นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. idhumma

    idhumma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +94
    อุ้ย ขอโทษทีครับพี่ดาว พอดีผมไม่ทันทราบเหตุการณ์คิดว่าเป็น นิทาน
     
  2. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    อ๋อ.! ฟังเล่น ๆ เป็นนิทานแล้วกันจ้ะ (ความฝันก็เหมือนนิทานแน่ะ...)
     
  3. idhumma

    idhumma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +94
    หลังจากนั้นไม่นานนัก
    “ท่านกัลบก แผนการณ์ที่วางไว้ ท่านคงยังไม่ลืมนะ”

    “แน่นอนสิท่านงานใหญ่อย่างนี้ใครจะลืมได้ พรุ่งนี้ เมื่อถึงเวลาแต่งพระมัสสุให้พระราชา ข้าจะส่งพระองค์ไปหายมพบาลเอง”

    “ฮ่าๆ เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็จะได้ครองบัลลังค์...” และนี่เองก็เป็นแผนที่ เสานาบดีวางไว้ เพื่อหวังที่จะเป็นพระราชาต่อไป


    ครั้นเมื่อถึงเวลาที่กัลบกจะถวายการแต่งพระมัสสุให้พระราชา

    “อืมท่านกัลบก มาได้จังหวะทีเดียว ข้ากำลังรำคาญหนวดเคราเสียเหลือเกิน แต่งให้สวยๆนะ”

    กัลบกเองนั้น ขณะแต่งพระมัสสุให้พระราชา ก็นึกทบทวนแผนการของตัวเองในใจ

    ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงการะณา ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ.. ท่านพยายาม ท่านพยายาม ทำไม เรารู้ เรารู้” พระราชาได้ท่องมนต์เพื่อทบทวนขึ้นพอดี ทำให้ช่างกัลบกเข้าใจว่าพระราชาคงรู้ถึงแผนการณ์ของตน

    “ขอได้โปรดพระราชทานอภัยโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด ข้าพระพุทธเจ้ายินดีที่จะสารภาพความจริงทั้งหมดนี้แก่พระองค์แล้ว”ช่างกัลบกจึงกราบทูลแผนการณ์ทุกอย่างที่เสนาบดีวางไว้ เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์จากพระราชา

    เมื่อพระราชาได้ิยินช่างกัลบกพูดจึงเข้าใจแล้วว่า กัลบกนั้นคิดปองร้าย และยังทรงฟังกัลบกสารภาพความจริงต่อไป

    หลังจากพระราชาทรงทราบเรื่องทั้งหมด จึงสั่งให้ทหาร ไปจับเสนาบดีมา แล้วเนรเทศออกจากพระนครจนชั่วชีวิต

    เมื่อเหตุการณ์สงบลงพระราชาทรงระลึกถึงชายหนุ่มผู้เป็นอาจารย์ที่ทำให้พระองค์รอดชีวิตมาได้ จึงโปรดให้ชายหนุ่มผู้เป็นอาจารย์มาเข้าเฝ้า และได้แต่งตั้งเป็นชายหนุ่งผู้เป็นอาจารย์นี้เสนาบดีแห่งนครพาราณสี

    ....
    ชายหนุ่มผู้มีความขยันหมั่นเพียร ได้รับการยกย่องนับถือจากพระราชาอย่างสมเกียรติและได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีแห่งพระนครพาราณสีด้วยความผาสุกตลอดมา


    :: ข้อคิดจากชาดก ::
    .....๑. ความขยันหมั่นเพียรย่อมทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ

    .....๒. คนเป็นผู้นำ ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อประกอบการตัดสินใจ

    .....๓. คนที่มีความกตัญญูกตเวที ชีวิตจะมีแต่ความเจริญ
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เราจะบอกว่า เรื่องอะไรก็แล้วแต่เราเม้นท์ได้ทุกเรื่อง
    ยกเว้นเรื่องพระสงฆ์องคเจ้า เราไม่เม้นท์
    เพราะไม่ต้องการสร้างวจีกรรม
    ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จหรือฝันก็ตาม
    นะจ๊ะ....ที่รัก เพราะศีลต่างกัน
    เราไม่ก้าวล่วงไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม
    พิจารณาเอาเอง..........:cool:
     
  5. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    อ้าว..!! เล่านิทานให้ฟัง...แล้วหายไปไหนกันหมด..หล่ะจ๊ะ..(เหมือนวงแตก..เลยแฮะ)
    นาน ๆ เล่าให้ฟัง..นะเนี่ยะ.. สงสัยไม่หนุก..แฮะ..
     
  6. idhumma

    idhumma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +94
    T^T ไม่มีคนฟังนิทานผมเลย
     
  7. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    เราไม่ได้ให้ตัวเอง..เม้นท์พระ
    แล้วจะฟังต่อมั๊ย..จ๊ะ โดยไม่ต้องเม้นท์
    เราว่าเรื่องนี้..เป็นเรื่องเทียบเคียงบางเรื่องเท่านั้น...จ้ะ
     
  8. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    คนฟังนิทาน พากันแตกวงฮือ..หายไปหมดเนี่ยะ.. ไม่ใช่เพราะนิทานน้องหรอกจ้ะ..
    เป็นนิทานของพี่เอง...ฮ่า บอกแล้วว่าเราไม่ค่อยฝัน..ไม่ค่อยมีนิมิต
    ฝันที..ก็เป็นอย่างนี้แหละ..หึหึ
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โอเช เล่าต่อเลยคุงคู
    เรื่องย่อก็ได้นะ ขี้เกียจอ่านยา่วๆ
    น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหลงเหลง มะชอบ
    **********
    อย่าน้อยใจซิคะ น้องidhumma
    พี่อ่านอยู่ค่ะ เป็นนิทานที่ให้คติสอนใจและเป็นประโยชน์
    สำหรับผู้ที่มีความพยายามในการทำความดีค่ะ
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อคืนเราฝันแปลกนะ เป็นเรื่องโลกุตรจิต หรือจิตเหนือโลกอ่ะ
    แต่ไม่รู้จะเล่ายังไง เล่าไม่ไ้ด้ รู้เฉพาะตน ดังนั้น ก็เลยหาเรื่องที่ใกล้เคียงกัน
    มาให้อ่านแล้วกันนะ

    จิต เหนือกาย เหนือโลก (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


    จิตนี้ถึงแม้จะไม่มีตัวตนและถูกต้องไม่ได้ แต่จิตก็มีอิทธิพลเหนือกายและสิ่งทั้งหลายในโลก สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ให้อยู่ใต้อิทธิพลของตนได้ แต่จิตนี้ก็มิใช่โหดร้ายสามานย์จนไม่รู้จักดีรู้จักชั่วเสียเลย

    เมื่อผู้มีความปรารถนาดี มาฝึกหัดอบรมจิตนี้ให้เข้าถูกทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้าดังแสดงมาแล้ว จิตนี้ยังจะเชื่องง่าย ฉลาดเร็วมีปัญญาพาเอากายที่ประพฤติเหลวไหลอยู่แล้วให้กลับดีได้

    นอกจากนี้ยังสามารถจะชำระจิตของตนให้ผ่องใสสะอาดปราศจากมลทิน รู้แจ้งเห็นจริงในอรรถธรรมอันลึกซึ้งสุขุมได้ด้วยตนเองด้วย พร้อมกันนั้นจะสามารถนำเอาโลกนี้อันอันธการปกปิดให้มืดตื้ออยู่แล้วให้สว่าง แจ่มจ้าได้ด้วย

    เพราะเนื้อแท้ของจิตแล้วเป็นของสว่างแจ่มใสมาแต่เดิม
    แต่เพราะอาศัยอารมณ์ของจิตที่แทรกซึมเข้ามาปกปิด
    จึงได้ทำให้แสงสว่างของจิตนั้นมืดมิดไปชั่วขณะหนึ่ง
    แล้วก็พลอยทำให้โลกนี้มืดมิดไปด้วย

    หากจิตนี้เป็นของมืดมิดมาแต่กำเนิดแล้ว
    คงไม่มีคนใดใครจะสามารถชำระจิตนี้ให้ใสสะอาด
    เกิดปัญญาแสงสว่างขึ้นมาได้


    ฉะนั้น โลกนี้จะมืดหรือจะสว่าง จะได้รับความสุขหรือความทุกข์ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละบุคคล บุคคลจึงควรฝึกหัดจิตของตนๆ ให้ดีเสียก่อนแล้วจึงฝึกหัดจิตของคนอื่น โลกนี้จึงจะไม่มีความยุ่งต่อไป

    : มรรควิถี (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
     
  11. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    เด๋ว..เราฟังคนอื่น มาเล่านิทานบ้าง ดีกว่า...
    ตอนท้ายก็ไม่มีอะไรมาก..พระท่านก็มารู้สึกตัวเหมือนเดิม
    แล้วก็แจก รูปหล่อพระเจ้าตาก และ พระเนื้อผง(รูปใบโพธิ์) ..เท่านั้นเองแหละ
    (ที่เล่ารายละเอียด..เพราะจำได้แม่นยำนัก ติดตาตรึงใจ ทีเดียวเชียว).....
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    น้องปลากะป๋องคะ ขอโทษทีพี่มัวแต่ดีใจที่มีคนฝันถึง
    จะบอกว่าให้น้องปลากะป๋อง ซื้อชุดกระโปรงสีขาวสำหรับเด็กผู้หญิง
    แล้วนำไปใ้ห้ทานค่ะ ให้กับเด็กผู้หญิงที่ไหนก็ได้ แล้วอุทิศบุญ
    ให้ลูกสาวนะคะ เค้าคงต้องการ จึงมาทำให้ฝันอย่างนั้น
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดอกบัวเป็นดอกไม้พิเศษที่จะนำไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม
    ความคิดที่ว่าดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามนี้
    เห็นได้จากมีการนิยมใช้ดอกบัวเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัยโดยทั่วไป

    ดอกบัวได้ชื่อว่าเป็นพืชพันธุ์ไม้น้ำที่ทรงคุณค่าด้านความงามอันล้ำเลิศ พระอรรถกถาจารย์
    เปรียบธรรมชาติของดอกบัวว่า มีความคล้ายคลึงกับปรัชญาในพระพุทธศาสนา
    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับดอกบัวอยู่มากมาย

    ดอกบัวกับพระพุทธเจ้า ดอกบัวกับพระธรรม ดอกบัวกับพระสงฆ์

    ดอกบัวกับพระพุทธเจ้า

    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ดอกบัวมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหลาย ๆ เหตุการณ์ ดังนี้

    มี คำบรรยายเปรียบพระพุทธเจ้ากับดอกบัว พระองค์ทรงละแล้วซึ่งทุกข์ทั้งปวง ความทุกข์ทั้งหลายไม่สามารถครอบงำหรือผูกมัดพระองค์ได้ ดังข้อความที่เปรียบกับดอกบัวว่า

    ดอกบัวก้านมีหนาม เกิดในน้ำ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำและโคลนตม ฉันใด
    มุนีผู้กล่าวเรื่องความสงบ ก็ไม่ยินดี ไม่แปดเปื้อนในกามและโลก ฉันนั้น


    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่หวาดหวั่นในโลกธรรม ๘ คือ ไม่ทุกข์ร้อนเพราะคำนินทา และไม่ยินดีด้วยคำสรรเสริญ ดังข้อความที่เปรียบกับดอกบัวว่า

    ผู้เที่ยวไปผู้เดียว มีปัญญา ไม่ประมาท ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและสรรเสริญ
    ไม่สะดุ้งเพราะเสียง เหมือนราชสีห์ ไม่ติดข่าย เหมือนลม ไม่เปียกน้ำ เหมือนบัว เป็นผู้แนะนำผู้อื่น ไม่ใช่ผู้อื่นแนะนำ นักปราชญ์ทั้งหลายประกาศว่า เป็นมุนี

    พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงตัดอนุสัย ทรงข้ามห้วงน้ำใหญ่ คือ สงสารได้แล้ว ทรงเป็นผู้ละแล้วซึ่งบุญและบาปทั้งปวง ดังพระพุทธพจน์ว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ โผล่พ้นจากน้ำแล้วตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก ครอบงำโลกอยู่ แต่ไม่ติดโลก

    ในบาลีมีเรื่องเล่าว่า โทณพราหมณ์ ผู้เห็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จดำเนินทางไกลระหว่างเมือง อุกกัฏฐะและเมืองเสตัพพะ รอยพระบาทนั้นมีรอยกงจักรถึง ๑,๐๐๐ ซี่ ประกอบด้วยกงและดุม เป็นลักษณะซึ่งโทณพราหมณ์ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน ความอัศจรรย์ของรอยพระบาททำให้โทณพราหมณ์เข้าใจว่าต้องมิใช่รอยเท้ามนุษย์ เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า โทณพราหมณ์จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์เป็นเทวดา คนธรรพ์ ยักษ์ หรือมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบโดยเปรียบดอกบัวกับพระองค์ว่า

    พราหมณ์ เราเกิดเจริญเติบโตในโลก แต่อยู่เหนือโลก เหมือนดอกอุบล (บัวเขียว) ดอกปทุม (บัวหลวง) หรือดอกปุณฑริก (บัวขาว) เกิด เจริญเติบโตในน้ำ แต่อยู่เหนือน้ำ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำฉันนั้น ท่านจงจำเราไว้ว่า เป็นพระพุทธเจ้า

    พระ อรรถกถาจารย์กล่าวถึงดอกบัวที่ผุดขึ้นรับพระบาทของพระพุทธเจ้าว่า สหาย ๒ คนชื่อครหทินและสิริคุต ครหทินเป็นสาวกของนิครนถ์ซึ่งเป็นนักบวชนอกศาสนา ได้พยายามชักชวนให้ สิริคุตผู้เป็นพุทธสาวกหันไปนับถือลัทธิเดียวกับตน ซึ่งอ้างว่าลัทธิของตนนั้นรู้จริงทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    สิริคุตจึงทดสอบเหล่านิครนท์ด้วยการขุดหลุม ใช้เสื่อลำแพนคลุมไว้บนหลุมแล้วใส่อุจจาระไว้จนเต็ม ทำการอำพรางไว้ที่หน้าบ้านของตน จากนั้นนิมนต์สาวกของนิครนถ์มากินอาหารที่บ้าน

    ปรากฏว่าเหล่านิครนถ์ไม่รู้กลอุบาย ตกลงในหลุมอุจจาระที่ถูกอำพรางไว้ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นสิริคุตจึงขับไล่เหล่านิครนถ์ เพราะเห็นชัดว่าพวกนิครนถ์ไม่ได้รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตตามที่ได้อวดอ้างไว้

    ต่อมาครหทินคิดทดสอบบ้าง อาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกไปฉันอาหารที่บ้านตน ครหทินได้ขุดหลุมถ่านเพลิงโดยใช้เสื่อลำแพนปิดอำพรางไว้เช่นกัน ครั้นพระพุทธองค์ทรงย่างเหยียบบนเสื่อ ถ่านเพลิงได้กลับกลายเป็นดอกบัวรองรับพระบาทไว้อย่างน่ามหัศจรรย์

    มีคำบรรยายเหตุการณ์ว่า

    พระศาสดาทรงเหยียดพระบาทลงเหนือหลุมถ่านเพลิง เสื่อลำแพนหายไปแล้ว ดอกบัวประมาณเท่าล้อผุดขึ้นทำลายหลุมถ่านเพลิง พระศาสดาทรงเหยียบกลีบบัว เสด็จไปประทับนั่งลงบนพุทธอาสน์ ที่เขาปูลาดไว้ ความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เป็นผลให้ครหทินซึ่งเคยเลื่อมใสในลัทธินิครนถ์เปลี่ยนใจหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาตั้งแต่นั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดอกบัวกับพระธรรม

    ใน คัมภีร์มิลินทปัญหา พระนาคเสนได้กล่าวบุคคลที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ควรปฏิบัติองค์คุณต่าง ๆ เพื่อให้สำเร็จอรหัตตผล องค์คุณที่ผู้ปฏิบัติพึงปฏิบัตินั้น คือองค์ ๓ แห่งบัว ซึ่งได้กล่าวถึงธรรมดาของดอกบัวไว้ ๓ ลักษณะ ดังนี้

    ๑. ย่อมเกิดและงอกงามในน้ำ แต่น้ำก็หาได้ติดบนใบบัวไม่
    ๒. เมื่อผุดขึ้นจากน้ำ ก็ลอยอยู่
    ๓. ต้องลมแม้เล็กน้อยก็สะบัดใบแกว่งไปมา

    พระนาคเสนได้เทียบคุณสมบัติของดอกบัวกับผู้ปฏิบัติธรรมไว้ ดังนี้

    ๑. เป็นผู้ไม่ติดอยู่ในตระกูลและลาภยศสุขสรรเสริญ เป็นต้น
    ๒. เป็นผู้ครอบงำแล้วซึ่งโลกธรรมทั้งปวงแล้วลอยอยู่ในโลกุตตรธรรม
    ๓. การทำความสำรวมในกิเลสทั้งหลาย แม้มีประมาณน้อย เห็นกิเลสแม้เพียงเล็กน้อยเป็นเหตุให้หวั่นหวาด ดังพุทธภาษิตว่า ภิกษุมีปรกติเห็นภัยให้โทษ

    พระ นาคเสนถวายพระพรตอบพระยามิลินท์ โดยอุปมาพระพุทธเจ้ากับดอกบัวว่า ธรรมชาติของดอกบัวเกิดจากน้ำและเปือกตม แต่เมื่อดอกบัวโผล่พ้นน้ำก็มีรูปพรรณสวยงาม มีสีสวยสด มีกลิ่นหอมชวนชื่นใจ มิได้มีรูปพรรณ สีและกลิ่น เหมือนน้ำหรือเปือกตมเลย เช่นพระพุทธเจ้าที่มิได้มีพุทธลักษณะเหมือนพระพุทธบิดา หรือพระพุทธมารดานั้น

    มีคำบรรยายข้อปฏิบัติของพระปัจเจกพุทธเจ้าเปรียบกับดอกบัวว่า

    เพราะไม่ทำความชั่ว คือ บาปอกุศลธรรมทั้งหลายที่เป็นเหตุแห่งความเศร้าหมอง เป็นเหตุให้ก่อภพใหม่ มีความกระวนกระวาย

    มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชรา มรณะต่อไป

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละทิ้งหมู่ มีขันธ์เกิดดีแล้ว
    มีดอกบัว (คือธรรม) เป็นผู้ยิ่งใหญ่ อยู่ในป่าตามชอบใจได้
    เหมือนนาคะ ละทิ้งโขลงแล้วอยู่ป่าได้ตามชอบใจ

    จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระพุทธโฆสาจารย์ได้อธิบายอารมณ์กรรมฐานเปรียบกับดอกบัวว่า
    เหง้าบัวหลวงซึ่งใช้แพร่พันธุ์ และรากบัวจะฝังลึกแน่นอยู่ใต้ดินในน้ำ ซึ่งยากต่อการที่จะถอนขึ้นมา แม้ในอารมณ์กรรมฐาน การกำหนดเหงื่อ (เสโท) เป็นอารมณ์ในกรรมฐาน

    เมื่ออารมณ์กรรมฐานของผู้ปฏิบัติแน่วแน่ เป็นธรรมดาเหงื่อจะออกอยู่เป็นนิจ จะไหลออกจากทุกรูขุมผมและขุมขน ทำให้ผู้ปฏิบัติกรรมฐานมีอารมณ์แน่วแน่ยิ่งขึ้น ท่านเปรียบไว้ว่า “เหมือนน้ำที่ไหลออกจากช่องกำเหง้าบัวและก้านบัว"

    ผู้ปฏิบัติกรรมฐานจะไม่รู้สึกตัวเมื่อเหงื่อไหลเมื่ออารมณ์กรรมฐานแน่วแน่ เว้นแต่่ผู้ปฏิบัติจะกำหนดเพื่อให้รู้ว่าอาการไหลของเหงื่อเป็นเพียงสภาวะเท่านั้น อาการนี้เป็นการกำหนดอารมณ์กรรมฐานวิธีหนึ่งในหลาย ๆ วิธี

    พระพุทธโฆสาจารย์อธิบายอารมณ์กรรมฐานโดยเปรียบกับดอกบัวไว้ดังนี้

    คำ ว่า เหงื่อ ได้แก่ อาโปธาตุ (ธาตุน้ำในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน) ที่ไหลออกตามช่องขุมขนเป็นต้น เหงื่อนั้นมีสีดังงาน้ำมันใส โดยสัณฐานมีสัณฐานตามโอกาส โดยทิศเกิดในทิศทั้ง ๒ โดยโอกาสชื่อว่าโอกาสแห่งเหงื่อ ซึ่งเป็นที่ที่มันจะพึงขังตั้งอยู่ทุกเมื่อดังโลหิตหามีไม่ แต่เมื่อใดร่างกายอบอ้าวอยู่ เพราะเหตุต่าง ๆ เช่น ร้อนไฟ ร้อนแดด และความเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูเป็นต้น เมื่อนั้นมันจึงไหลออกตามช่องขุมผมและขนทั้งปวง ดุจกำสายบัวที่มีรากและเหง้าตัดไว้ไม่เรียบ ซึ่งคนถอนขึ้นจากน้ำฉะนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดอกบัวกับพระสงฆ์

    พระอรรถกถาจารย์ได้เปรียบพระสงฆ์กับดอกบัวไว้ดังนี้

    ดอกบัว แม้จะเกิดขึ้นตามคูสกปรก ตามกองขยะที่เขาทิ้งทับถมไว้ริมถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น แต่ก็ยังมีกลิ่นหอมเป็นที่รื่นรมย์ใจ คนย่อมเก็บมาทัดทรงประดับแม้ส่วนสูงของร่างกาย โดยปราศจากการรังเกียจถึงสถานที่เกิดอันแสนจะปฏิกูลของมันฉันใด “พระสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นเพศบรรพชิต เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์”๓๒

    แม้จะเกิดในตระกูลยากจนเข็ญใจ เมื่อมาประพฤติดีปฏิบัติชอบตามพระวินัย พุทธศาสนิกชนก็ย่อมเลื่อมใสศรัทธาเคารพกราบไหว้ โดยปราศจากความรังเกียจถือชาติตระกูลฉันนั้น จะเห็นได้ว่าชาวอินเดียในอดีต มีการถือชาติชั้นวรรณะกันอย่างรุนแรงและจริงจัง การที่ชนผู้อยู่ในวรรณะสูง มายอมกราบไหว้ผู้ที่อยู่ในวรรณะต่ำกว่านั้น โดยปกติแล้วจะมีไม่ได้โดยเด็ดขาด นอกจากพระสงฆ์ผู้ที่มีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับคุณสมบัติของดอกบัวเท่านั้น

    อีกเรื่องหนึ่ง พระโมคคัลลานะซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็นผู้ฉลาดในวิธีแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ “พระโมคัลลานะผู้มีปัญญามาก ฉลาดในสมาธิฌาน บรรลุบารมีด้วยปัญญา”๓๔ พึงเนรมิตอัตภาพชั่วขณะเดียวได้แสนโกฏิ โดยเปรียบพระโมคคัลลานะกับดอกบัวว่า

    ท่านสิ้นอาสวะแล้วควรแก่การทักษิณา พระโมคคัลลานะผู้อันมนุษย์และเทวดาบูชาแล้ว
    เกิดโดยอริยชาติ ครอบงำความตายเสียได้ ไม่ติดอยู่ในสังขารเหมือนดอกบัวไม่ติดอยู่กับน้ำ

    พระอัสสชิ เป็นพระมหาสาวกอีกองค์หนึ่งซึ่ง เปรียบเหมือนดอกบัว ท่านเป็นพระเถระรูปหนึ่งในคณะปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกและเป็นอาจารย์ของพระสารีบุตร๓๖ ท่านมีบุคลิกที่น่าเสื่อมใส มีปัญญามาก มีคำยกย่องพระอัสสชิ โดยเปรียบกับดอกบัวว่า

    พราหมณ์นามว่าอัสสชิ
    สาวกของพระองค์ ซึ่งหาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก มีเดชแผ่ไป เที่ยวบิณฑบาตในครั้งนั้น .....
    ..... มีจิตสงบ เบิกบาน ดุจดอกปทุมที่แย้มบาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไปอ่านเจอมาค่ะ ก็เลยเอามาแบ่งปัน

    เรื่องพญานาคทั้ง 7 แห่งพระธาตุพนม


    พญานาคราชทั้งเจ็ด
    สามเณรรูปหนึ่งซึ่งอายุเพียง 15 ปี นั่งเข้ากัมมัฏฐานตรวจดูเหตุการณ์ ครู่หนึ่งสามเณรก็เห็น พญานาคราชทั้งเจ็ด เรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุ ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัว แล้วจึงกลับสภาพเป็นร่างมาณพเจ็ดตนนุ่งห่มด้วยผ้าขาว

    ทันใดนั้นมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้กล่าวทักทายสามเณรและขอโอกาสสนทนาธรรมกับ ท่านพ่อ สักครู่พญานาคราชในร่างสามเณรก็ยกมือไหว้ท่านพ่อ กล่าวว่า “นมัสการท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ” ท่านพ่อแปลกใจจึงถามกลับว่า “ท่านเป็นใคร มาจากไหนหรือ” สามเณรตอบว่า “พวกหม่อมฉันเป็นพญาสัตตนาคา มีพระนามเป็นมงคลตามอริยทรัพย์ตามลำดับว่า

    พญาสัทโทนาโค (เป็นหัวหน้า)

    พญาศีลวุฒนาโค
    พญาหิริวุฒนาโค

    พญาโอตตัปปะวุฒนาโค
    พญาสัจจะวุฒนาโค
    พญาจาคะวุฒนาโค และ
    พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค

    มีรัศมีสีกายต่างกันคือ น้ำเงิน เขียวเข้ม เขียวอ่อน เหลือง ชมพู ส้ม และขาวตามลำดับ

    พวกหม่อมฉันมาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย ตามบัญชาขององค์อินทราธิราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์ ตั้งแต่สองวันที่แล้ว เพื่อมาลงรักษาพระธาตุพนม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหัวอก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมาขับไล่พวกผีเจ้าเฮือนเทวดาหลักเมืองที่เฝ้าพระธาตุพนมให้ออกไปจากที่ นี้ เพราะพวกนี้มักกินสินบนเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน ทำให้พระศาสนามัวหมอง

    อดีตชาติของพญานาคทั้ง 7

    ที่มาในปี 2500 ปีนั้นก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แค่มาพ้องกันพอดีกับความเชื่อที่ว่า เป็นยุคกึ่งพุทธกาล...ที่แสดงออกมาให้เห็นเป็นลำแสง ก็เป็นไปตามรัศมีกายหรือผิวกายของพญานาค ซึ่งแยกย่อยออกมาจากพญานาค 4 ตระกูลใหญ่ ...ผู้ที่เห็นได้นั้นเป็นเพราะ... อายตนะตรงกันพอดีในช่วงจังหวะนั้น

    กลุ่มพญานาคทั้ง 7 ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพญานาคในน้ำโขงที่ได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันออกพรรษา แต่ก็รู้จักกัน

    พญาสัตตนาคา คือ กลุ่มพญานาคระดับภุมมเทวาดังกล่าว โดยอดีตชาติตอนเป็นมนุษย์ได้เป็นกลุ่มช่างก่อสร้าง 7 คนที่ได้รับจ้างไปบูรณะอารามแห่งหนึ่ง โดยทำด้วยจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ก็มักหาเวลาว่างมาตั้งวงดื่มเหล้ากัน

    ในช่วงบั้นปลายชีวิตก็ได้ไปฟังธรรม, ซึ่งพระเถระได้แสดงธรรมเรื่องอริยทรัพย์ 7, ท่านให้จำคนละข้อ เพราะทั้ง 7 คนจำได้ไม่หมดทุกข้อ, และได้ตั้งชื่อให้ใหม่ในทางธรรม โดยเรียกเป็นชื่อตามหัวข้อธรรมะ

    เมื่อตายไปก็ได้มาเกิดเป็นพญานาคระดับภุมมเทวาดังกล่าว...ไม่จำเป็นที่เมื่อเป็นเทวดาแล้วจะต้องมาคลุกคลีกับมนุษย์ แต่เนื่องจากตั้งใจที่จะบำเพ็ญกุศล เพราะมีเศษกรรมสุราติดมาจากตอนเป็นมนุษย์ จึงทำให้เกิดเป็นพญานาค

    พระอินทร์ท่านเป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์, โดยมีท้าวจาตุโลกบาลทั้ง 4 คือ ท้าวเวสสุวรรณโณ, ท้าววิรุณปักษ์, ท้าววิรุณหค, ท้าวฐตรถ ปกครองนาค, ยักษ์, คนธรรพ์, ครุฑ เป็นประเทศราช แล้วก็ยังมีสายปกครองมาตามลำดับ เช่น อากาศเทวา, รุกขเทวา, ภุมมเทวาบนพื้นมนุษย์

    พระอินทร์ท่านเป็นพุทธศานิกชน ไม่ได้มายุ่งโดยตรงกับมนุษย์ แต่สั่งการปกครองมาตามลำดับดังกล่าว เมื่อมีเหตุเภทภัยกับพระพุทธศาสนา ท่านก็มองดูด้วยทิพย์จักษุ แล้วก็สั่งการลงมาเป็นชั้น ๆ

    การที่ “พระธาตุพนม” พังลงมานั้น ก็เป็นไปตามกาลเวลาของสังขารทั้งหลาย ที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา, เมื่อเกิดขึ้น, ตั้งอยู่, ก็เสื่อมไป ไม่ได้เป็นบุพนิมิตที่จะบอกอะไร

    ด้วยบุญที่พิทักษ์รักษาพระธาตุพนมได้ส่งผลให้พญานาค สัตตนาคา ไปเป็น “อากาศเทวา” มีวิมานเป็นทอง เป็นกลุ่ม 7 วิมาน... เมื่อกลุ่มเก่าไปแล้ว หัวหน้าเขตก็ส่ง กลุ่มใหม่มาแทน โดยมาเฝ้าพิทักษ์พระธาตุเหมือน ร.ป.ภ. ที่มาอารักขาเป็นเกียรติแก่พระศาสนาที่คนเลื่อมใสศรัทธา และปกป้องผองภัยเท่าที่ทำได้ ด้วยอานิสงส์นี้ก็จะได้ผลบุญส่งให้เลื่อนชั้นไปสูงขึ้น คล้ายพญาสัต ตนาคาที่ได้ผลบุญส่งให้ไปเป็น “อากาศเทวา”


     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไปเจอมาอีกเรื่องแระ น่าสนใจๆ จริงๆ
    อ่านให้เป็นนิทาน นะจ๊ะ

    <b><big><big> อนันตนาคราชมหาโพธิสัตว์
    </big></big></b>

    พระอนันตนาคราชเป็นบุตรของพิภพนาคา หรือท้าวยักษ์กโตหน ซึ่งท้าวยักษ์กโตหน มีมเหสีอยู่หลายพระองค์ คือ พระแม่ย่าศรีสุริโย พระแม่ย่ากัลปพฤกษ์ พระแม่ย่าทองศรีไพร พระแม่ย่าศรีไพรวัลย์ ซึ่งพระมเหสีของท้าวยักษ์กโตหนเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น

    พญาอนันตนาคราช เป็นบุตรเกิดจากพระแม่ศรีสุริโย แห่งเมืองทวารวดี จากพิภพนาคา ท้าวยักษ์กโตหะนะ ก็กลายเป็นท้าวทศรถในศึกรามมายณ ต้นกําเนิดแห่ง รามาวตาล จากศึกสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์

    เพราะการอธิษฐานจิตที่จะมาเป็นพุทธบิดา พุทธมารดา พระแม่นมเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่ต้องการที่จะลงมาร่วมสร้างบุญบําเพ็ญเพียรบารมีร่วมกับพระโพธิสัตว์ จนกว่าท่านจะบรรลุถึงความเป็นพุทธะ เหล่าบริวารของท่านที่ปรารถนาเอาไว้ก็จะลงมาจุติร่วมกัน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นมิตรสหายกันตลอดชาติเพื่อที่จะหล่อรวมกันเป็น " สายณะธรรม " เดียวกันให้จงได้

    อนันตนาคราช มีมเหสี สามองค์ ซึ่งเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ด้วยพ่อแม่ก็ตามใจมาตั้งแต่เด็ก จึงทําให้พญาอนันตนาคราชค่อยๆ ซึมซาบนิสัยที่ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เด็กเข้าสู่วาระจิตของตนเอง จึงทําให้อนันตนาคราชรักมเหสีทั้ง 3 ไม่เท่าเทียมกัน มเหสีองค์แรกชื่อ มณีนาคราช เป็นคนดีซื่อสัตย์บริสุทธิ์ มเหสีองค์ที่สองชื่อ นาคเทวี เป็นคนเจ้าอารมณ์ ใจร้อน อยากให้สามีเป็นของตนแต่ผู้เดียว มเหสีองค์ที่สามชื่อ นาคีนาคา เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมเอาใจเก่ง พญาอนันตนาคราช ผู้เป็นสามีอยากได้ในสิ่งใดๆเธอก็แสวงหานํามาทูลให่เสมอ จึงทําให้รักนาคีนาคามากกว่าคนอื่น

    หลังจากที่พญาอนันตนาคราชขึ้นครอง บัลลังก์กลายเป็นเจ้าแห่งพิภพนาคาแล้ว ก็มีเมียเพิ่มมากขึ้นนับพันคน เหล่าบรรดาเมียต่างก็ใช้ฤทธิ์อํานาจที่มีอยู่ในตัวทําให้อนันตนาคราชหลงใหล จึงมีลูกมากมายหลายคนทุกคนก็อยากขึ้นคลองราชย์

    เพราะเมืองแก้วเมืองทองของพญานาคเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดามณีต่างๆถูกนําลงมาสร้างเป็นเมืองเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทอง ในพื้นที่พิภพในยุคนั้น สร้างกรรมเอาไว้กับบรรดาเมียๆทั้งหลาย แต่ก็นําสมบัติแก้วแหวนเงินทองมาสร้างมหาบารมีเอาไว้อย่างมากมาย บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป เพราะเมื่อลงมาจุติในโลกมนุษย์แล้วสัญญาในการจําได้หมายรู้ก็ถูกตัดขาดไป ต้องอาศัยพื้นฐานจากการสร้างทานบารมีก่อน ต้องเริ่มจากการสร้างทานบารมีให้เต็มเสียก่อนถึงจะเข้าสู่ วิโมกขธรรมสืบต่อไป

    เพราะดวงจิต เจตสิก ที่ลงมาจุติในยุคที่มีเรืองฤทธิ์ เรืองอํานาจต่างแข่งบุญบารมีกันทุกๆคนต่างก็มีฤทธิ์ จึงไม่มีใครยอมใคร ใครอยากจะทําอะไรก็ทําได้สุดแต่ใจของตนจะปรารถนา ต่างคนต่างอวดฤทธิ์อํานาจในทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกแนวทางของมรรคผล จึงรับหน้าที่ลงมาจุติเพื่อที่จะปราบทิฏฐิมานะในการมีฤทธิ์ มีอํานาจนั้นระหว่าง พญานาค พญาครุฑ คนธรรพ์ คนธรรม พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ผู้ซึ่งมีฤทธิ์ มีอํานาจมาก จนกลายเป็นศึกสงครามซึ่งเกิดจากสรวงสวรรค์ลงมาถึงภาคพื้นดินเพราะเหล่า เทพ เทวา ยังไม่รู้จักสัจธรรมว่าจะนําพาเข้าสู่แนวทางของความพ้นทุกข์ออกไปได้อย่างไร ไม่ว่าท่านจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด ไม่ว่าท่านจะมีฤทธิ์ มีอํานาจสักปานใด ท่านก็ไม่สามารถหลบหนีพ้นกฎแห่งกรรมไปได้ เพราะสถาวกรรมที่ได้กระทําเอาไว้ จะต้องชดใช้วิบากกรรมซึ่งกันและกันจนกว่าจะหมดไปจากสภาวะกรรมนั้นๆ

    <b><big><big>
    </big></big></b>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2012
  19. fahmui

    fahmui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,933
    ค่าพลัง:
    +5,440


    ขอบพระคุณพี่นุ๊กมากๆค่ะ รบกวนตลอดเลยเนาะ 555 :cool:

    เขานับกันแบบนี้นี่เอง ไอ้เราก็หนึ่ง สอง มั่วไปหมด เคยอ่านเจอ 0-9

    แต่ไม่เข้าใจ เลยเอามานับผิดๆ ตอนนี้ชัดเจนแล้ว

    ขอบพระคุณมากๆเลยนะคะ:cool:
     
  20. Nuntinee

    Nuntinee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +22

    ้เพิ่งเริ่มฝึกค่ะ ยอมรับว่ากลัวจริงๆ
    ทำไปสักพัก จิตมันเริ่มแว๊บๆ ไปเห็นผี(ที่เคยดูหนัง) 555 หลับตาไม่ลงเลยคราวนี้

    ขอคำแนะนำบ้างนะคะ :D
     

แชร์หน้านี้

Loading...