เมื่อข้าพเจ้าไปขออโหสิกรรมกับ ''พระนางเรือล่ม''

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย soonyata, 10 เมษายน 2006.

  1. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556

    ตอนโน้นเห็นคุณพรรณภัทร โพสต์เลขมา ไม่รู้ว่าความหมายว่าอะไร ยังไม่เข้าใจ
    แต่เลขก็มีแต่ 5 4 2 3
    ถ้าจับมาเรียงเป็น 2453 ก็จะเป็นปีเสด็จสวรรคต
    ถ้าจับมาเรียงเป็น 2423 ก็เป็นปีเกิดอุปัทวเหตุ

    คิดมากไปเองหรือเปล่้า ไม่รู้......
     
  2. เด็กหัวจุก

    เด็กหัวจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +1,436
    ต้องรอให้คุณเค้ามาเฉลยแล้วล่ะตัวเอง
     
  3. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    เค้าคงคิดให้มันยุ่งยากไปเอง มั้ง.......
     
  4. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    <IFRAME height=480 src="http://www.youtube.com/embed/6u5PSvtSUjs" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>


    ..............................................​
     
  5. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    จุฬา ตรีคูณ

    ด้วยบทเพลง บรรเลงเงื่อน เตือนให้คิด
    ครวญพินิจ ตะขิดขวง น่าหน่วงว่า
    เปรยเป็นบท ละคร ซ่อนบังตา
    ช่างคลับคลา ว่าเรื่อง เนื่องสายธาร

    เหมือนเหลือเกิน ดำเนินการณ์ วารวันร้าย
    ตกต้องตาย ในสายชล โดนประหาร
    สายจุฬา มาประเทียบ เลียบลำธาร
    สุดพิจารณ์ ตรี อนงค์ ลงที่เรือ

    กระบวนใหญ่ ไพศาล อุฬารยศ
    ให้ปรากฎ เห็นตาม ช่างงามเหลือ
    พระนางน้อง พ้องสรรพ ประทับเรือ
    มิเคยเชื่อ เจือแฝง แสร้งอุบาย

    จึงปรากฎ สลดเจตน์ เหตุวิโยค
    ยังความโศก กำสรด มิปลดหาย
    สังเวยสิ้น อินทรีย์ นี้มลาย
    ว่ามิรู้ ผู้ปองร้าย หรือภัยพาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2012
  6. พรรณนา

    พรรณนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +1,178
    คิดถึง....คนไกล จังเลย
    ไม่ได้เข้ามาเสียนาน...เอะๆๆๆ
     
  7. พรรณภัทร

    พรรณภัทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +259
    ช้าวันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๒๓ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๒๔๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัยมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พระยามหามนตรี สมุหราชองค์รักษ์จัดเรือพระที่นั่งโสภณภควดีเป็นเรือทรง และเรือพระพระประเทียบทั้งหลาย สำหรับเป็นเรือทรงของเจ้านายฝ่ายใน

    พระองค์เจ้าสว่างวัฒนาและสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เสด็จประทับเรือพระที่นั่งใหญ่
    ๒ ชั้น ลำ ๑

    เรือปานมารุต เป็นเรือกลไฟจูงเรือเก๋งกุดั่น ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
    และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์
    เพชรรัตนโสภางค์ทัศนียลักษณอรรควรราชกุมารี ลำ ๑

    เรือกลไฟโสรขจร จูงเรือเก๋งพระที่นั่งพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี ลำ ๑

    เรือกลไฟราชสีห์จูงเรือพระที่นั่งพระองค์เจ้าสุขุมมาลย์มารศรี ลำ ๑

    เรือยอร์ชพระที่นั่ง ของกรมหลวงวรศักดา จูงเรือกรมสมเด็จพระสุดารัตนประยูร ลำ ๑
    เป็นเรือขบวนตามเสด็จ

    พอได้ฤกษ์เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปล่อยขบวนเรือ พระประเทียบทั้งหลาย ที่เตรียมอยู่พรักพร้อมแล้วล่วงหน้าไปก่อน ขบวนเรือพระประเทียบทั้งหลายได้เคลื่อนออกจาก ท่าราชวรดิตถ์ เรือกลไฟทุกลำติดเครื่อง แล่นจูงเรือเก๋งต่างๆออกจากท่าอย่างช้า ๆ เมื่อขบวนเรือได้หายไปจากท่าราชวรดิตถ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ได้เสด็จเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้ทอดพระเนตรพระอารามหลายแห่งจนทั่วแล้ว จึงเสด็จเข้าไปในพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนนมัสการพระพุทธมหาปฏิมากรแก้วมรกต อันเป็นพระราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ ก่อนที่จะเสด็จออกจากพระบรมมหาราชวังไปนอกพระมหานคร

    ในขบวนเรือพระประเทียบนั้น เรือกลไฟราชสีห์ ซึ่งเป็นเรือลางจูงเรือพระประเทียบ ของพระองค์เจ้าสุขุมาลย์ มารศรี เป็นเรือที่มีฝีจักรสูง จึงแล่นนำหน้าขบวนเรือพระประเทียบทั้งหลาย เรือกลไฟราชสีห์ แล่นขนานฝั่งไปทางทิศตะวันออก เรือกลไฟยอร์ชซึ่งจูงเรือพระประเทียบกรมสมเด็จพระสุดารัตน์ราชประยูร แล่นขนานไปกับเรือราชสีห์ แต่คนละฝั่งแม่น้ำ ส่วนเรือกลไฟโสรขจรนั้น แล่นตามหลังเรือกลไฟราชสีห์ รักษาระดับในระยะพอสมควร สำหรับเรือกลไฟปานมารุตซึ่งเป็นเรือจูงเรือพระประเทียบเก๋งกุดั่น ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์นั้น แล่นตามเรือกลไฟทั้งหมด ในท่ามกลางสายตาของประชาชนผ่านความสับสนจอแจของชาวเรือ ในแม่น้ำเจ้าพระยาย่านพระมหานครนั้นอัตราความเร็วของเรือพอสมควร ครั้นออกนอกเขตพระมหานครเรือกลไฟแต่ละลำก็เร่งสตรีมความเร็วสูงขึ้น เมื่อผ่านอ้อมเกร็ดไปแล้ว ท้องแม่น้ำเจ้าพระยาในตอนนั้นกว้างและเวิ้งว้าง เห็นทิวไม้ข้างฝั่งอยู่ลิบ ๆ ปราศจากเรือเล็กเรือน้อย นอกจากเรือมอญของชาวรามัญอาศัยอยู่ในถิ่นนั้น ทิ้งสมอลอยลำอยู่กลางน้ำ เพื่อดำทรายเอามาขายในกรุงเทพฯ ความเวิ้งว้างของท้องน้ำ ประกอบด้วยเรือกลไฟเหล่านั้นมีฝีจักรกำลังสูง เมื่อแล่นเร็วก็ทำให้เกิดคลื่นซัดเข้าหากัน

    ลางร้ายอันมีจากพระสุบินนิมิต ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์นั้น มิได้มีวี่แววว่าจะมีเหตุเภทภัยอันใดเกิดขึ้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ประทับอยู่ในเก๋งเรือ ทรงพระประชวรเล็กน้อยจากเพิ่งทรงพระครรภ์ใหม่ครั้งที่สอง ส่วนพระราชธิดาเจ้าฟ้าหญิงฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตนโสภางค์ทัศนียลักษณอรรควรราชกุมารี นั้น ทรงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระพี่เลี้ยง ชื่อ " แก้ว " ซึ่งได้ถวายความอารักขาเป็นพิเศษ ด้วยเหตุว่าเจ้าฟ้าหญิงฯ มีพระชันษาเพียง ๑ ปี ๑๐ เดือนเศษเท่านั้น

    เรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ปิดหน้าต่างเก๋งทุก ๆ ด้าน ได้ยินแต่เสียงลมและเสียงหัวเรือพระที่นั่งแหวกน้ำดังซ่า ๆ และมีระลอกอันเกิดจากเรือลำอื่นมาปะทะเรือทำให้เรือโคลงเคลงในบางครั้งบางคราว เจ้าฟ้าหญิงบรรทมหลับ ส่วนของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงพระสำราญอยู่อย่างเงียบ ๆ ทรงเคลิ้ม ๆ คล้ายจะบรรทมหลับไปงีบหนึ่ง เจ้าฟ้าหญิงฯ ยังคงบรรทมอยู่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ทรงชำเลืองพระราชธิดาแล้วก็ทรงหลับพระเนตรต่อดังเดิม ฝ่ายเรือพระที่นั่งก็แหวกน้ำไปข้างหน้าทวีความเร็วขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งเรือกลไฟปานมารุต ซึ่งจูงเรือพระประเทียบ ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ แล่นทันขบวนเรือข้างหน้า พอดีถึงตำบลบางพูด เหนืออ้อมเกร็ดขึ้นไปเล็กน้อย



    อันตำบลบางพูดนั้น แม้กระทังทุกวันนี้ก็ยังปรากฏว่าเป็นตำบลที่สำแดงฤทธิ์เดชแก่ชาวเรือที่ผ่านไปมาอยู่เนือง ๆ เพราะท้องน้ำในบริเวณนั้นเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ปราศจากบ้านเรือนของประชาชนริมฝั่ง นอกจากวัดเก่า ๆ วัดหนึ่ง ท้องน้ำตรงนั้นเป็นท้องน้ำที่สายน้ำขึ้นหนุนจากท้องทะเล และน้ำจากเหนือไหลมาบรรจบกันทำให้กระแสน้ำในตอนนั้นหยุดนิ่ง ไม่ไหลไปสู่ทิศใด ด้วยเหตุนี้น้ำเหนือซึ่งพ้ดเอาทรายมาตามสายน้ำจึงไหลรวมกันในบริเวณนั้น ทำให้ตื้นเขิน การเดินเรือในท้องน้ำบริเวณนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะส่วนหนึ่งท้องน้ำเป็นโคลน ซึ่งเรือกลไฟแล่นผ่านไปได้สะดวก แต่อีกด้านเป็นทรายซึ่งจมพอกพูนอยู่ชั่วนาตาปี ทำให้ตื้นเขิน เรือกลไฟแล่นผ่านไม่ได้ สำหรับเรือมอญของชาวรามัญ ซึ่งเป็นราษฎรในย่านนั้น กำลังจอดทอดสมองมหาทรายเป็นอาชีพอยู่ ก็จอดเรืออยู่กลางแม่น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งทรายพิเศษ และมีความตื้นกว่าช่วงอื่น ๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนนั้น

    เมื่อเรือกลไฟราชสีห์ ซึ่งเป็นเรือลำหน้ากำลังผ่านวัด ๆ หนึ่ง ( ต่อมาได้ชื่อว่า " วัดกู้ " ) ก็เบนหัวเรือเล่นเข้าไปเลียบฝั่งตะวันออก เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์ที่ประทับในเรือได้ทอดพระเนตรทิวทัศน์ริ่มฝั่ง และเพื่อที่จะหลีกทางมิให้ระลอกคลื่นไปรบกวนชาวเรือที่กำลังงมหาทรายกันอยู่ ส่วนเรือยอร์ชก็แล่นเทียบขึ้นมาขนานกับเรือราชสีห์ เป็นทำนองแข่งความเร็วกันอยู่

    สำหรับเรือปานมารุต ที่เป็นเรือจูงเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์นั้น นายท้ายเรือ คือ " นายอิน " เมื่อเห็นเรือทั้งหลายบ่ายหัวเข้าไปใกล้ฝั่งก็เร่งฝีจักรเข้าไปใกล้ และจะเป็นไปด้วยความคึกคะนอง หรือความประมาทอย่างหนึ่งอย่างใดไม่เป็นที่ทราบชัดได้ เรือปานมารุตจึงพยายามเร่งฝีจักรให้ทันเรือราชสีห์ และเรือยอร์ช และแล้วความพยายามเบนหัวเรือแทรกขึ้นไปในระหว่างกลาง ด้วยความรีบร้อน จึงไม่ได้กังวลถึงเรือกลไฟโสรขจร ซึ่งแล่นตามหลังเรือราชสีห์มาอย่างกระชั้นชิด และอยู่เป็นลำในกว่าเรือปานมารุต

    แต่ทันใดนั้นเอง ผู้ถือท้ายเรือโสรขจรก็รู้สึกว่าได้แล่นผิดร่องน้ำ เสียงพรืดพราดหลายครั้ง ๆ แสดงว่าใบจักรเรือได้พัดเอาทรายเข้าแล้ว และเรือโสรขจรก็ทำท่าว่าจะติดทราย ด้วยสัญชาติญาณของนายท้ายเรือ จึลเบนหัวเรือออกเพื่อหลบการเกยตื้น สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้เรือทั้ง ๔ ลำ อยู่ในลักษณะเทียบลำใกล้กันเข้ามาอีก เสียงข้าหลวงในเรือเจี๊ยวจ๊าวขึ้นเพราะเห็นเรือทั้ง ๔ ลำ ใกล้เข้ามาเกือบติดกัน จนระลอกคลื่นของเรือซัดเข้าหากันเป็นฟองซู่ซ่า

    เมื่อเรือโสรขจรเบนหักหลบการเกยตื้นเช่นนั้น เรือปานมารุตซึ่งกำลังเร่งเพื่อเข้าแทรกระหว่างกลางของเรือราชสีห์ และเรือยอร์ชก็ต้องเบนหลบตามออกไปทันที การเบนหัวเรือกลไฟหลบออกกันเป็นฉากๆนั้น ถ้าเป็นเรือกลไฟที่ไม่ได้ลากจูงจะสู้ไม่เป็นอันตรายมากนัก หากแต่ว่าเรือกลไฟปานมารุตจูงเรือพระประเทียบ และการลากจูงนั้นก็ปรากฏว่าได้ทิ้งระยะเชือกที่ลากจูงยาวกว่าลำอื่น เนื่องด้วยในเรือพระประเทียบนั้นมีพระราชธิดาซึ่งยังอ่อนพระชันษาอยู่ เกรงว่าควันไฟและลูกไฟจากปล่องเรือจะมารบกวนพระอนามัย

    นายท้ายเรืออิน เมื่อเบนหัวเรือหนีแล้วก็ยังมิได้ชะลอความเร็ว เพื่อให้เรือพระประเทียบที่พ่วงมาตั้งลำก่อน แต่กลับเร่งความเร็วเพิ่งขึ้น เพื่อจะหนีหัวเรือของเรือโสรขจรที่พุ่งออกมา หักเป็นมุม ๔๕ องศา



    ทันใดนั้นก็มีเสียง โครมมม... เนื่องด้วยเรือโสรขจรได้ปะทะเข้ากับเรือปานมารุตแล้ว เสียงหวีดร้องดังขึ้นทั้งลำเรือ พอเรือโสรขจรหักหัวเรือให้ตั้งลำอีกครั้งหนึ่ง ก็พอดีกับเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่กำลังถูกลากจูงยังมิสามารถตั้งลำได้ ลูกคลื่นอันเกิดจากเรือโสรขจรกระท้อนเข้าหาเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เรือพระที่นั่งเริ่มโคลงซ้าย โคลงขวา ลูกคลื่นลูกใหญ่ซัดประดังเข้ามากดหัวเรือพระที่นั่งให้โยนขึ้นลง เอียงไปมาอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง

    สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงตกพระทัย เรือพระที่นั่งยิ่งโคลงใหญ่ เพราะลูกคลื่นได้ซัดเข้ามาไม่หยุด ด้วยพระสัญชาติญาณแห่งความเป็น " แม่ " สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงอุ้มพระราชธิดาเข้ามาไว้ในอ้อมประอุระ ทรงผวาและตื่นเต้นกับจังหวะของเรือที่โยนขึ้นลง และแล้วน้ำก็พรั่งพรูเข้ามาทางหัวเรือซู่ใหญ่ พระพี่เลี้ยงแก้วร้องไห้ด้วยความตกใจและตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ชั่วระยะเวลาไม่ถึง ๕ นาทีเสียงอื้ออึงก็ดังก้องท้องน้ำ

    " เรือพระนางล่ม "

    อนิจจา ! เรือพระนางล่มคว่ำลงไปทันที เรือปานมารุตหยุดเครื่อง และเรือกลไฟลำอื่น ๆ ก็หยุดตามทันที

    เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นที่ชายฝั่ง ชาวบ้านย่านนั้นต่างลงเรือมาช่วย ชาวเรือดำทรายต่างละหน้าที่เมื่อประจักาษ์เหตุการณ์เฉพาะหน้าว่า อันตรายได้เกิดขึ้นกับเรือขบวนที่เพิ่งจะผ่านไปหยก ๆ จะเป็นเรือของใครไม่ว่า เป็นไพร่หรือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็ตาม ความหมายคือการช่วยเหลือในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

    ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กำลังเสด็จลงเรือพระที่นั่งโสภณภควดี หลังจากที่ได้ทรงจุดธูปเทียนนมัสการพระพุทธมหาปฏิมากรแก้วมรกตและทรงบูชาเทวดาอันเป็นพระราชพิธีแล้ว เรือพระที่นั้งอันมีสมเด็จพระองค์น้อยกรมหมื่นนเรศวร , พระองค์เจ้าเทวัญ , พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร , พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กับหัวหมื่นพระนายไวยศรเพชร์ , หลวงนายฤทธิ์ ซึ่งตามเสด็จไปในเรือพระที่นั่ง ส่วนเรือตามเสด็จนั้นเป็นเรือกลไฟล้วน ๆ มีเรือพระที่นั่งรองเวสาตรี , เรือกระมุทรมาลา , เรือไรซิงซัน , เรือบางปะอินอุดมทวีป , เรือทัศนากรศุภฤกษ์ เคลื่อนลำออกจากท่าเรือนั้นคือเวลา ๐๙.๓๐ นาฬิกา ซึ่งเกือบจะเป็นเวลาเดียวกับ ที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สิ้นพระชนม์

    การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขบวนตามเสด็จอันมีพระมเหสีและพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จด้วยเรือเก๋งกุดั่นนั้น ก็เนื่องด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า การเสด็จด้วยเรือเก๋งกุดั่นจูงลากด้วยเรือกลไฟนั้นเป็นที่สบาย และทรงสำราญมากกว่าที่จะเสด็จด้วยเรือกลไฟ เพราะจะได้ไม่เป็นการสะเทือน และไม่ต้องอยู่ปนกับสามัญชนอื่น ๆ อันเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเรือประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่ง การเสด็จด้วยเรือเก๋งลูงลากนั้นช้ากว่าเรือกลไฟ บรรดาพระมเหสีและพระบรมวงศานุวงศ์ จะได้ทรงมีโอกาสทัศนาทิวทัศน์ของสองฝากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์ทรงเชื่อว่าอันตรายที่เสด็จอย่างเชื่องช้าค่อยแล่นค่อยไปนั้น คงจะไม่มีเป็นแน่แท้ ซึ่งคราวนี้พระองค์ทรงคาดผิด เพราะอุปัทวเหตุย่อมมีเกิดขึ้นได้ทุกเวลาไม่ว่าในหรือนอกพระราชฐาน

    ขณะที่เรือพระที่นั่งของพระเจ้าอยู่หัวกำลังบ่ายหน้าไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา อีกด้านหนึ่งที่ตำบลบางพูด ก็กำลังโกลาหลอลหม่านกันอย่างใหญ่หลวง ด้วยว่าเรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ได้ควำลง ทุก ๆ ชีวิตที่อยู่ในเรือขบวนเสด็จนั้น ตกตะลึงพรึงพริดทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คาดฝันว่าเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้จะบังเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน

    ข้าหลวงที่ตามเสด็จมาในเรือพระประเทียบซึ่งติดอยู่ในเก๋งเรือครอบที่มีกำลังวังชาแข็งแรง ก็พยายามมุดหาทางออกมาจากเก๋ง และว่ายน้ำไปเกาะที่เรือลำอื่น เพราะปรากฏว่าในตอนนั้นกระแสน้ำมิได้ไหลเชี่ยว ประกอบกับเป็นที่ตื้น

    สำหรับสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ นั้น ไม่สามารถจะหาทางออกจากเก๋งเรือที่ครอบอยู่ได้เพราะทรงมีพระอาการไม่ปกติอยู่แล้ว เนื่องด้วยทรงพระครรภ์และทรงห่วงพระราชธิดา และเป็นที่ปรากฏว่าขณะที่เรือล่มครอบนั้น เจ้าฟ้าหญิงฯได้หลุดออกจากพระหัตถ์หายไปในทันทีด้วย การที่ไม่เสด็จออกจากเก๋งเรือ จึงอาจจะเป็นด้วยห่วงพระราชธิดา และทำการค้นหาอยู่ภายใต้ท้องน้ำ และภายในเก๋งเรือ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ก็เป็นได้

    ขณะที่เรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ล่ม เรือพระประเทียบของพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา และสมเด็จพระเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ได้เสด็จล่วงหน้าไปก่อน ขบวนเรือที่อยู่ในการช่วยเหลือจึงขาดไปเสียลำหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามพวกมหาดเล็กและข้าหลวงทั้งหลายในเรือลำอื่นก็ไม่สามารถทำการช่วยเหลือได้ถนัด โดยเฉพาะแก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ

    ทั้งนี้เพราะเหตุว่า พระยามหามนตรี ( อ่ำ ) สมุหราชองครักษ์ได้ออกคำสั่งโดยฉับพลันทันทีไม่ให้คนหนึ่งคนใดลงไปช่วยเนื่องด้วยขัดกับกฏมณเฑียรบาล แม้แต่ชาวบ้านสามัญที่ไม่รู้เรื่องว่ากฏมณเฑียรบาลคืออะไรที่หักหาญเข้ามาช่วยเหลือก็ช่วยได้แต่เพียงนางข้าหลวง สำหรับเรือพระที่นั้งแล้วพระยามหามนตรีออกคำสั่งเด็ดขาดไม่ให้เข้าใกล้แตะต้อง ถึงกับมีผู้กล่าวว่าตัวพระยามหามนตรีเองชักดาบยืนตะโกนออกคำสั่งสำทับอยู่ที่หัวเรือ ทำให้พวกชาวบ้านงงงวยนัก และเพียงแต่ช่วยพวกข้าหลวงให้ขึ้นเรือที่พายออกไปช่วยแล้วนำส่งขึ้นเรือใหญ่ ส่วนพวกที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็จมหายไปนั้น ก็ได้งมช่วยขึ้นมาทันท่วงที และแก้ไขให้พ้นอันตรายเป้นจำนวนมาก

    กฏมณเฑียรบาล ซึ่งมิใช่จะประหารชีวิตผู้ทำความช่วยเหลือทั้งนั้น แต่เป็นการประหารล้างโคตร จึงอาจจะกล่าวได้ทีเดียวว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สิ้นพระชนม์ไปเพราะกฏมณเฑียรบาล กฏหมายอันมีมาแต่โบราณกาล กฏมณเฑียรบาลตอนนี้ มีความว่า


    " ถ้าเรือประเทียบล่ม ให้ชาวเรือว่ายน้ำหนี ถ้าอยู่กับเรือโทษถึงตาย ภูดาษแลชาวเรือยื่นเสร้า แลซัดหมากพร้าวให้เกาะ ตามแต่จะเกาะได้ ถ้ามิได้อย่ายืด ถ้ายืดขึ่นให้รอด โทษถึงตาย ถ้าซัดหมากพร้าวให้รอด รางวัลเงินสิบตำลึง ขันทองหนึ่ง ถ้าเรือประเทียบล่ม มีผู้อื่นเห็น แลซัดหมากพร้าวเอาขึ้นให้รอด โทษทวีคูณตายทั้งโคตร์
    "อนึ่งเรือประเทียบล่ม แลซัดหมากพร้าวเข้าไปริมฝั่ง โทษฟันคอริบเรือน
    "อนึ่ง ตัดเรือประเทียบโทษถึงตาย ข้ามเรือจวนประเทียบ โทษถึงตาย
    "อนึ่งถ้าเสด็จไล่เรือ แลเรือลูกขุนผู้ใด ไปโดยทางลัดเลี้ยว มิมาให้ทัน พระที่นั่ง โทษฟันคอริบเรือน
    "อนึ่ง ท้าวพระยามนตรีมุขลูกขุน หัวหมื่นหัวพันทั้งปวง ฝ่ายประเทียบก็ดี ตัดประเทียบชั่วลำเรือก็ดี โทษฟันคอริบเรือน
    "อนึ่ง ผู้ใดตีด่ากัน เข้ามาตัดหน้านางเทพี โทษเท่าฝ่าประเทียบ"

    เป็นคราวเคราะห์และมหาวิบัติของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์โดยแท้ เพราะชั่วเวลาที่เรือพระที่นั่งล่ม เวลาแห่งการช่วงเหลือ ที่พวกชาวบ้านจะเข้ามาได้นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเรียกได้ว่าช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะเพียงแต่ว่าช่วยหงายเรือพระที่นั่งขึ้นก่อน ที่จะคำนึงถึงกฏมณเฑียรบาล สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ก็คงจะไม่มีอันตรายถึงแก่สิ้นพระชนม์ หานึกไม่ว่ามนุษยธรรมนั้นย่อมอยู่เหนือกฏใดๆ

    แต่เมื่อว่าถึงชาวบ้านแล้ว ก็น่าเห็นใจอยู่เป็นอันมาก ที่พวกเขาไม่มีโอกาสแสดงความเป็นผู้มีมนุษยธรรมได้เต็มที่ เพราะการที่เข้ามาช่วยเหลือนั้นเข้ามาด้วยเจตนาดี แต่เมื่อเข้ามาแล้วกลับได้เห็นดาบเป็นเงาวับ พร้อมคำสั่งสำทับกำกับหมายเอาชีวิตให้ใครให้การช่วยเหลือ ใครเล่าจะกล้าแกว่งคอไปหาดาบผู้มีอำนาจราชศักดิ์

    ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ จึงต้องสูญเสียพระชนม์ พร้อมลูกน้อยในพระครรภ์ นอกจากนั้นยังมีเจ้าฟ้าหญิงพระราชธิดาฯ อันเป็นดังดวงหฤทัย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกพระองค์หนึ่งด้วย ขณะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงมีพระชนม์ ได้ ๑๙ ปี ๖เดือน ๒๒ วัน ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๒๓ ทรงพระครรภ์อยู่ได้ ๕ เดือนเต็ม พระราชธิดาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ พระชนม์ อายุได้ ๑ ปี ๙ เดือน ๒๐ วัน

    อาการแสดงตัวในฐานะสมุหราชองครักษ์ซึ่งเคร่งต้อกฏมณเฑียรบาลจนลืมความจงรักภักดีและมนุยธรรม และยิ่งกว่านั้นยังหาความดีความชอบใส่ตัว ด้วยการทูลเท็จต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในที่สุดกรรมก็ตามทันอย่างทันตาเห็น ภายหลังที่ได้ชำระคดีแล้ว สมุหราชองครักษ์ก็ถูกถอดออกจากยศศักดิ์อรรคฐาน ถูกตัดสินจำคุกต้องโทษ ๓ ปี ตั้งแต่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๒๓ และในการที่เคยเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับเข้ารับราชกาลอีกครั้งหลังพ้นโทษ และเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาพิชัยสงคราม ตำแหน่งเจ้ากรมอาสา

    เมื่อออกคำสั่งให้คนทั้งหลายหงายเรือเก๋งพระที่นั่งขึ้นมาก็ปรากฏว่าสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สิ้นพระชนม์เสียแล้ว พร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงแก้ว ส่วนพระราชธิดาเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ไม่ปรากฏว่าติดค้างอยู่ในเก๋งเรือ เหตุที่พระราชธิดาเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ ได้หายไปเช่นนั้น ต่างคนต่างดำหากันเป็นเจ้าละหวั่น พระยามหามนตรีเองไม่ได้สนใจอะไร มากไปกว่าได้ออกคำสั่งให้หงายเรือพระประเทียบ

    ในขบวนเรือเสด็จนั้นมีหนุ่มคนหนึ่งชำนาญในการว่ายน้ำดำน้ำมาด้วยคนหนึ่งชื่อว่า " เถอะ " เป็นข้าส่วนพระองค์ของพระองค์เจ้าชายเทวัญอุทัยวงศ์ เรียกกันในขณะนั้นว่า " ไอ้เถอะ " และไอ้เถอะนี้เองได้แสดงความสามารถ ในการดำน้ำหาพระศพของพระราชธิดาเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ ได้ ซึ่งพระยามหามนตรีเท็จทูลเอาความชอบใส่ตัวเองว่า ตนเองเป็นผู้ดำควานลงไปพบพระศพ ความจริงข้อนี้กระจ่างภายหลัง ด้วยประจักษ์พยานหลายปาก เป็นผลให้ไอ้เถอะได้รับเหรียญตรา แต่พระยามหามนตรีกลับได้ตรวนไปแทน

    เมื่อปรากฏว่าเหตุการณ์ทุก ๆ อย่างเข้าสู่ขั้นร้ายแรงและวิบัติขณะที่มีการแก้ไขสมเด็จพระนางเจ้าฯ เพื่อให้ทรงฟื้นพระชนม์ชีพนั้น พระยามหามนตรีได้จัดส่งเรือราชสีห์กลับลำ ล่องไปกราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทราบถึงอุปัทวเหตุที่เกิดขึ้น

    ดังนั้นเรือกลไฟราชสีห์ จึงบ่ายหน้ากลับพระนครอย่างเต็มกำลัง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับขบวนเรือพระที่นั่งโสภณภควดีและขบวนตามเสด็จกำลังแล่นออกจากพระนครอย่างรีบร้อนเช่นเดียวกัน เรือพระที่นั่งได้สวนกับเรือกลไฟราชสีห์ ตรงที่จะเข้าอ้อมเกร็ด ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา ๔ โมงเช้าครึ่ง เมื่อได้ให้สัญาณให้หยุด และเรือราชสีห์เข้าเทียบเรือพระที่นั่งแล้ว หมื่นทิพยเสนากับปลัดวังซ้ายได้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลอย่างละล่ำละลักทั้งน้ำตาว่า



    " บัดนี้ได้เกิดอุปัทวเหตุอันตรายร้ายแรงด้วยเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ล่มลงที่ตำบลบางพูด สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ ได้สิ้นพระชนม์แล้ว "



    ยิ่งเสียกว่าสายฟ้าฟาด ยิ่งเสียกว่าแผ่นดินแยก ดั่งดวงพระราชหฤทัยแตกสลาย เมื่อหมื่นทิพเสนาและปลัดวังซ้ายขวาได้กราบบังคมทูลแล้วก็ก้มหน้านิ่ง พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตกพระทัย เมื่อได้ทราบข่าวพระราชหฤทัยก็แทบว่าจะหยุดเต้น ความรื่นรมย์ที่หวังจะได้รับจากการแปรพระราชอิริยาบถ กลายเป็นความทุกข์โทมนัสทันที แต่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยังหาได้ทรงกริ้วทันที หรือทรงซักไซ้ไล่เรียงรายละเอียดที่เกิดขึ้นแต่ประการใดไม่ เพราะในขณะนั้นไม่ใช่เวลา ที่ต้องทำการชันสูตรพระศพ เมื่อได้รับคำกราบบังคมทูลแล้ว ก็ทรงมีพระราชโองการดำรัสสั่งให้เรือพระที่นั่งแล่นขึ้นไปยังตำบล ที่เกิดเหตุอันร้ายแรงอย่างเต็มฝีจักร และตลอดเวลาที่เรือพระที่นั่งแล่น ความที่ได้ทรงรับข่าวประกอบกับความเวิ้งว้างของลำน้ำเจ้าพระยา ทำให้พระองค์ฯทรงบังเกิดพระอาการทุกขกิริยา ทรงประทับนิ่ง พระวรกายตั้งพระเนตรทรงเหม่อมองไปเบื้องหน้า มิได้มีพระราชดำรัสแก่ผู้ใด

    ประมาณครึ่งชั่วโมง เรือพระที่นั่งโสภณภควดีก็ได้มาถึงยังจุดอันเป็นเหตุ พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งฯให้เรือพระที่นั่งเข้าเทียบเรือพระประเทียบปานมารุต ซึ่งขณะนั้นได้จอดอยู่ห่างฝั่งพอสมควร พร้อมกับเรือพระประเทียบลำอื่น ๆ ที่จอดคอยอยู่ส่วนเรือพระประเทียบปานมารุตจอดบริเวณหน้าวัด เมื่อเรือพระที่นั่งฯเทียบลำเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นอดิศรและพระยามหามนตรีเข้าเฝ้า และทรงซักไซ้ไล่เรียงด้วยพระองค์เอง

    อนิจจา ในขณะนั้นพระองค์คาดผิดไปว่า พระราชธิดาสิ้นพระชนม์แต่เพียงพระองค์เดียว แต่เมื่อทรงซักไซ้ จนได้ความแล้วประมาณ ๑๐ นาที ก็ยังไม่ได้ทรงเห็นพระบรมราชเทวีสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และในขณะนั้นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อย ก็ได้ขึ้นมากราบบังคมทูลตามลำดับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงชำเลืองพระเนตรเพื่อจะหาพระบรมราชเทวีสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ แต่ก็ไม่ปรากฏ จึงทรงเฉลียวพระหฤทัย แต่ก็ทรงคิดว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ คงจะโศกเศร้าในการสิ้นพระชนม์ของพระราชธิดาฯ ยังคงจะไม่ได้เข้าเฝ้าในขณะนั้นด้วย

    เจ้านายทุกพระองค์ และข้าราชบริพารทุกคนที่เข้าเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ขณะนั้นต่างก้มหน้านิ่ง มิได้มีใครกล้าที่จะกราบบังคมทูลความจริง และคงจนด้วยเกล้าฯ ในการที่จะกราบทูล เพราะเห็นสีพระพักตร์ของมหาชีวิตทรงบึ้ง ไม่แน่ใจว่าจะทรงพระพิโรธขึ้นมาเมื่อใด

    แต่ในขณะเดียวกันพระศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ นั้นทรงบรรทมอยู่หน้าศาลาวัด หลวงราโชแพทย์ หลวงประจำพระองค์ กำลังทำหน้าที่แก้ไขอย่างสุดความสามารถ แต่ก็มิมีหวังว่าสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ จะทรงฟื้นคืนพระชนม์ชีพขึ้นมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเฉลียวพระหฤทัยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อยิ่งได้เห็นสีหน้าของทุกคน นิ่งและอ้ำอึ้ง ดังถูกมนตราสะกดอยู่ พระองค์ฯจึงมีพระราชดำรัสถามถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ขึ้นมาทันที แต่ถึงกระนั้นก็ตาม บรรดาเจ้านายหลายพระองค์ จะมีใครกล้ากราบบังคมทูลก็หาไม่ จนกระทั่งเจ้านายบางพระองค์ ซึ่งได้ไปเฝ้าดูการแก้ไขสมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จขึ้นมาบนเรือพระที่นั่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับสั่งถาม จึงได้กราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า " พระบรมราชเทวีสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ " ได้เสด็จสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ก็ยังมีหวังที่นายแพทย์จะแก้ไขให้ฟื้นคืนพระชนม์ชีพมาได้ "



    ทันทีที่ได้รับคำกราบบังคมทูล พระอาการที่ทรงประทับยืนอยู่ก็โงนเงนประดุจจะล้มลงไปทั้งยืน ทรุดพระวรกายลงประทับบนพระที่นั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง ทรงอ้ำอึ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงมีพระราชดำรัสให้ไปบอกนาบแพทย์ว่าให้ทำการแก้ไขอย่างสุดกำลังและความสามารถ แต่นายแพทย์ก็ไม่สามารถที่จะสนองพระเดชพระคุณให้เป็นที่เรียบร้อยสมพระประสงค์ได้ เพราะได้เพียรแก้ไขมาเป็นเวลาช้านาน ก็ไม่มีพระอาการว่าจะฟื้นคืนพระชนม์ชีพขึ้นมาได้

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสะท้อนพระราชหฤทัย น้ำพระอัสสุชลเปี่ยมอยู่ที่พระเนตร รำรำจะไหลออกมา เพราะความรักและความสงสารพระปิยมเหสีที่ทรงจากพระองค์ไปโดยมิได้เห็นพระทัย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ยังคงหวังว่านายแพทย์จะแก้ไขให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ ให้ฟื้นพระชนม์ชีพขึ้นมาได้ จึงมีพระราชดำรัสไล่เรียงบรรดานางข้าหลวงทั้งหลายที่ส่วนใหญ่รอดเพราะความช่วยเหลือของชาวบ้าน เมื่อมีผู้กราบบังคมทูลว่า มีพวกชาวบ้านสองคนซึ่งมีวิธีแก้ไขคนจมน้ำตายตามแบบของเขา และได้แก้ไขพวกข้าหลวงหลายคนให้ฟื้นขึ้นมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงรับสั่งให้เบิกตัวชาวบ้านสองคนนั้นมาเข้าเฝ้า และมีพระดำรัสให้ไปทำการแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง

    แต่ถึงอย่างไรความสามารถของชาวบ้านทั้งสอง ก็มิได้มีความหมายต่อพระชนม์ชีพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ เพราะได้เพียรแก้ไขต่อจากเวลาใกล้เที่ยง จวบจนบ่ายสองโมงเศษ ก็ยังหาพระชนม์ชีพขึ้นมาไม่ คราวนี้เป็นการแน่นอนว่า ดวงพระวิญญาณของพระปิยมเหสีฯ ได้เสด็จสู่สรวงสวรรค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ทรงจากพระองค์ไปแล้ว อย่างไม่มีวันเสด็จกลับ

    เมื่อเป็นที่แน่พระราชหฤทัยว่า พระบรมราชเทวีสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ สิ้นพระชนม์เป็นการแน่แล้ว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อันเชิญพระศพสมเด็จพระนางเจ้าฯ ขึ้นมาบนเรือปานมารุต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จจากระที่นั่ง ออกไปรับพระศพด้วยพระเนตรอันแดงไปด้วยพระอัสสุชล และพระราชอิริยาบถอันอ่อนระโหยโรยแรงด้วยพระหัตถ์อันสั่นสะท้านที่ทรงเอื้อมไปเปิดพระแกล ทันใดนั้นพระเนตรของพระองค์ท่าน ก็ได้ยลพระพักตร์พระปิยมเหสีเป็นครั้งสุดท้าย

    ไม่มีวันใดอีกแล้วที่พระองค์จะได้เสวยความสุขความรัก และความอภิรมย์ชมชื่น จากพระปิยมเหสีคู่ทุกข์คู่ยาก ของพระองค์ ไม่มีวันใดอีกแล้วที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ จะเสด็จเข้าไปดำเนินในพระราชอุทยานพระราชวังบางปะอิน ไม่มีวันใดอีกแล้ว

    พระศพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงอยู่ในพระอิริยบถอันแน่นิ่งราวกับเพิ่งบรรทมหลับ ไม่มีริ้วรอยแห่งความหมายว่า ได้สิ้นพระอัสสาสะแต่ประการใด เคียงข้างกับพระศพของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ ก็ได้ประทับอยู่ข้างพระราชมารดา

    พระมเหสีที่สิ้นพระชนม์ก็ทรงนับว่าทรงโทรมนัสสาหัสใหญ่หลวงพออยู่แล้วที่ปุถุชนสุดจะทนทานได้ ยังกระหน่ำซ้ำเติมด้วยพระราชธิดาที่เพิ่งจะทรงน่ารักน่าชม เพิ่งพูดได้จ้อแจ้เหมือนทารกทั้งหลาย และยังพระราชบุตรที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระครรภ์อีก ซึ่งแม้กระนั้นจะยังไม่ทรงทราบว่า เป็นพระราชโอรสหรือพระธิดาก็ตาม การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ จึงเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

    ขณะทรงทอดพระเนตรด้วยสายพระเนตรอันเต็มตื้นไปด้วยความโทรมนัส ไปยังสริร่างของพระมเหสี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงประทับอึ้งคล้ายกับว่าพระองค์เองปราศจากความรู้สึก ที่สำคัญที่สุดซึ่งพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโทรมนัสทวียิ่ง ก็คือพระกรของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทั้งสองยังคงสวมของขวัญ ในวันประสูติเจ้าฟ้าหญิงฯ อยู่อย่างครบบริบูรณ์ พระกรซ้ายทรงประดับนาฬิกาข้อมือเพชร นิ้วก้อยทั้งสองพระกร ยังคงสวมพระธำมรงค์ที่พระราชสวามีพระราชทานเป็นของขวัญในวันเดียวกัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้สวมของขวัญอันมีค่าเหล่านั้น ติดพระองค์จวบจนพระชนม์สลาย ซึ่งเป็นการแสดงถึงความรัก ต่อองค์พระราชสวามี ในการที่ได้ทรงมีโอกาสสนองพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยความจงรักภักดีอย่างใกล้ชิดพระยุคลบาทตลอดมา

    เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ได้เสด็จสวรรคต แม้จะเพียรพยายามแก้ไขอย่างไรก็มิอาจ ฟื้นพระชนม์ขึ้นมาได้ บรรดาข้าหลวงและพนักงานทั้งปวง ตลอดจนพระบรมวงศานุวศ์ ก็ถอยห่างออกจากพระศพ คงเหลือแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์เดียวที่ประทับอยู่เคียงพระศพ ทรงทอดพระเนตรพระพักตร์ของพระปิยมเหสีใกล้ชิดอีกครั้งหนึ่ง คล้าย ๆ กับจะทรงเก็บภาพนั้นไว้ในพระราชหฤทัย อย่างมิมีวันลืมเลือน ทอดพระเนตรพระมหเสีแล้วก็ทรงทอดพระเนตรพระราชธิดา ซึ่งบรรทมหลับนิรันดรเคียงข้างพระราชมารดา แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกของทุกคนในที่นั้น ก็เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควร ที่จะมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงถอนพระราชหฤทัยยาวอีกครั้ง และเอื้อมพระหัตถ์ไปต้องพระวรกายของสมเด็จพระนางเจ้าฯ และทรงฝืนพระทัยเสด็จกัลไปประทับยังพระที่นั่ง และมีราชโองการให้งดการเสด็จพระราชวังบางปะอิน ในเพลาเดียวกันนั้นด้วย

    เป็นที่ปรากฏแก่บรรดาผู้ที่เฝ้าเสด็จอยู่ในขณะนั้นว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมิได้พิโรธ และมิได้ทรงกราดเกรี้ยวแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในวันนั้น มิได้ทรงโทษดินฟ้าอากาศและโชคชะตาวาสนา ทรงประทับอึ้งบึ้งตึงอยู่แต่พระองค์เดียว ความโทรมนัสนั้นมีท่วมท้นพระราชหฤทัย การที่พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวฯ ต้องสูญเสียพระมเหสี และพระราชธิดา พร้อมกันทีเดียวสามพระองค์เช่นนี้ ย่อมจะต้องถือว่าเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวง ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือคณะใดคณะหนึ่งที่ตามขบวนเสด็จนั้น แต่ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นมิได้ทรงเอาผิดแก่ผู้ใด ทั้งสิ้น ตลอดจนซกไซ้ไล่เรียงรายละเอียดของเหตุที่เกิด และพอทรงทราบเรื่องที่เกิด พระพักตร์ที่ทรงแสดงนั้น คือเศร้าอย่างเดียว

    ขณะนั้นลมเริ่มกระโชก แสงทินกรเคลื่ยนคล้อยต่ำไปตามทิวยอดไม้ น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสงบนิ่งราวกับแสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ ในบริเวณท้องน้ำตอนนั้นสงบเสียงร่ำไห้ของนางข้าหลวง และเสียงสะอึกสะอื้นของบรรดาผู้ตามเสด็จนั้น มีเสียงอยู่ห่างไปจากเรือพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังไม่รับสั่งให้เคลื่อนขบวนเรือ เพราะมีราชประสงค์จะคอยเรือพระที่นั่งของพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ซึ่งได้แล่นล่วงหน้าไปพระราชวังบางปะอินก่อน จึงได้มีกระแสรับสั่งให้จัดเรือไปตามลงมาพร้อมกัน เพื่อที่จะได้จัดขบวนเรือ กลับพระมหานครพร้อมกันเสียทีเดียว เมื่อได้ส่งเรือขึ้นไปตามแล้ว ก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ จัดเรือพระที่นั่งเวสาตรีเป็นเรือรับพระศพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ และพระราชธิดา

    พิธีอันเชิญพระศพของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ขึ้นไปบนเรือเวสาตรีนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อย เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ได้เป็นธุระในการรับเสด็จพระศพ โดยถูกกำหนดให้ร่วมไปในเรือพระที่นั่งเวสาตรีพร้อมกันหมด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นแม่งานด้วยพระองค์เอง เชิญพระศพขึ้นไปบนเรือพระที่นั่งเวสาตรีก็เป็นเวลาย่ำค่ำพอดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ใช้ห้องซาลูน อันเป็นห้องที่ปรับทับส่วนพระองค์ จัดเป็นห้องไว้พระศพและทรงรับสั่งให้รอเวลา เพื่อจะได้ทรงหารือกับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ คือสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ์ เกี่ยวกับเรื่องจัดงานพระศพ แต่ขณะนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ์ ได้เสด็จล่วงหน้าไปยังพระราชวังบางปะอินก่อนแล้ว ยังกลับลงมาไม่ถึง

    ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษ เรือพระที่นั่งของสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ์ จึงมาถึง เมื่อทรงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วก็เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และได้ทรงปรึกษาเกี่ยวกับพระศพอยู่เป็นเวลาช้านาน เมื่อเป็นที่รู้เรื่องกันดีแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลาฯ เสด็จล่วงหน้ามายังกรุงเทพพระมหานครก่อน เพื่อที่จะได้เตรียมการต้อนรับพระศพตามราชประเพณี ส่วนขบวนเรือพระที่นั่งส่วนใหญ่ยังไม่เคลื่อนขบวน เพราะเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศและพระองค์เจ้าสว่างวัฒนานั้นยังมาไม่ถึง จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึง ๒๒.๐๐ นาฬิกา เรือทุกลำจึงมาพร้อมกัน

    ครั้นได้เวลา ๒๒.๓๐ นาฬิกา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากำลังไหลขึ้น ท้องฟ้ามืดมิดเหมือนม่านดำผืนมหึมาทาบทับอยู่ เพราะเป็นเวลาข้างแรม ๘ ค่ำ เดือนมืดสนิท นอกจากแสงดาราซึ่งดาระดาษอยู่บนแผ่นฟ้า และแสงโคมไฟในเรือพระที่นั่ง ครั้นได้เวลาพรักพร้อมดีแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯให้เคลื่อนขบวนเรือ ดังนี้ ให้เรือพระที่นั่งเวสาตรี อันเป็นเรือประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ และพระศพ เคลื่อนล่วงหน้าไปก่อน ทรงรับสั่งให้นายท้ายขับไปอย่างช้า ๆ และระมัดระวังเพราะเป็นคืนเดือนมืด และน้ำกำลังไหลขึ้น ส่วนเรือพระประเทียบและเรือเก๋งทั้งปวงให้พระยาประภากรวงศ์ เป็นแม่กองควบคุม ยังไม่ให้ติดตามทันที ให้กักไว้ก่อน จนกว่าจะถึงเวลาน้ำลงจึงปล่อยเรือไปได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการเกะกะ เนื่องด้วยเรือมีจำนวนมากด้วยกัน



    ( เรือเวสาตรี )

    ภายในเรือพระที่นั่งเวสาตรี ขณะเมื่อเคลื่อนลำอย่างแช่มช้า ทุกชีวิตภายในเรือสงบเยือกเย็นอ้างว้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงประทับอยู่ใกล้ ๆ กับพระบรมศพของพระปิยมเหสี สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในยามวิกาลนั้น ถูกความมืดปกคลุมดำทมึน ทิวไม้สองฝากฝั่งถูกกลืนอยู่ในความมืดมิดเงียบสงบ เสียงเครื่องยนต์เรือพระที่นั่งแหวกน้ำไปอย่างช้า ๆ เสียงสะอื้นของบรรดานางข้าหลวงดังขึ้นเป็นครั้งคราว ไม่มีใครหลับ เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนพระศพ เรือเวสาตรีแล่นเข้าสู่พระมหานคร ก็เป็นเวลาสองยามเศษ น้ำยังไม่ไหลคืนสู่อ่าวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เรือพระที่นั่งเทียบท่าให้พอดีกับระดับน้ำ ซึ่งไม่สูงและไม่ต่ำเกินกว่าตำหนักแพจนเกินไป

    ในยามนี้จะมีใครคนใดในพระมหานครรู้บ้างว่า ขณะนั้นเมื่อเรือพระที่นั่งเวสาตรีซึ่งได้แล่นออกจากท่าราชวรดิตถ์ ในยามเช้าท่ามกลางความชื่นชมยินดีของพศกนิกร ที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงว่าทรงสดชื่นและรื่นรมย์ ท่ามกลางการส่งเสด็จอย่างหนาแน่นของข้าราชบริพาร และพระบรมวงศานุวงศ์ ในพระราชวโรกาสที่เสด็จไปเปลี่ยนพระราชอิริยบถ เพื่อทรงพักผ่อนในการที่ทรงตรากตำราชการงานเมืองมาตลอดฤดู แต่ใครจะนึกบ้างว่าชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมง ที่ผู้คนประชาชนพลเมือง พระญาติพระวงศ์ของพระองค์กำลังนอนหลับสนิทและบรรทมอย่างเป็นสุขนั้น จะมีใครรู้ว่า เรือพระที่นั่งลำเดียวกันกับที่แล่นออกจากพระนครรวดเร็วในตอนเช้านั้น จะกลับมาด้วยความเชื่องช้า พร้อมกับความโศกสลด ของบรรดาอยู่ที่อยู่ในเรืออย่างถ้วนหน้า

    พอเรือพระที่นั่งเทียบท่าเรียบร้อย สมเด็จกรมหลวงวรศักดาและเจ้าพระยาสุรวงศ์ ซึ่งได้รู้ล่วงหน้าโดยสมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้เสด็จล่วงหน้ามาสั่งราชการก่อนแล้ว ก็มาเฝ้ารับเสด็จทันที เมื่อถวายความจงรักภักดีและถวายบังคมพระบรมศพเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กราบบังคมทูลรับสนองพระเดชพระคุณในเรื่องการจัดพระเมรุทุกอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับสั่งให้จัดเป็นไปตามพระราชประเพณีทุกอย่างทุกประการ จนกระทั่งใกล้รุ่ง และขณะที่กำหนดการพระเมรุอยู่นั้น ก็เป็เวลาที่ต้องคอย เครื่องสำหรับเชิญพระศพซึ่งขณะนั้นยังมาไม่ถึง ตลอดเวลาตั้งแต่เรือพระที่นั่งเวสาตรีเทียบท่า บรรดาข้าราชและพระบรมวงศานุวงศ์ก็ได้ทยอยกันมา และประชุมพร้อมกันที่ตำหนักแพ เพื่อถวายบังคมพระศพอยู่เป็นจำนวนมาก

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จลงจากเรือพระที่นั่ง ไปประทับ ณ ตำหนักแพ เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ส่วนหมายกำหนดการสรงน้ำพระศพนั้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สรงในห้องซาลูน ในเรือพระที่นั่งเวสาตรี เลยทีเดียว

    ครั้นพอรุ่งสว่าง สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ์ ก็เสด็จไปยังตำหนักแพ พร้อมด้วยเครื่องทรงพระศพ แต่ในขณะนั้นภูษามาลา ซึ่งไม่ได้เตรียมล่วงหน้ามาก่อนในการที่จะมีพระศพ ในยามผิดปกติ แะลเป็นราชการด่วนจี๋เช่นนั้น มาปฏิบัติราชการไม่ทัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นนเรศวรฯ พระองค์เจ้าเทวัญฯ และพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ช่วยกันทรงเครื่องพระศพเสียก่อน

    ตามพระราชประเพณีนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะต้องเป็นผู้สรงน้ำพระศพของพระมเหสี และพระราชธิดาเป็นพระองค์แรก แต่ด้วยความโศกเศร้า ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จเข้าไปเห็นพระพักตร์ของพระปิยมเหสี และพระราชธิดา เกรงว่าจะระงับพระราชหฤทัยไว้ไม่อยู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าเทวัญอุทัยวงศ์ พระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เชิญพระสุคนธ์ มาสรงน้ำพระปิยมเหสีและพระราชธิดา แทนพระองค์ สว่นพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ตำหนักแพ มิไดเสด็จขึ้นพระบรมมหาราชวัง หรือเสด็จเคลื่อนพระองค์ไปจากที่ประทับนั้นเลย และไม่ปรากฏว่าตลอดเวลาทั้งคืนจะเสด็จเข้าที่บรรทม แม้แต่เอนพระวรกาย สักนิดเดียว

    การสรงน้ำพระศพได้เรียบร้อยทุกคนถ้วนหน้า เมื่อเวลาใกล้สองโมงเช้า ก็ได้มีพระราชพิธีอัญเชิญพระยรมศพลงพระโกศ ตลอดจนกำหนดเวลาที่จะอัญเชิญพระโกศ ขึ้นจากเรือพระที่นั่งเวสาตรี สู่พระบรมมหาราชวัง


    ....................................31 พ.ค.2423...........................................
     
  8. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ยู้ฮู...คิดถึงนะ ทุกๆ คน ^ ^
     
  9. เด็กหัวจุก

    เด็กหัวจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +1,436
    ฮัลโหล ฮัลโหล ฮัลโหล เงียบจัง
     
  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    เงียบสนิท....................
     
  11. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    เงียบด้วยคน !!!! ยกมือตามอีกต่างหาก ว่า เงียบ เงี๊ยบ เงียบ เน๊อะ ^ ^
     
  12. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    โวยวาย โวยวาย 5555

    ดังขึ้นบ้างยัง.........
     
  13. เด็กหัวจุก

    เด็กหัวจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +1,436
    กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด อยากจะบอกว่า คิดถึงมากมายเลยนะจ๊ะ แม่สร้อย ป้าแก้วจ๋า น้องพรรณเ จุ๊บ จุ๊บ
     
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    เหงาหล่ะสิ เด็กซน อิ อิ.......
     
  15. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    <IFRAME height=315 src="http://www.youtube.com/embed/kMW3OlSgYSE" frameBorder=0 width=420 allowfullscreen></IFRAME>​




    ทุกครั้งที่ฉันร้องไห้จนจมทะเลน้ำตา
    เหว่ว้าและเคว้งคว้างกลางผู้คน เจ็บจนไม่อยากหายใจ
    ถูกรักทำร้ายจนเปราะบาง ขอบฟ้าความหวังซีดจางเหลือเกิน
    แต่บอกกับใจไม่หยุดฝันอธิษฐานในกาลนิรันดร์
    อย่าหยุดศรัทธาสักวันคงได้พบเธอ

    อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณฉันรออยู่
    คนเคยรู้ใจคนเคยรู้จัก จำฉันได้ไหม เราเคยพลัดพรากกัน

    หากเธอกับฉันสวนทางกันในความฝัน
    อยากให้สายตาเราได้จ้องกัน
    และให้เธอบอกฉัน ว่าฉันข้ามเวลาเพื่อมาพบเธอ


    ฉันใช้ชีวิตมืดมนดั่งคนที่มีแผลใจ
    แผ่นดินและผืนฟ้ากว้างไกลมันกลับไม่เหลือทางให้เดิน
    ทอดทิ้งรักแท้ที่ข้างทาง ปล่อยทิ้งความหวังที่พังยับเยิน
    อยากบอกกับใจให้หยุดฝันอธิษฐานในกาลนิรันดร์
    เจ็บกับศรัทธากี่วันก็ไม่พบเจอ

    อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณฉันรออยู่
    คนเคยรู้ใจคนเคยรู้จัก เธอไปอยู่ไหน เราคงพลัดพรากกัน

    หากเธอกับฉันสวนทางกันในความฝัน
    อยากให้สายตาเราได้จ้องกัน
    โปรดให้เธอบอกฉัน ว่าฉันข้ามเวลาเพื่อมาพบเธอ

    หากเธอกับฉันสวนทางกันในวันนั้น
    ยามที่สายตาเราได้จ้องกัน

    อยากให้เธอบอกฉันว่าเราข้ามเวลาเพื่อมาพบกัน
    </PRE>
     
  16. เด็กหัวจุก

    เด็กหัวจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +1,436
    เค้าอยากเจอแม่สร้อยจังเลยล่ะ
     
  17. เด็กหัวจุก

    เด็กหัวจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +1,436
    อยากเจอพี่อ้อด้วยน๊า อยากเจอพร้อมกันสามคนเลย
     
  18. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556

    จะเอาน้ำตา มาฝากเค้าหล่ะสิ....
     
  19. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    เดี๋ยววันไหนได้เจอ...จะเอาตุ่มไปฝากไว้ให้รองน้ำตา...ให้สองตุ่มเลย คน ละ ตุ่ม..จะได้ไม่แย่งกัน ^ ^
     
  20. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    สังเกตุไหม...สามไอคอน..มีแต่เด็กหมดเลย ^ ^ เหมือนเด็กๆ มาคุยกันเน๊อะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...