ความจริงผีกระตุกเสื้อได้จริงหรือ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 24 พฤษภาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    อึ้ง! เจอดี 'บ้านร้าง' ลาดพร้าวเฮี้ยน พิธีกรเหวอ เจอผีกระตุกเสื้อจะจะ...! (ชมคลิป)

    ทั้งนี้ คลิปเฮี้ยนนี้ หลายฝ่ายยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถออนแอร์ภาพนี้ได้หรือเปล่า เพราะนอกจากน่าสะพรึงกลัวแล้ว ยังหาข้อสรุปไม่ได้ชัดเจน...!
    ล่าสุด ไทยรัฐออนไลน์ได้ “คลิป” ที่น่าสะพรึงกลัวมาแห่งเดียว ซึ่งเป็นช่วงหนึ่งของรายการคนอวดผี รายการผีชื่อดัง ที่ออกอากาศทางช่อง 5 เป็นฟุตเทจการอัดรายการเพื่อนำไปใช้ในช่วง “ล่าท้าผี” โดยมี เจน ญาณทิพย์ เป็นพิธีกรภาคสนามทำหน้าที่เดินฝ่าความมืดเข้าไปสำรวจความน่ากลัวภายในบ้าน ร้าง
    ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อพิธีกรสาวที่เชื่อว่าสื่อสารกับ วิญญาณได้ถึงกับออกอาการสะดุ้ง สีหน้าถอดสี เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนมากระตุกเสื้อด้านหลังของตนเองอย่างแรง...!!!

    จน เธอต้องหันมาถามทางทีมงานทันทีว่า มีใครอยู่หลังตนเองหรือเปล่า เพราะรู้สึกเหมือนเสื้อถูกดึงรั้งจากด้านหลังอย่างแรง แต่ทีมงานก็ปฏิเสธ และเป็นที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หนึ่งในทีมงานที่ถือกล้องนั้นยืนยันว่าตนเองไม่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถ สัมผัสตัวเธอได้สักคน อีกทั้งทางที่เดินไปยังเป็นทางโล่งๆ ไม่มีกิ่งไม้ หรือสิ่งกีดขวางที่จะเกี่ยวเสื้อเธอได้

    ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์

    เห็นข่าวนี้ครั้งแรกก็ลังเลใจว่าจะเขียนดีหรือไม่ดี แต่ก็ตัดสินใจเขียนเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง..

    และสิ่งที่เขียนไม่ได้วิจารณ์ ข่าวนี้ไม่ได้วิจารณ์คนในข่าว แต่จะขอนำเสนอสิ่งที่ พระศาสดาได้ทรงบัญญัติไว้เมื่อ 2600 ปี...
    ว่าด้วยสัญญาและอัตตา
    [๒๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัญญาเป็นอัตตาของบุรุษ หรือสัญญาอย่างหนึ่ง
    อัตตาอย่างหนึ่ง?
    ดูกรโปฏฐปาทะ ท่านต้องการอัตตาเช่นไร.
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ต้องการอัตตาอย่างหยาบๆ ที่มีรูปประกอบด้วยมหาภูต ๔
    บริโภคกวลิงการาหาร
    ดูกรโปฏฐปาทะ อัตตาของท่านหยาบ มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ บริโภค
    กวลิงการาหาร เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง
    ดูกรโปฏฐปาทะ ท่านพึงทราบความข้อนี้แม้โดยบรรยายนี้ว่า สัญญาจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตา
    จักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาที่หยาบ มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ บริโภคกวลิงการาหารนี้ ยกไว้
    เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของบุรุษนี้เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง ดูกรโปฏฐปาทะ ท่านพึง
    ทราบความข้อนี้โดยบรรยายนี้ว่า สัญญาจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง.
    [๒๙๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ต้องการอัตตาที่สำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่
    ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง.
    ดูกรโปฏฐปาทะ อัตตาของท่านก็จักสำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์
    ไม่บกพร่อง. เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจักมีสัญญาอย่างหนึ่ง มีอัตตาอย่างหนึ่ง ท่านพึงทราบความข้อนี้
    โดยบรรยายนี้ว่า สัญญาจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาสำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะ
    น้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่องนี้ ยกไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของบุรุษนี้เกิดขึ้น
    อย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง. ท่านพึงทราบความข้อนี้โดยบรรยายนี้ว่า สัญญาจักเป็นอย่างหนึ่ง
    อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง.

    [๒๙๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ต้องการอัตตาที่ไม่มีรูป สำเร็จด้วยสัญญา.
    ดูกรโปฏฐปาทะ ก็อัตตาของท่านจักไม่มีรูป สำเร็จด้วยสัญญา. เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญา
    ของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง. ท่านพึงทราบความข้อนี้แม้โดยบรรยายนี้ว่า
    สัญญาจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง. ดูกรโปฏฐปาทะ อัตตาที่ไม่มีรูป สำเร็จด้วย
    สัญญานี้ ยกไว้ แต่ว่าสัญญาของบุรุษนี้ เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง ท่านพึงทราบความ
    ข้อนี้แม้โดยบรรยายนี้ว่า สัญญาจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง.

    การได้กายใหม่ดังพระสูตรด้านบน มี 3 ชนิด
    1.ได้กายใหม่ด้วย มหาภูต 4 ได้แก่ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน
    2.ได้กายใหม่ด้วยใจ ได้แก่ เทวดา เปรต สัตว์นรก อสุรกาย
    3.ได้กายใหม่ด้วยสัญญา ได้แก่ พรหม

    ส่วนสิ่งที่หลายๆท่านเห็นเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ก็คือประเภทที่ 2 คือได้กายใหม่ด้วยใจ ประเภทนี้ก็มีครบทั้ง 5 ขันธ์ แต่ไม่มีรูปกายที่ประกอบด้วย
    ธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะฉนั้นการได้กายประเภทนี้ จึงไม่สามารถ...จับต้องทุกสิ่งได้

    ดังนั้น อาการกระตุกเสื้อ จึงไม่ใช่การกระทำของ ผู้ที่ได้กายด้วยใจ...

    คัดลอกมาจาก อึ้ง! เจอดี บ้านร้าง ลาดพร้าวเฮี้ยน พิธีกรเหวอ เจอผีกระตุกเสื้อจะจะ...! (ชมคลิป)....ความจริงผีกระตุกได้จริงหรือ?
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=HQylbPlmLUM]คาตา !! ผีดึงเสื้อเจน ญาณทิพย์ - YouTube[/ame]
     
  3. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    อืม ผมไม่เถียง แต่ควรอยู่ในทางสายกลางบ่างก้อดีนะผมว่า ยึดหรือแบกมากไปมันก้อไม่ดีนะครับ อ่านจนจบพระไตรปิฎกก้ออย่าคิดว่าจะรู้มากไปกว่าคนอื่นนะครับ เพราะรู้มากเท่าไรท่านก้อให้ปล่อยว่างมากเท่านั้น รู้เพื่อละ ไม่ใช่รู้เพื่อยึด รู้เพื่อเป็นหลักการ ไม่ใช่รู้เพื่อข่มคนอื่น ดูพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง จะให้พระกินเจ จะให้พระอยู่โคนต้นไม้เป็นนิจ มันก้อเคร่งไป ตามหลักมันก้อน่าจะดีนะ แต่พุทธองค์ท่านก้อว่าไม่ใช่ทางสายกลาง ผมรู้ว่าท่านมีเจตนาดีแต่ ภพอื่นที่ไม่มีรูปมีแต่เวทนา สัญญา วิญญาณ ก้อใช่ว่าจะทำอะไรในภพมนุษย์ไม่ได้นะ อ้าวก้อไม่มีรูปสังขารแล้วจะแตะต้องได้ยั้งไงละ อย่าลืมว่าบุญฤทธิก้อยังมีอยู่ อำนาจทางจิตแม้ว่าจะเกิดด้วยเหตุใดก้อตามยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าสุดโตงเกิน แม้พุทธองค์ยังบอกว่า ที่รู้นะแค่ใบไม้หนึ่งกำมือแค่นั้น ถ้าเทียบกับทั้งป่า บางอย่างไม่มีบอกในตำราก้อใช่ว่าจะไม่มี แต่ก้อต้องใช่สติกลั่นกรองเอาเองตามหลักกาลามสูตร ปล ผิดถูกประการใดบอกกล่าวด้วย ผมผู้น้อยพูดตามที่ได้เรียนได้ศึกษามา ขอบคุณครับ
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อ่านเพื่อรู้ รู้แล้วก็วาง อนุโมทนาครับ
     
  5. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา 21/5/55 ประมาณเกือบเที่ยงคืน ตนเองนั่งอยู่หน้าจอคอม ปรากฏว่าเหมือนมีใครมาเขย่าเก้าอี้ ซึ่งคิดว่าแผ่นดินไหว เลยนั่งนิ่ง ๆ เพื่อกำหนดดูสภาวะที่จะเกิดต่อไป แต่ก็นิ่งไม่เกิดอะไรอีก
    พอวันรุ่งขึ้น ก็ดูว่ามีข่าวแผ่นดินไหวหรือเปล่า ก็ไม่มี ถามคนในบ้าน ก็ไม่มีใครรู้สึกอะไร พอมาดูคนอวดผี เห็นคุณเจนถูกกระตุกเสื้อ เลยอดขำกับประสบการณ์ในบ้านตนเอง ไม่ได้ สำหรับทิพย์ไม่แปลก เพราะมาให้สัมผัสกันเรื่อย ๆ เช่น นั่งสมาธิอยู่ดี ๆ พัดลมหยุดหมุน สักพัก แล้วก็กลับมาหมุนใหม่ (ไฟในบ้านไม่ได้ดับ) หรือ บางทีก็รู้สึกว่าเดินสวนกับอะไรบางอย่าง ที่สูงใหญ่กว่าเราเท่าตัว หรือบางทีนั่งสมาธิ ก็เหมือนมีใครมาจี้เอว หรือบางทีนั่งสมาธิ ก็ขนลุกเฉพาะที่แขน ไม่ลุกที่อื่น
    บอกตรง ๆ ว่า ถ้าไม่มีมาให้สัมผัส จะรู้สึกว่า ถูกทอดทิ้งอย่างไงไม่รู้ ไม่ได้โกหก มีให้สัมผัสจริง ๆ ค่ะ
     
  6. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    โอ้ยย พอดีเข้ามาอ่านความเห็นในกระทู้นี้แล้วฮาครับ ดูเหมือน อุรุเวลา เขาcopy ข้อความมาจากเวปอื่นขึ้นมานี่ครับ

    แล้วก็มีอีกคนมาโผสข้อความขึ้นมา เหมือนจะตบหน้าอุรุเวลา แต่ก็ไม่ทันดูหรือสังเกตุหรอว่าเขาคัดลอกมา หรือเป็นเพราะอยากรีบพิมพ์แสดงทัศนะมากเกินไปจนลืมสังเกตดูครับ แต่ก็ช่างเถอะเพราะเห็นบอกว่าตนเองเป็นผู้น้อยพูดตามที่ได้เรียนศึกษามา
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมไม่เห็นว่าจะมีใครตอบหน้าใคร มีแต่ท่าน blackangel นั่นแลที่ตบหน้าตนเอง ไปอ่าน โปฏฐปาทสูตร ให้จบครับ แล้วท่านจะพบคำตอบ
     
  8. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ช่วย copy โปฏฐปาทสูตร มาวางไว้ในนี้ด้วยเลยซิครับ เผื่อคนอื่นเขาจะได้อ่านๆไปด้วย ^^
     
  9. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    เรียนคุณblackangel ผมยอมรับทุกอย่างที่พูดและเขียน เพราะผมก้อได้ศึกษาและอ่านตำราหรือฟังผู้รู้มาทั้งสิ้น ถ้าไม่ฟังอ่านเขียน แล้วผมจะรู้ได้อย่างไร และถ้าผมไม่ศึกษาผมก้อคงจะไม่รู้และที่ผมพูดไปอาจจะผิดพลาด ที่ไปปรามาสท่านผู้คงแก่เรียนเข้าและผมก้อไม่ได้รู้ตั้งแต่เกิดมาด้วยผมจึงเริ่งศึกษาและมาหาความรู้ที่แปลกใหม่ในนี้ ผมไม่เถียงท่านที่ว่าผมจำคำผู้อื่นมา เพราะผมไม่รู้ว่าblackท่านอาจจะเขียนและรู้เองโดยสัญชาติญาณและที่สำคัญ ผมไม่ได้รีบพิมกว่าผมจะตอบกระทู้ท่านอุรุเวละได้ก้อเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เพราะผมต้องตรวจสอบว่าผิดถูกหรือไม่ประการใดเพราะผมผู้น้อย พูดตามที่ได้เรียนได้ศึกษามาขอบคุณครับ
     
  10. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    รอตั้งนานไม่เห็น copy มาวางให้ผมอ่านซักที ถ้ายังงั้น

    ไมทราบว่า โปฏฐปาทสูตร ที่คุณ อุรุเวลา อยากให้ผมอ่าน คือ
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=275
    หรือ
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=09&A=6029&Z=6776

    พอดีผมหาเจออยู่ 2 อัน

    ก็เลยไม่รู้ว่า คุณ อุรุเวลา อยากจะให้ผมอ่านอันไหนจาก 2 อันข้างบน
    แล้วอยากจะเน้นย้ำให้ผมอ่านตรง ณ ประโยคไหนเป็นพิเศษมั้ย หรือ อยากให้อ่านให้จบหมดเลย ถ้าอยากให้อ่านให้จบหมดต้องเลือกอ่านอันไหนจาก 2 อันข้างบน หรือต้องอ่านหมดทั้ง 2 อัน

    หรือไม่ยังไงก็ช่วยตัดมาเฉพาะส่วนที่ต้องการจะเน้นย้ำให้ผมอ่านก็ได้นะครับ แต่ถ้าขอเดาไม่ทราบว่าจะใช่ข้อที่ 5-6 ในจุลศีลของภิกษุ หรือในเรื่องอื่นๆหรือไม่ไม่ว่าจะเป็น ทิฏฐิ สัญญา อัตตา หรือเปล่าครับ ???
     
  11. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    อย่าว่าแต่ดึงเสื้อเลย... แต่ผู้ที่ทำไม่ใช่สัมภเวสี
     
  12. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642

    ผมขอผ่านเรื่องใคร copy ใคร ใครทำอะไรใครไปนะครับ เพราะจะทำให้เกิดความบาดหมางเปล่า ๆ แต่จะขยายความเรื่องที่ทำตัวแดงไว้หน่อยครับ....

    ใช่แล้วครับ..ถ้าพิจารณาแล้วจะได้ดังลักษณะทั้งสาม แต่เรื่องได้กายใหม่ด้วยใจนี้ มีไม่ครบขันธ์ 5 ครับ ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อได้กายใหม่ด้วยใจ จึงไม่มีรูป จึงไม่มีครบในขันธ์ 5 ครับ คราวนี้มาพิจารณาในส่วนที่เหลือกัน ในทางพระพุทธศาสนาแบบสรุปกัน รายละเอียดเพิ่มเติมไปศึกษาจากพระอาจารย์ตามวัด หรือศึกษาจากหนังสือทางพระพุทธศาสนาเอาเอง

    เวทนา คือ ความรู้สึกนึกคิด ทั้งสุข ทั้งทุกข์ และทั้งเฉย ๆ ดังนั้นเรารับรู้เวทนาของคนอื่นได้ครับ

    สัญญา คือ ความทรงจำหมายรู้ เช่น นั่นสีแดง นั่นโต๊ะ เป็นต้น ส่วนใหญ่ในสายท่านพุทธทาสจะไม่ค่อยอธิบายไปถึงสัญญาในระดับพรหม แต่จะใช้อธิบายในปัจจุบันชาติ โดยเฉพาะด้านสมอง แต่ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์มีการอธิบายถึงระดับพรหม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการสำเร็จญาณทางพระพุทธศาสนา

    สังขาร คือ การปรุงแต่ง เป็นได้ทั้งรูปธรรม และนามธรรม เช่น เด็กในท้องแม่ จะค่อย ๆ งอกส่วนต่าง ๆ จนครบ นั่นก็คือสังขาร ในแบบรูปธรรม ในส่วนนามธรรม ทุกท่านคงจะทราบได้พอสมควร เช่น การปรุงแต่งทางใจ เป็นต้น

    วิญญาณ คือ การรับรู้ผ่านอายตนะทั้ง 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่สิ่งอธิบายนี้ยังไม่ครบ เพราะวิญญาณนี้ยังอธิบายแบ่งอายตนะเป็น 2 แบบ คือ อายตนะภายนอก และอายตนะภายในได้อีกครับ และอีกอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนานอกจากอธิบายเรื่องการรับรู้ผ่านอายตนะแล้วยังอธิบายอีกว่าวิญญาณยังเป็นส่วนหนึ่งของ "จิต" บางครั้งใช้ร่วมกัน บางครั้งก็ต้องแยกอธิบาย !

    แค่นี้...ก็คงจะทราบได้แล้วนะครับ ตกลงว่าเรื่องในรายการคนอวดผี อธิบายได้ตามหลักรายละเอียดทางพระพุทธศาสนาได้หรือไม่....? :eek:ผมได้ชมรายการ และต้องรออาทิตย์หน้าเขาถึงจะนำช่วงดังกล่าวที่เกี่ยวกับการถูกผีดึงเสื้อนี้มาให้ชม ไว้ผมรอชมและรอสัมผัสก่อนนะครับ แต่ถ้าผมไม่เปิดรับ ก็ขอโทษด้วย เพราะบางทีผมก็ปล่อยวาง....:eek:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2012
  13. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    ใน พระไตรปิฎก มีอยู่
    เรื่องที่ว่า มีผี ปีศาจ เที่ยว เดินตามพระ เข้ามาในเขตชุมชน

    เรื่อง ไม่เคยเกิดขึ้นจริง หรือหาว่าข้อความนั้น ตู่ขึ้นอย่างนั้นหรือ

    หรือจะเลือกเชื่อเฉพาะในส่วนที่ตรงกับความคิดตน

    ส่วนไหนที่เรายังไม่เข้าใจ หรือยังโง่ในเรื่องนั้นอยู่ อย่าเที่ยวบอกว่าไม่ใช่

    ถ้าคนเราไม่เชื่อว่าผีเป็นตัวๆมีจริง

    แล้วเทวดาจะมีจริงหรือ

    แล้ว ท้าวสักกะเทวราชมีจริงหรือ

    สวรรค์มีจริงหรือ

    นรกมีจริงหรือ

    ถ้าคิดแค่ว่า มันเป็นแค่เรื่องของจิตแล้วล่ะก็

    คุณคิดตื้นเกินไปหน่อย

    รู้แค่ไหน ก็คิดว่ามันมีอยู่แค่นั้น

    แล้วแต่วาสนา และสัญญาเก่าก่อน

    ที่คุณกำลังทำ ก็ดี แต่ก็ยังสามารถมีผลร้ายได้อยู่

    ทำให้คนกลัวนรกไม่กล้าทำไม่ดี

    กับทำให้คนคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง แล้วกล้าทำไม่ดี

    อย่างไหนดีกว่ากันเล่า

    กลัวเลยไม่ทำผิด มันก็ดี เพราะไม่มีใครรู้จริงๆ โดนกดเอาไว้นานเข้ามันก็เป็นนิสัย

    ไม่กลัวเลยทำผิด ไม่ดี เพราะตอนแรกก็คิดว่านิดหน่อยแล้วมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเป็นนิสัย

    รู้แต่ก็ยังทำผิด อันนี้ก็ยังดี เพราะว่ารู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ดี สามารถแก้ไขได้เพราะว่ารู้

    รู้เลยไม่ยอมทำผิด อันนี้ดีที่สุด

    รู้เสียที่เถิดท่าน ทางโลกปล่อยๆไปเถอะ เวลาเหลือน้อยแล้ว

    ปล่อยไม่ได้นี่น่าเสียดายที่มาเจอศาสนา

    แก่นของมันคือ ปล่อยซะ อย่ายึดไว้เลย ดีชั่วแค่สมมุติ ถ้าไม่มีเรา จะมีดี มีชั่วหรือ

    มันก็เป็นไปอย่างนั้นเอง แค่กระทบกัน มันเลยเกิดเป็นผล

    ทำเหตุให้ไม่มีผล ก็จบ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระสูตรนี้ครับ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=09&A=6029&Z=6776

    อ่านให้จบก็ดีครับ ไม่เสียประโยชน์ครับ
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผีมีจริงหรือ?

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑
    เรื่องประหาร ๓ เรื่อง
    [๒๒๑] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งถูกผีเข้า ภิกษุอีกรูปหนึ่งให้ประหารภิกษุ
    นั้นๆ ถึงมรณภาพ เธอมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
    เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
    ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า มิได้มีความประสงค์จะให้ตาย พระพุทธเจ้าข้า
    ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุไม่มีความประสงค์จะให้ตาย ไม่ต้องอาบัติ
    ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งถูกผีเข้า ภิกษุอีกรูปหนึ่งมีความประสงค์จะให้ตาย
    จึงให้ประหารภิกษุนั้นๆ ถึงมรณภาพแล้ว เธอมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
    กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ
    เธอคิดอย่างไร?
    ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า มีความประสงค์จะให้ตาย พระพุทธเจ้าข้า
    ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
    ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งถูกผีเข้า ภิกษุอีกรูปหนึ่งมีความประสงค์ให้ตาย จึง
    ให้ประหารภิกษุนั้น แต่ภิกษุนั้นไม่ถึงมรณภาพ เธอมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
    กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ
    เธอคิดอย่างไร?
    ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า มีความประสงค์จะให้ตาย พระพุทธเจ้าข้า
    ภ. ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔
    สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในกระท่อมผี. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน
    โพนทะนาว่า เหมือนพวกสัปเหร่อ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
    พระผู้มีพระภาค ตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในกระท่อมผี รูปใดจำ
    ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕
    พระพุทธานุญาตเนื้อดิบและเลือดสด
    [๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเพราะผีเข้า พระอาจารย์ พระอุปัชฌายะ
    ช่วยกันรักษาเธอ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หายโรคได้ เธอเดินไปที่เขียงแล่หมู แล้วเคี้ยวกินเนื้อดิบ
    ดื่มกินเลือดสด อาพาธเพราะผีเข้าของเธอนั้น หายดังปลิดทิ้ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
    แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา
    อนุญาตเนื้อดิบ เลือดสด ในเพราะอาพาธเกิดแต่ผีเข้า.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑
    เรื่องศพที่ยังสด
    [๑๓๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปป่าช้าแล้ว ถือเอาผ้าบังสุกุลที่ศพสด และ
    ในร่างศพนั้นมีเปรตสิงอยู่ จึงเปรตนั้น ได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่าท่านผู้เจริญ ท่านอย่าได้ถือเอาผ้า
    สากฎของข้าพเจ้าไป ภิกษุนั้นไม่เอื้อเฟื้อ จึงได้ถือเอาไป ทันใดศพนั้นลุกขึ้นเดินตามหลังภิกษุ
    นั้นไป ภิกษุนั้นเข้าไปสู่วิหารปิดประตู ร่างศพนั้นได้ล้มลง ณ ที่นั้นทันที เธอได้มีความรังเกียจ
    ว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
    ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันผ้าบังสุกุลที่ศพสด ภิกษุ
    ทั้งหลายไม่พึงถือเอา ภิกษุใดถือเอา ต้องอาบัติทุกกฏ.

    ----
    ผี เปรต จากพระไตรปิฎกมีอยู่หลายพระสูตรครับ คัดลอกมาให้อ่านแค่ส่วนหนึ่งครับ ส่วนผีหรือวิญญาณที่มีรูปลอยไปลอยมา พวกที่เคยเห็นว่ามีรูป(ผี)ก็บอกว่ามี พวกที่ไม่เห็นรูป(ผี)ก็ย่อมบอกว่าไม่มีครับ
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    กำเนิด ๔

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๒ หน้าที่ ๑๐๑/๔๓๐
    กำเนิด ๔
    [๑๖๙] ดูกรสารีบุตร กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ๔ ประการเป็นไฉน? คือ
    อัณฑชะกำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด
    ดูกรสารีบุตร ก็อัณฑชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เราเรียกว่า อัณฑชะกำเนิด
    ดูกรสารีบุตร ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ชำแรกไส้ [มดลูก] เกิด นี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด
    ดูกรสารีบุตร สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล [ของสกปรก] นี้เราเรียกว่าสังเสทชะกำเนิด
    ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด
    ดูกรสารีบุตรกำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล
    ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า
    ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี
    พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้ง
    ได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย
    ก็เที่ยงแท้ ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
    ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด
    ดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย
    ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.


    พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
    อุปปาติกะ [อุปะปาติกะ, อุบปะปาติกะ] น. ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย, โอปปาติกะ ก็เรียก. (ป. อุปปาติก, โอปปาติก).
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกายฯ พวกนี้เป็นโอปปาติกะกำเนิดครับ สัตว์หรือมนุษย์เมื่อตาย(รูปดับ) วิญญาณไม่มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย จึงแสวงหาการเกิด พวกที่ประกอบกรรมขาว(กรรมดี) ให้ทาน มีศีลสมาธิปัญญา ย่อมได้อัตภาพการเกิดในสวรรค์หรือมนุษย์ ส่วนพวกที่ประกอบกรรมดำ(กรรมไม่ดี)ย่อมไปเกิดในนรก บางพวกก็ไปเกิดเป็นโอปปาติกะ เป็นผี เปรต หรือวิญญาณที่หลายๆ คนเห็นนั่นเอง นี่เป็นอัตภาพการเกิดครับ
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คลิปผีกระตุกเสื้อ ก็มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง คือผีกระทำ กับมายากล จากการที่หลายคนตั้งข้อสังเกตไว้ครับ
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔
    [๔๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหล่าสัตว์เดียรัจฉานจำพวกมีหญ้าเป็นภักษา สัตว์เดียรัจฉาน
    เหล่านั้นย่อมใช้ฟันและเล็มกินหญ้าสด ก็เหล่าสัตว์ เดียรัจฉานจำพวกมหญ้าเป็นภักษา คืออะไร
    คือ ม้า โค ลา แพะ เนื้อ หรือแม้จำพวกอื่นๆ ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่มีหญ้าเป็นภักษา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล นั้นนั่นแลผู้กินอาหารด้วยความติดใจรสเบื้องต้นในโลกนี้ ทำกรรมลามกไว้ในโลก
    นี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสัตว์จำพวกที่มีหญ้าเป็นภักษาเหล่านั้น ฯ
    [๔๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหล่าสัตว์เดียรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นภักษา สัตว์เดียรัจฉาน
    เหล่านั้นได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆ แล้วย่อมวิ่งไปด้วยหวังว่า จักกินตรงนี้ เปรียบเหมือน
    พวกพราหมณ์เดินไปตามกลิ่นเครื่องบูชาด้วยตั้งใจว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้ ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล มีเหล่าสัตว์เดียรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นภักษา สัตว์เดียรัจฉาน
    เหล่านั้นได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆแล้ว ย่อมวิ่งไปด้วยหวังว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้ ก็เหล่าสัตว์
    เดียรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นภักษา คืออะไร คือ ไก่ สุกร สุนัขบ้าน สุนัขป่า หรือแม้จำพวกอื่นๆ
    ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่มีคูถเป็นภักษา ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้น นั่นแลผู้กินอาหารด้วยความติดใจ
    รสเบื้องต้นในโลกนี้ ทำกรรมลามกไว้ในโลกนี้เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของ
    สัตว์จำพวกมีคูถเป็นภักษาเหล่านั้น ฯ
    [๔๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหล่าสัตว์เดียรัจฉานจำพวกเกิดแก่ตายในที่มืด ก็เหล่าสัตว์
    เดียรัจฉานจำพวกเกิดแก่ตายในที่มืด คืออะไร คือ ตั๊กแตนมอด ไส้เดือน หรือแม้จำพวกอื่นๆ
    ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่เกิดแก่ตายในที่มืดดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแลผู้กินอาหารด้วยความ
    ติดใจรสเบื้องต้นในโลกนี้ ทำกรรมลามกไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
    ของสัตว์จำพวกเกิดแก่ตายในที่มืด ฯ
    [๔๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหล่าสัตว์เดียรัจฉาน จำพวกเกิดแก่ตายในน้ำ ก็เหล่าสัตว์
    เดียรัจฉานจำพวกเกิดแก่ตายในน้ำ คืออะไร คือ ปลา เต่า จรเข้ หรือแม้จำพวกอื่นๆ ไม่ว่าชนิด
    ไรๆ ที่เกิดแก่ตายในน้ำ ดูกรภิกษุทั้งหลายคนพาลนั้นนั่นแลผู้กินอาหารด้วยความติดใจรสเบื้องต้น
    ในโลกนี้ ทำกรรมลามกไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสัตว์จำพวก
    เกิดแก่ตาย ในน้ำ ฯ
    [๔๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหล่าสัตว์เดียรัจฉานจำพวกเกิดแก่ตายในของโสโครก
    ก็เหล่าสัตว์เดียรัจฉานจำพวกเกิดแก่ตายในของโสโครกคืออะไร คือ เหล่าสัตว์จำพวกที่เกิดแก่ตายในปลา
    เน่าก็มี ในศพเน่าก็มี ในขนมกุมมาสเก่าก็มีในน้ำครำก็มี ในหลุมโสโครกก็มี หรือแม้จำพวก
    อื่นๆ ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่เกิด แก่ตายในของโสโครก ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแลผู้กิน
    อาหารด้วยความติดใจรสเบื้องต้นในโลกนี้ ทำกรรมลามกไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึง
    ความเป็นสหายของสัตว์จำพวกเกิดแก่ตายในของโสโครก ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเรื่องกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานแม้โดยอเนกปริยายแล เพียงเท่า
    นี้ จะกล่าวให้ถึงกระทั่งกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานเป็นทุกข์ ไม่ใช่ทำได้ง่าย ฯ
    [๔๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนทุ่นมีบ่วงตาเดียวไปในมหาสมุทร ทุ่น
    นั้นถูกลมตะวันออกพัดไปทางทิศตะวันตก ถูกลมตะวันตกพัดไปทางทิศตะวันออก ถูกลมเหนือ
    พัดไปทางทิศใต้ ถูกลมใต้พัดไปทางทิศเหนือมีเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทรนั้น ล่วงไปร้อยปีจึง
    จะผุดขึ้นครั้งหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดตัวนั้น
    จะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้บ้างไหมหนอ ฯ
    ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ถ้า
    จะเป็นไปได้บ้างในบางครั้งบางคราว ก็โดยล่วงระยะกาลนานแน่นอน ฯ
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้
    ยังจะเร็วกว่า เรากล่าวความเป็นมนุษย์ที่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาตคราวหนึ่งแล้วจะพึงได้ ยังยากกว่านี้
    นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะในตัวคนพาลนี้ไม่มีความประพฤติธรรม ความประพฤติ
    สงบ การทำกุศล การ ทำบุญ มีแต่การกินกันเอง การเบียดเบียนคนอ่อนแอ ฯ
    [๔๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแล ถ้าจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบาง
    คราว ไม่ว่ากาลไหนๆ โดยล่วงระยะกาลนาน ก็ย่อมเกิดในสกุลต่ำ คือ สกุลคนจัณฑาล หรือ
    หรือสกุลคนจักสาน หรือสกุลช่างรถ หรือสกุลคนเทขยะ เห็นปานนั้น ในบั้นปลาย อันเป็นสกุลคน
    จน มีข้าวน้ำและโภชนาหารน้อย มีชีวิตเป็นไปลำบาก ซึ่งเป็นสกุลที่จะได้ของ กิน และเครื่องนุ่ง
    ห่มโดยฝืดเคือง และเขาจะมีผิวพรรณทราม น่าเกลียดชัง ร่างม่อต้อ มีโรคมาก เป็นคนตาบอด
    บ้าง เป็นคนง่อยบ้าง เป็นคนกะจอกบ้าง เป็นคนเปลี้ยบ้าง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้
    ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องตามประทีป เขาจะประพฤติกายทุจริต
    วจีทุจริตมโนทุจริต ครั้นแล้วเมื่อตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ
    [๔๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนนักเลงการพนัน เพราะเคราะห์ร้ายประการแรกเท่านั้น
    จึงต้องเสียลูกบ้าง เสียเมียบ้าง เสียสมบัติทุกอย่างบ้างยิ่งขึ้นไปอีก ต้องถึงถูกจองจำ เคราะห์ร้าย
    ของนักเลงการพนันที่ต้องเสียไปดังนั้น เพียงเล็กน้อย ที่แท้แลเคราะห์ร้ายอันใหญ่หลวงกว่านั้น
    คือ เคราะห์ที่คนพาลนั้นประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตแล้ว ตายไป เข้าถึงอบาย
    ทุคติวินิบาต นรก นั่นเอง ฯ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๓
    วาทะว่าอรูปพรหมไม่มี
    [๑๒๐] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้
    มีความเห็นอย่างนี้ว่า อรูปพรหมย่อมไม่มีด้วยอาการทั้งปวง สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ
    เป็นข้าศึกโดยตรงต่อสมณพราหมณ์พวกนั้น เขากล่าวอย่างนี้ว่า อรูปพรหมมีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง.
    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณพราหมณ์
    เหล่านี้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันแลกันมิใช่หรือ?
    อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
    ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์นั้น บุรุษผู้เป็นวิญญู
    ย่อมเห็นตระหนักดังนี้ว่า ข้อที่ว่าท่านสมณพราหมณ์มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า
    อรูปพรหมไม่มีด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เราไม่เห็น แม้ข้อที่ว่า ท่านสมณพราหมณ์ มีวาทะอย่างนี้
    มีความเห็นอย่างนี้ว่า อรูปพรหมมีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เราไม่รู้ ส่วนเราเองเล่า เมื่อไม่รู้
    เมื่อไม่เห็น จะพึงถือเอาโดยส่วนเดียวแล้วกล่าวว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้
    ข้อนั้นพึงเป็นการสมควรแก่เราหามิได้ ถ้าคำของท่านสมณพราหมณ์ที่มีวาทะอย่างนี้มีความเห็น
    อย่างนี้ว่า อรูปพรหมไม่มีด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เป็นคำจริง ข้อที่เราจักเกิดขึ้นในเหล่าเทวดา
    ที่มีรูป สำเร็จด้วยใจ ซึ่งไม่เป็นความผิด นี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ถ้าคำของท่านสมณพราหมณ์
    ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า อรูปพรหมมีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เป็นคำจริง
    ข้อที่เราจักเกิดขึ้นในเหล่าเทวดาที่ไม่มีรูปสำเร็จด้วยสัญญา ซึ่งไม่เป็นความผิด นี้เป็นฐานะที่จะ
    มีได้ อนึ่งการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การตัวต่อตัว
    การกล่าวส่อเสียดและมุสาวาท ซึ่งมีรูปเป็นเหตุ ย่อมปรากฏ แต่ข้อนี้ ย่อมไม่มี ในอรูปพรหม
    ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้. บุรุษผู้เป็นวิญญูนั้น ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อหน่าย
    เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิทแห่งรูปอย่างเดียว.
     

แชร์หน้านี้

Loading...