู้ขึ้นมาว่า... ท่านมีหน้าที่ต้องแนะนำสั่งสอนธรรมะแก่ลูกหลาน และผู้ปฏิบัติธรรมหลาย ๆ ท่านที่มักจะมีตัวเก่ง ตัวทิฐิมานะ...

    มีทั้งพระ และฆราวาสจำนวนไม่น้อยชอบไปลองดี เอาฤทธิ์ เอาเดช เอาอภิญญา เอาใบปริญญา เอาความรู้ทางปริยัติ ไปลองภูมิท่าน... ไปทดลองกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในบริเวณถ้ำหินผาแดงแห่งนั้น...

    ท่านบอกว่า...

    ลูกเอ๋ย... ปู่ไม่มีดีอะไรสักอย่างนะลูก ฤทธิ์อะไรก็ไม่มีกับเขา เดชอะไรสักอย่างก็ไม่มี วิชาความรู้ทางโลกของปู่ก็มีไม่มาก... มีแต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเท่านั้น....

    ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเข้านะลูกนะ ไม่มีอะไรที่จะช่วยเราได้นอกจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะลูก...

    คนที่มาหาปู่... ส่วนใหญ่เขายังอยู่กับทางโลกกันเยอะ... ยังติดฤทธิ์ ติดเดช ติดวัตถุกันเยอะ... ปู่ก็ต้องสอนด้วย กฎของกรรม ของปู่นี่แหละลูก...

    ปู่เลยอธิษฐาน... ขอพระท่านบอกว่า...

    ถ้าจะให้ปู่มีหน้าที่สั่งสอนคนจริง ๆ... ปู่ต้องช่วยตัวเองได้นะลูกนะ... ถ้าต้องอยู่คนเดียว... ถึงจะต้องรับกรรม ปู่ต้องยังช่วยตัวเองได้นะ...

    หลังจากคำอธิษฐานไม่นาน ก็มีคณะแพทย์มาพบพระเดชพระคุณหลวงปู่พวงท่านที่วัด (เป็นคณะของคุณหมอรัตนา... ขอประทานโทษนะคะ ถ้าจำชื่อของคุณหมอท่านผิด)...

    และรักษาพยาบาลท่านจน สายตาของท่านกลับมามองเห็นได้ลาง ๆ อีกครั้ง... แม้เพียงข้างเดียวก็ยังดี...

    สาธุ... กราบโมทนากับทีมคุณหมอทุกท่านด้วยค่ะ...
     
  13. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่พวงที่ผ่าน ๆ มา... ท่านเมตตาสั่งสอนให้เห็นตัวทุกข์ เห็นความไม่เที่ยงของสังขารร่างกาย...

    แต่เมื่อวานซืนที่โทรไป...

    เสียงของท่านบ่งบอกถึงความอ่อนล้า... เบื่อหน่ายในสังขารร่างกายมากกว่าเดิมขึ้นมากค่ะ...

    ลักษณะการพูด คำแนะนำสั่งสอนของท่าน... เปลี่ยนไปมาก...

    ธรน้อมตั้งใจฟังในสิ่งที่ท่านเมตตาสอน... แล้วอยู่ ๆ ความรู้สึกก็ปรากฏชัดออกมาว่า...

    เสียงที่กำลังได้ยิน เป็นเสียงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่าน... !!!!!!

    ทั้งเสียง วิธีการพูด และคลื่นที่ออกมา... ความรู้สึกเหมือนตอนที่ธรฟังเสียงธรรมะของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่านไม่ผิดเลยค่ะ...

    เรื่องที่พระเดชพระคุณทั้ง ๒ ท่านได้เมตตาสอนธร วนเวียนอยู่แค่นี้ค่ะ...
     
  14. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ลูกเอ๋ย...

    ถ้ามีโอกาสได้แนะนำธรรมะแก่ใคร... สอนเขาให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันให้ได้นะลูก...

    นับแต่นี้... บอกทุกคนให้ปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันนะลูก...

    เมื่อใดก็ตามที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว... คำว่าถอยหลัง... จะไม่มีอีกสำหรับบุคคลผู้นั้น...

    พวกเขาจะมีแต่การเข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุดนะลูกนะ...

    ให้พวกเขานึกถึงความตายเข้าไว้... ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น... ศีล ๕ เป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับพระโสดาบันนะลูก... และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมนึกถึงพระรัตนตรัยนะลูก...

    ไปบอกพวกเขา บอกทุกคนให้วางกำลังใจให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันให้ได้นะลูก...

    ท่านเมตตาสอนวนเวียนอยู่แค่นี้ ๔ - ๕ รอบ... ธรไม่ได้ขัดอะไร เพราะตอนที่ฟังนั้น จิตสงบเป็นสมาธิมาก ๆ เลย...
     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    พอท่านเมตตาสอนเรื่องพวกนี้เสร็จ...

    จิตธรก็ถอนออกจากสมาธิโดยอัตโนมัติ...

    แล้วก็ตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านจะเมตตาสั่งสอนต่อไป... คราวนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่พวงคนเดิมกลับมา... ทั้งลักษณะการพูด และน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป...

    เรื่องที่ท่านเมตตาสอนคราวนี้...

    เป็นเรื่องการวางอุเบกขา... กฎของกรรม... ความทุกข์ที่น่าเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ... และเรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่ว ๆ ไป...

    .........................................................

    ธรเชื่อว่าสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี (ตามความรู้สึกของธร... ) ท่านเมตตาสอนนั้น... เป็นสิ่งที่ทุกคนที่ไม่อยากจะต้องมาทนทุกข์กับ... ไม่ว่าจะเป็นภัยในวัฏสงสาร หรือภัยพิบัติใด ๆ... ต้องเร่งตัวเอง...

    ต้องเข้าถึงซึ่งความเป็นพระโสดาบันให้ได้...

    ธรจึงขออนุญาตทุกท่านนำมาเล่าไว้ตรงนี้ค่ะ...
     
  16. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตนำข้อมูลมาประกอบเรื่องที่เล่า และกราบขอบพระคุณข้อมูลจากศูนย์พุทธศรัทธาค่ะ...

    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    Posted by ศูนย์พุทธศรัทธา on April 3rd, 2010 5 Comments


    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    พระโสดาบันที่แท้จริง อารมณ์ที่ทรงได้ก็คือ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ที่นี้ อันดับแรก ให้วัดกำลังจิตของท่านว่าความดีขั้นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ถ้าเวลานี้ทำไม่ได้ เมื่อไรเราจะทำได้




    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อไปก็เป็นวาระที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะศึกษาในขั้นอริยผล แต่ความจริงเรื่องของพระโสดาบัน เราก็แนะนำกันมาแล้ว ทั้งระดับเข้มข้นและทั้งระดับอ่อนที่สุด

    คำว่าเข้มข้นก็ได้แก่เอกพีชี คำว่าเอกพีชีก็หมายความว่า ถ้าชาตินี้เป็นพระโสดาบัน ชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียวเป็นอรหันตผล

    ก็จงอย่าลืมว่าคนเป็นพระโสดาบันแล้ว บางทีก็ไม่ต้องรอเวลามากนัก ขณะที่นั่งทรงจิตอยู่ในขั้นโสดาบันนั้นเอง ท่านกล่าวว่า ถ้ามีอารมณ์ไม่ท้อถอย ก็ทำให้จิตให้เข้าถึงอรหัตผลในขณะเดียวกัน เรียกว่าในที่นั่งเดียวกัน

    คำว่า ที่นั่งเดียวกัน ก็หมายถึงว่าในขณะที่นั่งนั่นแหละ ยังไม่ลุกจากที่ ทำจิตให้เข้าถึงความเป็นอรหัตผลเลยทีเดียว แต่เรื่องเรื่องนี้ยังไม่ขอพูด เพราะเป็นกำลังใจของบุคคล คือ ไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำเรื่องกำลังใจ แนะนำกันไม่ได้ เว้นไว้แต่คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง

    วันนี้ ก็ขอย้อนต้นอีกนิดหนึ่ง เพื่อทวนผลแห่งการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัท

    อันดับแรก พระโสดาบัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

    เป็นอันว่าพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก เคยพูดไว้ในหลายสถาน พระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดีนั้นเอง แต่ที่เรียกว่าพระโสดาบันก็คือว่า เป็นผู้มีกระแสหรืออารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพาน เป็นบุคคลที่ไม่ถอยหลัง เดินก้าวไปตามลำดับ

    จากพระโสดาบันไปเป็นพระสกิทาคามี ไปอนาคามี และอรหันต์ นี่พูดถึงเดินช้า ๆ ถ้าคนที่เดินเร็ว ๆ จากพระโสดาบันแล้วก็ถึงพระอรหันต์เลย เรื่องจะถอยหลังลงมากลับเป็นปุถุชนคนธรรมดาอีกไม่มีสำหรับพระอริยเจ้า

    พระโสดาบันที่แท้จริง อารมณ์ที่ทรงได้ก็คือ
    ๑.มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์
    ๒.มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๓.มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์

    สำหรับอารมณ์จิตท่านที่เข้าถึงเอกพีชี มีความเข้มแข็ง แนะนำเพียงเท่านี้ก็ได้ เป็นของไม่ยาก เว้นไว้แต่ว่าท่านที่มีอารมณ์จิตอ่อน หรือพวกปทปรมะ พวกปทปรมะนี่พระพุทธเจ้าไม่สอน เพราะว่าถ้าขืนสอนก็เหนื่อยเปล่า ซึ่งไม่มีประโยชน์

    ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ที่นี้ อันดับแรก ให้วัดกำลังจิตของท่านว่า ความดีขั้นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ถ้าเวลานี้ทำไม่ได้ เมื่อไรเราจะทำได้ กำหนดเวลาไว้ให้สั้นที่สุด เพราะว่ามันของปกติธรรมดา ซึ่งไม่มีอะไรเป็นของยาก ไม่มีอะไรเป็นของหนัก

    ถ้าอยากทราบว่า เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ดูกำลังใจของเรา เพราะว่า พระโสดาบันไม่ใช่เป็นบุคคลผู้ถือมงคลตื่นข่าว เขาว่าดีไหนก็ไปนั้น เขาเฮไหนไปนั้น วิเศษที่ไหนก็ไปที่นั้น แต่ความจริงต้องการให้ท่านมีกำลังใจแน่วแน่ แม้แต่ท่านจะอยู่บ้านของท่านเอง ไม่จำเป็นต้องมาที่วัด

    คำว่า ไป หมายความว่า ฮือตามข่าวลือกัน เขาลือว่าดีที่ไหนก็ไปที่นั้น ไปแล้วก็ยังไม่พอใจ เขาลือต่อว่าที่โน่นดีกว่าไปที่โน่นอีก ก็เป็นอันว่าเป็นคนที่มีกำลังไม่แน่นอน อย่างนี้ยังถือว่าไม่ได้มีความเคารพในองค์พระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง

    ถ้ามีความเคารพพระพุทธเจ้า ถ้ามีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เราต้องไปศึกษาที่ไหนกัน แล้วการที่จะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์มันยากนักรึ ศีล ๕ ที่เราพึงทำมันก็เป็นของที่เราจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีอารมณ์เราปฏิบัติอย่างนี้เพื่อพระนิพพาน

    นี่เนื้อแท้จริงๆ พระโสดาบันมีเท่านี้ ใม่ใช่ของยาก ถ้าท่านสดับบอกว่ายาก ทำยาก ก็รู้สึกสลดใจ เพราะ
    ท่านเกิดมาได้ เพราะท่านมีศีล
    ท่านมีทรัพย์สินได้ เพราะอาศัยบริจาคทาน
    ท่านมีสติปัญญามาได้ เพราะอาศัยการเคารพในพระรัตนตรัย

    แต่มาชาตินี้กลับว่าสิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ยาก ทำไม่ได้ ท่านต้องกลับไปอบายภูมิใหม่ เป็นอันว่าคุณธรรมของพระโสดาบันเพียงเท่านี้ เรียกว่าย้อนกัน



    ต่อไปก็จะพูดถึงเครื่องประดับใจของพระโสดาบัน เครื่องประดับใจของพระโสดาบัน นั้นก็คือ

    ๑.ไม่ลืมความตาย คิดถึงความตายเป็นปกติ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่มีความตายเป็นของเที่ยง อย่างไรเราตายแน่

    และความตายนี่ไม่ได้บอกว่าจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายกลางคืน ท่านกำหนดไว้เพียงแค่นี้ ไม่ใช่คิดว่าอีก ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี จะพึงตาย ถ้าคิดอย่างนั้นจัดว่าเป็นไกลจากความเจริญของจิต เป็นอันว่าอารมณ์ที่เข้าเขตอบายภูมิเสียแล้ว เพราะประมาทในชีวิต

    พระโสดาบันท่านคิดแต่เพียงว่าวันนี้น่ะอาจจะตาย แต่ว่าตายเวลาไหนยังไม่รู้ นี่เราคุยกันเวลานี้พูดไม่ทันจบ ตายเสียก็ตายไปก็ได้ ถ้าเวลาอ้าปากจะพูด ไม่ทันจะพูดตายเสียก็ได้ เขาคิดเฉพาะวันนั้นว่าวันนี้จะต้องตาย

    ในเมื่อเราจะต้องตายแล้ว เราจะยอมรึ ตายไปลำบากเราจะเอารึ เพราะเวลานี้เราได้แสงสว่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อารมณ์จิตจับมั่น

    บุคคลใดเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บุคคลนั้นจะไม่ลงอบายภูมิ นี่อันดับแรกยึดเข้าไว้ก่อนเป็นทุนประจำใจ

    ประการที่ ๒ ยอมรับนับถือคุณรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ก็คือ เคารพในศีล ๕ ไม่ละเมิดศีล ๕

    ถ้าเรายังละเมิดในศีล ๕ อยู่ จะบอกว่าเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ยังไม่ได้ ยังฝ่าฝืนคำแนะนำสั่งสอนกันอยู่ เขาเรียกว่าเป็นคนหัวดื้อรั้น ไม่เชื่อกัน

    ถ้าเคารพจริง รักกันจริง เชื่อกันจริง ก็ต้องปฏิบัติไม่ฝ่าฝืน ต้องทรงศีลให้บริสุทธิ์ นี่จัดว่าเป็นทุน ถ้าเราตายเวลานี้เราจะไม่ไปอบายภูมิ

    เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแท้จริง ๆ ก็คือ การเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ และก็ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เนื้อแท้ของ พระโสดาบัน เป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นเสา หรือว่าตัวอาคาร



    ทีนี้เครื่องประดับของพระโสดาบันต้องมี ไม่ว่าอะไรทั้งหมดถ้าไม่มีเครื่องประดับมันก็ไม่สวย คนเราถ้ารูปร่างหน้าตาจะสวย ทรวดทรงจะดีอย่างไรก็ตาม ถ้าเดินแก้ผ้าโทงๆ มันก็แลดูไม่น่ารัก มันต้องมีเครื่องประดับ อย่างน้อยก็ต้องมีผ้าหุ้มกาย จะสีสดหรือสีไม่สดก็ตาม นี่ประการหนึ่ง ก็มีเครื่องประดับอย่างอื่นเข้ามาพอกเข้ามาด้วย เพิ่มเติมเข้ามาอย่างนี้ก็จะแลดูงามสง่า น่ารัก น่าชม น่านิยม น่าทัศนา

    ข้อนี้อุปมาฉันใด แม้อารมณ์พระโสดาบันก็เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกแต่เพียงว่า เคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ รู้สึกว่าอารมณ์จิตมันแห้งแล้งเต็มที แต่ถ้าเป็นคนประเภทแก้ผ้าเดิน

    อันนี้เราก็มีอารมณ์ประดับอีกอันหนึ่ง ก็คือ มรณานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ไม่ประมาทในชีวิต

    จงอย่าคิดว่าเราจะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าเรามีความรู้สึกว่า เรามีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ก็รู้สึกว่าประมาทมากเกินไป จงคิดว่าวันนี้แหละเราอาจจะตาย แต่ว่าเวลาไหนยังไม่แน่ จิตจะได้ยึดอารมณ์ความดีเข้าไว้ อันนี้เป็นมรณานุสสติกรรมฐานเครื่องประดับอันดับที่ ๒ ที่มีความสำคัญ

    พระโสดาบันท่านกล่าวว่า มีสมาธิพอสมควรเล็กน้อย และมีปัญญาไม่มากนัก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเครื่องประดับอันดับต่อไปก็คือ จาคานุสสติกรรมฐาน

    คำว่าจาคานุสสติกรรมฐานก็ดี มรณานุสสติกรรมฐานก็ดี สีลานุสสติกรรรมฐานคือระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์ก็ดี พุทธานุสสตินึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ก็ดี ธัมมานุสสตินึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี จงอย่าลืมว่าเป็นอารมณ์คิดทั้งหมด ไม่ใช่อารมณ์ทรงตัว คือไม่ใช่ปักหลักหลับตากันอย่างเดียว

    ต้องใช้ทั้งเวลาหลับตา ทั้งเวลาลืมตา เวลาอยู่สงัด เวลาอยู่ในฝูงชน เวลายามว่าง เวลาการงานเข้ามาถึง ต้องใช้อารมณ์นี้ทั้งหมด เรียกว่า ไม่ยอมลืมพระพุทธเจ้า ไม่ยอมลืมพระธรรม ไม่ยอมลืมพระสงฆ์ ไม่ยอมลืมศีล ไม่ยอมลืมความตาย



    เครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่งนั้นก็คือ จาคานุสสติ เราจะเห็นตามประวัติว่า ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ท่านพวกนั้นไม่มีความหวงแหน

    คำว่า ไม่หวง หมายความว่า มีกำลังใจดี ไม่ใช่ว่ามีอะไรให้หมด แต่ว่าให้ในเขตที่ควรแก่การเคารพ ถ้าหากว่าเขตใดก็ตามเป็นเขตอุดมเขต หรือบุคคลใดก็ตามเป็นปูชนียบุคคล

    อุดมเขต หมายถึง เขตที่ทรงความสุขสูงสุด ได้แก่เขตของพระรัตนตรัยก็ดี ปูชนียบุคคล บุคคลที่ควรแก่การบูชาก็ดี หรือว่าเป็นบุคคลผู้ควรแก่การสงเคราะห์ เช่นคนที่ได้รับความยากลำบาก อันนี้พระโสดาบันไม่หวงทรัพย์สินของตน แต่ว่าจะไม่ใช่ทุ่มเทจนหมดตัว

    ท่านเป็นคนที่ปัญญา ไม่ใช่มีบาทให้บาท มี ๑๐ บาทให้ ๑๐ บาท มี ๑๐๐บาทให้ ๑๐๐ บาท อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าให้อย่างนั้นแล้วเดือดร้อนภายหลังด้วย อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ของพระโสดาบัน เป็นอารมณ์ของคนโง่ เพราะว่าพระโสดาบันท่านไม่โง่ เพราะว่าพระโสดาไม่โง่ เป็นคนฉลาด

    ทีนี้ จาคานุสสติกรรมฐาน มีการนึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงการให้ทาน มีกำลังใจเสมอว่า เราจะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะพึงทำได้

    ถ้าเรามีทรัพย์ เราจะให้ทรัพย์ เราไม่มีทรัพย์เราสามารถให้กำลังได้ เราจะให้กำลังช่วยงาน ถ้ากำลังไม่มี ทรัพย์ไม่มี เราก็จะแนะนำให้ท่านผู้นั้นมีความสุข ตามที่เราสามารถจะพึงแนะนำได้ กำลังของพระโสดาบันจดจ่ออยู่ในเรื่องของจาคานุสติกรรมฐานอย่างนี้

    และอย่าคิดว่าจาคานุสสติกรรมฐานนี่จะต้องไปทำเวลาสงัด มานั่งนึกว่าเราจะให้คนนั้น เราจะให้คนนี้ เราจะให้คนโน้น อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเปลือกของจาคานุสสติกรรมฐาน

    เนื้อแท้จริงๆ ของจาคานุสสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องนั่งหลับตาก็ได้ ให้อารมณ์จิตมันทรงตัวว่า เราพร้อมในการที่จะสงเคราะห์บุคคลและสัตว์ให้มีความสุข ขณะใดได้มีการสงเคราะห์ ขณะนั้นมีการชื่นบานของจิตปรากฏ อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบันแน่



    ถ้าเราจะพูดกันไปว่า การนั่งนึกมันจะมีผลหรือ ถ้าว่านั่งนึกมันมีผลเพราะว่าตั้งใจจะทำ ตัวอย่าง นางวิสาขา มหาอุบาสิกาเป็นพระโสดาบัน ท่านให้ทานไม่อั้น แต่ว่าทานของท่านต้องอยู่ในเขตดี คือในเขตของพระรัตนตรัย

    ถ้าพระสงฆ์มีความลำบากเพียงใด นางวิสาขาไม่ยอม เรียกว่าอดใจไม่ได้ต้องให้ ต้องสงเคราะห์ เช่น ภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มาตอนออกพรรษามันเปียกจัด ผ้าจีวรเปียกหมด สมัยนั้นเขาให้กัน ๓ ตัว คือจีวร สบง สังฆาฏิ ไม่มีผ้าผลัด

    นางวิสาขาก็ขอพระพุทธเจ้าถวายผ้าวัสสิกสาฎก พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต อย่างนี้เป็นต้น เป็นอันว่าทนไม่ไหว เห็นคนดีมีทุกข์ท่านทนไม่ได้ แต่ต้องระวัง พระก็พระเถิด ถ้าเป็นพระชั่วท่านก็ไม่สงเคราะห์เหมือนกัน

    ตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่า สำนักของนางวิสาขาก็ดี ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ไม่สงเคราะห์พระชั่ว

    ตัวอย่าง ในสมัยหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระเรวตะ น้องชายพระสารีบุตร พระเรวตะ อยู่ในป่า เป็นเด็กอายุแค่ ๗ ขวบ ได้อรหัตผลเป็นปฏิสัมภิทาญาณ

    ก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเสด็จไปถึง พระเรวตะก็เนรมิตป่าให้เป็นเมือง เป็นเมืองแก้ว แพรวพราวด้วยเครื่องประดับ อาคารทั้งหมดเป็นแก้วทั้งหมด เป็นสถานที่มีความสุขสบาย

    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทั้งหลายประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป เทวดาทั้งหลายก็แปลงกายเป็นคนมาบำเพ็ญกุศล เป็นเหตุให้พระแก่ ๒ องค์นินทาพระพุทธเจ้า เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ พระก็กลับหมด (จะขอลัดตัดเฉพาะตอนปลาย)

    ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็นั่งสนทนาพรรณนาความดีของพระเรวตะ ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการ เข้าไปอยู่ในป่าก็สามารถมีเมืองแก้วเป็นที่อยู่ แต่ภิกษุแก่ ๒ องค์ กลับนินทาสมเด็จพระบรมครู คือนินทาพระพุทธเจ้า หาว่าท่านพระพุทธเจ้าเห็นแก่หน้าบุคคล เพราะว่า

    ๑.พระเรวตะเป็นน้องชายพระสารีบุตร จึงได้ไปเยี่ยม
    ๒.พระเรวตะอยู่ในเมืองแก้วแพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ มีความงามในตัวเมือง มีคนก็สวย มีอาหารก็ดี มีคนบำเพ็ญกุศลทำบุญทำทานมาก สงเคราะห์มาก จึงได้ไป

    ไม่ได้รู้ว่าที่นั้นความจริงเป็นป่าชัฏ พระเรวตะเนรมิตขึ้นด้วยอำนาจของฤทธิ์

    บรรดาพระทั้งหลายมีความเห็นไม่ตรงกัน เวลาที่ไปบ้านของนางวิสาขา พระพวกเพื่อนก็พรรณาความดีของพระเรวตะให้นางวิสาขาฟัง นางวิสาขาก็ทำบุญด้วย ทำกุศลสงเคราะห์ด้วยประการทั้งปวง

    พระพวกหลังไปนั่งนินทาพระพุทธเจ้าให้นางวิสาขาฟัง ในที่สุดวันนั้นนางวิสาขาเขาไม่ใส่บาตรให้กิน อารมณ์ของพระโสดาบันไม่บูชาชั่ว บูชาดี



    บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาวัดวันนี้มากันทำไม จิตของท่านเคยคิดไหมว่าที่มาคราวนี้จะมารับจ้างวัด ทำงานทุกอย่างต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัลเท่านั้นเท่านี้ มีหรือเปล่า ทุกคนที่มาไม่เคยมีใครบอกว่า มาคราวนี้ต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัล เป็นอันว่าทุกท่านมาด้วยจาคานุสสติกรรมฐานด้วยกันทั้งหมด

    อันดับแรก กำหนดจิตว่าเราจะช่วยงานวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นค่ารถค่าเรือก็ไม่มี ค่าจ้างแรงงานก็ไม่มี และยังไม่เคยกำหนดรางวัลอะไรให้สักนิดหนึ่งว่าทำงานเสร็จจะให้รางวัลอะไร อย่างนี้ก็ไม่เคยปรารภ แล้วท่านมาทำไม นึกถึงกำลังจิตของเราว่า เรามาทำไมกัน

    ที่มาจริงๆ คือเครื่องประดับใจ จาคานุสสติกรรมฐาน อันนี้เป็นตัวแท้ ไอ้ตัวนั่งนึกน่ะมันไม่แท้ ตัวทำนี่แหละเป็นตัวจริงๆ ไอ้ตัวนั่งนึก ฝึกให้จิตมันทรงอารมณ์ ให้อยากทำ และเต็มใจทำ ถึงเวลาจะทำก็ทำจริงๆ แต่ว่าเวลานี้ท่านทำจริงใจในด้านจาคานุสติกรรมฐาน จาคะ เขาแปลว่า สละ หรือว่า ละ

    ประการที่สอง ท่านต้องละทรัพย์สินในบ้านของท่าน บุคคลในบ้านของท่าน อันเป็นที่รัก ที่ห่วงใย ที่หวงแหน ตัวออกจากบ้านมา ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งมันมาไม่ได้ บ้านที่รัก ทรัพย์สินที่หาได้ยาก ข้างหลังมันจะเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้เสียแล้ว เมื่อก้าวออกจากบ้าน

    ก่อนจะออกจากบ้านน่ะ จ่ายก่อนไปวัด คราวนี้ควรจะมีอะไรไปบ้าง นี่ควรจะมีอะไรบ้าง นี่ละอีกแล้ว สละอีกแล้วทรัพย์สินเป็นที่รัก จ่ายโน่น จ่ายนี่ จ่ายนั้น ถึงแม้ว่าจะมาเพื่อตัวเรา แต่ว่ามาเพื่อกิจอื่น ไม่ใช่กิจของส่วนตัว ต้องถือนั้นเป็นจาคะ

    ประการที่สาม เมื่อจะมาเสียค่าพาหนะ นี่มันเสียเงินอีกแล้ว ละอีก เงินตัวนั้นเราไม่ได้เสียดายเลย เป็นตัวละเด็ดขาด เมื่อมาถึงวัด ทั้งเงินก็ดี ทั้งของก็ดี แรงกายก็ดี แรงปัญญาก็ได้ดี ทุกคนทำงานไม่ย่อท้อ หวังจะสนับสนุนพระพุทธศาสนา

    จิตไปจับอะไร จับพระพุทธเจ้า จับพระธรรม จับพระสงฆ์ จับศีล จับทาน เพราะเราไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าเราจะตายเมื่อไรก็ได้ อันนี้เป็น จาคานุสสติกรรมฐานแท้ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติ

    เป็นอันว่าเครื่องประดับของพระโสดาบันในด้านมรณานุสสติกรรมฐานที่เราทำนี่ กลัวจะตายไปจน ต้องการตายแล้วเป็นคนรวย การให้ทาน ตายแล้วรวย ถ้าไม่รวยทรัพย์เรารวยวาสนาบารมี ดีไม่ดีก็รวยพระนิพพาน อย่างเลวที่สุดเราก็เป็นเทวดา อย่างกลางเราก็ไปพรหม อย่างสูงสุดก็ไปนิพพาน

    ถ้าละตัวเดียวแท้ๆ ปรากฏในใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อตัดกิเลส คือ โลภะ ที่มีอยู่ในจิตใจ ไม่ให้มันสถิตอยู่ในใจ ตัวนี้หวังได้พระนิพพาน

    เป็นอันว่าอารมณ์ของท่านพุทธบริษัททุกท่านวันนี้ ขณะที่เรามาทำรวมกัน ตั้งใจว่าจะทำไปตลอดงาน เป็นตัวละในจาคะตัวสูงสุดในเขตพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นปรมัตถบารมี.



    ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑๖ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    Tags: พระโสดาบัน
    Posted in: ธรรมโอวาท
     
  17. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตนำข้อมูลมาประกอบเรื่องที่เล่า และกราบขอบพระคุณข้อมูลจากศูนย์พุทธศรัทธาค่ะ...

    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    Posted by ศูนย์พุทธศรัทธา on April 3rd, 2010 5 Comments


    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    พระโสดาบันที่แท้จริง อารมณ์ที่ทรงได้ก็คือ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ที่นี้ อันดับแรก ให้วัดกำลังจิตของท่านว่าความดีขั้นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ถ้าเวลานี้ทำไม่ได้ เมื่อไรเราจะทำได้




    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อไปก็เป็นวาระที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะศึกษาในขั้นอริยผล แต่ความจริงเรื่องของพระโสดาบัน เราก็แนะนำกันมาแล้ว ทั้งระดับเข้มข้นและทั้งระดับอ่อนที่สุด

    คำว่าเข้มข้นก็ได้แก่เอกพีชี คำว่าเอกพีชีก็หมายความว่า ถ้าชาตินี้เป็นพระโสดาบัน ชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียวเป็นอรหันตผล

    ก็จงอย่าลืมว่าคนเป็นพระโสดาบันแล้ว บางทีก็ไม่ต้องรอเวลามากนัก ขณะที่นั่งทรงจิตอยู่ในขั้นโสดาบันนั้นเอง ท่านกล่าวว่า ถ้ามีอารมณ์ไม่ท้อถอย ก็ทำให้จิตให้เข้าถึงอรหัตผลในขณะเดียวกัน เรียกว่าในที่นั่งเดียวกัน

    คำว่า ที่นั่งเดียวกัน ก็หมายถึงว่าในขณะที่นั่งนั่นแหละ ยังไม่ลุกจากที่ ทำจิตให้เข้าถึงความเป็นอรหัตผลเลยทีเดียว แต่เรื่องเรื่องนี้ยังไม่ขอพูด เพราะเป็นกำลังใจของบุคคล คือ ไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำเรื่องกำลังใจ แนะนำกันไม่ได้ เว้นไว้แต่คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง

    วันนี้ ก็ขอย้อนต้นอีกนิดหนึ่ง เพื่อทวนผลแห่งการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัท

    อันดับแรก พระโสดาบัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

    เป็นอันว่าพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก เคยพูดไว้ในหลายสถาน พระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดีนั้นเอง แต่ที่เรียกว่าพระโสดาบันก็คือว่า เป็นผู้มีกระแสหรืออารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพาน เป็นบุคคลที่ไม่ถอยหลัง เดินก้าวไปตามลำดับ

    จากพระโสดาบันไปเป็นพระสกิทาคามี ไปอนาคามี และอรหันต์ นี่พูดถึงเดินช้า ๆ ถ้าคนที่เดินเร็ว ๆ จากพระโสดาบันแล้วก็ถึงพระอรหันต์เลย เรื่องจะถอยหลังลงมากลับเป็นปุถุชนคนธรรมดาอีกไม่มีสำหรับพระอริยเจ้า

    พระโสดาบันที่แท้จริง อารมณ์ที่ทรงได้ก็คือ
    ๑.มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์
    ๒.มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๓.มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์

    สำหรับอารมณ์จิตท่านที่เข้าถึงเอกพีชี มีความเข้มแข็ง แนะนำเพียงเท่านี้ก็ได้ เป็นของไม่ยาก เว้นไว้แต่ว่าท่านที่มีอารมณ์จิตอ่อน หรือพวกปทปรมะ พวกปทปรมะนี่พระพุทธเจ้าไม่สอน เพราะว่าถ้าขืนสอนก็เหนื่อยเปล่า ซึ่งไม่มีประโยชน์

    ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ที่นี้ อันดับแรก ให้วัดกำลังจิตของท่านว่า ความดีขั้นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ถ้าเวลานี้ทำไม่ได้ เมื่อไรเราจะทำได้ กำหนดเวลาไว้ให้สั้นที่สุด เพราะว่ามันของปกติธรรมดา ซึ่งไม่มีอะไรเป็นของยาก ไม่มีอะไรเป็นของหนัก

    ถ้าอยากทราบว่า เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ดูกำลังใจของเรา เพราะว่า พระโสดาบันไม่ใช่เป็นบุคคลผู้ถือมงคลตื่นข่าว เขาว่าดีไหนก็ไปนั้น เขาเฮไหนไปนั้น วิเศษที่ไหนก็ไปที่นั้น แต่ความจริงต้องการให้ท่านมีกำลังใจแน่วแน่ แม้แต่ท่านจะอยู่บ้านของท่านเอง ไม่จำเป็นต้องมาที่วัด

    คำว่า ไป หมายความว่า ฮือตามข่าวลือกัน เขาลือว่าดีที่ไหนก็ไปที่นั้น ไปแล้วก็ยังไม่พอใจ เขาลือต่อว่าที่โน่นดีกว่าไปที่โน่นอีก ก็เป็นอันว่าเป็นคนที่มีกำลังไม่แน่นอน อย่างนี้ยังถือว่าไม่ได้มีความเคารพในองค์พระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง

    ถ้ามีความเคารพพระพุทธเจ้า ถ้ามีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เราต้องไปศึกษาที่ไหนกัน แล้วการที่จะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์มันยากนักรึ ศีล ๕ ที่เราพึงทำมันก็เป็นของที่เราจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีอารมณ์เราปฏิบัติอย่างนี้เพื่อพระนิพพาน

    นี่เนื้อแท้จริงๆ พระโสดาบันมีเท่านี้ ใม่ใช่ของยาก ถ้าท่านสดับบอกว่ายาก ทำยาก ก็รู้สึกสลดใจ เพราะ
    ท่านเกิดมาได้ เพราะท่านมีศีล
    ท่านมีทรัพย์สินได้ เพราะอาศัยบริจาคทาน
    ท่านมีสติปัญญามาได้ เพราะอาศัยการเคารพในพระรัตนตรัย

    แต่มาชาตินี้กลับว่าสิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ยาก ทำไม่ได้ ท่านต้องกลับไปอบายภูมิใหม่ เป็นอันว่าคุณธรรมของพระโสดาบันเพียงเท่านี้ เรียกว่าย้อนกัน



    ต่อไปก็จะพูดถึงเครื่องประดับใจของพระโสดาบัน เครื่องประดับใจของพระโสดาบัน นั้นก็คือ

    ๑.ไม่ลืมความตาย คิดถึงความตายเป็นปกติ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่มีความตายเป็นของเที่ยง อย่างไรเราตายแน่

    และความตายนี่ไม่ได้บอกว่าจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายกลางคืน ท่านกำหนดไว้เพียงแค่นี้ ไม่ใช่คิดว่าอีก ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี จะพึงตาย ถ้าคิดอย่างนั้นจัดว่าเป็นไกลจากความเจริญของจิต เป็นอันว่าอารมณ์ที่เข้าเขตอบายภูมิเสียแล้ว เพราะประมาทในชีวิต

    พระโสดาบันท่านคิดแต่เพียงว่าวันนี้น่ะอาจจะตาย แต่ว่าตายเวลาไหนยังไม่รู้ นี่เราคุยกันเวลานี้พูดไม่ทันจบ ตายเสียก็ตายไปก็ได้ ถ้าเวลาอ้าปากจะพูด ไม่ทันจะพูดตายเสียก็ได้ เขาคิดเฉพาะวันนั้นว่าวันนี้จะต้องตาย

    ในเมื่อเราจะต้องตายแล้ว เราจะยอมรึ ตายไปลำบากเราจะเอารึ เพราะเวลานี้เราได้แสงสว่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อารมณ์จิตจับมั่น

    บุคคลใดเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บุคคลนั้นจะไม่ลงอบายภูมิ นี่อันดับแรกยึดเข้าไว้ก่อนเป็นทุนประจำใจ

    ประการที่ ๒ ยอมรับนับถือคุณรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ก็คือ เคารพในศีล ๕ ไม่ละเมิดศีล ๕

    ถ้าเรายังละเมิดในศีล ๕ อยู่ จะบอกว่าเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ยังไม่ได้ ยังฝ่าฝืนคำแนะนำสั่งสอนกันอยู่ เขาเรียกว่าเป็นคนหัวดื้อรั้น ไม่เชื่อกัน

    ถ้าเคารพจริง รักกันจริง เชื่อกันจริง ก็ต้องปฏิบัติไม่ฝ่าฝืน ต้องทรงศีลให้บริสุทธิ์ นี่จัดว่าเป็นทุน ถ้าเราตายเวลานี้เราจะไม่ไปอบายภูมิ

    เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแท้จริง ๆ ก็คือ การเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ และก็ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เนื้อแท้ของ พระโสดาบัน เป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นเสา หรือว่าตัวอาคาร



    ทีนี้เครื่องประดับของพระโสดาบันต้องมี ไม่ว่าอะไรทั้งหมดถ้าไม่มีเครื่องประดับมันก็ไม่สวย คนเราถ้ารูปร่างหน้าตาจะสวย ทรวดทรงจะดีอย่างไรก็ตาม ถ้าเดินแก้ผ้าโทงๆ มันก็แลดูไม่น่ารัก มันต้องมีเครื่องประดับ อย่างน้อยก็ต้องมีผ้าหุ้มกาย จะสีสดหรือสีไม่สดก็ตาม นี่ประการหนึ่ง ก็มีเครื่องประดับอย่างอื่นเข้ามาพอกเข้ามาด้วย เพิ่มเติมเข้ามาอย่างนี้ก็จะแลดูงามสง่า น่ารัก น่าชม น่านิยม น่าทัศนา

    ข้อนี้อุปมาฉันใด แม้อารมณ์พระโสดาบันก็เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกแต่เพียงว่า เคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ รู้สึกว่าอารมณ์จิตมันแห้งแล้งเต็มที แต่ถ้าเป็นคนประเภทแก้ผ้าเดิน

    อันนี้เราก็มีอารมณ์ประดับอีกอันหนึ่ง ก็คือ มรณานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ไม่ประมาทในชีวิต

    จงอย่าคิดว่าเราจะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าเรามีความรู้สึกว่า เรามีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ก็รู้สึกว่าประมาทมากเกินไป จงคิดว่าวันนี้แหละเราอาจจะตาย แต่ว่าเวลาไหนยังไม่แน่ จิตจะได้ยึดอารมณ์ความดีเข้าไว้ อันนี้เป็นมรณานุสสติกรรมฐานเครื่องประดับอันดับที่ ๒ ที่มีความสำคัญ

    พระโสดาบันท่านกล่าวว่า มีสมาธิพอสมควรเล็กน้อย และมีปัญญาไม่มากนัก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเครื่องประดับอันดับต่อไปก็คือ จาคานุสสติกรรมฐาน

    คำว่าจาคานุสสติกรรมฐานก็ดี มรณานุสสติกรรมฐานก็ดี สีลานุสสติกรรรมฐานคือระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์ก็ดี พุทธานุสสตินึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ก็ดี ธัมมานุสสตินึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี จงอย่าลืมว่าเป็นอารมณ์คิดทั้งหมด ไม่ใช่อารมณ์ทรงตัว คือไม่ใช่ปักหลักหลับตากันอย่างเดียว

    ต้องใช้ทั้งเวลาหลับตา ทั้งเวลาลืมตา เวลาอยู่สงัด เวลาอยู่ในฝูงชน เวลายามว่าง เวลาการงานเข้ามาถึง ต้องใช้อารมณ์นี้ทั้งหมด เรียกว่า ไม่ยอมลืมพระพุทธเจ้า ไม่ยอมลืมพระธรรม ไม่ยอมลืมพระสงฆ์ ไม่ยอมลืมศีล ไม่ยอมลืมความตาย



    เครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่งนั้นก็คือ จาคานุสสติ เราจะเห็นตามประวัติว่า ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ท่านพวกนั้นไม่มีความหวงแหน

    คำว่า ไม่หวง หมายความว่า มีกำลังใจดี ไม่ใช่ว่ามีอะไรให้หมด แต่ว่าให้ในเขตที่ควรแก่การเคารพ ถ้าหากว่าเขตใดก็ตามเป็นเขตอุดมเขต หรือบุคคลใดก็ตามเป็นปูชนียบุคคล

    อุดมเขต หมายถึง เขตที่ทรงความสุขสูงสุด ได้แก่เขตของพระรัตนตรัยก็ดี ปูชนียบุคคล บุคคลที่ควรแก่การบูชาก็ดี หรือว่าเป็นบุคคลผู้ควรแก่การสงเคราะห์ เช่นคนที่ได้รับความยากลำบาก อันนี้พระโสดาบันไม่หวงทรัพย์สินของตน แต่ว่าจะไม่ใช่ทุ่มเทจนหมดตัว

    ท่านเป็นคนที่ปัญญา ไม่ใช่มีบาทให้บาท มี ๑๐ บาทให้ ๑๐ บาท มี ๑๐๐บาทให้ ๑๐๐ บาท อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าให้อย่างนั้นแล้วเดือดร้อนภายหลังด้วย อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ของพระโสดาบัน เป็นอารมณ์ของคนโง่ เพราะว่าพระโสดาบันท่านไม่โง่ เพราะว่าพระโสดาไม่โง่ เป็นคนฉลาด

    ทีนี้ จาคานุสสติกรรมฐาน มีการนึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงการให้ทาน มีกำลังใจเสมอว่า เราจะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะพึงทำได้

    ถ้าเรามีทรัพย์ เราจะให้ทรัพย์ เราไม่มีทรัพย์เราสามารถให้กำลังได้ เราจะให้กำลังช่วยงาน ถ้ากำลังไม่มี ทรัพย์ไม่มี เราก็จะแนะนำให้ท่านผู้นั้นมีความสุข ตามที่เราสามารถจะพึงแนะนำได้ กำลังของพระโสดาบันจดจ่ออยู่ในเรื่องของจาคานุสติกรรมฐานอย่างนี้

    และอย่าคิดว่าจาคานุสสติกรรมฐานนี่จะต้องไปทำเวลาสงัด มานั่งนึกว่าเราจะให้คนนั้น เราจะให้คนนี้ เราจะให้คนโน้น อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเปลือกของจาคานุสสติกรรมฐาน

    เนื้อแท้จริงๆ ของจาคานุสสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องนั่งหลับตาก็ได้ ให้อารมณ์จิตมันทรงตัวว่า เราพร้อมในการที่จะสงเคราะห์บุคคลและสัตว์ให้มีความสุข ขณะใดได้มีการสงเคราะห์ ขณะนั้นมีการชื่นบานของจิตปรากฏ อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบันแน่



    ถ้าเราจะพูดกันไปว่า การนั่งนึกมันจะมีผลหรือ ถ้าว่านั่งนึกมันมีผลเพราะว่าตั้งใจจะทำ ตัวอย่าง นางวิสาขา มหาอุบาสิกาเป็นพระโสดาบัน ท่านให้ทานไม่อั้น แต่ว่าทานของท่านต้องอยู่ในเขตดี คือในเขตของพระรัตนตรัย

    ถ้าพระสงฆ์มีความลำบากเพียงใด นางวิสาขาไม่ยอม เรียกว่าอดใจไม่ได้ต้องให้ ต้องสงเคราะห์ เช่น ภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มาตอนออกพรรษามันเปียกจัด ผ้าจีวรเปียกหมด สมัยนั้นเขาให้กัน ๓ ตัว คือจีวร สบง สังฆาฏิ ไม่มีผ้าผลัด

    นางวิสาขาก็ขอพระพุทธเจ้าถวายผ้าวัสสิกสาฎก พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต อย่างนี้เป็นต้น เป็นอันว่าทนไม่ไหว เห็นคนดีมีทุกข์ท่านทนไม่ได้ แต่ต้องระวัง พระก็พระเถิด ถ้าเป็นพระชั่วท่านก็ไม่สงเคราะห์เหมือนกัน

    ตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่า สำนักของนางวิสาขาก็ดี ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ไม่สงเคราะห์พระชั่ว

    ตัวอย่าง ในสมัยหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระเรวตะ น้องชายพระสารีบุตร พระเรวตะ อยู่ในป่า เป็นเด็กอายุแค่ ๗ ขวบ ได้อรหัตผลเป็นปฏิสัมภิทาญาณ

    ก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเสด็จไปถึง พระเรวตะก็เนรมิตป่าให้เป็นเมือง เป็นเมืองแก้ว แพรวพราวด้วยเครื่องประดับ อาคารทั้งหมดเป็นแก้วทั้งหมด เป็นสถานที่มีความสุขสบาย

    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทั้งหลายประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป เทวดาทั้งหลายก็แปลงกายเป็นคนมาบำเพ็ญกุศล เป็นเหตุให้พระแก่ ๒ องค์นินทาพระพุทธเจ้า เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ พระก็กลับหมด (จะขอลัดตัดเฉพาะตอนปลาย)

    ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็นั่งสนทนาพรรณนาความดีของพระเรวตะ ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการ เข้าไปอยู่ในป่าก็สามารถมีเมืองแก้วเป็นที่อยู่ แต่ภิกษุแก่ ๒ องค์ กลับนินทาสมเด็จพระบรมครู คือนินทาพระพุทธเจ้า หาว่าท่านพระพุทธเจ้าเห็นแก่หน้าบุคคล เพราะว่า

    ๑.พระเรวตะเป็นน้องชายพระสารีบุตร จึงได้ไปเยี่ยม
    ๒.พระเรวตะอยู่ในเมืองแก้วแพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ มีความงามในตัวเมือง มีคนก็สวย มีอาหารก็ดี มีคนบำเพ็ญกุศลทำบุญทำทานมาก สงเคราะห์มาก จึงได้ไป

    ไม่ได้รู้ว่าที่นั้นความจริงเป็นป่าชัฏ พระเรวตะเนรมิตขึ้นด้วยอำนาจของฤทธิ์

    บรรดาพระทั้งหลายมีความเห็นไม่ตรงกัน เวลาที่ไปบ้านของนางวิสาขา พระพวกเพื่อนก็พรรณาความดีของพระเรวตะให้นางวิสาขาฟัง นางวิสาขาก็ทำบุญด้วย ทำกุศลสงเคราะห์ด้วยประการทั้งปวง

    พระพวกหลังไปนั่งนินทาพระพุทธเจ้าให้นางวิสาขาฟัง ในที่สุดวันนั้นนางวิสาขาเขาไม่ใส่บาตรให้กิน อารมณ์ของพระโสดาบันไม่บูชาชั่ว บูชาดี



    บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาวัดวันนี้มากันทำไม จิตของท่านเคยคิดไหมว่าที่มาคราวนี้จะมารับจ้างวัด ทำงานทุกอย่างต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัลเท่านั้นเท่านี้ มีหรือเปล่า ทุกคนที่มาไม่เคยมีใครบอกว่า มาคราวนี้ต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัล เป็นอันว่าทุกท่านมาด้วยจาคานุสสติกรรมฐานด้วยกันทั้งหมด

    อันดับแรก กำหนดจิตว่าเราจะช่วยงานวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นค่ารถค่าเรือก็ไม่มี ค่าจ้างแรงงานก็ไม่มี และยังไม่เคยกำหนดรางวัลอะไรให้สักนิดหนึ่งว่าทำงานเสร็จจะให้รางวัลอะไร อย่างนี้ก็ไม่เคยปรารภ แล้วท่านมาทำไม นึกถึงกำลังจิตของเราว่า เรามาทำไมกัน

    ที่มาจริงๆ คือเครื่องประดับใจ จาคานุสสติกรรมฐาน อันนี้เป็นตัวแท้ ไอ้ตัวนั่งนึกน่ะมันไม่แท้ ตัวทำนี่แหละเป็นตัวจริงๆ ไอ้ตัวนั่งนึก ฝึกให้จิตมันทรงอารมณ์ ให้อยากทำ และเต็มใจทำ ถึงเวลาจะทำก็ทำจริงๆ แต่ว่าเวลานี้ท่านทำจริงใจในด้านจาคานุสติกรรมฐาน จาคะ เขาแปลว่า สละ หรือว่า ละ

    ประการที่สอง ท่านต้องละทรัพย์สินในบ้านของท่าน บุคคลในบ้านของท่าน อันเป็นที่รัก ที่ห่วงใย ที่หวงแหน ตัวออกจากบ้านมา ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งมันมาไม่ได้ บ้านที่รัก ทรัพย์สินที่หาได้ยาก ข้างหลังมันจะเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้เสียแล้ว เมื่อก้าวออกจากบ้าน

    ก่อนจะออกจากบ้านน่ะ จ่ายก่อนไปวัด คราวนี้ควรจะมีอะไรไปบ้าง นี่ควรจะมีอะไรบ้าง นี่ละอีกแล้ว สละอีกแล้วทรัพย์สินเป็นที่รัก จ่ายโน่น จ่ายนี่ จ่ายนั้น ถึงแม้ว่าจะมาเพื่อตัวเรา แต่ว่ามาเพื่อกิจอื่น ไม่ใช่กิจของส่วนตัว ต้องถือนั้นเป็นจาคะ

    ประการที่สาม เมื่อจะมาเสียค่าพาหนะ นี่มันเสียเงินอีกแล้ว ละอีก เงินตัวนั้นเราไม่ได้เสียดายเลย เป็นตัวละเด็ดขาด เมื่อมาถึงวัด ทั้งเงินก็ดี ทั้งของก็ดี แรงกายก็ดี แรงปัญญาก็ได้ดี ทุกคนทำงานไม่ย่อท้อ หวังจะสนับสนุนพระพุทธศาสนา

    จิตไปจับอะไร จับพระพุทธเจ้า จับพระธรรม จับพระสงฆ์ จับศีล จับทาน เพราะเราไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าเราจะตายเมื่อไรก็ได้ อันนี้เป็น จาคานุสสติกรรมฐานแท้ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติ

    เป็นอันว่าเครื่องประดับของพระโสดาบันในด้านมรณานุสสติกรรมฐานที่เราทำนี่ กลัวจะตายไปจน ต้องการตายแล้วเป็นคนรวย การให้ทาน ตายแล้วรวย ถ้าไม่รวยทรัพย์เรารวยวาสนาบารมี ดีไม่ดีก็รวยพระนิพพาน อย่างเลวที่สุดเราก็เป็นเทวดา อย่างกลางเราก็ไปพรหม อย่างสูงสุดก็ไปนิพพาน

    ถ้าละตัวเดียวแท้ๆ ปรากฏในใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อตัดกิเลส คือ โลภะ ที่มีอยู่ในจิตใจ ไม่ให้มันสถิตอยู่ในใจ ตัวนี้หวังได้พระนิพพาน

    เป็นอันว่าอารมณ์ของท่านพุทธบริษัททุกท่านวันนี้ ขณะที่เรามาทำรวมกัน ตั้งใจว่าจะทำไปตลอดงาน เป็นตัวละในจาคะตัวสูงสุดในเขตพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นปรมัตถบารมี.



    ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑๖ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    Tags: พระโสดาบัน
    Posted in: ธรรมโอวาท
     
  18. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตนำลิ้งค์มาลง เพื่อท่านใดที่สนใจอยากจะอ่านเกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อการบรรลุซึ่งพระโสดาบันนะคะ....

    ขออนุญาตเว็บพลังจิต และกราบขอบพระคุณค่ะ...


    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=17
     
  19. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    นึกถึงความตาย เป็นสิ่งที่ดี
    ยอมรับในเรื่องกฎแห่งกรรม ก็เป็นสิ่งที่ดี
    ขอขมากรรม ขออโหสิกรรม ก็เป็นสิ่งที่ดี
    แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ควรชำระหนี้สงฆ์ด้วยนะจ๊ะ

    การขออโหสิกรรมแบบที่เจ้าของกระทู้พูดนั้น มันเป็นการขออโหสิแบบภาษาพูด ภาษาเขียน
    แต่มันก็ดีเพราะมันเป็นการตั้งสัจจะแก่ตนเอง แต่จริงๆ แล้ว อโหสิกรรมไม่ต้องขอ เราทำได้เลย

    จำไว้ให้ดีนะลูกหลานนะ อโหสิกรรม ทำได้เลย ไม่ต้องขอ เมื่ออะไรก็ตามมาทำให้เราเกิดความทุกข์ ความไม่สบายใจ
    เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าเจ้ากรรมนายเวรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งของ ก็เรียกได้หมด

    และความไม่สบายใจเหล่านั้นก็อาจจะทำให้เราเกิดความโกรธ ความเกลียด เครียดแค้น อาฆาตพยาบาท ต่างๆ นาๆ
    เราก็อโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ซะ เพียงแค่นึกคำว่า "ช่างมัน" ขึ้นในใจ นี่ล่ะคือการ "อโหสิกรรม"

    ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ หากเรามีความทุกข์ทุกวัน เราก็อโหสิกรรมได้ทุกวัน วันไหนเราไม่มีความทุกข์ วันนั้นเราโชคดีแล้ว นำไปลองทำกันดูนะ
     
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    กราบขอบพระคุณค่ะ...

    การกระทำทุกอย่าง มีอยู่ด้วยกัน ๓ ทาง ค่ะ...

    ทางกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม...

    การให้อโหสิกรรมต่อคนอื่น... ธรให้อโหสิกรรม ให้อภัยทาน เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว เช่นที่ (ถ้าเข้าใจไม่ผิด ว่าคุณอภิรามไม่เป็นพระภิกษุสงฆ์ ก็คงผ่านญาณของท่านผู้ใดผู้หนึ่ง หรือหลายท่าน... ถ้าเข้าใจผิด ก็กราบขอขมาค่ะ) พระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาแนะนำมา...

    แต่การที่จะให้เจ้ากรรมและนายเวร (ซึ่งเป็นดวงจิตอื่น บุคคลอื่น) มาอโหสิกรรมให้...

    บางคน บางดวงจิต ที่มีความละเอียดของจิตมาก ๆ ก็สามารถที่จะรับรู้การขออโหสิกรรมของธรได้...

    แต่... ส่วนใหญ่จะไม่ใช่แบบนั้น... เพราะฉะนั้น... การเปล่งวาจา สำหรับธรจึงไม่ใช่ "เป็นการขออโหสิแบบภาษาพูด ภาษาเขียน " แบบที่ท่านว่า...

    สิ่งที่ทำ... ทำไปเพื่อ...

    ๑. ขออโหสิกรรมจากทุกดวงจิต ทั้งที่เป็นกายหยาบและกายละเอียด ทั้งที่สามารถรับรู้อารมณ์ทางจิตได้ และรับรู้ไม่ได้...

    ๒. เป็นการแสดงความจริงใจ อย่างแท้จริง... ว่าธรไม่ต้องการเป็นศัตรู หรือสร้างอกุศลกรรมกับดวงจิตใดทั้งสิ้น... เพราะโดยปกติของมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย... การยอมรับว่าตนเองทำผิด... การเอ่ยคำขอโทษ... เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ทุกคนจะกระทำกัน... เพราะในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่... เรื่องพวกนี้ คือเรื่องที่น่าอาย... และเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง ถ้าจะต้องขอร้องให้ใครมายกโทษให้... (แค่รู้สึกว่าตัวเองทำผิด... ในชีวิตจริง จะรับความจริงกันได้มากน้อยแค่ไหนก็สุดรู้)... เพราะฉะนั้น ธรกราบขอขมาโทษต่อทุกท่าน ทุกดวงจิต เพื่อแสดงความจริงใจของธร...

    ๓. ผลพลอยได้จากข้อ ๒... คือ... เป็นการลดทิฐิมานะ ลดตัวเก่ง ตัวอหังการ์ของธร (ถ้ามีอยู่)... ลงได้... เพราะธรจะกระทำตามที่ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี แห่งวัดท่าซุง) ท่านเมตตาสอนว่า ให้โทษความผิดของตัวเองเป็นหลัก... ซึ่งนั่นเป็นความจริง... ธรยังมีความเลวอยู่มาก... เพราะฉะนั้น ทุกเสี้ยววินาทีของลมหายใจเข้า - ออก ธรอาจจะไปล่วงเกินท่านใด หรือดวงจิตดวงใดเข้า โดยที่ธรอาจจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ได้ (เพราะสติอาจจะตามกิเลสไม่ทัน)... เพราะฉะนั้นสำหรับธร การให้อโหสิกรรม การให้อภัยทาน และการขออโหสิกรรม ทั้งทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับธรมากค่ะ...

    ๔. ผลพลอยได้จาก ข้อ ๓. คือ... ธรได้เจริญวิปัสสนาญาณทุกวัน... ได้พิจารณาว่า ทุกดวงจิตที่เกิดแก่เจ็บตายอยู่นี้ ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใด... ตั้งแต่อบายภูมิ มนุษย์ภูมิ เทวภูมิ รูปพรหมภูมิ หรืออรูปพรหมภูมิก็แล้วแต่... ล้วนผิดพลาดกันได้ทั้งสิ้น... เมื่อใดก็ตามที่อกุศลกรรมเข้า... บุคคลผู้นั้น ดวงจิตดวงนั้นย่อมทำผิดได้เสมอ... เพราะทุกอย่างในวัฎสงสารนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน... ทุกดวงจิตมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นที่อยู่ที่อาศัย มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่มีใครหนีกรรมที่ตัวเองก่อไว้ได้ผล...

    ๕. ผลพลอยได้จาก ข้อ ๔ คือ... ธรฝึกตัวเองให้รู้จัก กฏ "ความเป็นธรรมดา" และ "การวางอุเบกขา" ได้ดีขึ้น... สามารถน้อมยอมรับ กฏของพระไตรลักษณ์ กฏของอริยสัจ ๔ ได้ง่ายขึ้น ชัดเจนขึ้น

    ๖. ผลพลอยได้จากทุกข้อ... คือ... ธรสามารถแผ่เมตตาให้ทุกบุคคล และทุกดวงจิตได้อย่างสนิทใจ... เพราะทุกดวงจิตล้วนมีความทุกข์เหมือน ๆ กัน เป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฏ เป็นเพื่อนร่วมวงโคจร เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด... พรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา... เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงดวงจิตของธรให้เกิดความชุ่มเย็นได้เสมอ...


    ๖ ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงข้อหลักใหญ่ ๆ ที่ธรได้จากสิ่งที่ธรทำค่ะ... ข้อปลีกย่อยยังมีอีกมากมายเลย...

    เวลาที่มีปัญหา มีการกระทบกระทั่ง มีอุปสรรค ความทุกข์เกิดขึ้น... ธรเป็นคนไม่ค่อยชอบร้องขอความช่วยเหลือจากใคร...

    ดังนั้น... ธรจึงมีเพียง "พระพุทธธรรม" "พรหมวิหาร ๔" เป็นเครื่องหล่อหลอม รักษา และประคับประคองดวงจิตดวงนี้ให้ผ่านพ้นความทุกข์กาย ทุกข์ใจเหล่านั้นไปได้...

    เพราะฉะนั้นสำหรับธร... การให้อโหสิกรรม ให้อภัยทาน และการขออโหสิกรรม... ด้วยกาย วาจา และใจ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ...

    แต่อย่างไรก็ตาม ก็ขอน้อมกราบขอบพระคุณ ท่านอภิรามด้วยค่ะที่เมตตามาช่วยชี้แนะแนวทางให้.... ขอบพระคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...